ดังตฤณ : วิญญาณขันธ์ ก็คือจิต ที่เป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่
พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบว่า วิญญาณขันธ์เปรียบเหมือนมายากล
ถ้าเราดู แล้วเห็นว่า มีเหตุปัจจัยที่ให้รู้อะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งชั่วคราว พอสิ่งที่ถูกรู้นั้นหายไป
วิญญาณก็หายไปด้วย
อย่างนี้เรียกว่า รู้จักว่าวิญญาณขันธ์ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ
เป็นปลายทางเป็นเหมือนมายากลชนิดหนึ่ง
ผมยกตัวอย่าง อย่างเช่น ในขณะอยู่ในสมาธิ
เรารู้สึกว่าการรับรู้ ตั้งอยู่ที่จิตที่ตั้งมั่น มีความขาวโพลนมีความสว่าง ราวกับว่าไม่มีอะไรที่ไปเจือปนอยู่กับจิตนั้น
ทีนี้พอในจิตที่ว่างๆ นั้น เกิดสายหมอกของความคิดโผล่ขึ้นมาท่ามกลางความว่าง
เห็นเหมือนกับท้องฟ้าว่างๆ แล้วมีเมฆลอยมา จิตเกิดการรับรู้ว่ามีเมฆลอยมา
มีเมฆหมอกลอยมาอยู่ในหัวนี่
แล้วก็เห็นว่าเมฆหมอกนั้น มีความเคลื่อนไหว
ไม่ได้เกาะกลุ่มอยู่นิ่งๆ และมีความคิดถึงอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมา แล้วพอเรามองไปก็เห็นว่า
ความคิดถึงสิ่งนั้นนี่ปรากฏอยู่แป๊บหนึ่ง แล้วก็สลายตัวกลายเป็นความว่างใหม่
นี่ตรงนี้ได้ชื่อว่า วิญญาณขันธ์ที่เห็นตัวธรรมารมณ์
เคลื่อนเข้ามากระทบใจ เกิดขึ้นแล้ว แล้วพอตัวธรรมารมณ์นั้นสลาย หมอกนั้นสลายตัวไป
กลายเป็นความว่างเหมือนเดิม การรับรู้กลุ่มความคิด หรือว่าสายหมอกนั้น ก็สลายตัวตามไปด้วย
นี่ยกตัวอย่างแบบให้เข้าใจได้ง่ายๆ ที่สุด
ถ้าทำยากจริงๆ ตอนที่อยู่ระหว่างวัน แล้วตาประจวบรูป
เห็นรูปนะ แล้วก็เกิดปฏิกิริยาทางใจ รู้ขึ้นมาว่านี่มีอาการยึดรูปแล้ว หรือได้ยินเสียงมีอาการยึดเสียง
เห็นการยึดโยงของใจ จนกระทั่งว่าอาการยึดโยงนั้น เป็นแค่ของชั่วคราว
อาการเงี่ยหูฟังก็ชั่วคราว อาการที่เพ่งตาดูอะไรอย่างหนึ่ง
ก็ของชั่วคราว ณ ขณะที่มีสติคมจริงๆ เห็นภาวะที่เพ่งดูอะไรอย่างหนึ่ง
เงี่ยหูฟังอะไรอย่าง หนึ่ง
ตัวนั่นแหละ เรียกว่าเป็นการเห็นวิญญาณขันธ์ เป็นจักขุวิญญาณ
หรือว่าเป็นโสตวิญญาณ แล้วพอโสตวิญญาณ หรือจักขุวิญญาณดับไป กลายเป็นจิต ที่ว่างๆ เข้ามารู้ลมหายใจ
เข้ามารู้ภาวะของใจ อย่างนี้เรียกว่า เห็นวิญญาณขันธ์ดับไป ตัวจักขุวิญญาณดับไปแล้ว
ตัวโสตวิญญาณดับไปแล้ว
แต่ถ้าจะทำได้ คุณต้องเดินจงกรมแข็ง แล้วก็มีการรู้ระหว่างวันในแบบที่
ต้องมีความเพียรจริงๆ ถึงจะเห็นอย่างนี้ได้นะ แต่ถ้าดูจากสมาธินี่
อย่างนี้จะง่ายหน่อย
เวลาเกิดความคิดจรมา แล้วเรามองเป็นสิ่งกระทบ มาล่อให้เกิดตัววิญญาณขันธ์
คือมโนวิญญาณนะ แล้วมโนวิญญาณนั้นรู้อะไร รู้ธรรมารมณ์ที่มากระทบที่เคลื่อนมาล่อให้เกิดการรู้มัน
ตัวนี้นี่เราก็จะมองได้ว่า อ๋อ วิญญาณขันธ์เกิดขึ้นตรงนี้
มโนวิญญาณเกิดขึ้นรู้ธรรมมารมณ์ แล้วธรรมารมณ์หายไป ตัวมโนวิญญาณที่ไปรู้
ธรรมารมณ์นั้น ก็สลายตัวตามไปด้วยกลายมาเป็นรู้อะไรว่างๆ ตามเดิม
จะละเอียดนิดหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม คือจะได้ประสบการณ์แบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป๊ะเลย
วิญญาณขันธ์เปรียบเหมือนมายากล
มายากลเป็นอย่างไร มีการแสดงหลอกให้นึกว่ามีอะไรแบบนั้นอยู่จริงๆทั้งๆที่ไม่มี
เดี๋ยวนี้นี่ถึงขั้นหลอกได้แบบเจ๋งๆ เลยเสื้อผ้า แขวนอยู่บนราวตากเสื้อนี่ ลอยมาเข้าร่างกลายเป็นเสื้อตัวนั้นได้
เดี๋ยวนี้หลอกกันได้ถึงขนาดนั้น
หลอกให้เรานึกว่ามีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ทั้งๆที่
เป็นการตระเตรียมอุปกรณ์มายากลนะหลายๆชิ้น ที่ตาเห็นเป็นแค่ส่วนเดียว แล้วนึกว่าเป็นจริงเป็นจัง
นึกว่าเป็นปาฏิหาริย์ นึกว่าเป็นของวิเศษอะไร
แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่ของหลอก
อันเกิดจากการกระเตรียมไว้อย่างดีนะ
อันนี้ก็เหมือนกันวิญญาณขันธ์ เราจะเห็นชัดๆเลย
ณ ขณะที่เกิดประสบการณ์รู้วิญญาณขันธ์ จะเหมือนกับมีตัววิญญาณขันธ์เกิดขึ้นจริงๆแล้วก็มีอยู่จริงๆ
เเต่ที่ไหนได้ไม่ใช่ ต้องมีเครื่องล่อ ต้องมีการกระทบอายตนะ ที่เป็นสถานีที่ตั้งอายตนะทั้ง
6 อยู่ในกายในใจนี้
พอเกิดการกระทบที ก็เกิดวิญญาณขันธ์ที เราเลยนึกว่ามีจิตอยู่จริงๆ
ทั้งๆที่จิตที่ไปรู้อะไรอย่างหนึ่ง แป๊บเดียวก็หายไป
พอรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ รู้ได้ว่าวิญญาณขันธ์ เป็นแค่เลเยอร์หนึ่งของการ
หลอกลวงให้เห็นว่ามีอยู่ แป๊บเดียวหายไป
รู้ไปมากๆเข้านี่ พวกนี้บรรลุธรรมง่าย
เพราะรู้เข้าไปที่จุดยืน พื้นยืนของอุปาทานเลย ที่นึกว่ามีตัวตนอยู่
ก็มีตัวหลอกที่สำคัญสองตัว คือความคิด แล้วก็จิต
ถ้าผ่านความคิดไปได้ รู้สึกเหลือแต่จิตนะ อ๋อ นึกว่ารู้แล้ว
แต่จริงๆ ต้องมีจิตอีกตัวหนึ่ง
เปรียบเทียบได้กับแก้วน้ำ ที่อุ้มน้ำไว้ได้ด้วยตัวรองแก้วสองชั้น
ชั้นแรก เป็นชั้นที่สัมผัสกับน้ำโดยตรง
คือความคิดของเรา
ถ้าความคิด ถูกมองว่าไม่ใช่ตัวเราไปได้ เหมือนกับที่ผมให้ดูว่าเป็นแค่กระแสไฟฟ้าในสมองใหญ่
แล้วหลายๆคนเก็ตนะ ก็เหมือน ก้นแก้วทะลุไปชั้นหนึ่งแล้ว
แต่ก็ยังเหลือชั้นบางๆ ก้นแก้วนี่ แต่ว่าเหนียวแน่นมาก
แข็งแรงมาก บางแต่ว่าแข็งแรงมาก คือตัวจิตนี่แหละ
เรานึกว่าจิต เป็นตัวเรา แม้แต่พระอนาคามียังบอกเลยนะ
บอกว่าที่ยังติดอยู่ ที่เป็นอนาคามีอยู่ไม่เป็นพระอรหันต์ เพราะกลัวจะไม่มีจิต ไปหลงเพลินอยู่กับอรูปฌานบ้าง
หรือความเป็นจิตที่ยิ่งใหญ่เหนือจักรวาลบ้าง ก็มีตัวตนที่สูงลิบขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ทีนี้ ถ้าเราทำความเข้าใจว่าจิต หรือว่าวิญญาณขันธ์
เหมือนมายากล แล้วเราเห็นเป็นขณะๆ ณ เวลาที่มันเกิดจริงๆ แล้วก็หายไปจริงๆ
จะเกิดจิต เกิดวิญญาณขันธ์ได้ ต่อเมื่อมีอะไรมาประจวบกับอายตนะภายใน
แล้วเกิดการรับรู้ขึ้นมา แล้วการรับรู้นั้นอยู่แป๊บหนึ่ง เหมือนกับพยับแดดนะที่ปรากฏแค่แป๊ปๆ
แล้วเดี๋ยวก็หายไปเลือนไป
พอต้นเหตุที่มากระตุ้นผ่านไป เหมือนกับความคิดในหัวนี่
พอลอยผ่านไปตัวการรับรู้นั้นแบบนั้นๆ ก็หายตามไปด้วย นั่นก็คือให้ถือว่าจิตดับไปแล้ว
จิตแบบนั้นดับไปหายไป
แล้วจะไม่ซ้ำ ไม่มีธรรมชาติของจิตแบบไหนนะที่ซ้ำตัวเดิม
หายไปแล้วหายไปเลยนะ แต่ว่าเราก็ยังยึดว่าเป็นจิตของเราอยู่ เพราะมันสืบเนื่องเป็นสายน้ำ
พอจิตดวงหนึ่งดับ จิตอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้นแทนที่ทันที
จนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน กระทั่งเรามาฝึกอานาปานสติ เริ่มเห็นเป็นล็อคๆ นะเริ่มเห็นเป็นบล็อคๆ
สภาวะธรรม จะเหมือนกับมีการมาหลอกอยู่เบื้องหลังจริงๆนะ เอาตัวต่อมาต่อทีละบล็อก ทีละบล็อก
ให้เรารู้สึกว่านี่เป็นตัวเดิม ทั้งๆที่ไม่ใช่ จะเห็นเลยนะจากสติที่คมพอ
______________________
ความเห็นว่าวิญญาณไม่ใช่ตัวเรา
ไม่ใช่ตัวตนของเรา จะเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ?
รายการปฏบัติธรรมที่บ้าน ตอน ให้ขันธ์ 5
รู้ตัวว่าเป็นขันธ์ 5
ช่วงถาม-ตอบ
วันที่ 11 กันยายน 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป :
https://www.youtube.com/watch?v=-gJ16UFn8ak
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น