วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2564

02 มโนภาพตัวตน vs. นิมิตสังขารขันธ์ : โพลครั้งที่ ๑

ดังตฤณ : แต่ก่อนอื่นใด ก่อนที่เราจะจากโลกใบเก่า ซึ่งเป็นมโนภาพภายนอก มาสู่โลกใบใหม่ซึ่งเป็นนิมิตภายใน ขอให้ช่วยกันทำโพลนิดหนึ่ง

 

แต่ถ้าใครไม่ได้ใช้ท่าที่หนึ่งถึงสาม ที่ผมสอนมาตลอดหนึ่งเดือน สองเดือนที่ผ่านมา ก็ไม่ต้องตอบโพลนี้นะครับ

 

อันนี้มีความสำคัญนิดหนึ่ง เดี๋ยวจะเข้าใจนะว่า ทำไมผมถึงถามนะครับ แล้วก็จะอธิบายให้เข้าใจนะ ว่าเกี่ยวโยงกันอย่างไร ในเรื่องมโนภาพตัวตนกับ นิมิตสังขาร

 

คำถามคือว่า หลังจากฝึกรู้ลมด้วยท่าที่หนึ่งถึงสามมา คุณเกิดนิมิตในแบบนี้ ที่ผมกำลังจะแสดงให้ดู

 


 

นิมิตแบบนี้นะครับ เวลาที่เรารู้สึกถึงลม ก็จะเห็นเหมือนกับ ท้องป่องขึ้นมา แล้วก็หน้าอกขยายขึ้นตามลำดับนะครับ แล้วก็มีสายลมหายใจผ่านเข้าผ่านออก

 

ถ้าหากว่า เห็นโดยความเป็นนิมิตแบบนี้ปรากฏชัด ตั้งมั่น สบาย ทุกครั้งที่เป็นสมาธิ .. ให้เลือกข้อที่หนึ่ง

 

แต่ถ้าหากว่า ปรากฏบ้าง เลือนรางบ้าง เอาแน่ไม่ได้ ก็ตอบข้อที่สอง

 

ถ้าไม่เคยปรากฏประมาณนี้เลย ก็เลือกข้อที่สามนะครับ

 

สำหรับคนที่เลือกปรากฏชัด ตั้งมั่นสบายทุกครั้งที่เป็นสมาธิ ทำความเข้าใจนิดหนึ่งว่า ที่เห็นลมชัดแบบนี้ ที่รู้สึกถึงภาวะทางกาย ท้องป่องออกมา ท้องยุบลงไป นั้นเป็นธรรมชาติธรรมดาของการที่เราโฟกัสอยู่กับสิ่งนี้

 

ถ้าหากว่าโฟกัสอยู่กับอะไรนานพอ แล้วจิตไม่ไปไหน ในที่สุดก็เกิด ก็เกิดภาพหรือว่านิมิตทางใจ ชัดขึ้นเป็นธรรมดา

 

ขอให้ช่วยตอบด้วย ถ้าในกรณีที่ท่านฝึกรู้ลมด้วยท่าที่หนึ่ง ถึงท่าที่สาม ตามที่ผมสอนมาประมาณสองเดือน ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม (ตอน นับหนึ่ง สมาธิวันแรก) เป็นต้นมา

 

เดี๋ยวจะอธิบายว่าทำไมผมมาถามนำแบบนี้ในช่วงต้น แล้วเราจะมาพูดถึงเรื่องการเห็นสังขารขันธ์กันอย่างไรนะครับ

 

สำหรับกลุ่มแรกที่บอกว่า ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ มีความเห็นแจ่มแจ้งชัดเจน ต่อเนื่อง อย่างที่เห็นในแอนิเมชันนะครับ

 

แสดงให้เห็นว่าคุณฝึกมาจริง แล้วก็มีความต่อเนื่อง พวกนี้จะเห็นสังขารขันธ์ง่าย แยกแยะง่าย ว่าความต่างระหว่างมโนภาพตัวตน กับนิมิตสังขารขันธ์เป็นอย่างไร

 

เดี๋ยวคืนนี้จะเจาะรายละเอียดกัน ตอนนี้จะบอกให้เข้าใจคร่าวๆ ก่อน

 

กลุ่มที่สองที่บอกว่าเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง หรือว่าบางทีก็เห็นชัด บางทีก็เลือนราง แปลว่าจิต ยังถูกปรุงแต่งอยู่ด้วยมโนภาพตัวตน แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นนิมิตสังขารขันธ์บ้างเป็นระยะๆ

 

ส่วนกลุ่มที่สาม โอกาสเห็นนิมิตสังขารขันธ์จะน้อย แต่ไม่ใช่เห็นไม่ได้นะคือถ้าทำความเข้าใจดีๆ ซึ่งในคืนนี้ผมเชื่อว่า หลังจากนั่งสมาธิด้วยกัน แล้วอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ หรือว่าประสบการณ์ที่เราจะได้มาพบเจอในกายใจของตัวเอง โดยความเป็นสังขารขันธ์แล้ว ก็น่าจะเข้าใจ แล้วก็มีความกระจ่างขึ้น

 

เดี๋ยวมาดูโพล หวังว่าคงเข้าใจคำถามชัดเจนนะเอาเฉพาะสำหรับท่านที่ทำในท่า 1-2-3 มาประมาณเดือนครึ่งนี่นะครับ

 

โพลบอกว่า 27% ปรากฏชัด ตั้งมั่นสบายทุกครั้งที่เป็นสมาธิ

 

นั่นหมายความว่า การหายใจโดยอาศัยท่าประกอบช่วย จะช่วยให้หายใจได้ดีขึ้นจริงๆ แล้วจิตก็มีความตั้งมั่นมากพอ ที่จะเห็นลมหายใจถนัดชัดได้ทุกครั้งที่เกิดสมาธิ

 

ส่วนบอกว่า ปรากฏบ้าง เลือนรางบ้าง พวกเราก็ตอบกันตรงไปตรงมานะครับ ซึ่งนี่เป็นผลที่บอกได้นะว่า เราทำมา จริงๆ แล้วก็เวิร์คนะ อย่างน้อยเวิร์คว่าที่จะไม่ได้ผลอะไรเลย

 

เพราะต้องอธิบายอย่างนี้ว่า ถ้าไม่ใช้ท่าประกอบ ผมเห็นมา เอาเฉพาะชีวิตผมที่เห็นมา 30 กว่าปี ทั้งตัวเองแล้วก็จากคนอื่นที่พยายามฝึกๆ สมาธิกัน

 

ถ้าไม่ใช้ท่าประกอบ ลมหายใจจะเป็นสิ่งที่ปรากฏได้ยากต่อใจ

 

คุณต้องตัวเบา ใจเบา พูดง่ายๆ ปลีกวิเวก ไม่กินเยอะ ไม่เสพความบันเทิง แล้วก็ฝึกรู้ลมหายใจซ้ำๆ กันเป็นเดือนเป็นปี จนกว่าจะกายจะยืดหยุ่น แล้วก็มีจิตที่ประณีต สามารถสัมผัส สำเหนียกถึงลมหายใจเข้าออกโดยความเป็นนิมิต

 

นิมิตแบบเมื่อกี้นี้ ประมาณอย่างนั้น

 

ทีนี้พอมาอาศัยท่าช่วยประกอบ เริ่มตั้งแต่ท่าที่หนึ่ง ดันลมเข้า ก็จะทำให้รู้สึกถึงลมที่ยาวขึ้น แล้วต้องเป๊ะด้วยนะ เพราะบางคน มีแค่ท่ายกมือ แต่ไม่ได้กำหนดไว้ในใจว่า จะอาศัยฝ่ามือที่หงาย ดันล้มเข้า ก็ไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างฝ่ามือกับลมหายใจ

 

แต่ถ้ามีความเชื่อมโยงระหว่างฝ่ามือกับลมหายใจ ในที่สุดคุณจะรู้สึกว่า มือนี่เป็นตัวช่วยไกด์ได้จริงๆ สติของคุณจะรู้ถึงความเคลื่อนไหว ที่จับต้องได้ด้วยฝ่ามือ ลมหายใจที่ดูเหมือนกับรู้ได้ยาก ก็รู้ได้ง่ายขึ้น

 

เกิดวิตก วิจาร .. วิตักกะ วิจาระ กันได้จากตรงนี้

 



 

ท่านี้ ที่ผมพูดถึงนะ คือพอเราสามารถที่จะรู้สึก ความเร็วช้า อัตราการเคลื่อนไหวของลมหายใจนี่ตั้งต้นขึ้นในเวลาไหน แล้วก็หายไปเวลาใด

 

ตัวนี้แหละที่จะเกิดความรู้สึกชัดขึ้นมา และถ้าหากชัดขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดจิตจะรู้สึกถึงลมหายใจโดยความเป็นนิมิตเอง โดยไม่ต้องเรียกร้อง ไม่ต้องพยายามไม่ต้องเค้นใดๆ ทั้งสิ้น

 

ส่วนท่าที่สอง ออกแบบมาเพื่อที่จะให้คุณรู้สึกถึงท้องที่ป่อง ถ้าหายใจไม่ยาวพอ จะปีติยากจริงๆ

 

 

อย่างที่ผมแสดงเป็นรูปนี่ ตอนที่เรารู้สึกถึงท้องป่อง แล้วก็มีการขยายที่หน้าอก ลมหายใจจะยาวเองอยู่แล้วตามธรรมชาติ

 

ถ้าไม่ฝึก อย่างที่ยกมือรูดจากแนวท้องไปถึงแนวอก บางทีไม่มีจังหวะให้จับว่า หน้าท้องนี่ควรจะป่องออกมาด้วยจังหวะช้าเร็วประมาณไหน

 

พอมีมือมา ก็จับได้ชัดขึ้นถนัดขึ้น ก็เกิดปีติได้ง่าย เกิดความสุขได้ง่าย

 

ทีนี้ ก็ต้องเป๊ะ คือเริ่มจากท่าแรก รู้ลมหายใจให้ได้ก่อน มีวิตักกะ มีวิจาระ  แล้วจากนั้น พอเรารู้สึกถึงลมหายใจได้ชัด จิตเป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจแล้วค่อยขึ้นท่าที่สอง ภายใน 5 นาทีหรือ 10 นาที คุณดูเอาเองว่า รู้สึกถึงลมหายใจชัดได้ที่นาทีไหน

 

ตัวนี้แหละที่พอทำๆ ไป อย่างที่ให้ดูนะครับว่า พวกเรามีคนทำกันได้จริงๆ ประมาณ หนึ่งในสี่

 

ทุกครั้งที่เกิดสมาธิ จะเป็นทุกครั้งที่รู้สึกถึงนิมิตของลมหายใจชัด แล้วก็มีเครื่องประกอบพร้อมนะ ท้องป่องออกมา มีหน้าอกที่ขยายออก

 

คือพูดง่ายๆว่า ท่าประกอบตรงนี้ ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ว่ามีจุดประสงค์ไปเพื่ออะไร ถึงจุดหนึ่ง ที่คุณสามารถเห็นได้เพียวๆ แค่นี้ มีช่วงลำตัวนะครับ ท้องป่องออกมา หน้าอกขยาย ลมหายใจชัด คุณไม่ต้องใช้มือไกด์แล้วก็ได้

 

ร่างกายจะอยู่ในสภาพยืดหยุ่น จิตใจจะอยู่ในภาวะประณีต

 

ประณีตคือมีความใส ไม่ขุ่นมัวด้วยความฟุ้งซ่าน ตัวนี้ที่เราจะมาเริ่มพิจารณาเห็นว่า มโนภาพในตัวตน เปลี่ยนมาเป็นนิมิตสังขารขันธ์ได้อย่างไร ซึ่งเดี๋ยวจะพูดถึงอย่างชัดเจนนะ

 

ไม่อย่างนั้นคำถามที่ได้รับมาทั้งชีวิตนะครับ แล้วก็มาหนาแน่นเอาช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี่ หลายท่านบอกว่าเริ่มได้สมาธิ แต่ไม่เข้าใจว่าจะยกขึ้นเป็นวิปัสสนาในจังหวะไหนดี

 

เพราะบางที เรารู้สึกว่าเราได้สมาธิ แต่ว่าพอยังไม่เกิดวิตักกะ ยังไม่เกิดวิจาระ จิตยังไม่ล็อคเป็นอัตโนมัติ บางทีไม่แน่ใจ ว่าเรากำลังเห็นอะไรจริงหรือเปล่า

 

แต่ถ้าวิตักกะ และวิจาระปรากฏชัด อย่างที่ผมให้ดูว่ามีกลุ่มแรกที่บอก .. คือ 27 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าเห็นอย่างนี้ นิมิตอย่างนี้ปรากฏชัดทุกครั้งที่เป็นสมาธิ พวกนี้มีวิตักกะ วิจาระเต็มบริบูรณ์แน่นอน

 

แล้วพอจะไปจับพิจารณาเวทนา ด้วยความเป็นของไม่เที่ยง เดี๋ยวก็ปีติ น้อย เดี๋ยวก็ ปีติมากขึ้น หรือว่ามีความสุขมาก มีความสุขน้อย เดี๋ยวมีความคิดผ่านเข้ามาในหัว เดี๋ยวความคิดนั้นหายไป

 

เวลาที่เห็น จะเห็นออกมาอย่างชัดเจน เพราะจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยวิตักกะ วิจาระริบูรณ์แล้วนี่ จะเห็นอะไรง่าย คือไม่ต้องตั้งใจเห็นนะ แค่รู้สึกว่ามีอะไรกำลังปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏนั้น ถูกจับมั่นถูกคั้นให้ตาย

 

ไม่อย่างนั้น ถ้าไม่มีวิตักกะ วิจาระ คุณจะรู้สึกว่าจับไม่มั่นคั้นไม่ตายสักที ไม่ว่าจะเรียนรู้ธรรมะจากแนวไหนสำนักใด

 

นี่คือความสำคัญขององค์สมาธิ คือถ้าเราเริ่มเข้าใจที่จุดนี้เราก็จะเข้าใจเช่นกันว่าทำไมพระพุทธเจ้า ท่านถึงสอนอานาปานสติเป็นหลัก

 

เพราะว่าอานาปานสติ วัดผลกันได้แบบชัดเจน ว่าเกิดวิตักกะ เกิดวิจาระแล้วหรือยัง ถ้าหากว่าคุณสามารถเห็นลมหายใจได้ ก็แทบไม่มีอะไรเลยที่คุณจะเห็นไม่ได้นะ

 

เวลาความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้นในหัว จะเกิดเป็นกลุ่ม กลุ่มภาวะอะไรอย่าง หนึ่ง ที่คุณรู้สึกเลย เหมือนหมอกควัน เหมือนอะไรที่คุณจับต้องได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่แล้วหายไปเมื่อไหร่ เห็นได้แม้กระทั่งความรู้สึกความนึกคิดของคนอื่น

 

ซึ่งพระพุทธเจ้าสอน บอกว่า ให้เห็นภาวะเหล่านั้น ลมหายใจของคนอื่นความสุขความทุกข์ของคนอื่น ความฟุ้งซ่านของคนอื่น ว่าเป็นสภาวธรรมที่ไม่แตกต่างจากที่เราเห็นในตัวเอง

 

ฝั่งเราเห็นอย่างไร ฝั่งเขาเห็นอย่างนั้น เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน ยิ่งคุณเห็นถนัดยิ่งคุณเห็นชัดขึ้นเท่าไหร่

 

นั่นแหละ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการทิ้งอุปาทาน ทิ้งความเชื่อว่ามโนภาพในตัวตนหรือว่าสังขารขันธ์ทั้งหลายเป็นตัวของคุณ

 

ทีนี้ อย่างช่วงเริ่มต้น ผมเข้าใจดี ว่าหลายท่านบอกว่า ไม่อยากขยับไม้ขยับมือ ซึ่ง โอเค คุณจะใช้อุบายไหนก็ตาม ไม่เกี่ยงนะครับ ไม่ใช่ว่าจะต้องมาบังคับใช้ตรงนี้เท่านั้น

 

แต่ถ้าหากว่าคุณใช้วิธีของคุณเอง จะนั่งดูลมหายใจเพียวๆ หรืออุบายอื่นใดก็ตาม แล้วไปไม่ถึงตัววิตักกะ แล้วก็วิจาระบริบูรณ์สักที

 

อันนี้แหละที่บอกว่า หันมาลองใช้ท่าที่ 1 2 3 นี่ ตามที่ผมบอกมาตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎา ดูซิว่าจะได้ผลไหม

 

ถ้าหากว่าได้ผล คุณจะทราบเองว่าถึงจุดนั้น จริงๆไม่ต้องใช้ท่าประกอบแล้วก็ได้

 

คืนนี้เรามา สวดมนต์แล้วทำสมาธิกันต่อ แล้วผมจะไกด์ให้เห็นนะครับว่า ถ้าเราทำสมาธิเป็น สามารถพลิกจากมโนภาพในตัวตน ให้กลายมาเป็นนิมิตสังขารขันธ์ เห็นด้วยความเป็นอนัตตา เห็นโดยความเป็นของอื่นไม่ใช่ตัวเราได้อย่างไร

____________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน มโนภาพตัวตน vs. นิมิตสังขารขันธ์

ช่วง โพลครั้งที่ ๑

วันที่ 18 กันยายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=rYwogsen-Ws

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น