วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Q03อยากแก้เรื่องราคะจัดด้วยการดูอสุภะ แต่กลัวเสียสติ

ดังตฤณ : พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้นะ ตอนที่ภิกษุฆ่าตัวตายกันเยอะๆ

 

เพราะว่าเจริญอสุภกรรมฐาน แล้วเกิดความอิดหนาระอาใจ รังเกียจร่างกายของตัวเองเหลือเกิน จนทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ไม่อยากฆ่าตัวเอง ก็ฝากเพื่อนภิกษุให้ฆ่า หรือจ้างวาน ถึงกับให้เงินคนมาฆ่าตัวเอง เพราะใจไม่ถึง ฆ่าตัวเองไม่ลง

 

อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าหากเจริญอสุภกรรมฐาน โดยไม่มีพื้นฐานดีๆแล้ว ก็อาจจะเป็นทุกข์ได้จริงๆ เป็นทุกข์แบบทนไม่ได้ แล้วก็ยังไม่ทันรู้มรรคผลก็อาจปลิดชีวิตตัวเองตายไปซะก่อน

 

พระพุทธเจ้าท่านเลยตรัสนะครับ เรียกประชุมสงฆ์เลยหลังจากที่พบว่ามีภิกษุฆ่าตัวตาย เพราะเจริญอสุภกรรมฐานกันแบบผิดๆ

 

ท่านตรัสว่า ขึ้นต้นมาให้เจริญอานาปานสติให้ดีก่อน ให้มีความสุขจากการเจริญอานาปานสติแล้ว จิตมีความเข้มแข็งแล้ว ตั้งมั่นแล้ว 

แล้วไปเจริญอสุภกรรมฐาน จะรู้สึกว่าไม่ได้อิดหนาระอาใจ จนกระทั่งต้องด่วนทิ้งชีวิต

 

แต่จะมีความเข้าใจอย่างแจ่มชัด ว่าที่เจริญอสุภกรรมฐานไปก็เพราะ เพื่อให้จิต แยกออกมาจากกาม ตีตัวออกห่าง ออกมาจากความบันเทิงทั้งหลายในโลก เพื่อที่จะเข้าถึง ปฐมฌาณ ได้ง่าย

 

ตรงนี้คือจุดประสงค์ของอสุภกรรมฐาน

 

ทีนี้การที่บอกว่าสมาธิไม่ก้าวหน้า เพราะว่าเราเป็นคนมีราคะสูงนี่ เกิดขึ้นทั่วโลก

 

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสสอนกรรมฐานจริงๆ แบบเอาจริงเอาจังกับ เหล่าภิกษุเท่านั้น จะไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าไปสอนกรรมฐานกับฆราวาส

 

สำหรับฆราวาส ท่านจะตรัสให้มีสติ แล้วก็มีการดำรงชีพแบบที่ถูกต้อง ไม่ผิดศีลผิดธรรม

 

แล้วฆราวาสบางคนบางหมู่เหล่า ที่มีนิสัย มีวาสนา ท่านก็สอนเรื่อง อนัตตา สอนเรื่องความไม่เที่ยง ยกเอาการเวียนว่ายตายเกิด ยกเอาเรื่องกรรมวิบาก มาเป็นตัวตั้ง ว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ได้ดีคือไปถึงสวรรค์ ได้ชั่วคือลงถึงนรกแบบนี้  มาเป็นตัวตั้ง

 

เสร็จแล้วก็บอกว่า อะไรๆ ในสังสารวัฎ การเดินทางท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎ ไม่แน่นอน .. หยุดดีกว่า หยุดเดินทางดีกว่า แล้วก็วิธีทิ้ง ก็คือให้เห็นว่าอะไรๆ นี่ในชีวิตของเรา ไม่แน่ไม่นอนนะ

 

สิ่งที่แน่นอนมีอยู่อย่างเดียว คือนิพพานนะครับ

แล้วก็สิ่งที่จะทำให้มีความสุขจริง คือไม่ต้องเกิดมาเป็นทุกข์อีก 

 

ท่านตรัสแบบนี้ แล้วก็พูดถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของแต่ละคน หรือว่าอยู่ในใจของแต่ละคน จนเห็นความไม่เที่ยง แล้วก็รู้ว่าไม่มีตัวไม่มีตนอยู่จริงๆ มีแต่ของหลอก ให้นึกว่าเป็นตัวของเรา นึกว่าเป็นตนของเรา

 

ตรงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแก่ฆราวาสบางหมู่เหล่านี่ อย่างน้อยทำให้เห็นได้ว่า ถ้าหากเราตั้งจิตไว้ถูกต้อง พวกเราก็มีสิทธ์บรรลุธรรมเช่นกัน 

ไม่ได้แตกต่างจากภิกษุ ที่ท่านบำเพ็ญบารมีกันแบบทิ้งบ้านทิ้งเรือน

 

ใครทำได้มากทำได้น้อยแค่ไหน คือไม่ต้องไปเร่งตัวเอง ไม่ต้องไปบีบคั้นตัวเอง ว่าจะต้องได้อย่างนั้นจะต้องได้อย่างนี้ จะทิ้งได้ไหม รักพี่เสียดายน้อง ได้หน้าลืมหลัง

 

หรือว่า จะอยู่อย่างฆราวาส แล้วต้องใช้ชีวิตแบบพระอะไรแบบนี้ ไม่ต้องถึงขนาดนั้น เราเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติธรรมที่บ้าน

 

จุดประสงค์นี่เพื่อที่จะบอกคุณว่า แทนที่จะใช้ชีวิตแบบอยู่บ้านเฉยๆ แล้วก็ตั้งความหวังเอาลมๆ แล้งๆ ว่าชาติหน้าแล้วกัน ค่อยหวังนิพพาน

 

จริงๆ แล้ว เราค่อยๆ เก็บเล็กประสมน้อยได้ตามกำลัง ตามวาสนา ตามบารมีที่เราสะสมมานะครับ และคำว่าวาสนาบารมี ไม่ใช่เรื่องของชาติที่แล้ว แต่เป็นเรื่องของชาตินี้แหละ ว่าเราทำอะไรไว้บ้าง สะสมอะไรไปบ้าง เก็บเล็กผสมน้อยอะไรไว้บ้าง

 

คนนี่หยอดกระปุกวันละเหรียญในที่สุดกระปุกก็เต็ม

 

เหมือนกันเป็นฆราวาส ปฏิบัติไปทีละน้อย แล้วก็ถ้าถูกทาง ถ้ามีเป้าหมายชัดเจน ถ้ามีวิธีที่จะวัดความคืบหน้าได้ ก็จะเห็นว่าเจริญขึ้น

 

แล้วถ้าวันไหน ไปหมกมุ่นอยู่ในความบันเทิงแบบโลกๆ ถ้าเห็นปัจจัยว่านี่เพราะอาการหมกมุ่นแบบนี้ ถึงทำให้เสื่อมลง เห็นอย่างนี้แล้วๆ เล่าๆ นะครับ ซ้ำไปซ้ำมาเป็นปีๆ

 

ถึงจุดหนึ่ง จิตวางได้ในแบบที่เราละเลิก เรื่องแบบโลกๆ สักช่วงหนึ่ง โดยไม่ทุกข์ทรมาน มาทำสมาธิ มาเจริญสติแล้วมีความสุข มากกว่าที่ไปหมกมุ่นกับอะไรตรงนั้น

 

ก็กลายเป็น การเห็นภาพรวมของฆราวาส ที่ปฏิบัติธรรมที่บ้าน 

ว่าจริงๆแล้ว เราไม่ต้องเสียเวลาไปเปล่าๆชาติหนึ่งหรอก ไม่ต้องไปท่องแบบนกแก้วนกขุนทองเหมือนคนอื่นว่า ชาติหน้าขอนิพพาน

 

ไม่รู้ .. ไม่รู้ว่าชาติหน้า หน้าตาเป็นอย่างไร

 

แต่ชาตินี้ รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วก็มีชีวิตอย่างนี้แหละ วิถีชีวิตอย่างนี้แหละ แล้วก็อยู่บ้านอย่างนี้แหละ

ทำได้เท่าที่ทำ ทำเท่าที่ทำได้

รู้ได้ เท่าที่จะสามารถรู้ เห็นได้ เท่าที่จะสามารถเห็น

เป็นการสะสมอยู่แล้ว เป็นการเก็บชิ้นส่วนจิ๊กซอว์

มาต่อเป็นภาพอนัตตาชัดขึ้นๆ นะ

 

ยิ่งเราต่อชิ้นส่วนได้มากขึ้นเท่าไหร่ ลงล็อกได้มากขึ้นเท่าไหร่

เรายิ่งเห็นภาพอนัตตาชัดขึ้นเท่านั้น

เมื่อเห็นภาพรวมชัดทั้งหมดได้ ก็บรรลุธรรม 

ก่อนตาย อย่างน้อยมีสิทธิ์ได้โสดา

 

การสะสม อริยทรัพย์

ไม่ใช่ว่าจะต้อง ได้บรรลุธรรม กันตอนมีชีวิตอย่างเดียว 

บางที ตอนที่จะตาย เราได้ตัวช่วยใหญ่ 

คือ วิถีของจิต ตอนที่จะเข้ามรณะ มีความหนักแน่น

ไม่ใช่คิดๆ นึกๆ แบบนี้

 

ถ้าหากว่าเราสะสมอริยทรัพย์ไว้มากพอ มีความหนักแน่น 

รวมๆ แล้ว ไปกองอยู่ตรงนั้น ตอนที่จะตาย

แล้วเกิดความหนักแน่นของจิต ในวิถีของมรณะขึ้นมานี่ 

จิตจะพิจารณาทำเอง ทิ้งกายนี่เอง 

จิตสุดท้ายก่อนตายนี่ ไม่เอาของมันเอง

แล้วก็รู้สึกเองว่า ชีวิตที่ผ่านมา ความฝันทั้งเพ

เป็นของหลอก ให้หลงทั้งเพ

ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือหลังจากตายไปได้เลยนะ เป็นความฝันทั้งเพ

 

และพอเราทำ ค่อยๆทำไปเรื่อยๆไม่คาดคั้นตัวเอง

ทำอานาปานสติบ้าง แล้วก็พิจารณาอารมณ์

โดยความเป็นของไม่เที่ยงบ้าง

ก็ไปเห็นผลเอาตอนนั้นแหละ ตอนที่จะตาย

ว่ากำลังที่เราสะสมมา มากมายมหาศาลขนาดไหน

เรามีอริยทรัพย์ ในการให้ทาน ในการสละออกเพียงพอ

ที่จะสละ แม้กระทั่งความเห็นผิดหรือเปล่า ในก่อนตายนะครับ

ในช่วงเวลาก่อนตาย 

 

_____________________

สมาธิผมไม่ก้าวหน้า ส่วนหนึ่งเพราะผมเป็นคนมีราคะสูง ควรดูภาพศพ ภาพอสุภะยังไงไม่ให้เป็นบ้าครับ

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ปีติสุขอันเป็นทิพย์

- ช่วงตอบคำถาม

วันที่ 7 สิงหาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=XEl83cJHm3w

 ** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น