วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2564

06 มโนภาพตัวตน vs. นิมิตสังขารขันธ์ : รวมฟีดแบ็ค

- วันนี้ท่าแรกฟุ้งเต็มไปหมด และแน่นเพ่งช่วงหน้าอก แต่พอเริ่มท่าสอง ทำไปๆ ความแน่นหายไปตอนไหนไม่รู้ เริ่มเห็นลมหายใจชัด รู้สึกถึง

ความสงบสบาย พอช่วงต่อมาพิจารณาตามที่อาจารย์ชี้ให้ดู ก็ไม่เห็นความเป็นตัวตนแบบเดิม มันไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับอัตตสัญญา บอกไม่ถูกว่าเห็นสังขารขันธ์หรือไม่ แค่สบายและสงบนิ่งๆ กับลม

 

ดังตฤณ : ตรงที่เราเริ่มมีความเข้าใจนี่นะ จะเห็นเลยว่า แค่มีสมาธิอย่างเดียว ไม่ได้พาไปนิพพาน แต่ต้องมีการสะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ เข้าไปอีก

 

อย่างตอนสงบ เดิมมนุษย์ธรรมดาทั่วไปก็รู้สึกว่ายากแล้ว แต่เอาความสงบไปใช้ ก็รู้สึกว่า เหมือนกับต้องก้าวไปอีกสเต็ปหนึ่ง ซึ่งตรงนี้แหละ ที่คนจะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีกำลังใจ ไม่ค่อยรู้สึกว่า เป็นเรื่องที่หวานหมู คือจะค่อยๆ ไปตามลำดับ

 

แต่อย่างของคุณ ก็เขยิบขึ้นมาตามลำดับอยู่แล้ว ทราบด้วยตัวเองอยู่แล้วว่า จากเดิมที่รู้สึกว่าทำไม่ได้ กลายเป็นทำได้ๆๆ ขึ้นมา

 

เช่นกัน และในตอนนี้เราอยู่ในระหว่างช่วงรอยต่อ ระหว่างคนที่สามารถจะเข้าสมาธิได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนถ่ายไปสู่ช่วงของการที่ เราจะเอาความสงบ เอาความนิ่ง เอาความเป็นสมาธิของจิต มารู้สึก มารับรู้ถึงความเป็นสังขารขันธ์

 

ในคืนนี้ก็คือว่า เราจะเปรียบเทียบ ระหว่างมโนภาพตัวตนแบบเดิมๆ ที่เคยมี เคยผูกยึด ให้อุปาทานติดจิตติดใจ เกาะกุมห่อหุ้มจิตใจไม่ไปไหน

 

พอเปลี่ยนมาเป็นความเข้าใจว่า มโนภาพตัวตน ต่างไปแล้ว กลายเป็นนิมิตสังขารขันธ์ เห็นว่ามีวิตักกะ เห็นว่ามีวิจาระ พูดง่ายๆ ว่าเห็นลมหายใจชัดขึ้นมา นิมิตลมหายใจมาแทนที่มโนภาพตัวตนแบบเดิมๆ ว่าเราหน้าตาอย่างไร เป็นใคร เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย บุคลิกเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี เราชอบตัวเองแค่ไหน จะหายไป กลายเป็นลมหายใจดีๆ

 

ซึ่งตรงนี้ ถ้าจุดเปลี่ยนถ่ายนี้ เรามีความเข้าใจ และเห็นนิมิตลมหายใจบ่อยขึ้นๆ เข้าใจว่านี่คือการปรุงแต่งแบบใหม่ เอานิมิตของจริงของขันธ์ 5 มาแทนที่มโนภาพตัวตนหลอกๆ ก็จะเข้าใจมากขึ้นๆ แล้วมีสติ สมาธิดีขึ้น

 

ตอนแรกๆ นี่ แค่ตอนระหว่างที่กำลังทำสมาธิ แต่ต่อไปพอมีความตั้งมั่นมากขึ้น จะติดตัวออกไประหว่างวัน ลืมตาอยู่อย่างนี้ ก็สามารถเห็นออกมาจากข้างในได้

 

ตัวนี้แหละ ที่จะเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน คือคุณพบว่า แม้ลืมตาอยู่ หรือกระทั่งคุยอยู่กับใคร มโนภาพในตัวตน ก็ไม่ปรากฏว่ามีหน้าตาแบบนั้นแบบนี้ จะไม่จำไว้แบบนั้น

 

จะมีความสำคัญมั่นหมายแบบใหม่ขึ้นมา มีสัญญาขันธ์แบบใหม่ขึ้นมาว่า ที่ปรากฏอยู่อย่างนี้ สักแต่เป็นท่าทางของรูปร่างแบบหนึ่ง มีหัว มีตัว มีแขน มีขา ขยับไหว เคลื่อนไหวไปมาได้

 

แล้วก็มีความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ประมาณหนึ่ง มีความอึดอัด มีความสบายประมาณหนึ่ง แล้วก็มีความคิดที่เป็นกุศล หรือเป็นอกุศลประมาณหนึ่ง

 

เวลาใครเขาว่ามา ก็มีความเป็นอกุศลเกิดขึ้น ผัสสะที่เป็นอกุศล ก่อจิตที่เป็นอกุศล ก่อความรู้สึกปรุงแต่งอยากด่าสวน หรืออยากจะเก็บอั้นไว้ ตัวนี้จะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ

 

แล้วพอเราเข้าใจว่า นั่นคือสังขารขันธ์ชนิดหนึ่ง ก็จะถูกเหมารวมมาอยู่กับสิ่งที่เราเห็นแล้วในสมาธิว่า สังขารขันธ์เกิดขึ้นแป๊บหนึ่ง แล้วเดี๋ยวต้องหายไป

 

คือจะไม่จำไว้ว่า ความคิดไม่ดีเดี๋ยวจะอยู่ติดตัวเราไป หรือว่าเราจะพยายามลากยาว เพื่อแก้แค้น หรือว่าเพื่อที่จะเอาคืนอะไรแบบนี้ จะไม่มีอาการอยากลากยาว

 

จะเห็นเป็นแค่สังขารขันธ์กลุ่มหนึ่ง ปรากฏขึ้นแล้วเดี๋ยวต้องหายไป จะรู้สึกอย่างนี้ในใจ นั่นแหละเรียกว่า อนิจจสัญญาเกิดขึ้นแล้ว

 

(ต่อ) สำหรับช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พยายามพิจารณาตามที่อาจารย์ชี้ให้เห็นสัปดาห์ที่แล้วว่า มันเกิดของมันเอง มันปรุงของมันเอง ปรากฎว่าตามความคิดได้บ่อยขึ้น แรกๆ ยังหลุดไปกับอารมณ์ที่เกิดจากการปรุงของจิต พอใช้คำพูดนี้ดึง มันก็ยอมหยุดจม ถึงจะยังไม่เข้าใจจริงๆ แต่ก็ยอมปล่อยเร็วขึ้นๆ จนถึงบางครั้งมันเห็นตัวคิดแยกออกไปต่างหาก เหมือนไม่ใช่ตัวเราจริงๆ

 

ดังตฤณ: พัฒนาการจะมาในรูปนี้นะ คือฝึกทำซ้ำไปเรื่อยๆ ทำๆๆ ขอให้ทำซ้ำในแบบที่ถูกทาง ในแบบที่จะทำให้ใจยอมรับจริงๆ ว่าที่เรากำลังเห็นอยู่นี้ สักแต่เป็นขันธ์ 5

 

คุณจะรู้สึกขึ้นมาว่า ตอนนี้ เหมือนกับแกล้งทำ .. ตอนแรกๆ น่ะ แกล้งทำ เพราะใจเรายังรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ ที่ส่วนลึกจริงๆ .. ทั้งส่วนลึกส่วนตื้น ยังมีความรู้สึกเกาะกุมอยู่หนาแน่น

 

แต่พออยู่ในทิศทางที่ถูก เห็นขึ้นมาจริงๆ ว่านี่เป็นขันธ์หนึ่ง ไม่ใช่เป็นของที่จะอยู่ตลอดไป ไม่ใช่ของๆเรา ที่เราจะยื้อเอาไว้ได้ จะอยู่แป๊บหนึ่ง ใจก็จะค่อยๆ เห็นตามจริง และรู้สึกว่ายอมรับได้

 

ความยอมรับได้นี่ บางทีไม่ได้มาในรูปของการปล่อยเลย แต่มาในรูปของการ ค่อยๆ ปล่อยทีละนิดทีละหน่อย

 

หมายความว่าอะไร หมายความว่า ถ้าวันหนึ่งมีสติไหวทันเข้ามาว่า กำลังเกิดความคิด เกิดความรู้สึกยื้อ หรือเหนียวแน่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนใดคนหนึ่ง เวลาเขาพูดอะไรมากับเรา แล้วเรามีปฏิกิริยาสวนออกไปแบบหนึ่ง ชอบหรือไม่ชอบก็ตาม

 

ถ้าหากว่าหนึ่งวัน เรารู้ได้แค่หนึ่งครั้ง อย่างนี้เรียกว่าโอกาสซ้อม โอกาสที่จะทำแบบฝึกหัด น้อยเกินไป

 

เหมือนเล่นปิงปอง ตีทีเดียวแล้วบอกว่า ซ้อมปิงปองแล้ว ก็คงไม่ใช่

 

แต่ถ้าหากว่า เราสังเกตอยู่ เรื่องความชอบความชัง เรื่องปฏิกิริยาทางใจที่มีมากระทบอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน แม้กระทั่งความคิดเราเอง มีความคิดไหน ระลอกใด กระทบใจแล้วเกิดความรู้สึกไม่ชอบขึ้นมา นี่ก็เรียกว่าเป็นแบบฝึกหัดมาแล้ว

 

เราจะทำแบบฝึกหัดหรือไม่ทำ เราจะซ้อมหรือไม่ซ้อม ขึ้นอยู่กับสติของเรา

 

ถ้าหากว่า มีสิ่งน่าชอบใจ สิ่งที่ไม่น่าชอบใจมาวันละหนึ่งพันครั้ง แล้วเราทำแค่ครั้งเดียว อย่างนั้นเรียกว่าไม่ได้ซ้อมเลย

 

แต่ถ้าทำวันละสิบยี่สิบครั้ง อย่างนี้เรียกว่าซ้อมบ้าง

 

ถ้าทำวันละร้อยครั้ง อย่างนี้เรียกว่ามาพันครั้ง เราทำร้อยครั้ง เรียกว่าหนึ่งในสิบ เราทำแบบฝึกหัดไปหนึ่งในสิบ

 

แต่ถ้ามาพันครั้ง แล้วเรามีสติดีมากๆ เอาเป็นว่าเกิน 500 ครั้ง จะเกิดอาการแบบที่คุณว่า ว่าถึงแม้จะรู้สึกยังไม่เข้าถึงจริงๆ ยังไม่ซึ้งจริงๆ ว่านี่คือขันธ์ 5 แต่จะออกอาการว่าปล่อยได้เร็วขึ้นๆๆ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่า เป็นแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จริงๆ ด้วย อยู่ที่ตัวเรา

 

***

 

- ท่าที่ 1 เห็นลมหายใจชัดกว่าท่าที่ 2 ค่ะ พอทำท่าที่ 2 รู้สึกว่าไปโฟกัสกับมือมากกว่าลมหายใจ เลยต้องเปลี่ยนเป็นทำท่าที่ 3 หยุดนิ่งแทน แล้วก็เห็นลมหายใจชัดเจนค่ะ

 

ดังตฤณ: จะด้วยอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเห็นลมหายใจได้ชัด ถือว่าบรรลุเป้าหมายนะครับ เพราะที่เราทำกันมา เราจะเอาอานาปานสติในแบบที่มีเครื่องทุ่นแรงนิดหนึ่ง เพราะพวกเราไม่ได้อยู่แบบปลีกวิเวก ไม่ได้มีโอกาส full time ในแบบที่คนอยู่วัด ท่านจะได้โอกาสกันนะครับ

 

ก็ถือว่าเรามาอาศัยเครื่องทุ่นแรงตรงนี้ ทำความรู้จักกับอานาปานสติ แล้วก็มาดูกันว่า พอได้อานาปานสติเป็นสมาธิแล้ว จะเอามาใช้พิจารณากายใจโดยความเป็นขันธ์ 5 ได้อย่างไรนะครับ

 

***

 

- ตอบตามจริง แต่ไม่มีในโพล คือเข้าใจที่ อจ บรรยายมาค่ะ แต่ยังไม่เห็นสังขารขันธ์ อาจเพราะตัวเองยังเพิ่งมาฝึก มีความรู้ลมต่อเนื่อง มีหลุดไปคิดแวบบ้างก็รู้ และกลับมาได้ น่าจะได้วิตกและวิจาร แต่ยังไม่ถึงปิติแค่ความนิ่งสงบ

 

ดังตฤณ: นี่เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจนะ ไม่ใช่เรื่องของการเห็นอย่างเดียว

 

อย่างคุณบอกว่า หลุดไปคิดแวบบ้าง แล้วมาได้วิตกวิจารนะครับ สามารถเห็นลมหายใจได้ชัด แค่นี้ก็เรียกว่าเห็นรูปขันธ์แล้ว

 

ต้องทำความเข้าใจเข้าไปนะว่า การเห็นลมชัด ก็คือเห็นธาตุลมนั่นเอง

 

แล้วการเห็นธาตุลม เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก ที่เรียกว่ามีวิตกวิจาร ตรงนั้นก็เห็นความไม่เที่ยงแล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะตัดสินด้วยการที่บอกว่า ไม่สามารถเห็นรายละเอียด เช่น เวทนา สัญญา สังขาร

 

เอาแค่เห็นรูปขันธ์ได้อย่างเดียว ด้วยความเข้าใจว่า นั่นคือธาตุลม ไม่ใช่ตัวตน นี่เรียกว่าเห็นส่วนหนึ่งของขันธ์ 5 แล้ว

 

และถ้าหากว่าเราตั้งต้นจุดชนวนติด ด้วยการเห็นรูปขันธ์ได้ เห็นลมหายใจเป็นธาตุลม เป็นรูปขันธ์ได้ จะต่อยอดไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด ต่อยอดไปไม่รู้จบ

 

เช่นว่า ณ จังหวะที่ลมหายใจกำลังเข้าออกอยู่อย่างนี้ มีความรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย หรืออึดอัด ตัวนี้ก็เรียกว่าเราได้เห็นเวทนาขันธ์ ว่าเป็นสุข หรือเป็นทุกข์อยู่

 

ตรงนี้มาตามเบสิคของพระพุทธเจ้าเลยนะ ว่าเห็นรูปขันธ์ก่อน เสร็จแล้วมาดูเวทนาขันธ์ ที่เกิดพร้อมรูปขันธ์นั่นแหละ

 

พอเราตั้งต้นอย่างนี้ได้ เราไปอ่านในพระไตรปิฎก เราจะไม่งงเลย อย่างมีบางสูตรกล่าวไว้ แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ อย่างเช่นบอก

 

โยคาวจร เห็นขันธ์ 5 อย่างไร เห็นโดยความเป็นปฏิจจสมุปบาทว่า สิ่งนี้เกิดขึ้น เช่นลมหายใจเข้ายาวๆ สบายๆ แล้วสุขเวทนาเกิดขึ้น ก็เรียกว่าเห็นโดยความเป็นเหตุปัจจัย

 

คือไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เราทำสมาธิได้ลึกซึ้ง แล้วจะมีความเข้าใจธรรมะในแง่ของความเป็นขันธ์ 5 เป็นปฏิจจสมุปบาทได้เอง .. ไม่ใช่

 

ต้องมีความเข้าใจ อย่างของคุณบอกว่า มีวิตักกะ วิจาระ แล้ว นี่คุณฟันธงได้เลยว่า บวกความเข้าใจเข้าไปนิดเดียวว่า นี่คือรูปขันธ์ นี่คือธาตุลม คุณได้ชื่อว่าเห็นตัวขันธ์ 5 เป็นจุดเริ่มต้นแล้ว

 

ตั้งต้นขึ้นมา ขันธ์ 5 ขึ้นต้นด้วยรูปขันธ์ก็เพราะอย่างนี้ เพราะว่าเวลาที่เราเอามาปฏิบัติจริง เราจะเริ่มเห็นจากรูปขันธ์ก่อน คือมีอยู่เหมือนกันคนที่พอใจจะไปเอาตัวนามขันธ์ก่อน จะไปเห็นเวทนาขันธ์ก่อน หรือว่าเห็นตัวสังขารขันธ์ก่อน แต่ว่าจะไม่ตั้งมั่น จะไม่เหมือนกับฝึกอานาปานสติไป

 

ถ้าใครมีความเชี่ยวชาญ ที่จะอยู่กับลมหายใจเข้าออก จนกระทั่งจิตมีความเด่นดวงตั้งมั่น อยู่ตลอดวันตลอดคืน จะรู้เลยว่า ฝึกอานาปานสติได้ ลงทุนกับอานาปานสติ จนกระทั่งเกิดความชัดเจนขึ้นมา จะรู้ได้เรื่อยๆ ปฏิบัติได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องเอาตัวย้ายไปไหนเลย อยู่ในที่ๆ ร่างกายอยู่นั่นแหละ ก็สามารถที่จะเห็นขันธ์ 5 ได้นะครับ

 

***

 

- วันนี้ตามรู้ลมหายใจได้ชัดเจน เห็นถึงท้องพองยุบ ลมหายใจที่เข้าออกและความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราวครับ

ดังตฤณ: ตัวนี้ก็คือ ถ้าเราตีค่าว่าเรากำลังเห็นขันธ์ 5 กำลังแสดงความไม่เที่ยงอยู่ เราก็จะมองว่าบางที ท้องก็พอง พองขึ้น บางทีท้องก็ยุบลง

 

รูปขันธ์ แสดงอาการพองบ้างยุบบ้างให้เราเห็น หรือลมหายใจบางทีก็เข้าบ้างออกบ้าง นี่ก็คือรูปขันธ์ แสดงอาการเข้ามา แล้วออกไปให้เราเห็น

 

หรือความคิดที่ผุดขึ้นเป็นครั้งคราว ผุดแล้วก็หายไป นี่ก็คือสังขารขันธ์ ที่เกิดขึ้นในหัว ถ้าหากว่าเรามองอย่างนี้ บวกความเข้าใจเข้าไป ถือว่าเราได้เห็นขันธ์ 5 แล้วนะครับ

 

***

 

- วันนี้เห็นลมหายใจเป็นสายชัดๆ ครั้งแรกเลยค่ะ ท้องขึ้นลง ตัวเบาหวิวเลยค่ะ ช่วงคุณตุลย์สอนเรื่องสังขาร เห็นเป็นภาพเด็กน้อยผู้หญิงหน้าม้า

อวบๆ ราวๆอนุบาลมาเรื่อยๆค่ะ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร หรือตัวเราเองตอนเด็กๆ แต่ขอขอบพระคุณคุณตุลย์กับทีมงานมากๆนะคะ

 

ดังตฤณ: ตอนที่เรามีประสบการณ์ครั้งแรกที่เห็นสายลมหายใจชัดนี่นะ จะไม่ใช่อยู่ๆ ปรากฏขึ้นมา เพราะว่าวันนี้ฤกษ์ดี เพราะว่าวันนี้มีอะไรพิเศษ

 

แต่เป็นเพราะว่าเราสะสมมา ความพร้อมทางกาย ความพร้อมทางใจ จนกระทั่งเกิดการลงตัว แล้วก็ได้มีจิตที่โปร่งเบา จิตนี่ถ้าไม่มีความฟุ้งซ่านห่อหุ้มอยู่ โปร่งๆ ใสๆ อยู่ ก็พร้อมที่จะเห็นอะไรละเอียดได้อยู่แล้ว

 

แล้วถ้าลมหายใจปรากฏผ่านเข้าผ่านออก แล้วเรามีวิตักกะ วิจาระ ในที่สุด วันนี้ ก็ถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดี อันเกิดจากการสะสมมาดี ไม่ใช่ฤกษ์งามยามดีอันเกิดจากดวงของเรา ส่งให้เห็นว่าวันนี้มีดาวบางดวงจะดลให้เราเห็นลมหายใจได้ แบบนั้นไม่มี

 

มีแต่การสะสมมา มีแต่ประสบการณ์ แล้วก็การทำจริง ที่ต่อเนื่องมากพอนานพอนะครับ ขออนุโมทนาสาธุการ

 

เรื่องนิมิตอะไรอย่างอื่น ที่จะปรากฏแทรกขึ้นมาเป็นเด็กน้อย หรือเป็นอะไร เราเห็นเป็นสังขารขันธ์ไปนะครับ เห็นเป็นการปรุงแต่งจิตชั่วคราว ด้วยภาพนิมิตอะไรบางอย่าง

 

ยกเว้นแต่ว่าภาพนิมิตนั้น จะมีประโยชน์ในแง่ที่ แสดงให้เห็นความไม่เที่ยงจะจะ แสดงให้เกิดความรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่ตัวตนนี่ แล้วก็หลุดออกไปจากใจ แบบนี้มีประโยชน์

 

แต่ถ้าเป็นนิมิตค้างๆ แบบนิมิตฝันแบบนี้ เราให้ผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรมากก็ได้

 

อย่างภาพเด็กจะมีประโยชน์ตรงที่ ถ้าหากว่านิมิตของเด็ก แปรเป็นนิมิตของสาวรุ่น โตขึ้นมาเป็นสาวเต็มไว กลายเป็นสาวกลางคน แล้วกลายเป็นหญิงชรา ที่ถึงเวลาที่ใกล้จะลาโลก แบบนี้มีประโยชน์

 

แต่ถ้าเป็นเด็กน้อยเฉยๆ แล้วค้างอยู่อย่างนั้น แบบนี้ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรมากก็ได้

 

หรือถ้าครั้งต่อไป ถ้าเราอยู่ๆ เห็นขึ้นมาเองว่าเป็นนิมิตเด็ก แล้วเราใส่ใจพิจารณาว่า เด็กสาว เด็กผู้หญิง มีความหมายอย่างไร ธรรมชาติของความเป็นเด็กมีอย่างไร

 

แล้วเห็นว่า นิมิตแปรไปให้ดูเองนะครับว่า เดี๋ยวก็โตขึ้นได้ เดี๋ยวแก่ลงได้ เดี๋ยวเจ็บได้ เดี๋ยวแยกย้ายกระจายกลายเป็นมีกระดูก มีเนื้อหนัง มีตับไตไส้พุงอยู่ข้างใน แยกย้ายกระจัดกระจายไม่สามารถรวมตัวกันได้เป็นกองแบบเดิม อย่างนี้มีประโยชน์นะ เพราะทำให้ใจของเราเลิกยึดว่า นั่นคือตัวเด็กน้อย

 

คุณจะมองเห็นอีกแบบหนึ่งเลยว่า นั่นคือ รูปนาม ที่ปรากฏเป็นเด็กน้อยชั่วคราว แล้วต้องแปรเป็นอื่นเป็นธรรมดา ตามธรรมชาติ .. ธรรมชาติขั้นพื้นฐานเลย .. อะไรเกิดขึ้นได้ อะไรนั้น จะต้องแปรปรวนไป ความแปรปรวนเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นส่วนหนี่งของธรรมชาติก้อนนั้น

 

ถ้าเราเห็นอย่างนี้ได้ ใจจะปล่อย

 

แต่ถ้าเป็นเด็กน้อยเฉยๆ ให้สงสัยว่า นี่คืออะไร อย่างนี้ เราแค่มองว่าเป็นสังขารขันธ์ก็พอ สังขารขันธ์ที่ปรากฏแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก็หายไป

 

***

 

- รู้สึกลมหายใจแนบขึ้น รู้สึกท้องป้องแฟบค่ะ แต่ไม่เคยเห็นลมสว่างเป็นสายเลยค่ะ มีช่วงที่รู้สึกคลายแล้วโล่งๆค่ะ

 

ดังตฤณ: ตอนที่คุณรู้สึกว่าจิตแนบกับลมหายใจมากขึ้น ลองแค่ทำความรู้สึกไปนะ ว่ามีอาการแนบด้วยภาพที่ค้างในใจอย่างไร

 

ถ้าหากว่าเห็นเป็นอย่างนี้ แนบแล้วก็มีความรู้สึกอยู่กับนิมิตแบบนี้ มีตัวเป็นเครื่องประกอบ มีลมหายใจปรากฏชัด ให้ทำไว้ในใจว่าเราจะแนบเข้าไป เราจะติดอยู่กับภาพตรงนี้

 

พูดง่ายๆ ว่า ทำใจให้ชินเข้าไป ล็อคอยู่กับภาพนิมิต ภาพตรงนี้ได้ ในที่สุด คุณจะรู้สึกถึงจิตที่ไม่กระสับกระส่าย รู้สึกถึงจิตที่ไม่ดิ้นรน รู้สึกถึงจิตที่คงค้างอยู่กับความสว่าง ความว่าง แล้วก็ความสบาย

 

สบายเนื้อตัว ลมหายใจมีความสดชื่น และรู้สึกว่า ที่สดชื่นอยู่ก็ตาม ที่สบายอยู่ก็ตาม สักแต่เป็นเวทนาชั่วคราว

 

ตรงนี้แหละ ที่จะเริ่มสว่างขึ้นมา สว่างเพราะอะไร เพราะว่าจิตยิ่งนานไป ยิ่งไม่ดิ้น จิตยิ่งนานไปยิ่งนิ่งๆ เนียนๆ

 

ลักษณะของความสงบกาย ลักษณะของความสงบใจไม่กระสับกระส่ายนี่แหละ จะเป็นที่มาของปีติ เป็นที่มาของสุข

 

แล้วปีติกับสุขนี่แหละ ที่จะปรุงแต่งจิตให้เกิดความสว่างไสวขึ้นมา ความสว่างไสว ก็เป็นสังขารขันธ์ชนิดหนึ่ง

 

ถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่า นี่เรียกว่าสังขารขันธ์ นี่ก็เป็นแค่สังขารขันธ์ชนิดหนึ่ง เราจะไม่แคร์ว่ามันมาเมื่อไหร่ ไปเมื่อไหร่

 

ความสว่างนี้ ถ้ามาก็ดี ไม่มาไม่เป็นไร เพราะเป็นแค่สังขารขันธ์

 

ทำไว้ในใจแบบนี้นะ จะทำให้ใจของเราอยู่กับสติที่รู้อะไรตามจริงมากขึ้นไปเรื่อยๆ รู้ว่าสิ่งที่เห็นที่แท้เป็นแค่ขันธ์ 5 เท่านั้น

 

***

 

- นิมิต เห็นชัดท่าวาดมือ เป็นหลัก รู้เห็นสายลมหายใจเป็นรอง เห็นภาพความคิดผุดบ้าง แวบ ๆหลายครั้งพิจารณาว่าวาดมือ ต่างกัน ความเร็วต่างกัน ลมก็ต่างกันด้วย

 

ดังตฤณ: ตอนแรกๆ อาจมือชัดกว่าลม แต่ถ้ามีลมอยู่ ก็ถือว่าได้เป้า ได้ทิศทาง

 

สังเกตดู พอยิ่งทำนานไป แล้วใจมีความเข้าใจจริงๆ ว่าเป้าหมายของเราคือจะเห็นลมหายใจ

 

ลมจะค่อยๆ เด่นขึ้นๆ จนกระทั่งในที่สุด เหมือนอย่างที่ผมให้ดู แอนิเมชันนี่ ว่า เราไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลย

 

คือมือเคลื่อนไหวอยู่ก็จริง แต่เราเริ่มรู้สึกว่าเป็นแบ็คกราวด์ไปแล้ว เห็นแต่ช่วงตัว มีท้องป่อง มีหน้าอกขยาย แล้วก็มีสายลมหายใจที่ปรากฏเด่นอยู่จริงๆ ซึ่งนี่แหละ ที่เราต้องการในอานาปานสติ

 

มือ เป็นแค่อุบาย เป็นแค่เครื่องช่วย เป็นแค่เครื่องทุ่นแรง ที่จะช่วยให้เราไปถึงจุดนี้เท่านั้นเอง

 

***

 

- วันนี้ร่างกายรู้เห็นลมหายใจเอง แบบไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกสนุกที่เห็นลมหายใจ สว่าง โล่งโปร่ง เบา เย็นซ่านทั้งตัว เห็นกาย ลมหายใจชัดเจน รู้สึกไม่ใช่เรา เหมือนรู้รอบกาย เหมือนอะไรมีลมหายใจเข้าออก ความคิดเกิดๆดับๆ ไม่ใช่ตัวเรา ขอบคุณอาจารย์และทุกคนมากค่ะ ที่ทำให้ความเข้าใจ และการปฏิบัติก้าวหน้าเพิ่มขึ้นทุกวันๆ

 

ดังตฤณ: นี่คือเห็นขันธ์ 5 บริสุทธิ์เลยนะ คือไม่ใช่เห็นด้วยจิตที่เต็มดวง เป็นสมาธิ แบบตั้งมั่น เหมือนตามมาตรฐานแบบพระพุทธเจ้า แต่เข้าใกล้แล้ว ใกล้เคียงแล้ว

 

เมื่อไหร่ที่คุณเห็นแบบนี้ เมื่อนั้น คุณบอกตัวเองนะ อันนี้เป็นคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้านะ ถ้าคุณเห็นอย่างนี้ได้เรื่อยๆ ได้ทุกวัน หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน

 

ด้วยการเจริญอานาปานสติมาตามลำดับแบบนี้ พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้นะ ใครเห็นแบบนี้ เห็นกายใจโดยความเป็นขันธ์ 5 ได้เรื่อยๆ เป็นปกติ ไม่มีทางตายก่อนได้โสดาบัน เป็นคำประกันจากพระพุทธเจ้านะ

 

เพราะนี่คือพอเห็นถึงตรงนี้ คุณจะรู้สึกได้เลยว่า คุณไม่อยากได้แล้ว มรรคผล คุณจะไม่อยากไปถึงนิพพาน คุณจะไม่อยากได้อะไรที่เกินไปกว่านี้ เพราะว่าตรงนี้ เป็นจุดที่ตัวตนเริ่มหายไป

 

แล้วเมื่อไม่มีอะไรอยากได้รางวัลเพื่อตัวตน ก็เหลือแต่จิต ที่มีความปลอดโปร่งอยู่ มีปัญญาตื่นรู้อยู่ ว่า ไม่มีอะไรที่จะเอาเข้าตัว ไม่มีอะไรที่จะเอามาให้ตัวเอง มีแต่ขันธ์ 5 กำลังอยู่ในระหว่างทาง ที่จะรู้ตัวว่าเป็นขันธ์ 5

 

รู้ตัวว่าเป็นขันธ์ 5 ด้วยจิตเต็มๆ เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละ ที่จะปลอดภัย เมื่อนั้นแหละที่จะเซฟ เมื่อนั้นแหละที่สักกายทิฏฐิจะขาด ความรู้สึกในตัวในตนจะหลุดไปชั่วขณะ นะ

 

***

 

- ได้เห็นความเกร็งของคอบ่าไหล่ และการควบคุมลมหายใจ ในระหว่างทำบางช่วงค่ะ พอเห็นก็คลายลงได้

 

ดังตฤณ: ตัวการเห็นรายละเอียดที่เกิดขึ้น อะไรพวกนี้ จะพัฒนาให้สมาธิก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ

 

เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เราเห็นถึงสภาพความเกร็ง เมื่อนั้นเราเห็นถึงอุปสรรคที่มาขวางทางสมาธิ แล้วพออุปสรรคนั้นถูกย้ายออกไปได้ สมาธิก็ได้ทางโล่ง ที่จะเกิดต่อ

 

***

 

- รู้สึกถึงลมหายใจได้ชัด รู้สึกถึงกายที่กำลังขยับแขนและมือได้ชัด มีความฟุ้งเข้ามา ก็รู้ และไม่เข้าร่วม กลับมาดูกายที่กำลังหายใจ ท้องกระเพื่อม พองยุบ ตามการหายใจเข้า-ออก แรกๆ รู้สึกอึดอัดช่วงยกมือขึ้น หายใจเข้าสุดเต็มปอดแล้วกลั้นหายใจ รู้สึกเจ็บแปล๊บๆที่อก ดูลมหายใจไปเรื่อยๆ รู้สึกหายใจได้ยาว เห็นกายกำลังนั่งเป็นโครงหุ่น ขยับมือขึ้นลง เห็นมีแสงสว่าง คล้ายแสงที่ถูกเมฆบังอยู่ที่ดวงตา

 

ดังตฤณ: เวลาแสงสว่างเกิดขึ้นตรงหน้า อย่าไปสนใจ คือความสว่างแบบนั้น จะไม่ค่อยมีประโยชน์กับการเห็นสภาพทางกายทางใจเท่าไหร่

 

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกถึงความสว่าง ที่ปรากฏอยู่กับลมหายใจ นี่เริ่มมีประโยชน์แล้ว

 

ผมให้ตั้งข้อสังเกตเฉยๆ ไม่ใช่พยายามที่จะไปเร่งความสว่าง ไปไขความสว่างให้แรงขึ้นนะ แบบนั้น นอกจากจะไม่สว่างขึ้นแล้ว จะยิ่งกลับมืดลงเสียอีก

 

ผมให้เป็น roadmap เป็นแนวทางเฉยๆ ว่าถ้าสว่างตรงหน้า ไม่ค่อยมีประโยชน์ จะพาเรามองออกข้างนอก แต่ถ้าสว่างที่ลมหายใจ อันนี้มีประโยชน์ เพราะว่าความสว่างนั้น จะสว่างขึ้นๆๆ แล้วก็สว่างทั่ว เหมือนกับร่างกายเดิมเคยเป็นห้องมืดที่ถูกปิดไว้ แล้วพอลมหายใจสว่าง ก็เอาความสว่างเข้าไปในห้อง

 

ห้องก็สว่างขึ้นๆ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง สว่างโพลง แม้กระทั่งคุณไปนั่งหลับตาอยู่ในที่มืดมิดสนิท ก็จะรู้สึกว่า มีความสว่างไสว สว่างโร่อยู่ข้างใน เหมือนกับใครไปจุดตะเกียงอยู่ หรือว่ามีใครไปฉายสปอตไลท์อยู่ข้างใน ตรงนี้ถึงจะมีประโยชน์

 

ความสว่างที่พาออกข้างนอก จะพาหลงทางไปจากนิพพาน

 

แต่ถ้าหากสว่างขึ้นมาจากข้างใน แล้วมีความพอใจ มีฉันทะ ที่จะสำรวจ สังเกตรายละเอียดของเนื้อตัวนี้ ของสภาพจิตใจแบบนี้ นี่แหละ ทางไปนิพพาน

 

***

 

- ฝึกปฏิบัติสมาธิกับอาจารย์มาเกือบ2เดือน รู้สึกถึงความตายอยู่เรื่อยๆค่ะ รู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้ๆมันไม่เที่ยงในทุกๆอย่างค่ะ

 

ดังตฤณ: ได้ยิน เฉพาะวันนี้ ก็เป็นคนที่สองแล้วนะ วันนี้เพิ่งได้ยินกับหู บอกว่าพอรู้สึกถึงความเป็นกายใจ ที่เป็นแค่ขันธ์ 5 ไม่ใช่ก้อนตัวก้อนตนอย่างที่เคยคิดมาตลอดชีวิต

 

ก็รู้สึกว่า อีกแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ตาย ไม่รู้จะเอาอะไรไปทำไม ไม่รู้จะขวนขวาย ไม่รู้จะเอาอะไรมาปรนเปรอสภาพขันธ์ 5 นี้ ให้เดือดเนื้อร้อนใจไปทำไม อีกเดี๋ยวเดียวก็ไปแล้ว

 

เป็นข้อพิสูจน์ ข้อยืนยันว่า พุทธพจน์ยังเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ ทำได้ในปัจจุบัน เพราะพระองค์บอกว่า ขันธ์ 5 หรือ ขันธบรรพ ในสติปัฏฐาน 4 นี่ ฝึกไป เจริญไป เพื่อที่จะให้เกิดอนิจจสัญญา

 

อนิจจสัญญา ก็คือรู้สึกว่าไม่เที่ยง รู้สึกว่าไม่เหมือนเดิมนั่นเอง รู้สึกว่าเดี๋ยวก็ต้องหายไป เดี๋ยวก็ต้องคลี่คลายกลายเป็นอื่น

 

เมื่อไหร่ ที่คุณรู้สึกถึงความเป็นกายใจได้ว่า นี่เป็นขันธ์ 5 พิสูจน์กันตรงนี้ว่าไม่เที่ยง รู้สึกว่าอยู่อีกแป๊บหนึ่งเดี๋ยวก็หายไป

 

ใจคุณจะไม่มีความรู้สึกกังวลเหลือเกินว่า พรุ่งนี้จะทำอย่างไรกับขันธ์ 5 นี้ ไม่มีความรู้สึกว่า เดี๋ยวชาตินี้จะได้นิพพานหรือเปล่า ได้มรรคผลหรือเปล่า จะไม่มีนะ ความรู้สึกแบบนี้

 

มีแต่ความรู้สึกว่าแป๊บๆ เดี๋ยวก็หายไป แป๊บๆ เดี๋ยวก็ตายไป วันนี้วันเดียวได้ยินมาสองราย ถือว่าน่าดีใจนะ

 

***

 

- รู้สึกร่างกายที่นั่งอยู่เป็นโครงกระดูกนั่งอยู่ มีลมเข้าออกอยู่แค่กระดูกโพรงจมูก(ไม่ยาวถึงท้อง) รู้สึกซี่โครงขยาย หุบ มีแรงกระเทือนตุ้บตั้บกลางอกตลอดเวลา มีกลุ่มความคิด แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรภายในกระโหลกศรีษะอยู่ตลอด รู้สึกเบาสบายต่อเนื่องครับ...ขอบคุณมากครับ

 

ดังตฤณ: ตรงที่รู้สึกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ไม่รู้ว่าคิด .. คิดอยู่ แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ให้พิจารณาว่า เหมือนหุ่นยนต์ ที่มีกระแสไฟฟ้าเลี้ยงชิพอยู่ในหัว

 

ยังมีกระแสไฟฟ้า run program ว่า จงรู้สึกว่าเป็นตัวตนๆๆ แต่พอหุ่นยนต์รู้ทันว่า เป็นแค่กระแสไฟฟ้า ไหลๆ อยู่ ไม่ได้ตั้งใจที่จะ run program อะไรขึ้นมาอย่างอื่น ไม่มีจุดประสงค์ไม่มีเป้าหมายจะให้เกิดอะไรขึ้นเลย มีแต่กระแสไฟฟ้า ไหลเวียนไปเลี้ยงความรู้สึกว่า ฉันมีตัวตนๆ

 

พอเจ้าหุ่นยนต์นั้นรู้ทัน ว่ากระแสไฟฟ้า เกิดดับๆๆ เป็นระลอกๆ ในที่สุด คุณก็หลุดพ้นจากการเกาะกุม หรือว่าถูกครอบงำจากโปรแกรมนะ

 

***

 

- ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่เข้าถึงสมาธิจริงๆ ยังไม่ก้าวหน้าเท่าไร แต่มีใจเป็นสุข ขึ้น สงบขึ้น เวลาเข้ามาฟังธรรม และร่วมปฏิบัติพร้อมๆกับท่านอาจารย์และทุกๆคน ครั้นเวลาพบเหตุการณ์ที่กระตุ้นโทสะ เราก็รู้เท่าทัน มากขึ้น และพิจารณาตามลำดับในลมหายใจ จนเห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์ที่เกิดขึ้นครับ ถึงแม้จะยังอึดอัดอยู่ แต่ก็รับมือได้ดีขึ้นครับ

 

ดังตฤณ: นี่คือความก้าวหน้า บนเส้นทางที่พระพุทธเจ้าท่านปูทางไว้ให้พวกเรานะครับ จะกี่พันปีผ่านไป ถ้ายังมีคนทำอยู่ ก็ยังมีคนได้อยู่

 

____________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน มโนภาพตัวตน vs. นิมิตสังขารขันธ์

ช่วง รวมฟีดแบ็ค

วันที่ 18 กันยายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=WOV_bmQDZl8&t=197s

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น