วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

01 ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน จุดชนวนสมาธิด้วยพลังศรัทธา ช่วงเกริ่นนำ

สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม สำหรับคืนนี้ก็จะมาต่อยอดจากสัปดาห์ที่แล้ว เราก็ต่อยอดกันมาเรื่อยๆนะครับ

 

เมื่อสัปดาห์ก่อนเราร่วมกันประจุพลังเมตตา สัปดาห์นี้เราเอาพลังเมตตาย้อนกลับมาใช้ ทำให้เรามีความง่ายที่จะตั้งต้นทำสมาธินะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ จะมีปัญหาเรื่องทำสมาธิ เข้าสมาธิได้ช้า แล้วก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร สมาธิที่ทำได้ช้าๆ นี่จะเร็วขึ้น

 

ผมก็ได้แนะนำให้รู้จักกับการที่เราทำสมาธิ ผ่านเครื่องช่วย คือเสียงสติ แล้วพอเราได้สมาธิแล้ว ก็รู้จักที่จะเอากำลังสมาธิ มาเหมือนกับ กักเก็บไว้

 

ไม่ใช่กักเก็บไว้ในหัวใจ ไม่ใช่กักเก็บในร่างกาย

แต่ว่ากักเก็บไว้ในความจำ 

 

คือถ้ามีอะไรสักอย่างหนึ่ง กระตุ้นเตือนให้เกิดความรู้สึก ถึงภาวะหลังสมาธิที่เราแผ่เมตตา ที่จิตมีความเปิดกว้าง หรือว่าจิตมีความน้อมเคารพ 

มีความอ่อนโยน กับอะไรสักอย่างหนึ่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์จริง 

 

พลังตรงนั้น เวลาที่เราแค่นึกถึง ก็จะก่อให้เกิดความรู้สึกนึกออกว่า ภาวะของจิตที่เป็นสมาธิ หน้าตาเป็นอย่างไร มีภาวะอย่างไร

 

พูดง่ายๆ ว่าเราฝึกที่จะจูนให้จิต มีเครื่องหมาย มีเครื่องเตือนว่า ถ้าหากเจอสิ่งนี้ จะเกิดอาการคลิก เกิดอาการรู้สึก.. ใช่เลย ที่จะทำให้เกิดบันดาลปีติขึ้นมา บันดาลความสุข ชนิดที่พร้อมจะเข้าสมาธิขึ้นมา

 

สำหรับคืนนี้เราเริ่มต้นกันด้วยการทำโพลนิดหนึ่ง

 

โพลนี่ จริงๆแล้ว จัดเป็นการแชร์บุญนะครับ แชร์กุศล แชร์ความสุข

 

คุณคิดดูก็แล้วกัน เอาง่ายๆ เลย เวลาที่มาทำสมาธิร่วมกันแบบนี้ แล้วเกิดผลลัพธ์ ที่สามารถเห็นได้จากตัวเอง คือผ่านประสบการณ์ตรงของตัวเอง แล้วก็ประสบการณ์ของคนอื่น ด้วยการที่เห็นนะครับว่า เรามีเพื่อน 

 

ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มที่บอกว่า ผลลัพธ์เป็นบวก ผลลัพธ์กลางๆ หรือว่าผลลัพธ์เป็นลบ .. จะทำให้ใจเราถูกปรุงแต่งไปว่า เราไม่ได้โดดเดี่ยว 

ไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่บนเส้นทางบุญ ไม่ว่าจะเป็นช่วงต้นของเส้นทาง ช่วงกลางหรือช่วงปลาย ช่วงที่แอดวานซ์แล้วก็ตาม 

การที่เรารู้สึกว่ามีเพื่อน การที่เรารู้สึกว่าได้รับแรงพยุงจากกัลยาณมิตร ที่มีกุศลธรรมอันเดียวกัน ไล่เลี่ยกัน หรือว่าประมาณเดียวกัน จะทำให้รู้สึกอุ่นใจ ทำให้รู้สึกมีกำลัง ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เราเพียรต่อไปไม่ใช่ด้วยการ

เป็นบ้าไปคนเดียว 

 

บางคนนี่นะ อยู่ในชีวิตจริง ในโลกออฟไลน์ ไม่มีใครให้การสนับสนุน มีแต่คนล้อเลียน มีแต่คนหัวเราะเยาะ

 

แต่เมื่อมาอยู่ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาทำสมาธิร่วมกันแบบนี้ จะเปลี่ยนไป จะแตกต่างนะ 

 

มีความรู้สึกว่า เราไม่ได้ผิดแปลก แล้วก็เรามีแรงบันดาลใจ ทั้งจากเสียงเล่าจากประสบการณ์คนอื่น และจากการที่ เรามีโอกาสได้บอกเล่า มีโอกาสได้พูดถึงภาวะ ประสบการณ์ หรือมุมมองภายในที่เกิดขึ้นกับตัวเอง 

 

นี่แหละตัวนี้ ที่จะกลายเป็นเครือข่ายของบุญกุศลที่ใหญ่มากๆนะ ใหญ่กว่ากองภูเขา

 

คือถ้าคุณคิดว่าสร้างเจดีย์ทองคำให้เสียดเมฆ แล้วได้บุญมหาศาลแล้วนี่นะ .. ถ้าร่วมกันสร้างเจดีย์ทองคำให้สูงเสียดเมฆ แล้วนึกว่าเป็นทานที่ยิ่งใหญ่แล้ว จริงๆเทียบไม่ได้เลย กับการที่เราได้มาปฏิบัติร่วมกัน แล้วเกิดกำลังใจร่วมกัน ว่าต่างคนต่างช่วยพยุง ให้เกิดความรู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจที่จะไปต่อ อันนี้เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่มาก

 

เพราะฉะนั้น แค่การทำโพลก็เป็นประตู เป็นจุดเริ่มต้น ที่จะเกิดการถักทอเครือข่ายบุญที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คุณคาดหมายแล้ว 

 

ที่พูดมาก็เพื่อที่จะบอกว่า ช่วยให้เสียงโหวตของคุณหน่อย เอาตามจริง ไม่จำเป็นต้องเป็นบวก ไม่จำเป็นต้องมาบอกว่า ฉันดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ไม่มีใครเห็นหน้าคุณ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าคุณเป็นคนให้คะแนน คะแนน หนึ่งคะแนนของคุณ มาจากใครหน้าตาอย่างไร

 

เพราะฉะนั้น เอาออกมาจากความรู้สึกทางใจได้เลย

 

สำหรับท่านที่สัปดาห์ที่แล้ว ได้ร่วมกันประจุพลัง ความนอบน้อม ถวายแด่องค์พระบูรณพุทธ ที่เราได้เหมือนกับเกิดความเข้าใจนะว่า องค์ท่านนี่ สร้างมาจากไม้ ต้นไม้วงที่ 4 ของต้นโพธิ์ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นพยานวัตถุที่ใกล้เคียงที่สุด กับการได้ประจักษ์ว่า พระพุทธเจ้าท่าน 

ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในบริเวณนั้น

 

นั่นคือ พอเราได้มีใจร่วมกัน ที่จะถวายพลังของความนอบน้อม หลังจากทำสมาธิไป แล้วเกิดความรู้สึกปีติท่วมท้น มีความรู้สึกที่สว่างยิ่งใหญ่ ราวกับว่าได้เข้าไปร่วมเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์จริง อยู่ใกล้ๆนะ ราวกับว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ด้วยความรู้สึกแบบนั้น

 

อาทิตย์ที่ผ่านมา ขอถามง่ายๆ เลยนะว่า

ชีวิตคุณ เป็นสุขขึ้นหรือเปล่า

 

มีความรู้สึกว่าตัวเอง .. คือแต่ละคน ก็จะรู้สึกไม่เหมือนกันนะ

บางทีอาจจะรู้สึกว่า ตัวเองเป็นที่รักมากขึ้น

บางคนรู้สึกว่ามีช่องทางได้เงินง่ายขึ้น

หรือหลังจากที่ฝืดมานานแล้ว บางคนก็รู้สึกว่าโชคดีอย่างเหลือเชื่อ อย่างต่อเนื่อง

 

อันนี้ผมฟังเสียงฟีดแบคมาเยอะ พอที่จะมั่นใจนะว่ามาทำโพลแล้ว จะเกิด เปอร์เซ็นต์แบบไหนขึ้น

 

ตอนนี้โพลน่าจะขึ้นแล้วนะครับ 

ช่วยบอก ช่วยโหวตด้วย เพราะว่าหลังจากที่ได้ข้อสรุปมานะครับ เราจะมาทำความเข้าใจร่วมกัน จะมาเรียนรู้ร่วมกัน เกี่ยวกับเรื่องของศรัทธา

 

โพลแต่ละโพลรับรองว่าไม่มั่วนะ ถ้าได้คำตอบออกมาจากท่านๆ นะครับ ที่ ต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิตของตัวเอง ต่างหากจากกัน

 

แต่ทุกวันเสาร์สามทุ่ม ก็มาร่วมกัน ทำสมาธิแผ่เมตตา รวมทั้งแผ่พลังศรัทธาถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

การมีชีวิตร่วมกันช่วงหนึ่ง แค่ชั่วโมงหนึ่ง ครึ่งชั่วโมง หรือหลายชั่วโมงแล้วแต่ใครจะอยู่นานแค่ไหนนี่ มีความหมายอย่างไรบ้าง เดี๋ยวเราจะมาดูกันหลังจากที่ผลโพลออกมานะครับ 

 

สำหรับท่านที่อาจจะยัม่ทราบว่าเขาโหวตกันอย่างไร

 


มีเครื่องหมายสามขีดอยู่ เป็นไอคอนสามขีด ตามที่ผมโชว์ขึ้นมา  

อันนี้เป็นเป็นของมือถือหรือแท็บเล็ตนะครับ

ถ้าหากว่า คุณใช้พีซี (PCPersonal Computer) อยู่ ก็อาจจะอยู่ตรงกลางแบบนี้ ก็เป็นเครื่องหมายสามขีดเหมือนกันนั่นแหละ

 

แล้วเวลาที่จะดูว่า โพลหน้าตาเป็นอย่างไร


 เป็นแบบนี้นะ คุณสามารถแตะเลือกได้ หรือว่าถ้าใช้พีซีอยู่ ก็คลิกเลือกได้นะครับ อันนี้คือตัวอย่างของของเก่านะครับ

 

ของใหม่นี้ คุณก็จะเห็นอยู่บนหน้าจอของคุณเอง

 

เดี๋ยวเรามาดูผลโพลล่าสุดกันนะครับ แล้วผมจะพูดถึงว่า คืนนี้เราจะมาเรียนรู้ร่วมกัน ที่จะอาศัยพลังศรัทธาในการจุดชนวนสมาธิ ขึ้นมาได้อย่างไร 

 



ผลโพลบอกว่า

สุขขึ้นอย่างชัดเจน 37% 

สุขขึ้นให้รู้สึกได้บ้าง 58% 

ไม่สุขขึ้นเลย 5% 

 

อันนี้ เข้าใจว่าน่าจะเข้าใจตรงกัน คือเราพูดถึงผู้ที่ได้เข้าร่วมแผ่เมตตา ถวายความนอบน้อมแด่องค์พระ ที่เราได้เข้าใจกันว่า องค์ท่านนี้สร้างขึ้นมาจากวัสดุแบบไหน

 

องค์พระแต่ละองค์ก็จะมีวัสดุที่แตกต่างกัน สร้างขึ้นมาจากทองคำบ้าง สร้างขึ้นมาจากหยกบ้าง แต่องค์นี้สร้างขึ้นมาจากไม้ ที่เป็นพยานการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านะครับ

 

หลังจากที่ได้ ใช้ชีวิตมาหนึ่งสัปดาห์ล่วงไป 

มีประมาณ 95% ที่บอกว่า ชีวิตมีความสุขมากขึ้น

 

นี่แค่หนึ่งสัปดาห์นะ .. ถ้าหากว่าคุณทำสมาธิสม่ำเสมอ แล้วรู้จักที่จะแผ่เมตตาแบบเดียวกัน ได้ความรู้สึกแบบเดียวกันต่อเนื่องไปอีก เป็นเดือนเป็นปี ก็อาจจะมีสิ่งที่เรียกว่า เป็นความพลิกฟ้าพลิกดิน แบบเรียกว่า เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างถล่มทลายในชีวิตของคุณขึ้นมาได้ 

 

ส่วนใหญ่ เท่าที่คุยกันกับคนที่ได้ร่วมกันทำสมาธิตรงนี้ ถึงแม้ว่าชีวิตภายนอก เปลือกของชีวิต ดูราวกับรุมเร้าให้เกิดความรู้สึกอึดอัด บีบคั้นให้เกิดความเป็นทุกข์นะ ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่ ก็แทบจะแดดิ้น

 

แต่พอข้างในมีความสุข ข้างในนึกถึงองค์พระ .. ความทุกข์ราวกลับกลายเป็นเรื่องที่เล็กลง คือไม่ได้หายไป แต่เล็กลง

 

นั่นแหละ ที่เรียกว่ามีความสุขมากขึ้น อย่างน้อยมีความสุขมากขึ้นบ้าง

 

ทีนี้เรา มาคุยกันรงนี้ เราไม่ใช่มาพูดดให้ผ่านๆ ไปว่า.. ไชโย ทำสมาธิแล้วมีความสุขมากขึ้น .. ไม่ใช่แค่นั้นนะ มีแต่อะไรมากกว่านั้น 

 

โพลที่คุณเห็นอยู่นี้ ไม่ใช่จิตวิทยา แต่เป็นสถิติ 

 

แน่นอนว่า คือพอเห็นผลแบบนี้ อาจจะมีผลทางจิตวิทยาบ้าง คือมีกำลังใจ

 

คนเรา พอมีความสุขร่วมกัน อย่างไปเชียร์กีฬาร่วมกัน แล้วข้างของตัวเองชนะ ดีใจร่วมกัน กระโดดกอดกัน อันนั้นก็ทำนองเดียวกัน

 

คือพอมีความสุขร่วมกันแล้ว ก็ราวกับว่าแชร์ .. แชร์โลกใบเดียวกัน โลกที่สว่างไสว โลกที่มีความสุข โลกที่มีแต่อะไรดีๆ สวยๆ งามๆ

 

แล้วก็จิตวิทยาในที่นี้ ไม่ใช่ถึงขนาดสามารถเปลี่ยนจิตของคุณให้กลายเป็นสมาธิได้ ไม่มีจิตวิทยาไหนในโลก ที่ทำให้คุณทำสมาธิเป็น

 

โอเค อาจจะนิ่งได้ นิ่งราวกับอยู่บนยอดเขาเงียบๆได้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง

 

ถ้าหากว่าการที่คุณมาแชร์ผลโพล แล้วร่วมความรู้สึกเดียวกันว่า มีความสุขในชีวิตมากขึ้น เหมือนกับตอนเชียร์กีฬาข้างที่เราเป็นข้างเดียวกันนะ แล้วข้างของเราชนะ อารมณ์ประมาณนั้นจะเกิดพลังขึ้นมา พลังร่วม กำลังใจร่วมกัน 

 

ซึ่งอันนี้ ไม่ใช่จิตวิทยาแล้ว ไม่ใช่การสะกดจิตกัน แต่เป็นการร่วมแชร์ความรู้สึกที่คุณมีเองอยู่ก่อน หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เอามาบวกกัน แค่นี้เท่ากับคุณได้ถักทอ ความรู้สึกที่เป็นร่างแห ของความเป็นเครือข่ายเดียวกันเรียบร้อยแล้ว แค่โหวตโพลนะ 

 

แล้วถ้าคุณจะยังมีความรู้สึกว่า อุปาทานกระมัง 

 

จริงๆ แล้ว อะไรๆ ที่รู้สึกว่า เป็นเรา หรือว่ามีเราอยู่ เป็นอุปาทานทั้งนั้นตั้งแต่ต้นแล้วนะครับ

 

อย่างเช่นพอมีศรัทธา มีความสุข โลกก็เหมือนสว่างขึ้น 

 

ในความรู้สึกของเรานี่ เวลาพูดกันก็บอกว่าโลกสว่างขึ้น แต่แท้ที่จริงคือใจของเราสว่างขึ้น แล้วปรุงแต่งให้จิต จักขุวิญญาณ สว่างไสวมากขึ้น ก็เลยมีความรู้สึกราวกับว่า โลกสว่างขึ้น 

 

แต่ที่แท้แล้ว จักขุวิญญาณของเราสว่างขึ้นต่างหาก ทำให้ประสาทหูประสาทตา เปิดกว้างขึ้น อย่างที่เขาเรียกกันว่าหูตากว้างขวางขึ้น

 

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ ผู้คนที่อยู่รอบตัวคุณ รวมทั้งชะตาชีวิตของคุณนี่ ถ้าดีขึ้น อันนี้ไม่ใช่อุปาทานแล้วนะ เป็นของจริง

 

ถามว่าชะตาดีขึ้น ผู้คนรอบตัวดีขึ้น มาจากไหน บางที ได้รับผลกระทบมาจากจิตของคุณเอง

 

ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน อะไรๆ ไหลมาแต่ใจนี้แหละ

 

ถ้าหากว่าใจของคุณมีความเบิกบาน มีความเป็นสมาธิ มีความเป็นมหากุศลได้ง่ายๆ อยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าชีวิตของคุณ พลิกฟ้าพลิกดินจริงๆ

 

พลิกจากดิน กลายเป็นฟ้า

พลิกจากมืด กลายเป็นสว่าง

พลิกจากปิด กลายเป็นเปิด

พลิกจากคว่ำ กลายเป็นหงาย

 

นี่คือพอยท์ว่าการทำสมาธิ ถึงได้มีครูบาอาจารย์บอกกันว่า ได้บุญใหญ่ 

เพราะว่าโลกของคุณ พร้อมจะเปลี่ยนจากข้างใน 

 

พอใจเปลี่ยนนะ จากเดิมที่หมกมุ่น ครุ่นคิด เคียดแค้น กลายเป็นรู้สึกว่าอยากอภัยให้ง่ายๆ แบบไม่รู้จะหวงไว้ทำไม ความพยาบาทนี่ 

แค่นี้ แค่คุณรู้สึกว่า ไม่อยากเอาเรื่องเอาราวกับคู่แค้นแล้ว พอเจอหน้ากันอีกที ทำไมสายตาเขาอ่อนโยนลงได้ 

 

จริงๆ อ่อนโยนจากตัวเราก่อน แล้วพอสายตาเขากระทบตาเรา

ก็ถูกกระตุ้น ถูกกล่อมให้อ่อนโยนตาม

 

ไม่ใช่แกล้งอ่อนโยน แต่อ่อนโยนลงจริงๆ เพราะมนุษย์ เป็นสัตว์ที่ชอบความสงบ ฉะนั้นถ้าหากว่าเห็นศัตรูคู่แค้นมีจิตใจที่สงบลง ก็พร้อมที่จะสงบตามอยู่แล้วเป็นทุน

 

ยกเว้นแต่เรื่องที่อาฆาตแค้นกัน ถึงขั้นแบบว่า ล้างผลาญครอบครัวกัน หรือว่าไม่สามารถเผาผีกันได้ ด้วยเหตุใหญ่หลวงประการใดก็ตาม อันนั้นก็ยกไว้

 

แต่ประเภทที่ทะเลาะกันหรือว่า ชิงชังกันด้วยแค่ ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกันอะไรแบบนี้ เรื่องที่เป็นเรื่องไม่ใช่แก่นของชีวิตจริงๆ นี่ ก็พร้อมที่จะอภัยกัน

 

แต่ด้วยทิฐิมานะ ด้วยความพยาบาทที่พอกอยู่ในจิต ทำให้มองไม่เห็นทางว่าจะลดทิฐิมานะของตัวเองได้อย่างไร กระทั่งคุณสามารถทำสมาธิได้ แล้วแผ่เมตตาได้ แผ่เมตตาเป็น อันนี้แหละ ถึงเห็นจากอีกมุมมองหนึ่งว่า ไม่ต้องแค้นก็ได้ ไม่ต้องโกรธต่อก็ได้ ขอแค่ใจมีความสุขมากขึ้น แค่นี้ก็รู้สึกว่าเป็นไปได้หมดแล้ว

 

ทีนี้ อย่างที่บอกนะครับคือ หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเราต่างคนต่างใช้ชีวิต ต่างคนต่างรู้เองด้วยตัวเองว่าเจออะไรดีๆ มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมได้บ้าง มีเหตุอะไรในชีวิต ที่สามารถทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นได้ ตรงนี้นี่ ถ้าให้จาระไน ก็จาระไนไม่จบ

 

แต่เราเอาแค่ข้อสรุปแบบเดียวกันว่า อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธานอะไรๆ ไหลมาแต่ใจน

 

ถ้าหากว่าใจ มีความเป็นกุศล มีความผ่องแผ้ว มีความรู้สึกว่าไม่อยากเบียดเบียน อยากแผ่ความสุขให้คนอื่น อยากให้คนอื่นได้รับความสุขเท่าเทียมกันกับเรา พูดง่ายๆว่าจิตมีเมตตา เป็นเครื่องตั้ง เป็นเครื่องอยู่ เป็นวิหารธรรม 

 

จิตแบบนั้น พร้อมที่จะพลิกชีวิตของตัวเอง จากทุกข์ให้กลายเป็นสุข จากมืดให้กลายเป็นสว่าง ตรงนี้ที่เราจะได้ข้อสรุปกัน

 

ทีนี้ ยังมีดีไปกว่านั้น คือเวลาที่เรารู้กับตัวเองว่า ทำสมาธิแผ่เมตตา 

แล้วมีความสุขมากขึ้น แล้วคนอื่นก็มีความสุขเหมือนกับเรา แล้วก็เต็มใจพร้อมใจกัน ในที่นี้ ที่ฟังกันอยู่นี่ พร้อมใจที่จะแชร์ความสุขแบบเดียวกัน ร่วมกันอีกไม่รู้เบื่อ 

 

จะมีผลกับศรัทธาโดยรวมนะครับ เพราะว่าศรัทธานี่แหละ จะย้อนกลับมาเพิ่มพลังสมาธิให้กับเราได้ 

 

อย่างเทคนิคที่เราจะใช้ตั้งต้นจุดชนวนสมาธิ มีหลายอย่าง มีได้หลายแบบแบบที่มักจะพูดถึงกันอยู่เสมอๆ ก็คือ สำรวจศีล ว่าวันนี้ศีลของเรา.. ข้อหนึ่ง ข้อสอง ข้อสาม ข้อสี่ .. ไล่ไปทีละข้อนี่ ยังสะอาดอยู่หรือเปล่า หรือว่ามีมลทินน้อยๆ

 

ถ้าสำรวจพบว่ามีมลทินหน่อยๆ ก็จะรู้สึกใจแป้ว

แต่ถ้ารู้สึกว่าผ่องแผ้วหมดทั้ง 5 ข้อใจจะเบ่งบาน

 

อันนี้ก็เป็นเทคนิคแบบที่ใช้กันทั่วไปในแวดวงการภาวนา แต่ว่าคนเมืองในยุคนี้ ถ้าให้ไปสำรวจศีล เดี๋ยวจะไม่ได้ทำสมาธินะ เพราะสำรวจไปก็รู้สึกอยากจะสะอื้นไปเพราะว่า ข้อนี้รักษาไม่ได้สักที ข้อนี้ยากจัง ข้อนี้เลี่ยงไม่ได้โดนเจ้านายสั่งอะไรแบบนี้ .. มีข้ออ้างหรือว่าข้อเท็จจริง หรือว่าเหตุผลของแต่ละคนที่ อาจจะช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่สามารถที่จะสะอาดได้ครบหมดจด

 

เพราะฉะนั้น เอาให้ง่ายขึ้นก็คือว่าการที่เรามา .. เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนนั่งสมาธิ นั่งด้วยกันพันกว่าคนนะ แล้วถึงแม้กลุ่มตัวอย่างจะเล็กนิดหนึ่ง แต่ว่าอย่างที่ผมบอก ถ้าเกินร้อย (คน) ขึ้นไปนี่ บอกปริมาณส่วนใหญ่ได้ 

ว่าชีวิตดีขึ้นจริงๆ ถ้าได้แผ่เมตตาร่วมกัน แล้วก็ได้ไหว้องค์พระด้วยกัน

 

ทีนี้ พอเรามีศรัทธาตรงนี้ เป็นกำลัง เป็นทุน ก็จะรู้สึกขึ้นมาว่า .. อันนี้ถ้ารู้จักใช้นะ เราสามารถเอาไปทำอะไรได้มากมาย ซึ่งอันนี้ผมยืนยัน แล้วก็จะมาช่วยกัน ทำความเข้าใจร่วมกันในคืนนี้ เรียนรู้ร่วมกันในคืนนี้นะ ว่าใช้ได้จริงๆ 

 

ใช้ได้แบบที่ว่าเราสามารถเห็นเลยว่า แม้เราจะไม่มีสมาธิอยู่ แต่ถ้าสามารถปลุกให้ศรัทธาแบบที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ให้กลับมาเกิดขึ้นอีกได้ .. พริบตาเดียว ชั่วแค่ไม่ถึง 5 วินาที 10 วินาทีนี่ คุณตั้งสมาธิได้เลย 

 

เช่นเคยนะ เราจะมาอาศัยองค์พระบูรณพุทธ ที่อาจารย์วุฒิกร น้อยเงิน ท่านได้แกะสลักไว้ให้พวกเรา โดยอาศัยไม้ จากต้นศรีมหาโพธิ์ วงที่ 4 นะครับ บริเวณที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้

 

พูดง่ายๆว่า เรานึกถึงองค์พระองค์นี้ ก็แทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรเลยนะจะรู้สึกขึ้นมาทันที

 

นึกถึงวันที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ 

นึกถึงวันที่ โลกสว่างที่สุดเท่าที่เคยสว่างมา

เดี๋ยวเราสวดมนต์กัน ตอนที่จะสวดมนต์ สำหรับคนที่เข้าร่วมเมื่อสัปดาห์ก่อนนะครับ อาจจะได้เปรียบนิดหนึ่ง แต่ว่าท่านที่เพิ่งเข้ามาร่วมวันนี้ ก็ไม่เป็นไรนะ คือไม่ใช่ว่าร่วมไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแชร์ความสุข แชร์ปีติสุขแบบเดียวกันไม่ได้

 

ผมแค่จะบอกว่า ถ้าท่านเคยได้ถวายความนอบน้อม ด้วยพลังสมาธิ แด่องค์พระบูรณพุทธมาก่อนแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

 

สิ่งที่คุณจะสังเกตได้เป็นตัวตั้ง ก็คือแค่เห็นภาพองค์พระ ก็จะนึกออก 

อย่างที่ผมทำภาพขึ้นมาใหม่นะ คือจูนให้ตรงกันกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

 

ฉะนั้น พอเราแค่เห็นภาพองค์พระ จะนึกถึงอารมณ์แบบเดิม ซึ่งอารมณ์แบบนี้ จะมีความสุขที่เหมือนกับ .. เอ่อ ขึ้นมาเล็กน้อยก็ตาม หรือว่า เอ่อ ขึ้นมามากมายมหาศาลก็ตาม หรือว่ามีความรู้สึกเบ่งบาน ราวกับว่าจิตนี้กลายเป็นฟองสบู่แห่งธรรม ที่ค่อยๆขยายตัวไปแบบไม่มีขอบเขต 

 

จะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ขอให้พวกเราได้สวด อิติปิโสฯ ร่วมกันนะครับ แล้วพอหลังสวดมนต์เสร็จ อย่าเพิ่งลืมตา ผมจะนำอารมณ์ เพื่อที่จะให้คุณสำรวจว่า ณ ขณะนั้น หลังจากสวดมนต์เสร็จ หลังจากสวดอิติปิโสฯ กันเสร็จ เรามีปีติสุขเป็นทุน ให้สมาธิก่อตัวขึ้นง่ายๆได้อย่างไร

 

และถ้าคุณจำอารมณ์นี้ได้ หมายความว่าคุณกลับไปสวดมนต์ด้วยตัวเอง .. เสร็จรายการนี้แล้ว คุณสวดมนต์ด้วยตัวเอง แล้วเกิดมีปีติสุขขึ้นมา แม้แค่เพียงน้อย

 

คุณก็จะจับจุดถูก เข้าใจว่าจะเอาปีติสุข ที่มีอยู่แม้เพียงน้อยนั้น มาเป็นตัวตั้งสมาธิได้อย่างไร

_____________

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน จุดชนวนสมาธิด้วยพลังศรัทธา ช่วงเกริ่นนำ

วันที่ 3 กรกฎาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=SIcYrW8Nn_Q


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น