วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

05 ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน จุดชนวนสมาธิด้วยพลังศรัทธา ช่วง รวมฟีดแบ็ค

- ทำให้ไม่เหงาในการปฏิบัติอยู่คน เดียวที่บ้านเลยค่ะ

 

ดังตฤณ : จุดประสงค์ที่ผมฝันไว้ ตั้งแต่แรกที่มาทำมูลนิธิบูรณพุทธ ก็คือ อยากให้บ้านกลายเป็นวัด .. ถ้าทำบ้านให้กลายเป็นวัดได้ นั่นคือ จุดประสงค์ของบูรณพุทธได้รับการเติมเต็ม ได้รับการเข้าถึงนะครับ

 

ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่าพุทธศาสนาฝากไว้ในมือพวกเราด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่พระและชี แต่ว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกา .. พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ ไม่ใช่ผมพูดเองนะครับ

 

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พุทธศาสนา ฝากไว้ในมือของภิกษุ ภิกษุณี แต่ภิกษุณีสาบสูญไปแล้ว เหลือแต่ภิกษุ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ถ้าหากว่าเรายังมีความรู้ มีความเข้าใจ และเห็นบ้านเหมือนกับวัดโดยไม่ต้องไปปลีกวิเวก ไม่ต้องรอเวลาว่า ปีหนึ่งจะมีโอกาสปลีกวิเวกกี่วัน อันนั้นเท่ากับว่า เราได้เป็นผู้สืบสานคนหนึ่ง ของพุทธศาสนานะครับ

 

*

 

- รู้สึกว่าจิตมีเมตตามากขึ้นจากการทำสมาธิหน้าองค์พระบูรณพุทธ จิตมีความให้อภัยได้มากขึ้น อกุศลจิตดับไวขึ้นค่ะ

 

ดังตฤณ : นี่ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง เป็นเป้าหมายย่อย เป้าหมายแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ที่จะชวนทุกท่าน ลากจูง พยุงกันขึ้นที่สูง ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ

 

*

 

- ปรารถนาให้คนอื่นมีความสุขมากขึ้น

 

ดังตฤณ : ดีครับ เป็นลักษณะของเมตตาจริงๆ

 

ผลของการแผ่เมตตาอย่างเป็นสมาธิได้ จะมีความรู้สึกแบบนี้เป็นผลลัพธ์ พูดง่ายๆ ว่า คุณได้เส้นทางใหม่ที่เป็น บุญ มหากุศล มหาทานนะครับ

 

*

 

- รู้สึกใจสงบมากขึ้น มีความสุข แบบไม่ต้องมีอะไรมาทำให้สุข

 

ดังตฤณ : ที่ไม่มีอะไรมาทำให้สุข .. มีนะ ก็คือการปรุงแต่งของจิตในทางที่เย็น เป็นเมตตา

 

*

 

- เวลาไปทำสมาธิเองจะแปลก ๆ ไม่ค่อยมีสมาธิ แต่พอมาทำสมาธิร่วมกัน กลับได้ผลดีกว่า

 

ดังตฤณ : ก็เป็นแรงพยุงอย่างที่ผมเคยบอกหลายครั้งนะ เหมือนกับเราลอยคออยู่ด้วยกันกลางทะเล เกาะกลุ่มกอดคอกัน ใครที่ถีบเท้าไม่ไหว คนอื่นช่วยถีบเท้าอยู่ ก็รู้สึกว่าเราไม่จมไปกับเขาเหมือนกัน

 

เวลาที่มานั่งสมาธิด้วยกัน ก็มีแรงพยุงทำนองเดียวกันนั้นอยู่

 

*

 

- ถึงแม้ว่าการปฏิบัติในคอร์สของอาจารย์ เริ่มครั้งแรกตั้งแต่ช่วง 5 วันของวิสาขบูชา เรื่อยมาจนถึงคืนนี้ จะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง .. แต่ชัดเจนเลยว่า ชีวิตจากเดิม สัมผัสความสงบนิ่งขึ้น เข้าใจ รู้จักการทำสมาธิมากขึ้น คิดก่อนทำมากขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง ใจเย็นขึ้นบ้าง เข้าใจธรรมดาของโลกนี้มากขึ้นค่ะ ก็ยังต้องฝึกฝนต่อไป แต่ชีวิตมีทางเดิน มีที่ให้ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว รู้สึกอิ่มเอมขึ้นอย่างบอกไม่ถูกค่ะ ขอบคุณอาจารย์จากใจค่ะ

 

ดังตฤณ : ก็เหมือนกับเราลงไปสู่ทะเลทิพย์นะ ทะเลที่เราดื่มกินได้ไม่รู้จักหมดจักสิ้น เรายิ่งว่ายไป ยิ่งมีความสุขมากขึ้นๆ นะครับ เส้นทางของธรรมะมีความลาดลึกลงสู่ความสุข และพบกับบรมสุขในที่สุด

 

*

 

- มีความสุขขึ้นทุกวัน

 

ดังตฤณ : คนอื่นเขาโอดครวญกัน ผมก็ไม่ได้อยากเอาเปรียบนะ จริงๆอยากจะให้ความสุขนี้ แผ่ออกไปถึงทุกคนในประเทศไทยเลย

 

ผมฟังข่าวแล้วก็ คือก็มีความเสียใจนะ บอกจริงๆ ก็ไม่ได้สุขตลอด 24 ชั่วโมง เวลาอ่านข่าวคนฆ่าตัวตาย ทิ้งลูกน้อยไว้ในโลก ตัวเองเอาตัวรอดไป ก็มีความหดหู่

 

แต่ในความหดหู่นั้นก็ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คิดว่าอย่างน้อย เรามาช่วยกันกับกัลยาณมิตรประมาณพันคน ช่วยกันทำสมาธิ ทำให้เกิดความสุข ที่เป็นรัศมี เป็นวงกว้างขึ้นมา เป็นกลุ่มก้อนพลังงานด้านดี ด้านบวกขึ้นมา ผมเชื่อว่าจะกระเพื่อม ส่งแรงด้านดี ทำให้โลกรอบตัวเรา ทำให้เทวดารอบตัวเรา ได้มีความสุข ได้มีความอิ่มหนำ แล้วก็มีกำลังมากพอที่จะไปดลบันดาลให้คนที่หดหู่ แล้วก็สิ้นหวังกันแล้ว ได้มีความรู้สึกดีขึ้นกันได้บ้าง

 

คือสามารถแผ่กันไปได้จริงนะ ถ้ากำลังของความสุขโฟกัสมากพอ มีกำลังใหญ่มากพอ เอาง่ายๆ เลย เราเดินไปไหน คนเห็นหรือว่าคนสัมผัสกระแสทางใจจากเรา เขาก็มีความสุขขึ้นกันบ้าง นิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าเห็นแต่คนหน้าเหี่ยวแห้ง ที่จะดูดพลัง สูบพลังซึ่งกันและกัน ให้จมดิ่งลงไปกัน .. อย่างน้อยมีคนเดินมาผ่องๆ สักคน ทำให้รู้สึกหัวใจฟูขึ้นมาบ้าง สัก 5 วินาที 10 วินาที ก็มีคุณค่ามหาศาลแล้วกับจิตใจของเขา ชีวิตของเขานะครับ

 

*

 

- ทำให้ความทุกข์น้อยลงมากค่ะ

 

- อยู่ในสถานการณ์เดิม แต่กลับมีความสงบสุขมากขึ้น

 

ดังตฤณ : นี่แหละ เรียกว่าเป็นพยานธรรมะเลยนะ

 

*

  

- อยู่เยอรมันมาค่อนชีวิต แต่โควิดทำทุกอย่างเปลี่ยนไป บูรณพุทธทำให้ชีวิตไม่เหงา และเหมือนรู้จักกันมานานแสนนาน ถึงอยู่คนเดียวแม้อายุ69 แล้ว แต่เมื่อได้พบธรรมะและเสียงสติ มีความสุขในทุกๆวัน และเมื่อได้ร่วมแผ่เมตตาคนรอบข้าง เพื่อนบ้านในหมู่บ้านยังรู้สึกได้ว่าเราไปทำอะไรมา ดูอิ่มเอิบมีความสุข

 

ดังตฤณ : บางคน เพื่อนๆ ทักเลยนะ ว่าไปศัลยกรรมมาหรือเปล่าอะไรแบบนี้ หรือไปใช้ครีม ไปทำอะไร คือเห็นเลย

บางคนบอกว่า ลงรูปปกติไม่ได้แต่งอะไรทั้งสิ้น แต่มีคนทักมา นึกว่าไปแต่ง ไปรีทัชภาพ

 

นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ของธรรมะแห่งความชุ่มชื่นนะครับ ธรรมะแห่งความชุ่มชื่น อัดฉีดความมีน้ำมีนวล ความผ่องแผ้ว ออกมาจากข้างใน ต่างจากเครื่องสำอางค์ภายนอก

 

เครื่องสำอางค์ภายนอกก็ต้องใช้ สำหรับผู้หญิงที่ต้องทำงาน หรือว่าจะต้องสังคมอะไรต่างๆ แต่ธรรมะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ปรารถนาในผลพลอยได้เกี่ยวกับเรื่องหน้าตา เรื่องผิวพรรณ แต่เมื่อเหตุถูก ผลก็ออกมาอย่างที่ได้ทราบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุภาพสตรีทั้งหลาย จะถูกอกถูกใจ เมื่อจิตใจผ่องแผ้ว อะไรๆ ก็ดูราวกับว่าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คนแห่เข้ามาเอาอกเอาใจ หรือว่าพูดดีด้วย ทรีตเราดีขึ้น อะไรแบบนี้ จะทำให้เรามีกำลังใจ แล้วก็มีศรัทธา

 

และศรัทธาตรงนี้ แค่นึกนิดเดียว เกิดความรู้สึกเบา เกิดความรู้สึกว่ามีกำลังขึ้นมา ก็พร้อมเข้าสมาธิต่อแล้ว ก็ต่อยอดไปเรื่อยๆ นะ

 

*

 

- จิตใส สงบนิ่งได้ทันที มีความกว้างเบา มีแสงสว่าง มีอะไรกระทบก็ไม่หวั่นไหว สงบนิ่ง จิตมีเมตตามากขึ้นกว่าที่เคยเป็น ทำให้บ้านกลายเป็นวัดได้ทุกวันเลยค่ะ

 

ดังตฤณ : เขียนไว้นานแล้ว เมื่อกี้พูดตรงกันเลยว่า เรารู้สึกว่าบ้านพร้อมจะเป็นวัดได้ ไม่ใช่เพราะว่าเราไปตกแต่งให้มีศาลา หรือว่ามีโบสถ์ มีหน้าจั่ว แต่เป็นเพราะจิตของเรา มีความเข้าใกล้พระพุทธเจ้ามากขึ้น แค่นั้นเอง

 

เข้าใกล้พระพุทธเจ้าคืออย่างไร คือมีความระงับ ไม่กระสับกระส่าย ไม่กวัดแกว่งทางกายทางใจ แล้วก็มีความสว่าง มีความใส มีความเบาอันเกิดจากการไม่เอาอะไร นี่แหละ .. แค่นี้ บ้านพร้อมจะเป็นวัดแล้ว ที่ๆ คุณอยู่พร้อมจะเป็นสวรรค์สำหรับคนที่เฉียดเข้ามาใกล้แล้ว

 

ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้นะว่า พระอรหันต์อยู่ที่ไหน ที่นั่นเป็นสวรรค์

 

เหมือนกัน คือต่อให้ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ต่อให้ยังไม่ใช่อริยบุคคลด้วยซ้ำ แต่ว่าอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับอริยบุคคล คือเห็นกายใจนี้โดยความเป็นรูปนาม ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ใจไม่เอาอะไร ใจใส ใจเบา มีความพร้อมเป็นสมาธิ พร้อมเจริญสติ เห็นกายใจโดยความเป็นรูปนาม แค่นี้ความผ่องแผ้วที่เกิดขึ้นเทียบเท่าสวรรค์แล้ว สำหรับคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา

 

*

 

- สาธุธรรมในเสียงสติค่ะ เคยฟังเสียงสติมาก่อน แต่ชุดนี้หายใจโล่งเห็นกายในกายแบบกว้างๆ เห็นจิตในจิต แบบละเอียดขึ้นค่ะ

 

- รู้สึกดี เบา และง่วงจนอยากหลับไปกับอารมณ์เบาๆ เย็นๆแบบนี้เลยครับ

 

ดังตฤณ : ช่วงแรกๆ ถ้าหลับก็หลับไป เสียงสติ จะซ่อมสมองให้คุณ เสร็จแล้วคุณจะรู้สึกมีกำลังมากขึ้นนะครับ แล้วก็มีแก่ใจรู้สึกว่า น่าจะต่อยอดไปทำอะไรให้เป็นประโยชน์ มากกว่าหลับสบายนะ

 

*

 

- วันนี้เป็นครั้งแรก ที่เห็นความแตกต่างชัดเจน จากการแผ่เมตตาครั้งก่อนๆ .. ครั้งก่อนๆ ค่อนข้างมีอุปสรรค แต่ครั้งนี้ตั้งแต่หลังสวดมนต์แล้วได้หลับตา รู้สึกถึงแสงสว่างมากๆ พอเริ่มเสียงสติน้ำตาไหล รู้สึกถึงพลังที่แผ่ออกไปจากด้านข้างและเหนือศีรษะ รู้สึกถึงพลังที่แผ่ออก และได้รับเบาๆ เป็นช่วงๆ ถึงจะมีฟุ้งซ่านบ้าง สมาธิไม่ได้นิ่งลีกมาก แต่ก็คิดว่าเริ่มมาถูกทางมากขึ้น

 

ดังตฤณ : เวลาช่วงแรกที่เราแผ่เมตตาอย่างเป็นสมาธิได้ มักจะออกไปทางทิศเบื้องหน้าและด้านข้างนะ แต่พอจิตรวมดวงเป็นหนึ่งเดียว เป็นจิตที่เด่นดวงแล้ว จะแผ่ออกรอบเลย 360 องศาเลย ที่เรียกว่าสิบทิศสิบทาง

 

*

 

- ตั้งแต่มีเสียงสติ ทำก่อนนอนทุกวันเลยค่ะ หลับสบายรวดเดียว วันนี้ทำสมาธิได้เบาเหมือนเดิม มีความเย็นแผ่ออกมานิดๆ ตอนสุดท้ายเห็นแสงจุดเล็กๆ วาบๆ ขึ้น และดับไปเอง เบาสบาย ไม่อยากออกจากสมาธิค่ะ

 

ดังตฤณ : ตรงที่ไม่อยากออกจากสมาธิ คุณพิจารณาแค่นิดเดียวว่า ลักษณะนั้น คือการยึดติด

 

พอเราเห็นว่า อย่างไรก็ต้องเคลื่อนออกจากสมาธิ ต้องเปลี่ยนไป ต้องต่างสภาพไป ตรงนั้น เห็นซ้ำๆ เห็นบ่อยๆ เข้า จะเกิดปัญญาขึ้นมาว่า จริงๆ ยึดไปก็ต้องเปลี่ยน ไม่ยึด ก็ต้องเปลี่ยน เพราะฉะนั้น ไม่ยึดดีกว่า จะได้ไม่เป็นทุกข์ จะได้ไม่มีความอยาก พิจารณาตรงนี้ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ ให้เกิดขึ้นบ่อยๆ นะครับ

 

*

 

- วันนี้รู้สึกตามรู้ได้ไวขึ้นคะ เข้าสมาธิได้ไวขึ้นทุกๆครั้ง รู้สึกจิตมีความสว่างและมีความสุขขึ้น ตามรู้เกิดดับได้ไวขึ้นค่ะ รู้สึกเมตตาจิตแผ่ร่วมกับพลังของทุกท่านแล้วสว่างขึ้นกว่าเดิมค่ะ น้ำตาเอ่อทุกครั้งที่จบสมาธิ เพราะปีติ อนุโมทนาสาธุกับผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านนะคะ กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

 

ดังตฤณ : พอบอกว่าอนุโมทนากับทุกท่าน แล้วเกิดความรู้สึกร่วมกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็จะเกิดความรู้สึกเหมือนกับ แชร์.. ได้แชร์ความสุข แล้วก็ธรรมะ ที่อยู่ในแต่ละคน

 

บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนเพิ่งเริ่ม บางคนแก่กล้าแล้ว เอามารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ราวกับว่าทะเลเดียวกัน ไปแหวกว่ายอยู่ด้วยกัน ก็จะไม่แบ่งเขาแบ่งเรา การไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ไม่มีชนชั้นวรรณะทางธรรมะนี่แหละ ที่จะทำให้ทุกคนรอด

 

*

 

- นั่งแล้วสงบ มีความสว่าง ตัวขยายใหญ่กว้าง เมื่อจบเสียงแล้ว ตัวก็หดเข้ามา ใจสว่างค่ะ

 

ดังตฤณ : เห็นไหม รู้สึกตรงกันแหละนะ เมื่อกี้เรานั่งทำสมาธิไปด้วยกัน ผมก็เอาความรู้สึกที่เกิดขึ้นแบบเป็นไปเองนี่ ก็ทราบได้นะว่าส่วนใหญ่ รู้จักความสว่าง กว้าง ที่ยิ่งใหญ่ แล้วก็ความสว่างกว้างนั้นไม่มีตัวตนนะครับ

 

ความรู้สึกในตัวตนที่เกิดประกอบความสว่าง กว้างนั้น จะน้อยลงๆ เมื่อเราเห็นว่า ภาวะตรงนั้นเป็นแค่ของชั่วคราว เป็นแค่ภาวะชั่วคราว แล้วก็เป็นแค่ภาวะหนึ่ง ในอีกหลายๆ ภาวะ นับร้อยนับพันนะครับ

 

*

 

- ร่วมสวดมนต์ นั่งสมาธิตั้งแต่วันวิสาขบูชา แล้วก็ได้ทำมาตั้งแต่วันนั้นโดยสามารถทำตอนเช้า ตอนเที่ยง และตอนเย็นทุกวัน จนถึงวันนี้ มีความขยัน ทำได้ทุกวันโดยไม่ต้องบังคับตัวเองเลยค่ะ มีใจที่เกิดปีติ ได้สวดมนต์นั่งสมาธิ วันละ 3 เวลาทุกวัน ไม่คิดว่าจะทำได้ขนาดนี้ แต่ละวันรู้ว่ามีความสุขภายใน มีความสุขในทุก ๆ วัน อิ่มเอิบ มีความสุขจากที่มองหน้าตัวเองเวลาถ่ายรูป ก็ดูมีความสุขชุ่มชื่นจริงๆ ค่ะ

 

ดังตฤณ : ตรงที่มีความติดใจที่จะทำสมาธินี่แหละ คือเป้าประสงค์ที่แท้จริงของเสียงสติเลย เพราะตลอด 30 – 40 ปีที่ผ่านมา ที่ผมพยายามเป็นโฆษกทางธรรมให้พระพุทธเจ้า พบความจริงอยู่อย่างว่า จะพยายามแค่ไหนก็ตาม จะใช้วิธีที่นึกว่าโอเคแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเอาจิตคนให้ลงเป็นสมาธิไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์เลยนะ ลืมหมด

 

และบางคนเป็นถึงเปรียญธรรม มียศมีตำแหน่ง บรรดาศักดิ์ในทางสมณะสูงๆ แต่ทำตัวเหลวแหลกเป็นข่าวมากมาย มีหลักฐานชัดเจนนะว่า ธรรมะในแบบคิดๆ ธรรมะในแบบที่ไปไม่ถึงสมาธินี่ เอาคนลงจากขื่อคาของบาปกรรมบาปเวรไม่ได้ จะโดนตรึงไว้

 

แต่ขอแค่ทำสมาธิเป็น ทำสมาธิได้ และติดใจที่จะเข้าสมาธิบ่อยๆ ก็จะมีโอกาส คือไม่ใช่ทุกคน แต่มีโอกาสสูง ที่เราจะต่อยอดให้กลายเป็นธรรมะแบบที่พระพุทธเจ้าปรารถนาให้เราเข้าไปถึงกันนะครับ อนุโมทนานะครับ

 

*

 

- วันนี้เริ่มต้นที่มองพระพุทธรูป มีความรู้สึกแผ่ซ่านเลยค่ะ พอเริ่มเสียงสติก็สงบได้เร็ว แล้วก็มีฟุ้งบ้าง ผ่านมาผ่านไป แล้วก็สงบสงัด แล้วก็มีเรื่องในอดีตที่ลืมไปนานแล้วผุดขึ้นมา แล้วก็สงัดนิ่ง มีความรู้สึกนวลๆเทาๆค่ะ พอจบเสียงสติได้ยินเสียงคุณตุลย์ ก็ยังนิ่งอยู่ แต่มีความรู้สึกว่าตัวเราขยายขึ้น แต่ไม่มากค่ะ ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองสงบแล้ว ใจอ่อนลงมากค่ะ

 

ดังตฤณ : นี่ก็จบในตัวอยู่แล้ว สาธยายมาครบเลย

 

*

 

- วันนี้ไม่ค่อยสบาย ปวดหัว แต่พยายามนั่งดูลมหายใจ รู้สึกร่างกายโปร่งใสจนหายไป แม้กระทั่งลมหายใจ แต่หลังๆที่นั่งทำสมาธิพร้อมเสียงสติ บางครั้งส่องกระจก รู้สึกว่าเหมือนมันเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง ร่างเป็นหญิง แต่จิตข้างในไม่มีเพศ

 

ดังตฤณ : แบบนี้เยี่ยมเลย พอไม่สบาย ป่วยไข้แล้วนี่นะ ไปลดดีกรีของความอยากได้อยากดี อยากมีอยากเป็น แม้กระทั่งอยากสงบก็ไม่อยาก ตัวนี้ถือว่า เป็นคุณประโยชน์ของความป่วยไข้นะครับ

 

และที่บอกว่า นี่เป็นความรู้สึกเพียวๆ เลยนะที่บรรยายออกมา.. ร่างกายนี้เหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่ง และจิตไม่มีเพศ .. อันนี้ถูกต้องตามธรรมะเป๊ะเลยนะครับ เพราะจิตไม่มีเพศ ธรรมชาติของจิตไม่มีความปรุงแต่ง ที่เป็นเขาเป็นเรา เป็นใคร เป็นชายเป็นหญิง มีแต่กรรมที่ตกแต่ง ให้ร่างกาย ภาวะทางชีวิต ต้องเสวยภาวะความเป็นปุริสภาวะ หรือว่าอิตถีภาวะนะครับ จริงๆ จิตไม่ได้เป็นอะไรหรอก

 

เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยู่บนเส้นทางกรรมที่เป็นกรรมใส ในแบบที่จะปลดปล่อยความรู้สึกในตัวตนออกไป ในที่สุดจะอยู่กับจิต ที่มีความเบ่งบาน มีความผ่องใส มีความรู้สึกตามธรรมชาติว่า ตัวเองนี่ไม่ได้เป็นเพศไหนหรอก มีแต่ภาวะที่หนักแน่นอยู่ ปลอดโปร่งอยู่ แล้วก็พร้อมที่จะไม่เอานิยมนิยายอะไรกับภาวะทางกายนะครับ

 

*

 

- ปกติเมื่อทำสมาธิ พอลมหายใจละเอียดแล้ว ลมหายใจจะสั้นลงค่ะ แต่วันนี้ลมหายใจละเอียดแล้ว ยังลึกยาว หายใจสะดวก เป็นแผ่นใหญ่ยาว เห็นรายละเอียดของกระดูกเยอะขึ้น เห็นเยื่อเลือดเปรอะๆค่ะ และเมื่ออาจารย์พูดตอนที่เสียงสติจบแล้ว รู้สึกถึงความอบอุ่นสว่างของกัลยาณมิตร และมีความสุขค่ะ กราบขอบพระคุณในความเมตตาและวิริยะ ของอาจารย์และคณะทำงานค่ะ ตลอดจนอนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกท่านนะคะ สาธุ

 

ดังตฤณ : อยากจะให้เข้าใจนะครับ ที่หลายๆ คนมักจะบอกว่า นั่งสมาธิไปแล้ว ถึงฌานถึงอะไร แล้วไม่มีลมหายใจก็เพราะอย่างนี้ คือ ลมหายใจนี่ มี แต่ว่าแผ่วจนกระทั่งไม่รับรู้ และจิตจะไปนิ่งแบบฟรีซ ก็เลยเข้าใจว่าตัวเองถึงฌาน

 

แต่ที่ถูกคือต้องอย่างนี้นะ คือ ยิ่งจิตประณีตจริง ยิ่งจิตสงบจริง ภาวะการปรุงแต่งทางกายจะยิ่งมีความยืดหยุ่น ลมหายใจจะยิ่งยาวขึ้น ลึกขึ้น และพอถึงปฐมฌาน จะลึกล้ำมากๆ เลย ยาวเหยียด และชัดไม่รู้จะชัดอย่างไร จิตจะเหมือนกับยกขึ้นไปอยู่อีกมิติหนึ่ง ที่ไม่มีเวลา แต่จริงๆ ยังมีอยู่นะ คือความเคลื่อนไหวทางลมหายใจ จะฟ้องอยู่

 

ตรงนี้ เดี๋ยวคุณจะได้เห็นนะครับ ยิ่งภาวะปรุงแต่งทางจิตละเอียด ประณีตมากขึ้นเท่าไหร่ ลมหายใจจะยิ่งยาวขึ้นเท่านั้น อันนี้เรียกว่าปรุงแต่งแบบที่จิตมีความสงบประณีต ละเอียดจริงนะ แล้วก็มีองค์คือ วิตก และวิจาร แจ่มชัดนะครับ แล้วเดี๋ยวพอปีติ สุข อิ่มตัวขึ้นมา จิตก็ผนึกรวมเป็นอุปจารสมาธิ และพอเป็นอุปจารสมาธิไปนานๆ เข้า มีพลังดึงดูดหนักแน่น เป็นแม่เหล็กขนาดมหึมา ก็เข้าถึงฌาน อันนี้ที่จะเข้าถึงปฐมฌานได้จริงๆ

 

*

 

- ครั้งแรกที่ฟังเสียงสติ เห็นลมหายใจเข้าออกชัดเจน วันนี้ก็เห็นค่ะ แต่คงเพลีย  รู้สึกสบาย เคลิ้มเหมือนจะหลับ ฟังเสียงสติเข้าสมาธิง่ายค่ะ

 

ดังตฤณ : ไม่เป็นไร เคลิ้มบ้างอะไรบ้าง เพราะคนเมืองจะให้ร่างกายแข็งแรง พร้อมจะทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา แบบฤาษีชีไพรก็คงอยากนะ มาได้กันแค่นี้ก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่หลวงของพวกเราร่วมกันแล้ว

 

*

 

- เสียงสติ ฟังแล้วโล่ง โปร่ง สบาย เกิดเมตตาจิตมากขึ้น คิดบวกมากขึ้น เข้าใจปัญหาและมีกำลังใจมากขึ้นค่ะ

 

ดังตฤณ : คนเรา ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหัวโล่งทุกเช้านะครับ จะเหมือนกับเอาอีกตัวที่เก่งกว่าเรา เข้ามาอยู่ในร่าง และคิดปัญหาให้ แก้ปัญหาให้ แล้วเราจะเห็นเลยว่า วิธีที่คิดที่ต่างไป แบบไม่คิดวน คิดเป็นเส้นตรง คิดแบบเอาเป้า พุ่งเข้าเป้าท่าเดียว เป็นความคิดที่จะกำจัด ทำลายปัญหาทั้งปวงลงได้จริงๆนะครับ

 

*

 

- การปฏิบัติในวันนี้ : พอเริ่มเสียงสติ น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุดค่ะ พอฟังไปเรื่อยๆ ลมหายใจสั้นๆ ก็ค่อยๆยาวขึ้น ความคิดๆ ก็ค่อยๆ น้อยลงต่อมาก็เห็นเป็นทะเลก้อนเมฆ ความคิดน้อยลงมาก รู้สึกเห็นท้องฟ้าตอนคืน แล้วเห็นเป็นแสงสว่างจิตใจ กายเบา กายชุ่มเย็น เห็นกายหายไป ใจสดชื่นและเบิกบานมากขึ้นค่ะ

 

ดังตฤณ : ตรงที่เราคิดน้อยลง ขอให้สังเกต จิตเงียบมากขึ้น ก็จะกว้าง และเกิดความสว่าง เกิดความชุ่มเย็นอะไรตามมา สังเกตตรงนี้ไปเรื่อยๆ นะครับ ถ้าเกิดขึ้นทุกครั้ง ในที่สุดก็เกิดสมาธิดีๆ ขึ้นมา

________________

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน จุดชนวนสมาธิด้วยพลังศรัทธา ช่วง รวมฟีดแบ็ค

วันที่ 3 กรกฎาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป :

https://www.youtube.com/watch?v=jFSiJNG1bhc&t=656s 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น