วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564

01 เราจะตั้งจิตมั่น : เกริ่นนำ

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับคืนนี้ รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ก็จะคุยกันเรื่องของ อานาปานาสติ เช่นเคย

 

เรามาถึงจุดที่จะได้รู้จัก จิตที่ตั้งมั่น กันหลังจากเมื่อเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม .. เราได้รู้จักกับ วิตักกะ และ วิจาระ ในการรู้ลมหายใจ โดยอาศัยมือช่วยไกด์นะครับ

 

แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน เราใช้มือช่วยไกด์อีกแบบหนึ่ง ในแบบที่ 

ตั้งเป้าว่าจะเลียนแบบผู้ที่ได้สมาธิแบบอุปจารสมาธินะครับ ซึ่งทำมาแบบอานาปานสตินะ ถ้าใครได้เกิดปีติ ได้เกิดสุข รู้สึกติดใจว่า ทำสมาธิตอนนี้ เวิร์ค อยากทำบ่อยๆ แล้วก็รู้สึกว่าทำแต่ละครั้ง ได้เนื้อได้น้ำได้ความสุขได้ความอิ่มใจ 

 

วันนี้คาดหมายได้ว่า จะใช้มือช่วยไกด์อีกแบบหนึ่ง อีกท่าหนึ่งนะ ที่ช่วยส่งเสริม ให้เกิดความรู้สึกถึงจิตตั้งมั่น อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสนะครับว่า ทำจิตให้ร่าเริง ทำจิตให้ตั้งมั่น  

 

ก่อนอื่นใด ก็อยากจะขอแสดงผล ซึ่งมีท่านหนึ่งได้ช่วยกรุณาส่งผลลัพธ์มาบอก ว่าหลังจากทำอานาปานสติท่าที่หนึ่ง ท่าที่สองนะครับ ทำทุกวัน รู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของลมในร่างกายดีขึ้น รู้สึกแข็งแรง

 

คือปอดนี่ ถ้าหากว่า ได้อัดลมเข้าไปเยอะๆ นะ แบบถูกท่าถูกทาง ไม่เครียดนะครับไม่มีอาการเกร็ง ปอดจะแข็งแรงขึ้น อันนี้เป็นธรรมดานะ

 

ที่รู้สึกว่าแข็งแรงเพราะว่า คนเรา .. จุดเริ่มต้นของความรู้สึกแข็งแรง ไม่ใช่ที่กล้ามเนื้อนะ แต่เป็นที่ปอด ซึ่งรู้สึกว่าหายใจได้ดี หายใจเอาลมเข้าไปได้มาก

 

แล้วก็ ที่สำคัญคือ มาถูกจังหวะ มาถูกที่ถูกทาง คือถูกฝาถูกตัวนะครับ ไม่ใช่ว่าเป็นลมแบบที่อัดๆ เข้าไป แล้วก็เสร็จแล้วเหนื่อยจากการอัดลม แต่อันนี้ เป็นการรู้จังหวะที่จะสูบลมเข้า แล้วก็ระบายลมออกอย่างถูกต้อง ปอดก็จะแข็งแรงเป็นธรรมดานะครับ

 

แล้วความรู้สึกที่เป็นไปโดยทั่วไปในชีวิต ก็จะเหมือนกับแข็งแรงขึ้นเป็นธรรมดา 

 

หนึ่งในพวกเราๆ ท่านๆ นี่นะครับก็ส่งกราฟมาให้ดูด้วย เพราะว่าเอาแค่ความรู้สึกอย่างเดียว บางทีอาจจะมีความลำเอียง มีความเข้าข้างตัวเองว่าที่ทำๆ ไปนี่อุตส่าห์ลงแรงลงทุนไป ก็น่าจะสดชื่น น่าจะดีขึ้น อาจจะเข้าข้างตัวเองได้


ก็เลยเอาผลที่เป็นกราฟ บอกว่าตอนที่ทำท่าสอง ออกซิเจนในปอดร้อยเปอร์เซ็นต์เกือบทั้งวัน

 

เป็นกราฟที่ส่งมาให้ดูนะ ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าจะตรวจค่าแบบนี้กันได้ แล้วเอามายืนยันได้นะครับว่า เราปฏิบัติกันไป จะได้หรือไม่ได้อะไร อย่างไรก็แล้วแต่ แต่อย่างน้อยที่สุด รู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้น แล้วก็แข็งแรงขึ้นนะ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ ต้องการมากเลยนะ สุขภาพที่ดี ทั้งในแง่ของการเผชิญหน้ากับโรคภัยไข้เจ็บ ยิ่งคนเราแข็งแรงมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะติดโรคนี่ .. ก็ มีนะไม่ใช่ไม่มี แต่จะยากขึ้น

 

แล้วก็ ที่สำคัญที่สุดสุขภาพจิตนะครับ คือพอปอดแข็งแรงนี่สุขภาพจิตจะดีขึ้นแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคนที่มีความรู้สึกว่าหัวใจ แล้วก็ปอดแข็งแรงนี่ เป็นคนที่มีความสุขในชีวิตออกมาจากข้างใน

 

ความรู้สึกเป็นสุขในชีวิตที่ออกมาจากข้างใน ก็ปรุงแต่งใจให้เกิดความรู้สึกดีกับตัวเอง มีกำลังวังชา มีความรู้สึกพร้อม ที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา แล้วที่สำคัญจะไม่เครียดกับอะไรง่ายๆ

 

เพราะว่าพอคนทำอานาปานสติเป็นนะครับ เอาแค่ 2 – 3 ขั้นแรกที่เราได้ทำกันไปนี่ จะรู้จักความผ่อนคลาย รู้จักความสบายอันเกิดจากตัวเอง ไม่ใช่เกิดจากสถานการณ์ภายนอก

 

แล้วถ้าหากว่าสถานการณ์ภายในดี สิ่งที่จะมีตามมาก็คือความรู้สึกว่า เนื้อตัวผ่อนคลาย สบาย แล้วก็ไม่เห็นความจำเป็นว่า ทำไมจะต้องไปเครียด หรือทำไมจะต้องไปเอาเรื่องภายนอก มาใส่ใจให้หนักอก

 

เอาตัวอย่างมาให้ดูนะครับว่า มีคนทำได้ แล้วทำได้ดี พอเชื่อว่าทำได้ผลจริงตามทิศทางของอานาปานสตินะ ในที่สุดเราก็จะเกิดกำลังใจร่วมกันนะครับ

 

อย่างที่ผ่านมานี่ พอพูดถึงอานาปานสติ เป็นการคุยกัน ร่ำลือกันว่ายาก 

หรือ กระทั่งบอกว่ายุคนี้ไม่มีใครทำได้แล้ว เพราะยุคนี้มีแต่คนปัญญาทราม พูดตามใครก็ไม่ทราบนะ

 

คือก็ลือๆ กัน แล้วก็เหมือนกับไม่มีข้อพิสูจน์ เป็นเปอร์เซ็นต์สุ่มตัวอย่างมาจากคนที่หัดทำอานาปานสติ อย่างถูกที่ถูกทางจริงๆ กี่คนที่ทำแล้วเวิร์ค กี่คนที่ทำแล้ว สามารถเจริญสติต่อได้ในแบบที่พระพุทธเจ้าสอน  

 

คือพอมีตำราเล่มใหญ่ และเป็นที่เชื่อถือถือ เป็นคนโบราณที่ 

ก่อนหน้ายุคเรานะ แล้วก็เป็นตำราเล่มใหญ่ที่เหมือนกับเชื่อกันว่า ท่านรู้จริงอะไรอย่างนี้ ก็มีการบอกว่า อานาปานสติคนยุคต่อไปทำไม่ได้หรอก เพราะว่าไม่มีปัญญาเหมือนคนยุคพุทธกาล

 

จริงๆแล้ว อานาปานสติ

ถ้าใครไปด้อยค่า ถ้าใครไปทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่น่าทำ

เท่ากับทำลายแก่น หรือว่าใจกลางของการปฏิบัติ ในพุทธศาสนาเลยนะ 

คุณดูเถอะ ไปหาดูเลย ไปอ่านดูเลยนะ ทั่วทั้งพระไตรปิฏกนี่ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนทำสมาธิ สอนให้เข้าสมาธิให้ถึงปฐมฌาณได้นี่นะ มีแต่อานาปานสติเท่านั้น ที่ท่านตรัสไว้ละเอียดละออ เป็นขั้นเป็นตอน

 

นอกนั้น เหมือนกับเป็นกรรมฐานบริวาร ที่ตามหลังอานาปานสติมาทั้งสิ้นและนี่มีพระสูตรยืนยันเลยนะว่า ใครคิดจะทำกรรมฐานข้อไหนก็ตามแม้กระทั่งอรูปฌานนี้ ก็ขอให้ มนสิการอานาปานสติ นี้ไว้ให้ดี

 

ไป search คำนี้เลยนะเป็นคีย์เวิร์ด ว่า มนสิการอานาปานสติ ท่านตรัสถึงทุกหมู่เหล่ากรรมฐาน

 

ชอบมีคนมาถามว่า .. ผมน่าจะเหมาะกับกรรมฐานจริตแบบไหน ดิฉันเคยกรรมฐานข้อใดมาก่อนในอดีตชาติ อะไรอย่างนี้ จริงๆแล้วนี่ มาขึ้นต้นกันด้วยโจทย์ที่ผิด

 

คือพระพุทธเจ้า ท่านให้ขึ้นต้นด้วยอานาปานสติเสมอ ไม่ว่าจะกล่าวถึงกรรมฐานข้อไหน ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเรื่องของอสุภกรรมฐาน ซึ่งพระภิกษุมากมาย ไปเจริญแห้งๆ ด้วยจิตแห้งๆ รู้อสุภกรรมฐานแล้วทนไม่ไหว รู้สึกว่าไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมโลกกับร่างกายนี้ต่อไป ก็ฆ่าตัวตายหรือไม่ก็จ้างวานกันฆ่า

 

พระพุทธเจ้าถึงกับต้องตรัสเรียกประชุม แล้วก็บอกว่า เจริญอานาปานสติเอาความสุขให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปเจริญอสุภกรรมฐาน นี่ตัวอย่างเลยนะง่ายๆเลย แล้วคุณลองไปเสิร์ชดู มนสิการอานาปานสติให้ดี ท่านรวมเอาทุกกรรมฐานไว้ในนั้นเลย แล้วบอกว่าจะเจริญกรรมฐานข้อไหน ให้มาตั้งต้นที่อานาปานสตินี่แหละ

 

นี่คือข้อยืนยัน เพราะฉะนั้นถ้าใครไปด้อยค่าอานาปานสติ อย่าไปเชื่อเลยนะ ไม่ว่าจะท่านไหนก็ตามนะครับ ไม่ว่าจะน่าเชื่อถือระดับที่มีคนสืบตำรากันมาเป็นร้อยๆ ปีอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าไปด้อยค่าอานาปานสติ คือไม่ถูกแน่ๆ ครับ ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์แน่ๆ

 

ขออีกนิดหนึ่ง คือชอบมีคนวิตกกันว่า ศาสนาพุทธในไทยนี่ สงสัยจะไปไม่รอด คือถามกันว่าศาสนาพุทธในไทย จะไปรอดหรือเปล่า เพราะเห็นพระไม่ดีเยอะ

 

แต่ไม่ค่อยจะมีใครถามกันว่า ศาสนาพุทธในไทย ปฏิบัติอานาปานสติกันอยู่หรือเปล่า ซึ่งเป็นคำถามที่มีความสำคัญพอๆกัน 

 

คุณไปที่ไหนตำแหน่งใดของโลกก็ตาม ประเทศในอำเภอใดก็ตาม

บอกว่า พุทธศาสนายังเจริญอยู่หรือเปล่านี่ คนมักจะนึกถึงพระปฎิบัติดีปฎิบัติชอบกันไหม ยังรักษาพระวินัยกันอยู่ไหม .. แต่ไม่ค่อยมีใครเอะใจตั้งคำถามว่า ยังมีการปฏิบัติอานาปานสติ อยู่ที่ใดบ้างในโลกนี้ 

 

สำคัญพอๆ กันเลยนะ เพราะว่าถ้าใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพระ ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส .. พระ หรือว่า ชี หรือว่า เณร อุบาสก อุบาสิกา ที่เป็นพุทธบริษัท 4 นี่ หากหลงลืม ไม่ค่อยใส่ใจ หรือกระทั่งพากันด้อยค่าบอกว่า ทำไม่ได้หรอก ไม่ถูกจริตฉัน

 

ท่านให้คาดเดาได้ว่าที่นั่น ไม่ค่อยมีความรุ่งเรืองในการเจริญสติกัน

 

ที่พูดอย่างนี้ คือพูดออกมาจากประสบการณ์ที่อยู่ตรงนี้มา 30 กว่าปีนี่นะ เห็นมาเยอะจริงๆ ว่าจะทำกรรมฐานข้อไหนก็ตาม 

 

สำนักใด ที่ใดก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ได้เจริญอานาปานสติ แบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน จะมีเพียงแค่บางคน อาจจะตั้งต้นจากเจ้าสำนักที่ดีจริง เก่งจริง ทำสมาธิได้จริง แล้วก็ดูมีออร่า หน้าเริ่มใส มีคาริสม่าที่รู้ว่า นี่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จิตนี่ถึงจริง .. แต่ลูกศิษย์ที่เรียนตามกัน รู้ตามกัน าจไม่ได้เท่า 

 

อย่าไปพูดเรื่องบุญเก่า หรืออะไรที่มองไม่เห็นนะ เอาตรงที่ว่าความเข้าใจหรือมุมมองในการปฏิบัติกรรมฐาน ไปได้ไม่เท่ากับครูบาอาจารย์ หรือว่าเจ้าสำนัก

 

แต่ที่ใดก็ตาม ที่สอนให้ปฏิบัติอานาปานสติ แบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นแนวทาง ที่นั่น คือสามารถคาดหวังได้ว่า มีคนที่เข้าใจมาก .. คิดเป็นเปอร์เซ็นนี่ จะมากกว่าที่ไปสอนแนวอื่น 

 

เพราะว่าลมหายใจ เป็นสิ่งที่มีติดตัวอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

 

เมื่อไหร่ที่เรารู้วิธีที่จะตั้งมุมมอง เห็นลมหายใจได้ชัด เราจะมีอุปกรณ์ปฏิบัติ ที่จะช่วยเห็นความไม่เที่ยงในกายใจนี้ ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน 

 

แล้วที่สำคัญ คือ โอกาสที่เราจะไม่พอใจในการปฏิบัติ จะน้อยลง คือจิตใจคนนี่ ถ้ามีความชุ่มชื่นจากอะไร ก็จะอยากเข้าหาสิ่งนั้นบ่อยๆ จะมีความเต็มใจที่จะอยู่กับสิ่งนั้น  

_________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เราจะตั้งจิตมั่น

- ช่วงเกริ่นนำ

วันที่ 14 สิงหาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=yHYn5sByuEk

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น