วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

04 ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน จุดชนวนสมาธิด้วยพลังศรัทธา ช่วงบรรยายธรรมหลังนั่งสมาธิ

ดังตฤณ : อย่าเพิ่งลืมตานะ

ความรู้สึกที่สว่าง กว้าง เยือกเย็น 

ความรู้สึกที่มีกำลังของความสุข 

หล่อเลี้ยงให้จิตมีความตั้งมั่นอยู่ได้ 

มีความเปิดแผ่อยู่ได้ 

 

นี่แหละเป็นฐาน

ที่จะย้อนกลับมา เสริมให้กำลังศรัทธา

มีความตั้งมั่นมากขึ้น 

 

ศรัทธา กับ ปัญญา ในทางพุทธ

ไปด้วยกันควบคู่กัน เสริมกัน

เมื่อมีศรัทธา คือความน้อมใจ 

น้อมใจตั้งอยู่กับมุมมอง หรือว่าทิศทางของจิตแบบหนึ่ง 

จนกระทั่งเกิดเป็นสมาธิ 

แล้วรู้เห็นว่า ภาวะที่เป็นความสุขก็ดี

เป็นความกว้างใหญ่ไพศาลของจิตก็ดี 

เป็นภาวะปรุงแต่งชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเหตุ

ไม่ได้เกิดเองลอยๆ ด้วยความบังเอิญ 

 

พอเหตุหมด ผลก็หมดตาม 

 

ด้วยความรับรู้ ที่มีสติ ที่มีปัญญาแบบพุทธอย่างนี้

ก็จะทำให้จิต เหมือนกับเบาใสเป็นฟองสบู่ 

ที่มีความกว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้นไปอีก 

มีความสุข มีปีติอีกแบบหนึ่ง 

ที่มนุษย์ธรรมดาคิดๆ นึกๆ ไม่ได้

นึกไปไม่ถึง จินตนาการไปไม่ออกว่า ยิ่งใหญ่ไพศาลขนาดไหน 

 

ยิ่งมีความสุขมาก ยิ่งกลับมาเสริมจิต

มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ พร้อมที่จะพิจารณาได้อีก 

ทีนี้คุณจะเห็นนะว่า

ด้วยจิตที่มีความสุขมากๆ 

ด้วยจิตที่มีศรัทธามากๆ

ถ้ามากไป จะพาคุณดิ่งไปในอารมณ์สุข 

หรือว่าเกิดอาการติดสุข 

 

ถ้าทุกครั้งที่เกิดความสุข 

เกิดความเบา เกิดความใส เกิดความสว่าง

เรามีสติเฝ้าดูอยู่ ว่าสิ่งนี้เกิดจากเหตุ 

ไม่ใช่เกิดเองลอยๆ ด้วยความบังเอิญ 

แล้วก็มีความไม่เที่ยง 

จิตนี้ เป็นเพียงจิตหนึ่ง

 

ในขณะนี้ มีจิตแบบเดียวกันอีกเกือบพัน 

ได้รู้จักความสุขแบบเดียวกับเรา

รู้จักความสว่างแบบเดียวกับเรา 

 

พอเห็นนะ ว่าจิตดวงนี้ เป็นแค่จิตหนึ่ง 

ที่สว่างอยู่ท่ามกลางจิตอื่นๆ ที่สว่างอย่างเดียวกัน ไล่เลี่ยกัน 

 

คุณจะเกิดความรู้สึกว่า จิตภายใน คือของเรานี้

กับจิตภายนอก คือของคนอื่น ที่เป็นกัลยาณมิตร

ที่กำลังนั่งสมาธิร่วมกับเรา พิจารณาธรรมร่วมกับเรา

เป็นแค่ธรรมชาติที่เกิดจากเหตุ 

เป็น หนึ่ง ในจิตอีกหลายๆพันล้านดวง 

 

ถึงแม้จะมีลักษณะต่างกัน 

บางดวงเป็นกุศล มีความใหญ่ มีความสว่างมีความเบา

หรือบางดวงมีความมืด มีความคับแคบ มีความฟุ้งไปฟุ้งมา 

จิตเหล่านั้น มีความเสมอกัน

คือ กลับไปกลับมา 

 

แบบเดียวกับที่เราเองก็เคยฟุ้งซ่าน 

จิตเราก็เคยมืด เคยคับแคบ เคยไม่เชื่อ ไม่เกิดศรัทธา 

 

มาบัดนี้ มีเหตุมีปัจจัย

ทำให้เกิดความสว่าง

ทำให้เกิดความกว้าง 

ทำให้เกิดความสบาย 

ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ดีจัง

อย่างนี้น่าติดใจจัง ไม่อยากออกจากภาวะสมาธิ 

 

จนแล้วจนรอด คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เห็นว่า 

จิตมีความกลับกลอกไปมาได้ ระหว่างมืด กับ สว่าง 

 

แต่เรามาถึงจุดที่ สามารถรู้ได้

ตามคำชี้บอกของพระพุทธเจ้า 

ว่าจิตนี้เป็นเพียงจิตหนึ่ง  

เป็นเพียง จิตในจิต 

 

คือหมายความว่า เป็นเพียงจิตชนิดหนึ่ง 

เป็นเพียงจิตดวงหนึ่ง ในอีกหลายๆดวงของเรา 

เมื่อเช้า จิตของเราไม่ได้เป็นแบบนี้

ตอนสาย เปลี่ยนไปเป็นอีกอย่าง

ตกบ่าย ต่างไปเป็นอีกอย่าง

ตกเย็น ต่างไปเป็นอีกอย่าง

แล้วคราวนี้ พอมานั่งสมาธิ

เข้าสมาธิได้ ก็กลายเป็นอีกอย่าง 

 

นี่เห็นไหม มีจิตหลายดวง เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ผ่านมา 

แล้วจิตที่ตั้งอยู่นี้ ในท่านั่งนี้ 

ก็เป็นแค่จิตอีกดวงหนึ่ง ในจิตอีกเกือบพัน 

ที่มีความคล้ายกัน มีความละม้ายกัน

มีความไล่เลี่ย มีความใกล้เคียงกัน 

 

เมื่อเห็นอยู่ว่า ไม่ได้มีแค่จิตเดียว 

 

เราก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่า

แบบนี้นี่เอง ที่เรียกว่าไม่ใช่จิตของเรา ไม่ใช่จิตของใคร 

 

เห็นไหม เกือบพันดวง เหมือนๆ กัน คล้ายๆกัน

มีความกว้างเหมือนกัน มีความสว่างเหมือนกัน 

แยกไม่ออกว่าเป็นจิตของใคร ใครเป็นเจ้าของ

ไม่มีหน้าตา ชายหรือหญิงที่เป็นเจ้าของจิต 

มีแต่จิตแบบเดียวกัน ธรรมชาติเหมือนๆ กัน

มีความสว่างมีความเป็นกุศลเหมือนๆ กัน 

 

และเมื่อเห็นแล้ว เราก็จะรู้สึกได้ว่า 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้แหละ

อยู่ตรงที่เรามีสติรู้ความจริง

ที่ปรากฏอยู่ ทั้งภายในและภายนอก 

 

ภายใน ก็คือภาวะของจิตที่ครองร่างในท่านั่ง

หายใจเข้า หายใจออกอยู่ เรารู้สึกในบัดนี้ 

 

ภายนอก ก็คือของเพื่อนๆ ที่อยู่คนละที่ คนละบ้าน

แต่สามารถรู้สึกได้ มีความเป็นเครือข่ายเดียวกัน

 

เราทำโพลมาด้วยกัน โหวตมาด้วยกัน

แล้วก็แชร์ความรู้สึก ที่มือประกบกัน

หรือว่าจิตที่มีความสุขแบบเดียวกัน 

ความไม่มีใคร ความไม่มีผู้เป็นเจ้าของ 

จะทำให้ใจเปิดโล่ง แล้วก็เลิกยึด

 

อยู่ในอาการ เลิกเอา 

เลิกยินดียินร้าย เลิกที่จะกระสับกระส่ายเพื่อตัวตน 

เพราะตัวตนไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่แรก

แค่เป็นอุปาทาน ว่าเป็นตัวเรา

เวลาผสมผสานกัน ระหว่าง

ภาวะทางกาย ภาวะทางความคิด ภาวะของจิต 

 

จิตไปยึดมั่นเป็นขณะๆ ว่านั่นเรา แม้กระทั่งความคิด 

 

ถ้าหากว่าจะมีความคิดลอยผ่านมาอยู่ ณ บัดนี้ 

แล้วเราเห็นว่าเป็นแค่ภาวะ ที่เข้ามากระทบจิต 

ทำให้จิต เกิดความไหวตัว แล้วก็นึกว่ามีเราเป็นผู้คิด 

 

ตัวนี้แหละ ที่พระพุทธเจ้าท่านชี้ว่า

เป็นภาวะความเข้าใจผิด

เป็นภาวะของอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น

ว่าความคิดเป็นตัวเรา เราเป็นผู้คิด 

 

ต่อเมื่อความคิดถูกมองว่า เป็นแค่ภาวะหนึ่ง 

ลอยมาลอยไป ไม่มีความเป็นใครอยู่ในนั้น

เห็นอย่างกระจ่าง เห็นออกมาจากจิตที่ใสเบา

เห็นออกมาจากจิต ที่ไม่เอาอะไรแล้ว 

ก็ได้ข้อสรุปใหม่ว่า เออ! ไม่มีตัวเราในความคิดจริงๆด้วย 

 

ความคิดเป็นแค่ภาวะ

ลอยมาลอยไปเหมือนหมอกควัน ไม่เคยซ้ำตัวเดิม 

แต่ละครั้งที่คิด ที่ผ่านมา

คิดที ก็รู้สึกว่าเป็นตัวเราขึ้นมาที 

 

โดยความเป็นผู้มีจิตศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้า

เริ่มต้นขึ้นมา .. ตั้งความเชื่อไว้ก่อนว่า

พระองค์หลุดพ้นจริง

แล้วน้อมใจ ทำสมาธิตามที่พระองค์สอน

น้อมใจ พิจารณาธรรมตามที่พระองค์ชี้ให้ดู 

เราก็สามารถเห็นได้ว่า ภาวะที่กำลังปรากฏ

ภาวะที่กำลังเกิด แล้วก็ดับต่อหน้าต่อตาเราอยู่ ณ บัดนี้นี่แหละ 

ที่เป็นหลักฐานว่า พระพุทธองค์ตรัสไว้

เป็นของจริง ไม่ใช่ของหลอก

 

อันนี้แหละที่เรียกว่า ธรรมะเป็นอกาลิโก คือไม่จำกัดกาล

 

ไม่ขึ้นอยู่กับว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์

หรือว่า ยุคของเรา ที่พระองค์ดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว 

 

ขอให้ลืมตานะครับ 

วันนี้เราน่าจะได้เห็น 

เมื่อกี้ ก็รู้สึกว่าหลายท่านนะครับ

น่าจะได้เข้าใจสิ่งที่ผมจาระไนไป ถึงภาวะที่เกิดขึ้น

 

อาจจะไม่ได้เกิดแบบเดียวกัน ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่ว่าถ้าคนส่วนใหญ่ ได้เกิดความรู้สึกแบบเดียวกัน

นั่นหมายความว่า เราได้ร่วมบุญครั้งใหญ่กันมากๆ

แม้กระทั่ง คนที่ยังไม่ได้เกิดผลแบบเดียวกันนี่นะครับ 

จะมีแนวโน้มว่า ถ้าหากทำไปเรื่อยๆ 

ในที่สุด ก็อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน อยู่ในทิศทางเดียวกัน

อยู่ในบรรยากาศแวดล้อม ทางความสว่างอันเดียวกัน ที่

จะปรุงแต่งให้จิตวิญญาณเรา

ค่อยๆเกิดความสว่าง เกิดความใสมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

_____________

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน จุดชนวนสมาธิด้วยพลังศรัทธา ช่วงบรรยายธรรมหลังนั่งสมาธิ

วันที่ 3 กรกฎาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=4F4pPPth7yU&t=611s

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น