ดังตฤณ : เมื่อกี้คุณฟังผิดนะ ตาที่สามนี่ ไม่ได้รู้ทุกศาสตร์นะ แต่ถ้าตาในแบบพุทธ จะรู้ครอบคลุมหมดเลย
คือหมายความว่า การรู้แบบพุทธ อย่างแจ่มแจ้ง
การรู้ออกมาจากข้างใน ราวกับว่ามีตาในอยู่ เห็นกายให้ชัดๆ ก่อนออกมาจากตาใน
มีความสว่างโพลงออกมาจากข้างในก่อน
เหมือนกับเดิมที กายนี้เป็นห้องมืด
แล้วคุณมีสวิทช์ปิดเปิดให้สว่างโพลงได้ดังใจนึก อันนี้เรียกว่าตาในแบบพุทธฃ
การมีตาในแบบพุทธแตกต่างจากการมีตาที่สาม
ที่เขาฝึกๆ กัน
แบบที่เขาฝึกๆ กัน ตาที่สาม
ให้เพ่งออกมาจากกลางหน้าผากให้ activate ให้สมองที่พูดง่ายๆ
เป็นส่วนคิด ทำงานในอีกแบบหนึ่ง ทำงานในแบบแทนที่จะคิด ก็เปลี่ยนเป็นเห็น
ซึ่งเท่าที่รู้จักกับคนที่ได้ตาในมาหลายๆ คน
จะไม่ได้รู้สิ่งที่ถูกต้องนะ แต่รู้สิ่งที่เพี้ยน
มีบางกลุ่มที่ได้ตาในแบบเดียวกัน
แล้วก็สะกดจิตกันเองให้เห็นสิ่งที่ทางกลุ่ม ได้รู้ได้เห็นตรงกัน
ถ้าใครรู้เห็นแตกต่างไป ก็บอกว่าไม่ใช่ ให้ไปเห็นใหม่ ให้เห็นภาพแบบนี้
เห็นความจริงแบบนี้ เที่ยวตัดสินว่าใครเป็นพระอรหันต์ ใครไม่ใช่ อะไรแบบนี้
เลยเพี้ยนไปทั้งกลุ่ม
นี่คือโทษของตาที่สาม
คือบางทีเห็นอะไรที่พ้นจากแก้วตาเห็นจริงๆ แต่สามารถเห็นเพี้ยนได้
ตรงข้ามกับตาในแบบพุทธ
ถ้าเรารู้เห็นความจริงเกี่ยวกับสภาพร่างกายออกมาก่อน
มีฐานที่ตั้งของความจริงให้อ้างอิง เวลาจะไปรู้อะไรภายนอก
จะรู้ออกมาจากความจริงภายใน ไม่ใช่เริ่มต้นตั้งหลักจากภายนอกก่อน
ตั้งหลักจากภายนอกนี่ เพี้ยนกันมานักต่อนัก
ผมว่าเกินกว่า 50% ไม่รู้นะว่าจะกี่ %
แน่ ประเภทที่ฝึกมองออกไปข้างนอกก่อน หรือพอมีโอภาส
มีแสงสว่างขึ้นมาแล้วตามโอภาสไป ออกนอกกาย ออกนอกใจ เห็นเพี้ยนได้
คุณคิดดู
ศาสนาอื่น เกิดขึ้นได้ก็เพราะศาสดาดูออกข้างนอกนี่แหละ ไม่ได้ดูจากข้างใน
มีศาสนาพุทธศาสนาเดียว
ที่พระพุทธเจ้าเห็นความจริงทั้งหมด ทั้งปวงได้ เพราะว่าฝึกอานาปานสติ คืนตรัสรู้
ท่าน train จิตของท่านเองให้เป็นอานาปานสติ รู้ลมหายใจ
รู้เข้ามาในกาย เอาความสว่างเข้ามา จุดชนวนความจริง จุดชนวนสัจจะ เป็นสัจธรรมของกาย
เป็นสัจธรรมของใจ
รู้ที่มาที่ไปของกายใจ
แล้วพอรู้ที่มาที่ไปกายใจ ก็จะโพล่ง กลายเป็นการบรรลุธรรม และการบรรลุธรรมของพระองค์ก็รวบรวมเอาอภิญญาทั้งปวงที่คนอื่นทำกันไม่ได้
ฝึกกันไม่ได้ มาอยู่ในพระองค์เองพระองค์เดียว
อันนี้พูดเอา
สเกลใหญ่สุด ส่วนสเกลย่อยๆ เช่น ปุถุชนธรรมดา ยังไม่ได้มรรค ยังไม่ได้ผลอะไร
ถ้าเราแค่ฝึกอานาปานสติ ไปจนกระทั่งกายสว่างโพลง ใจสว่างโพลง สัจธรรมเกี่ยวกับกาย
เกี่ยวกับใจสว่างโพลงต่อการรับรู้ของเราได้
ต่อไป
ไม่ว่าเราจะอยากรู้อยากเห็นอะไร จะรู้และเห็นโดยอิงอยู่กับความจริง
ไม่ใช่อิงอยู่กับความอยาก
อยากให้เป็นอย่างนั้น
อยากให้เป็นอย่างนี้ ยกตัวอย่างเช่น อยากให้มีสวรรค์อะไรสักชั้นหนึ่ง
คงอยู่ถาวรตลอดไป
พอความอยากเป็นแบบนั้นปุ๊บ
จะเข้าทิศทางในแบบที่อยากขึ้นสวรรค์ แล้วก็ตั้งความเชื่อว่า
จะมีสวรรค์อยู่แบบหนึ่ง ที่อยู่ยั้งค้ำฟ้า แล้วเราจะไม่เบื่อสวรรค์ชั้นนั้นตลอดไป
มีแต่ความสุข มีแต่ญาติมิตรที่น่ารัก น่าใคร่ มีแต่คนรักที่น่าพิศวาส
โดยธรรมชาติก็มีอะไรแบบนั้นมาล่อให้นึกว่า ภาวะชั่วนิรันดร์มีอยู่จริง
เราไปเห็นสวรรค์
ไปเห็นที่ทางอะไรในแบบที่เราจินตนาการไว้ วาดภาพไว้
ก็นึกว่านั่นเป็นความจริงขั้นสุดยอด หลุดออกไปจากกรงขังที่ตัวเองสร้างขึ้นมาดักตัวเองไว้ไม่ได้
นี่ก็เป็นเรื่องว่า
ทำไมการได้ตาในแบบพุทธ จึงดีกว่าการได้ตาที่สาม หรือว่า
การได้ตาทิพย์อะไรแบบที่ชาวโลกเขาพยายามฝึกๆ กัน
คุณไปดูเถอะ
ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของใคร แม้แต่ยุคใหม่ที่นึกว่าสอนแบบพระพุทธเจ้า
บางทีไม่ได้ให้รู้เข้ามาในกายในใจ พลิกนิดเดียว องศาเดียว ไปข้างนอก
ต่อให้ดูความเป็นอิริยาบถของกายอยู่
ดูเวทนา ฟังเหมือนจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านะ แต่ให้ดูที่ผิวนอก ให้ดูที่ท่าทาง
ให้ดูที่การล็อคสเปคเวทนา ว่าจะต้องรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ มี vibration อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ให้รู้ตามจริง ในแบบที่พระพุทธเจ้าให้รู้
ถ้าเราจะแน่ใจว่ารู้ตามจริงแบบที่พระพุทธเจ้าให้รู้เป็นอย่างไร
เริ่มจากรู้ลมหายใจให้ได้ก่อน นี่แหละ ที่ท่านตรัสไว้ในทีปสูตรนะว่า
อานาปานสติเป็นศูนย์กลางของกรรมฐานทั้งปวงในศาสนาพุทธนะครับ
__________________________
ถ้าได้ตาใน
หรือ ตาที่สาม เราจะรู้รอบทุกศาสตร์เลยหรือ
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน ชนวนสมาธิ
ช่วง
คำถาม - คำตอบ
วันที่
4 กันยายน 2564
ถอดคำ
: เอ้
รับชมคลิป
: https://www.youtube.com/watch?v=8wwVx1wn3LI&t=188s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น