วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2564

01 ปีติสุขอันเป็นทิพย์ : ช่วงเกริ่นนำ

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับคืนวันเสาร์สามทุ่ม

 

สำหรับคืนนี้ชื่อหัวข้อ ชื่อเรื่อง ปีติสุขอันเป็นทิพย์

 

จริงๆคำนี้นี่ผมชอบมาก เคยได้ยินมาจากครูบาอาจารย์ ตั้งแต่สมัยมาศึกษาพุทธศาสนาใหม่ๆ นะครับ แล้วก็ถูกใจคำนี้เพราะว่าเป็นเรื่องจริง

 

หลายๆท่าน เคยมีประสบการณ์มาแล้ว ที่มาทำสมาธิด้วยกันนี่แหละนะ 

ว่า เป็นสมาธิ เข้าสมาธิได้ แล้วเกิดปีติสุขอย่างใหญ่ จะรู้ว่าเกินความสุขแบบมนุษย์ไป

 

มนุษย์นี่ สุขที่สุดก็ตอนดีใจที่ได้ของ หรือว่าได้คนที่ทำให้มีสัมผัส หรือว่ามีการเห็น การได้ยินอะไรที่ถูกตา ถูกหู ถูกใจ แล้วก็มีความสุขล้นหลาม

 

แต่ว่าความสุขแบบมนุษย์ ที่เกิดจากสัมผัสธรรมดา เป็นความสุขแบบที่พร้อมจะแปรปรวน ในขณะที่ถ้าใครได้สมาธิจะรู้ว่ายั่งยืนกว่า 

 

บางที พอมีความสุขแบบที่มีความวิเวกเป็นพื้นฐาน มีใจที่ไม่ดิ้นรนกระสับกระส่าย เป็นเหมือนกับที่ยืนของปีติ (ความสุข) จะอยู่ได้บางทีเป็นชั่วโมง ซึ่งไม่มีสุขแบบไหนของมนุษย์ที่จะไปเทียบได้ ที่จะนานขนาดนั้น  ที่เอ่อล้นขนาดนั้น

 

มีแต่ความสุขแบบเทวดา หรือความสุขแบบพระพรหม

 

อย่างพระพรหม วันๆ ก็เสพปีติเป็นภักษาหาร ก็คือกินข้าวทิพย์ ไม่ต้องกินข้าวแบบเราๆ ไม่ต้องไปหาอยู่อะไร เอาแค่ปีติสุขในฌาน แค่นั้นอยู่ได้แล้วครองสภาพของอัตภาพที่ละเอียดสุขุมได้แล้ว

 

นี่ก็เป็นที่มา .. ปีติสุขอันเป็นทิพย์ จะบอกให้ทราบเป็นนัยๆ ว่า ถ้าเราพูดถึงองค์ฌาน ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 .. เราพูดถึงความสุขที่เกินธรรมดา เป็นอะไรที่คุณจะรู้สึกว่า ถ้าจะหาอะไรสักอย่างสำหรับคนธรรมดาทั่วไป

ที่บอกว่า เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ดีนักดีหนา ถือว่าคุ้มที่ได้เกิดมา 

ก็คือ ได้มารู้จักกับปีติสุขอันเกิดขึ้นในสมาธิ 

 

แล้วดียิ่งไปกว่านั้นก็คือ สามารถที่จะมีปัญญาแบบพุทธ ทราบได้ว่าปีติสุขแบบนั้นไม่เที่ยงทนถาวร ไม่ใช่ของเรา 

แต่เป็นสมบัติของความแตกพัง มีความไม่เที่ยง

 

คนที่ได้สมาธิ ตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป ได้รู้จักความสุขอันเป็นทิพย์ แล้วสามารถที่จะละความติดใจในปีติสุขอันเป็นทิพย์ได้ .. คือไม่ใช่ตั้งใจละเฉยๆ ดื้อๆ นะ แต่ละได้ ด้วยอาการของจิตที่ประณีตขึ้นไปอีก ได้เข้าถึงความไม่เที่ยง แล้วก็รู้ว่า จิตที่เห็นความไม่เที่ยงของปีติและสุข เป็นจิตที่ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่ยึดติดยินดีในเรื่องล่อ หรือว่ากับดักของสังสารวัฎกันจริงๆ

 

ถ้าหากว่าเข้าสมาธิ ได้อุปจารสมาธิ แล้วเกิดความรู้สึกว่า มีความชื่นมื่น ชีวิต ชื่นมื่น โดยไม่ต้องอาศัยข้าวของภายนอกมาล่อใจล่อตา

 

ความชื่นมื่นนั้นจะบอกกับเราว่า สิ่งที่น่ายินดีเหนือกว่ากามสุข หรือว่าความบันเทิงในโลก มีอยู่จริงตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ 

 

แล้วถ้าเราสามารถเห็นได้ว่า แม้กระทั่งปีติและสุข ที่เหนือกว่าเรื่องบันเทิงแบบโลกๆ เรายังรู้สึกว่าเป็นแค่ภาวะหนึ่ง ไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา แล้วเราทิ้งได้ จิตมีความสามารถทิ้งได้

 

อันนี้ จะเกือบประกันแล้วว่า คุณจะไม่ยึดติดเครื่องล่อใดๆ ในสังสารวัฎอีก เกือบแล้ว ไม่ใช่ชัวร์นะ แต่เกือบแล้ว ที่จะทำได้

 

วันนี้เรามาต่อยอดจากคราวที่แล้วนะครับ เดี๋ยวจะมีคลิปที่เป็นแอนิเมชั่น จะไกด์คุณอย่างชัดเจน ว่าจะต้องทำอย่างไร เป็นขั้นเป็นตอน

 

คราวที่แล้ว หลายท่านก็คอมเม้นต์มา ฟีดแบคมาว่าหายใจได้ยาวขึ้นจริงแล้วก็สามารถที่จะมีสติ รู้ลมหายใจต่อเนื่องได้

 

พอมาต่อยอดเป็นวันนี้ ก็จะได้ทราบนะครับว่า เรารู้ลมหายใจต่อเนื่องไปเพื่อที่จะพัฒนาขึ้นเป็นภาวะแบบไหน

 

บางคนบอกว่าสงสัยอาจจะทำไม่ค่อยได้ เพราะว่ามีปัญหาติดขัดเรื่องเกี่ยวกับลมหายใจ คืนนี้มีคำตอบให้ น่าจะมีคำตอบให้ คุณจะสามารถที่จะเห็นนะครับว่า มีวิธีการที่คล้ายๆ กับออกกายบริหาร

 

เวลาออกกายบริหาร เราก็มีการยืดเส้นยืดสาย แล้วก็ทำให้บางส่วนที่ติดขัด หรือว่าระบบทางเดินหายใจที่ไม่ค่อยจะดี ถูกปรับปรุงดีขึ้นได้นะครับ อันนี้เดี๋ยวจะได้เห็นนะ ไม่ต้องห่วงว่าจะทำไม่ได้นะครับ

 

เพื่อที่จะปูพื้นจิตพื้นใจให้มีความพร้อมจะเข้าสมาธิ เดี๋ยวเรามาสวดมนต์กันก่อนเลยนะ



(https://www.facebook.com/photo.php?fbid=367539811401992&set=p.367539811401992&type=3)

 

ผมทำพื้นหลังมาใหม่ .. ห้องสวดมนต์นะ เพราะบางท่านบอกว่า ของเดิมไม่สวย ผมก็ไปปรับปรุงมาแล้วนะครับ ก็ให้พื้นหลังสวยขึ้น

 

เดี๋ยวเรามาสวดมนต์ร่วมกันนะครับ

 

_____________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ปีติสุขอันเป็นทิพย์

- ช่วงเกริ่นนำ

วันที่ 7 สิงหาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=XDdt4wNSaG0&t=1s

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น