ดังตฤณ : ตอนที่เจริญสติ จะดับความคิดแบบโลกๆ ความคิดแบบสุ่มได้ แต่ความคิดแบบที่จะตั้ง กำหนดดู ส่วนไหนของกาย หรือว่าส่วนไหนของใจ ส่วนไหนของอารมณ์ อันนี้ยังมีอยู่ แล้วการรับรู้ ต้องมีอยู่ตลอดเวลานะครับ ที่เราบอกว่าเจริญสติๆ นี่ คำว่า สติ ก็คือการที่ยังมีความรับรู้อยู่นั่นเอง รับรู้ตรงตามจริง ไม่ใช่ตรงตามใจอยาก ไม่ใช่ตรงตามกิเลสตัณหา แต่ตรงตามจริง เท่าที่มีปรากฏอยู่ให้เห็น
ตัวนี้แหละ
ที่จะเข้าไปรู้ว่า เมื่อตาประจวบกับรูป แล้วเกิดอาการยึด เกิดอาการหลง อยากจะได้
อยากจะมี อยากจะดี อยากจะเป็นแค่ไหน ตัวนี้เรียกว่าเป็นการมีสติ
เห็นว่าเกิดสังโยชน์ขึ้น เกิดอาการยึดมั่นถือมั่นขึ้น
และเมื่อเราเห็นว่าอาการยึดมั่นถือมั่นนั้น
เป็นของสูญเปล่า เป็นแค่ปฏิกิริยาทางใจ เกิดขึ้นเพราะตากระทบรูป หูกระทบเสียง
ไม่เห็นมีอะไรมากไปกว่านั้น ตอนที่สังโยชน์หลุดออกไปได้ด้วยปัญญา
ด้วยการพิจารณาอย่างนั้น บ่อยๆ เข้า จะเหลือแต่อาการสักแต่เห็น คือตากระทบรูป
แล้วมารู้ว่าเกิดการเห็น ก็สักแต่เห็นเฉยๆ ไม่ได้มีความยึดมั่นถือมั่นว่า
สิ่งที่เห็น หรือว่าอาการที่เราเห็น เป็นตัวเป็นตนของเรา หรือมีส่วนความเป็นเขา
ที่มาเกี่ยวเนื่องกับเรา ตอนที่ใจไม่แคร์ ตอนที่ใจไม่มีปฏิกิริยาในทางยึดมากขึ้นๆ
มีความเบามากขึ้นๆ อนัตตา จะปรากฏอยู่ตรงนั้นเอง
อนัตตา
ปรากฏอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าอนัตตามาใหม่ ไม่ใช่ของมาใหม่หลังจากคนเราเจริญสติ
อนัตตาเป็นของเดิม
เป็นของเก่า แต่ใจเรานั่นแหละ ที่ไปเห็นใหม่ เห็นในมุมมองที่แตกต่างไป
เห็นในมุมมองที่ว่า ที่รู้สึกยึด เป็นแค่อาการหลงของจิต หลงยึดว่ามีตัวมีตน
แต่จริงๆ แล้วไม่เคยมีตัวมีตนมาตั้งแต่แรก
พูดง่ายๆ
ต้องตั้งต้นมีสมาธินิดหนึ่ง แล้วจะเข้าใจออกมาจากประสบการณ์ว่า
ตอนเรามีสติเห็นตามจริง จะเป็นการเห็นรูป จะเป็นการได้ยินเสียง จะเป็นการ
แม้กระทั่งว่า ความคิดเข้ามากระทบใจก็ตาม สักแต่เป็นแค่การกระทบให้เกิดปฏิกิริยาทางใจ
สักแต่มีปฏิกิริยาทางใจเป็นอาการยึด อย่างสูญเปล่า มีตัวรู้ มีสติ เป็นฐานนะครับ
ไม่ใช่ไม่รู้นะ
_____________________
ดับทุกอย่างทั้งความคิดกับความรู้แล้วจะดับตัวยึดยังไงครับเพราะเราไม่มีความรู้ไม่มีความคิดแต่เห็นว่ามีตัวไปตั้งยึด
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
ปีติสุขอันเป็นทิพย์
- ช่วงตอบคำถาม
วันที่ 7 สิงหาคม 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป
:
https://www.youtube.com/watch?v=eWFpAbMsgR8
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น