หมอบี : สำหรับผม ผมว่าไม่ได้เกี่ยวกัน
เวลา หรือว่ามีความเพียรก็มีผล แต่บางทีก็ขึ้นกับความบริสุทธิ์ใจ
ความตั้งใจ ซึ่งแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน เจตนาไม่เท่ากัน จิตไม่เท่ากัน
หรือว่ากรรมของเก่า ของใหม่ก็ไม่เท่ากัน
ฉะนั้น ผมไม่อยากให้มองว่า เราเป็นมือใหม่
มือเก่าอะไรแบบนี้ แต่ขึ้นกับว่าเรามีความตั้งใจจริง และมีสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง
เดินทางที่ถูกต้อง ผมว่าก็ไปได้ทั้งนั้น
และบางคนบางท่าน ถ้าเริ่มต้นถูกต้อง
มีสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง จะไปได้ดีกว่าบางคนที่ทำมาแล้วบอกว่า ฉันทำมาตั้ง 10 20 30
ปี เข้าฌานได้แล้วอะไรก็ตาม อาจไม่ได้ถูกต้อง
หรือสามารถแก้ปัญหาเรื่องความทุกข์ก็ได้นะครับ
ดังตฤณ :
เขาอาจสงสัยคาใจมาจากตรงที่หมอบีบอกว่า ถ้าจะส่งให้ผู้รับ คือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ต้องมีจิตที่เป็นอุเบกขา แล้วมีกำลังมาก เขาอาจติดใจจากตรงนั้นหรือเปล่า
เพราะเขาพูดถึงคนที่ล่วงลับไปแล้ว ว่าได้รับหรือเปล่า
จากการที่เรามีกำลังอย่างใหญ่ แต่ถ้าปฏิบัติธรรมแบบอนุบาลอาจไปไม่ถึง
หมอบี : จะขออธิบายเพิ่มคำว่าอุเบกขานิดหนึ่งนะครับ
‘อุเบกขา’ เป็นคำที่น่าสนใจ
เป็นคำที่สำคัญมากในทางพุทธนะครับ
คนบางคนก็อาจเข้าใจว่า อุเบกขา แปลว่าทิ้ง
โยนทิ้ง ปล่อย ไม่ใยดี ignore ซึ่งอาจเป็นความหมายแบบหยาบๆ
แต่ความหมายโดยลึกจริงๆ คำว่าอุเบกขา แปลว่า เรารู้เห็นตามความเป็นจริง
พอเรารู้เห็นตามความเป็นจริง ว่าอะไรบ้าง เช่น
เรารู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่
ดับไป
เรารู้ เราเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นทุกข์
เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จับไม่ได้ ยึดไม่ได้
สิ่งๆ นี้ จะทำให้ใจผ่อนคลาย มีกำลัง
พอปลดล็อค ก็เหมือนกับว่า
จะสามารถส่งไป ยิงไป ให้มันแรงเร็ว ให้สว่าง
ให้ใหญ่กว่า
ดังตฤณ : พูดง่ายๆ
ก็ตรงกับที่ในตำราท่านว่าไว้เลย ว่า
การที่เราจะมีอินทรีย์ หรือกำลังอย่างใหญ่
ในการทำสมาธิก็ตาม
หรือในการแผ่เมตตาก็ตาม
เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมก็เอามาพูดถึงนะ ว่า
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
การแผ่เมตตา ที่ว่าจะมีกำลังมากแค่ไหน
ก็ขึ้นกับว่า มีใจน้อมศรัทธาเพียงใด
กำลังของศรัทธามากแค่ไหน
มีวิริยะมากแค่ไหน มีสมาธิ มีสติ และมีปัญญา
มากแค่ไหน
ข้อสุดท้ายนี่ ที่พระองค์บอก
ปัญญาในที่นี้
ที่พระองค์หมายถึงในการแผ่เมตตาก็คือ
มีความพิจารณาแล้วว่า
การไม่เบียดเบียนกัน เป็นเรื่องดี
การที่เราอยู่โดยสันติ
อยู่โดยที่เผื่อแผ่ให้แก่กัน
ไม่มีความตระหนี่ ไม่มีใจที่คิดแบ่งเขา
แบ่งเราเป็นเรื่องดี
ซึ่งตรงนี้ ปัญญาตรงนี้
ก็ถ้าต่อยอดอย่างที่หมอบีบอก
แค่รู้ว่าอะไรๆ ไม่เที่ยง ไม่รู้จะไปหวงทำไม
ไม่รู้จะไปเบียดเบียนกันทำไม
มาทำให้แค้น จะต้องเอาคืนให้ได้ก่อนตาย
ขอให้นอนตายตาหลับ ไปกับความรู้สึกว่าได้แก้แค้นแล้ว
แบบนี้คือไม่มีปัญญา
แต่ถ้าหากว่าเรามีปัญญาในระดับสูง
คือรวบยอดมาตรงที่ว่า พิจารณาลมหายใจ
ภาวะทางกาย สุข ทุกข์ โดยความเป็นของไม่เที่ยง
โอกาสที่จิตจะเกิด อุเบกขา อย่างที่หมอบีบอก
ก็สูง
เพราะลักษณะของจิตที่มีปัญญา คือลักษณะของจิตที่ปลดล็อค
แบบศัพท์ คีย์เวิร์ดที่หมอบีใช้
คือมัน ปลดล็อค สิ่งที่ขวางกั้นกำลังออกไปได้
แค่มีปัญญาอย่างเดียว
จะสามารถทะลุทะลวง ผ่านด่าน
ผ่านกำแพงไปได้ทุกชั้น
อย่างถ้าเป็นศรัทธา อาจผ่านด่านบางด่านไม่ได้
มีศรัทธา บางทีอาจยังขี้เกียจอยู่
ก็ต้องใช้วิริยะมาผ่าน
มีศรัทธา บางทีอาจยังหลง
คือเชื่อว่ามีกรรม มีบุญ มีอะไรต่างๆ
แต่ไม่เชื่อว่าฉันจะต้องปล่อยวาง ยังยึดอยู่
พูดง่ายๆ ยังติดดีบ้าง ยังมีความรู้สึกว่า
ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ตามความเชื่อ
แต่ถ้ามีปัญญาว่า อะไรๆ ไม่เที่ยง อะไรๆ
ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
จะผ่านได้ทุกด่าน นี่คือ น่าจะเป็น
ความหมายของหมอบี
คือเปิดจุก ไขก๊อก แล้วทำให้พลังทำให้ทะลุทลวงไป
พูดง่ายๆ ถ้าเราจะอุทิศบุญกุศล ไปให้ผู้ล่วงลับอันเป็นบุคคลที่รัก
ดูใจตัวเองว่า
มีกำลังทางปัญญาอยู่มากน้อยแค่ไหน
แค่ปัญญาได้อย่างเดียว
ก็เหมือนกับรวบยอดกำลังข้ออื่นๆ
ไว้ในตัวเองได้นะครับ
_____________________
ถ้าเราพยายามปฏิบัติธรรม+ทำบุญ
แต่ไม่ได้มีกำลังอย่างใหญ่ เป็นเพียงผู้ปฏิบัติระดับอนุบาล
ทำอย่างไรก็ส่งบุญไปไม่ถึงผู้ล่วงลับใช่ไหมคะ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน รู้จักขันธ์ ๕ จากสมาธิจิต
- ช่วง คุยกับหมอบี
วันที่ ๑๗
กรกฎาคม ๒๕๖๔
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=4nyJsutglpE
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น