วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2564

02 นับหนึ่ง – สมาธิวันแรก : ช่วงใช้ฝ่ามือเปิดจิต

ดังตฤณ : ผมอยากเอามาให้ดูนิดหนึ่ง

 

มีท่านหนึ่งบอกว่า อายุ 70 แล้ว ลองทำดูแล้ว

ปรากฏว่า ระบบการทรงตัวดีขึ้น จากเดิมที่เหมือนกับทรงตัวไม่ค่อยดี

อาจเพราะอายุมาก หรือเพราะกล้ามเนื้อผิดรูปอย่างไรก็แล้วแต่

แต่พอทำแล้ว ทรงตัวดีขึ้น

แล้วก็เหมือนกับน่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ ได้จนเป็นปกติ

 

ที่ยกมา เพื่อแสดงให้เห็นนะครับว่า

ถ้าหากว่าเราแค่รู้ trick รู้หลักการนิดเดียว

ในการที่จะทำให้สมอง ที่เกี่ยวกับระบบการทรงตัวดีขึ้นได้

ก็ไม่ยากนะ ที่จะช่วยเกี่ยวกับเรื่องของการทรงตัว

ที่อาจเคยแย่อยู่ แล้วดีขึ้น

 

นี่เป็นผลพลอยได้นะ แต่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือ

เรื่องของการทรงตัว การรู้สึกตัว ในขณะที่นั่งสมาธิ

 

เพราะฉะนั้น นี่ก็ยกมา เพื่อที่จะบอกนะครับว่า

ไม่ใช่การที่เราทำแค่จุดใดจุดหนึ่ง

 

ขอให้ทราบนะครับว่า เป็นการที่เราได้ทำ

เปิดทั้งด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง ด้านบน

แล้วก็เอาความรู้สึกของจิต ฐานที่ตั้งของจิต

เป็นศูนย์กลางของการรับรู้ ตรงนี้ ช่วยให้เริ่มต้นเหมือนกับวอร์มอัพ

ก่อนทำสมาธิ มีความพร้อม ทั้งสภาพร่างกาย ทั้งระบบสมอง

ที่เกี่ยวกับการทรงตัวนะครับ ซึ่งสำคัญมาก

แล้วตรงนี้ไม่ค่อยจะมีใครมาตั้งข้อสังเกตกัน

 

ถ้าระบบการทรงตัวไม่ดี โอกาสที่จะทำสมาธิสำเร็จ ค่อนข้างต่ำ

เว้นแต่ว่าจะมีต้นทุนมาก่อน

แต่ถ้าหากระบบการทรงตัวดี ถึงแม้ว่าจะทำสมาธิวันนี้ เริ่มต้นเป็นวันแรก

คุณก็มีสิทธิ์ที่จะประสบความสำเร็จได้ คุณจะไม่ง่วงเหงาหาวนอน

จะมีความรู้สึกสดชื่น มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ป้อแป้

ไม่อ่อนเพลีย มีกำลังวังชา

 

แล้วถ้าหากว่ามาบวกเสริม เข้ากับการใช้มือในการไกด์ลมหายใจ

ให้จิตมีความรู้ลมหายใจเข้าออก ได้อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่เราจะได้ในคืนนี้ โดยความคาดหวัง คือ วิตักกะ แล้วก็ วิจาระ

 

เสร็จแล้ว สัปดาห์ต่อสัปดาห์ เสาร์หน้า เสาร์ต่อๆ ไป

เราก็จะมาต่อยอด เดี๋ยวจะมีการให้ดูตามลำดับเลยว่า

อานาปานสติสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัส มาเป็นขั้นๆ ได้อย่างไร

 

และถ้าหากว่าทำมาเป็นขั้นๆ จากง่าย ง่ายมากๆ ง่ายที่สุด

แล้วทำได้ ทำได้จริง สัปดาห์ต่อสัปดาห์

ในที่สุดคุณจะเกิดความมั่นใจว่า คุณก็ทำได้

นี่คือหลักการคร่าวๆ นะครับ

 

การใช้ฝ่ามืออย่างเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ถูมือแล้วมาอังหน้าผาก

จุดเริ่มต้นเป็นจุดสำคัญที่สุด

 

เพราะถ้าคุณรู้สึกถึงหน้าผากที่อุ่นขึ้นได้

เหมือนกับเอาผ้าชุบน้ำร้อน หรือชุบน้ำอุ่นมาโปะหน้าผาก

ความรู้สึกของคุณที่เกิดขึ้นตามจริง

จะช่วยให้เกิดการทำงานของสมองส่วนหน้าลดลง

ความฟุ้งซ่านจะลดลงไปตามธรรมชาติ

 

นี่คือหลักการนะครับ ถ้าสมองส่วนหน้าลดการทำงานลง คิดน้อยลง

จะมีความรู้สึกว่า ความคิดความอ่านของเรา ความคิดความฟุ้งซ่าน

กลุ่มความคิดฟุ้งซ่าน ลดระดับลง

ซึ่งตรงนี้สำคัญที่สุด และจุดอื่นๆ จะตามมาไม่ยาก

 

เรามาเริ่มกันนะครับ อย่างที่ทำเมื่อสัปดาห์ก่อนนะครับ

 

ขึ้นต้นมา นั่งคอตั้งหลังตรง

ก่อนที่จะถูมือ เราสำรวจดูก่อน ว่าเรานั่งคอตั้งหลังตรงอยู่หรือเปล่า

 

ถ้านั่งคอตั้งหลังตรงอยู่ รู้สึกสบาย นี่

เป็นหลักที่สำคัญที่สุดนะครับ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด

 

จุดต่อมาก็คือ ให้สังเกตว่าฝ่าเท้าของคุณ

มีอาการหงิกงอ มีอาการจิกอยู่หรือเปล่า

ถ้าหากว่ามีอาการผ่อนคลาย นี่คือสะท้อนว่า

พื้นจิตพื้นใจของคุณ มีความผ่อนคลาย

แต่ถ้าเท้ายังเกร็งอยู่ ก็ให้ผ่อนคลายออก

แล้วสังเกตว่าคุณรู้สึกสบายขึ้น

 

จากนั้น ให้สังเกตที่ฝ่ามือ

ฝ่ามือมีอาการกำ มีอาการเกร็ง มีอาการแน่น

มีอาการที่กล้ามเนื้อทำงานอยู่หรือเปล่า

ถ้าฝ่ามือมีความผ่อนคลายสบายอยู่ แบบนั้นถือว่าโอเค

 

จากนั้น ด้วยฝ่ามือที่ผ่อนคลาย ให้ถู

ถูจนกว่าจะรู้สึกร้อน หรือรู้สึกอุ่น แล้วเอามาอังหน้าผาก

อังเกือบชิดเลยนะ แต่อย่าให้โดนหน้าผาก อย่าให้เนื้อสัมผัสเนื้อ

เพื่อที่จะได้รู้สึกว่ามีไออุ่นจากฝ่ามือ ส่งไปกระทบกับหน้าผาก

ทำให้หน้าผากมีความผ่อนคลาย

 

เมื่อหน้าผากผ่อนคลาย คุณจะรู้สึกสบาย

และรู้สึกว่าความคิดฟุ้งซ่านลดระดับลงเอง

โดยที่คุณไม่ได้แกล้ง ไม่ได้พยายามบังคับฝืนอะไรทั้งสิ้น

 

จากนั้น ลดฝ่ามือลง เพื่อให้เกิดความรู้สึกเกี่ยวกับท่านั่ง คอตั้งหลังตรง

แล้วคุณดู ถ้าผ่อนคลาย คุณก็จะรู้สึกสบาย

และทิศทางเบื้องหน้า เหมือนกับจะเปิดโล่ง

 

เดิมที เหมือนกับมีม่านหมอกความคิดมาบดบัง

แต่ตอนนี้ พอความคิดลดระดับความหนาแน่นลง เบาบางลง

คุณจะรู้สึกสัมผัสได้ถึงพื้นที่ว่างเบื้องหน้าคุณ

 

จากนั้นนะครับ เมื่อสัมผัสได้แล้ว ก็ให้ถูมืออีกครั้งหนึ่ง

ถูให้อุ่น ให้เกิดความรู้สึกอุ่น แล้วเอาไปอังใบหู ทั้ง 2 ข้าง

เสร็จแล้ว จะยก(มือ)ขึ้นยกลง ก็ได้

หรือ จะสลับไปข้างหน้าไปข้างหลัง

เพื่อที่จะทำความรู้สึกว่า มีเหมือนกับแม่เหล็กอ่อนๆ ผลักกัน

จากฝ่ามือหนึ่ง ไปถึงอีกฝ่ามือหนึ่ง

 

ถ้าคุณรู้สึกได้ว่าเหมือนมีแม่เหล็กอ่อนๆ กระทำกัน

ระหว่างกลางฝ่ามือหนึ่ง ถึงอีกกลางฝ่ามือหนึ่ง

โพรงกระโหลกจะเหมือนกับโพรงว่าง เหมือนกับไม่มีกำแพงมาขวางกั้น

 

ตรงนี้ เป็นการปรับความรับรู้แนวขวาง หรือด้านข้าง

 

คุณจะสามารถรู้สึกถึงพื้นที่ว่างด้านข้างได้ง่ายๆ เลย

เดิมที เราไม่ค่อยจะรับรู้ถึงที่ว่างด้านข้าง

เพราะความคิดฟุ้งซ่านเอาไปกินหมด

 

แต่พอเราทำความรู้สึกว่า ฝ่ามือหนึ่ง กับอีกฝ่ามือหนึ่ง

มีแรงกระทำต่อกัน ตรงนี้ พื้นที่ว่างจะเหมือนเปิดออกไป

ทั้งซ้าย ทั้งขวา สามารถถูกรับรู้ได้พร้อมกัน

 

จากนั้น ลดฝ่ามือลง กลับมาทรงตัว คอตั้งหลังตรง

รับรู้สำรวจดูด้วย ฝ่าเท้าฝ่ามือ ยังผ่อนคลายอยู่ไหม

ถ้ายังผ่อนคลายอยู่และคอตั้งหลังตรงอยู่

พื้นที่ด้านข้าง ซ้ายขวา จะเกิดเป็นที่รับรู้ได้

จากจิตที่ตั้งตรงในท่านั่งคอตั้งหลังตรงอยู่นี่

 

ด้านหน้า ด้านข้าง พอได้เป็นที่รับรู้ง่ายๆ แบบนี้ ขั้นต่อมาก็จะง่ายขึ้นแล้ว

 

คราวนี้ไม่ต้องถูมือ ให้ยกมือทั้งสองข้างมา

เหมือนกับจะประสานที่ท้ายทอย แต่ไม่โดนนะ ไม่ให้ฝ่ามือโดน

ตั้งออกไปห่างๆ เลยก็ได้

 

ทำความรู้สึกว่า ฝ่ามือขวา กับฝ่ามือซ้าย

ให้ความรู้สึกอย่างไร ที่ส่งไปกระทบกับท้ายทอย

จะมีความรู้สึกคล้ายๆ กับ มีแรงแม่เหล็กผลักอ่อนๆ หรือมีความอุ่น

แล้วแต่คนนะ

 

แต่เมื่อไปกระทบกับท้ายทอย จะรู้สึกตรงกัน

เหมือนกับท้ายทอยว่างหายไป เหมือนศีรษะหายไปครึ่งซีก

ครึ่งซีกหลัง เหมือนว่างลง

หรือบางคนอาจรู้สึกราวกับว่า ว่างหายไปทั้งศีรษะเลยก็ได้

ตรงนี้เป็นการที่เราไปปลุกสมองส่วนหลัง หรือช่วงครึ่งหลัง ให้ทำงานดี

 

พอคุณลดฝ่ามือลงนะครับ เอามาวางสบายๆ คอตั้งหลังตรง

คุณจะรู้สึกถึงพื้นที่ว่างด้านหลัง รู้สึกแบบสบายๆ เลยนะ

ไม่ใช่ไปตั้งใจรู้สึก แต่จะรู้สึกขึ้นมาเองเลย

ตรงนี้แหละ คือส่วนที่จะทำให้สมองส่วนที่มีความรับรู้

หรือว่าพร้อมที่จะ relax ได้ทำงานดี

 

จากนั้น ยกฝ่ามือขึ้นมาลอยอยู่เหนือกระหม่อม ทั้งซ้ายทั้งขวา

เอามือขวาอยู่เหนือมือซ้าย

ให้ความรู้สึกจากมือ ทั้งขวา ทั้งซ้าย จะรู้สึกอย่างไรอยู่ก็แล้วแต่

เหมือนกับเป็นลำแสงที่มีพลังกระทำอ่อนๆ ลงมาที่กระหม่อม

 

เอาตามที่คุณรู้สึกตามจริง จะรู้สึกเหมือนกับว่า

กระหม่อมหายไป หรือว่าศีรษะหายไปครึ่งหนี่ง จากด้านบนลงมา

 

พอรู้สึกถึงความว่างได้ ให้ลดมือลงมานะครับ

วาง แล้วก็คือนั่งหลังตรง

ทำความรู้สึกว่า เบื้องบนของคุณ มีอากาศว่างถึงเพดาน

คุณจะนึกออกนะว่า เพดานห้องคุณสูงประมาณใด

 

ทีนี้ ถ้านึกเลยไปกว่านั้นอีก เลยเพดานออกไป

เหมือนทะลุเพดานออกไป คุณจะรู้สึกถึงเพดานใหม่นู่นเลย สุดท้องฟ้า

เหมือนกับเราสามารถรับรู้จากศีรษะที่หายไป จากกระหม่อมที่เปิดไป

รับรู้ความว่างได้เท่ากับท้องฟ้า

 

ซึ่งเมื่อรับรู้ได้เท่ากับท้องฟ้าเบื้องบนแบบนี้

ร่างกายของเราจะปรากฏเหมือนกับ ท่านั่งที่เล็กจ้อย

เหมือนตุ๊กตุ่น ตุ๊กตาตัวเล็กนิดเดียวที่อยู่ตรงนี้

 

เมื่อสามารถรู้สึกถึงที่ว่างด้านบนได้ คราวนี้ก็มาดู

เอาฝ่ามือซ้อนฝ่ามือแบบไม่ให้โดนกัน อยู่ที่กลางอก

ความรู้สึกจากฝ่ามือที่ส่งตรงมากลางอก

จะเป็นอย่างไรก็ตาม ให้ทำความรับรู้ไปตามจริง

 

ก็จะเหมือนกับมีแรงกระทำจากฝ่ามือ เป็นแสงอ่อนๆ

หรือว่าเป็นความว่างอะไรก็แล้วแต่ ไปเจาะให้หน้าอกของคุณเปิดออก

แล้วก็รู้สึกถึง ความว่างที่กลางอก

 

ตรงนี้คือใจกลางความว่าง

ซึ่งเมื่อคุณมารู้สึกถึงท่านั่ง คอตั้งหลังตรง

ที่มีความสามารถรับรู้ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง และด้านบน

โดยมีความว่างตรงนี้ เป็นจุดศูนย์กลาง

 

ก็จะเป็นความว่างที่รู้สึกว่า เป็นความว่างแบบเต็มจริงๆ

เหมือนกับไม่มีอะไรกั้นขวาง เหมือนกับไม่มีอะไรเป็นศูนย์กลาง

เหมือนกับไม่มีอะไรห่อหุ้มจิต

 

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตที่ดี จิตที่เหมาะจะเป็นสมาธิ

คือจิตที่ไม่มีอะไรห่อหุ้ม ไม่มีเครื่องห่อหุ้ม

ความรู้สึกจะไม่มีอะไรห่อหุ้มจริงๆ

 

เราไม่ต้องพูดว่าจะเป็นกิเลส จะเป็นความฟุ้งซ่าน

จะเป็นความหดหู่ซึมเซา หรืออะไรก็ตาม

จะมีแต่ความรู้สึกเป็นอิสระ ไร้ขอบเขตจำกัดของจิต

 

ตรงนี้ พอลดฝ่ามือลงมาแล้วดูว่า

คอตั้งหลังตรงอยู่อย่างนี้ ฝ่าเท้า ฝ่ามือ ไม่มีความเกร็ง

คุณจะรู้สึกถึงเนื้อตัวในท่านั่งนี้อย่างแจ่มชัดอีกแบบหนึ่ง

เหมือนกับว่า ท่านั่งคอตั้งหลังตรงนี้ มีขนาดเล็กนิดเดียว

จิตของคุณใหญ่กว่านั้นมาก

 

จิตของคุณว่าง แต่ว่าร่างกายทึบ

ตอนนี้พอจิตว่าง มีความใส ร่างกายก็เหมือนใสเป็นแก้วไปด้วย

แต่คุณก็จะสามารถแยกออกว่า จิตอยู่ส่วนจิต

ไม่มีรูปทรง ไม่มีสัณฐาน มีแต่ความว่าง ว่างอย่างรู้

 

ส่วนร่างกาย มีแต่ความเป็นรูปพรรณสัณฐาน

ตอนนี้ไม่มีความหนัก ไม่มีความเกร็ง

ก็เป็นสิ่งที่จะถูกรู้ได้อย่างง่ายดาย แจ่มชัด

 

ทีนี้ พอเราทำความรู้สึกเข้าไปว่า

ที่มีความรู้สึกถึงความนิ่ง ความว่าง อยู่อย่างนี้

เหมือนกับกลางอกของเรา เป็นศูนย์กลางความว่างของท้องฟ้า

จะไม่ได้มีอยู่แค่หนึ่งเดียว

แต่ตอนนี้มีอยู่อีกประมาณ พันคน อยู่ร่วมพัน

 

ซึ่งถ้าหากเรารู้สึกถึงความว่าง ที่มาจากกัลยาณมิตร ผู้ร่วมทำสมาธิกับเรา

คุณจะรู้สึกถึงความว่างอีกแบบหนึ่ง คือ

ความพร้อมใจกันทำสมาธิ พร้อมใจกันเจริญสติ

พร้อมใจกันที่จะรู้ว่า กายนี้ใจนี้ มีความเป็นอย่างไรอยู่

มีความเป็นอิริยาบถ ท่านั่งคอตั้งหลังตรง

 

และในอิริยาบถคอตั้งหลังตรงในท่านั่งนี้

มีจิตที่รู้สึกถึงความว่างจากตรงกลางตัวเอง จากใจกลางของตัวเอง

แผ่ออกไปภายนอก

 

และความรู้สึกถึงความว่างที่แผ่ออกไปไม่จำกัดนี้

ก็สามารถส่งความเบา ความสบาย ความมีปีติสุข

ที่กำลังปรากฏอยู่ตามจริงออกไปแบบไม่มีขีดจำกัด

 

ลักษณะนี้ เป็นลักษณะเดียวกันกับ

การแผ่เมตตาแบบไม่มีประมาณนั่นเอง

 

และพอคุณแผ่เมตตาแบบไม่มีประมาณได้

คุณก็จะรู้ว่าตรงนี้แหละคือจุดเริ่มต้นของอะไรๆ ที่ดีขึ้นได้

ไม่ว่าจะกับชีวิตของคุณเอง หรือชีวิตคนอื่น

ไม่ว่าชีวิตนั้นจะเป็นชีวิตมนุษย์ หรือเป็นชีวิตที่ไม่มีสภาพแบบมนุษย์

 

พอคุณรู้สึกถึงความเยือกเย็น รู้สึกถึงความสว่าง

รู้สึกถึงความมีปีติสุขแบบไม่มีประมาณได้

เหมือนกับในโลกนี้ไม่มีอะไรร้ายเลย

เหมือนกับในโลกนี้ไม่มีอะไรที่คุณอภัยไม่ได้

เหมือนกับในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่คุณจะรู้สึกกลัว เกรง

แม้แต่ความตาย ถ้าจะต้องมาถึง

 

ขณะที่คุณมีจิตแบบนี้ ความตายก็เป็นแค่เรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง

เพราะคุณรู้อยู่ข้างในแล้วว่า ความตาย ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวหรอก

เป็นแค่การเปลี่ยนแปลง

 

สิ่งที่น่ากลัวที่แท้จริง คือจิตที่มีกิเลส

จิตที่หนาแน่นไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ

 

ต่อเมื่อ โลภะ โทสะ โมหะ ถูกปอกเปลือกออกไป

เหลือแต่แก่นของจิตที่ว่าง ไม่มีประมาณ ไม่มีอะไรห่อหุ้ม

ก็ไม่เหลือความน่ากลัวอะไรทั้งสิ้น

 

รบกวนช่วยทำโพลนิดหนึ่งนะ เพื่อให้เราอยู่ด้วยกันนะครับ

ต้องแชร์ความรู้สึกด้วยกัน ที่ทำสมาธิมาด้วยกัน

ประสบการณ์ทำสมาธิมาด้วยกันนี่ สำคัญนะครับ

 

เราจะรู้ว่าเราไม่ได้ทำอยู่คนเดียว คุณจะรู้ว่าไม่ได้อยู่กับผมแค่สองคน

แต่เราอยู่ร่วมกับกัลยาณมิตรอีกร่วมพัน

ซึ่งถ้าหากว่าตรงนี้ เรารู้ได้ว่าแผ่เมตตาไปแล้ว

เกิดความรู้สึกอย่างไร

ว่าง นิ่ง คงที่/ ว่าง นิ่ง ไม่คงที่/ ว่าง สลับวุ่น/ วุ่นตลอด ไม่ว่างเลย

 

เข้าข่ายอย่างใดอย่างหนึ่ง 4 ข้อนี้แหละ ตอบตามจริงนะครับ

 

แล้วเมื่อแชร์ความรับรู้ร่วมกัน สิ่งที่ตามมา ก็คือ

การช่วยกันและกัน เสริมเอาพลังของกันและกันมาเสริม

แล้วพอช่วงต่อไป จะมีโพลอีกครั้ง ซึ่งคุณอาจประหลาดใจว่า

เป็นไปได้เหมือนกันที่คุณจะทำอานาปานสติได้จริงๆ นะครับ


สำหรับโพลชุดแรกๆ

230 ท่าน บอกว่า ว่าง นิ่ง คงที่

289 ท่าน บอกว่า ว่าง นิ่ง แต่ไม่คงที่

163 ท่าน ว่างสลับวุ่น

32 ท่าน วุ่นตลอดไม่ว่างเลย

 

ตอบมาตามจริง ถึงแม้ว่าบอกว่า ไม่ว่างเลย วุ่นตลอด ก็เป็นประโยชน์นะครับ เพราะคือการแชร์กัน และเป็นการเสริมแรงกัน ในที่สุดแล้ว เราจะรู้นะครับว่า ทำไปเรื่อยๆ มีอะไรจากเพื่อนๆ จากกัลยาณมิตร ที่มาช่วยพยุงกันและกัน แค่ได้แชร์ความจริงนี่แหละ

 

เพราะถ้าไม่ได้แชร์ตามจริง คุณก็ไม่ได้อยู่กับความจริงนะครับ

 

ตอนนี้เราได้จิตที่เปิดกว้าง ก็ราวๆ 70% รู้สึกได้ถึงความว่าง

รู้สึกได้ว่ามีทิศเบื้องหน้า เบื้องขวาง เบื้องหลัง และเบื้องบน

 

ประเด็นคือ คุณสังเกตเถอะ เมื่อจิตมีความเปิดกว้างได้รอบด้าน

คุณจะรู้สึกว่าตัวเองทรงตัวได้ดีขึ้น คุณจะรู้สึกว่า

มีความรับรู้เกี่ยวกับความปรากฏของร่างกายนี้ชัดเจนขึ้น

 

อย่างตอนคุณฝัน ไม่รู้เกี่ยวกับภาวะของร่างกายเลย

เลยทำให้ความฝันไม่มีสติ

แต่พอตอนตื่น คุณรู้สึกถึงสภาพร่างกายได้ผ่านความฟุ้งซ่าน

ก็จะเป๋ๆ .. โดยที่คุณไม่ได้สังเกต ไม่ได้สังเกตมาทั้งชีวิต

 

แต่พอมาทำสมาธิได้ มาแต่งจิตแต่งสมองตรงๆ แบบนี้

แล้วเกิดความรับรู้ถึงทิศทางรอบด้านได้

การปรากฏของร่างกาย จะเป็นไปอีกแบบหนึ่งเลย

 

เหมือนกับคุณไม่ต้องตั้งใจ สภาพทางกายก็เหมือนกับ

ปักหลักให้รู้อยู่เองโดยธรรมดาของมัน

และพอทำความรู้สึกเข้าไปในท่านั่งแบบนี้ โดยที่ความฟุ้งซ่านน้อย

สิ่งที่คุณจะสังเกตได้เป็นอันดับต่อมาก็คือ

ภาวะทางกาย เหมือนกับเป็นคนละคน

กับที่คุณเคยคิด เคยรู้สึก เคยยึดมั่นมาตลอดทั้งชีวิต

 

กายนี้สามารถปรากฏ โดยความเป็นอิริยาบถนั่งเฉยๆ

ไม่มีตัวใคร ในความรับรู้ของคุณได้ง่ายๆ

ไม่ต้องไปตั้งใจเค้นคิด ไม่ต้องไปใช้สติปัญญาแบบคิดอ่านใดๆ ทั้งสิ้น

เอาสติปัญญาแบบที่รู้เห็นตามจริง  

จากจิตที่มีความนิ่ง ความว่าง ความใส ความสงบ

 

สภาพทางกาย จะปรากฏเป็นอิริยาบถอย่างนี้

มีอาการขยับแขน ขยับขาได้ตามแต่จิตจะสั่ง

 

ตรงนี้ ท่านถึงได้บอกว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

 

เห็นไหม พอสภาพจิตแปรไป การทำงานของสมองก็ตามไปด้วย  

การรู้สึกถึงความว่าง การรู้สึกถึงความมีอยู่ของภาวะทางกาย

เป็นจุดเริ่มต้นของพุทธิปัญญา

 

ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลง

จากส่วนย่อยที่สุดของร่างกาย .. เห็นๆๆ ไปเรื่อยๆ

ในที่สุด จิตจะได้ข้อสรุปอย่างแจ่มชัดว่า

กายไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ด้วย กายไม่ใช่ของเราจริงๆ ด้วย

 

ความสามารถรู้เห็น การที่คุณจะตัดสินใจเลือกเอามาใช้ทำอะไร

พอมีสมาธิแล้ว จะเป็นตัวชี้ว่าบุญเก่าของคุณมีมาแค่ไหน

 

ถ้าหากว่า แรงผลักดันจากบุญเก่า

ก่อให้เกิดการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว

ซึ่งเป็นบุญใหม่ ในอันที่จะมองกายใจนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน

คุณจัดเป็นผู้มีบุญขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา

เพราะว่าเส้นทางของคุณนับแต่นี้

จะเดินตรง เข้าสู่การพ้นอุปาทาน ว่ากายใจเป็นตัวเป็นตน

 

และนั่นแหละ ที่จะไปถึงประตูสู่มรรคผล สิ้นทุกข์สิ้นโศก

อย่างถูกต้อง แบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้

 

คราวนี้เรามาต่อยอดจากจิตที่เริ่มสบาย จากจิตที่มีความผ่อนคลาย

จิตที่มีความปลอดโปร่ง จิตที่สามารถรู้ทิศทางได้รอบ

เราจะเอามารู้ส่วนของกาย ที่เห็นได้ง่ายที่สุดว่าไม่เที่ยง คือลมหายใจ

 

เดิมที คุณหายใจแบบไม่รู้ว่า ลมหายใจไปถึงไหนแล้ว เพราะไม่ชัด

แต่ทีนี้ผมจะให้อาศัยฝ่ามือมาเป็นเครื่องช่วยนะ

 

คุณดูก่อน จะทำตามไปด้วยก็ได้

______________________

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน นับหนึ่ง – สมาธิวันแรก

- ช่วงใช้ฝ่ามือเปิดจิต

วันที่ 31 กรกฎาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=qcpILfnRLIY

 ** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น