ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับคืนวันเสาร์สามทุ่ม
สำหรับคืนนี้ ก็เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจซ้ำเข้าไปนะ
เพราะว่าสมาธิที่จะมีความก้าวหน้า คือสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญานะครับ
ถ้าหากว่าเราตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิไป แล้วคิดว่าจะมีแต่ขึ้นกับขึ้น
มีแต่ก้าวหน้าเป็นเส้นตรง เป็นความเข้าใจที่ผิด แล้วก็เวลาที่ถอยหลังนี่ จะกลับมาก้าวต่อไม่ถูก
แต่ถ้าหากว่า คุณมีความเข้าใจประกอบอยู่ในการทำสมาธิ
รู้เป้าหมายว่าทำสมาธิแบบพุทธไปเพื่ออะไร รู้ขั้นตอนว่า ไม่ใช่แค่เริ่มที่ 1 2 3 มาดูลมหายใจ
แต่เริ่มจากชีวิตประจำวัน ว่าคุณเอาตัวห่างออกมาจากเรื่องพัวพันทั้งหลายแบบโลกๆ
แค่ไหนนะครับ
ถ้าใจรู้สึกห่างออกมาจากเรื่องโลกๆ ใจมีความรู้สึกปลอดโปร่ง
รู้สึกว่าอยากเป็นอิสระ รู้สึกว่าอยากมีความตื่นรู้อยู่นิ่งๆ อยู่กับที่ อยู่กับปัจจุบัน
ของความเป็นกาย ของความเป็นใจ นี่ได้เปรียบ .. ได้เปรียบมหาศาลนะ
แล้วถ้ายิ่งได้อุบายวิธี ซึ่งเหมาะกับคุณ ที่จะช่วยให้รู้ภาวะที่เกิดขึ้นตามจริงประกอบกับลมหายใจ
หรือที่เรียกว่า อานาปานสติสมาธิ ยิ่งเหมือนเสือติดปีกเลย
ใจโปร่งว่างด้วย แล้วก็รู้ขั้นตอนเข้าสมาธิ ที่แน่นอนด้วย
อย่างนี้ จะทำให้ไม่หลงทางแน่นอน ทั้งในแง่ของการเดินเข้าสู่เป้าหมาย วิ่งเข้าเป้า
แล้วก็ในแง่ของการที่เราจะรู้สึกเชื่อมั่นนะว่า วันดี วันขึ้น วันร้าย วันตก จะไม่รบกวนจิตใจ
จะไม่ทำให้ท้อ จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า พอแค่นี้ดีกว่า
ถอยหลังดีกว่า หรือว่าหยุดอยู่แค่นี้แหละ ชาตินี้เอาดีไปกว่านี้ไม่ได้ จะไม่เกิดความรู้สึกพวกนี้
เพราะว่าความเข้าใจที่เกิดขึ้น ประกอบกับสมาธิ จะช่วยหนุนหลังให้รู้เห็นชัดเจน เห็นภาพรวม
ว่าคุณมาถึงไหนแล้ว ไปติดสะดุดอยู่กับอะไร แล้วถ้าล้มลง จะลุกขึ้นก้าวต่อได้อย่างไรนะครับ
มาถึงตรงนี้คุณจะเห็นว่า ความเข้าใจสำคัญกว่าตัวสมาธิ
เพราะสมาธิล้มแล้วลุกง่ายนะ แล้วก็คุณจะรู้ว่า พอได้สมาธิแล้วจะไปต่ออย่างไรนะ
ส่วนใหญ่พอได้สมาธิที่ปราศจากความเข้าใจประกอบ ก็จะหยุด
จะนิ่งจะค้าง จะเหมือนกับถูกปล่อยไว้กลางทะเลให้ลอยคอ และมองรอบทิศก็มองไม่เห็นฝั่งและไม่รู้ว่าฝังอยู่ตรงไหน
แต่ถ้ามีความเข้าใจประกอบ คุณจะรู้ว่า อ๋อ.. ไม่ใช่มองแนวราบอย่างเดียวบางทีต้องมองขึ้นสูงด้วย
ดาวนำทาง ก็คือจุดมุ่งหมายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะครับว่า
ที่ให้ทำสมาธิให้เจริญสติ ไม่ใช่เพื่อให้มีความสุขในปัจจุบันอย่างเดียว แต่เพื่อที่จะให้พ้นทุกข์แบบถาวร
สำหรับคนที่ทำได้บ้างแล้วนี่ พอย้อนกลับไปทำความเข้าใจที่ก้าวแรกใหม่
จะเห็นภาพรวมชัดขึ้น รู้สึกว่ามีสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญามากขึ้น แล้วก็มีความเข้าใจ
จะทำให้เกิดทัศนคติที่ถูก
ทัศนคตินี้ มีความสำคัญมากนะ สำคัญขนาดที่คุณจะได้เห็นนะว่า
ของที่มีค่าที่สุดในพุทธศาสนานี่คืออะไร และของที่มีค่าที่สุดนี้ ถ้าไม่มีความเข้าใจ
อาจจะเป็นของไร้ค่า ไม่น่าสนใจไปเลย
เหมือนที่คนยุคเราที่คุณได้ยินกันบ่อยที่สุดคือ จะบอกว่าไม่ถูกจริตกับอานาปานสติ
ตรงนี้คือยังไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงนะครับ
เราต้องรอพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ไม่ใช่เพื่อให้ท่านมาตรัสว่า
ทำๆ ไปเถอะเดี๋ยวก็รู้เอง หรือแค่บริกรรมคำใดคำหนึ่งไปอย่างเดียว เดี๋ยวก็ถึงนิพพาน
ถ้าง่ายแค่นี้นะ ไม่ต้องรอพระพุทธเจ้ามาอุบัติ
ที่เราต้องรอพระพุทธเจ้ามาอุบัติ เพื่อที่จะให้พระองค์มาแจกแจง
แล้วก็ตรัสถึงรายละเอียดนะครับ ไม่อย่างนั้น คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีกำลังใจมากพอที่จะทำสมาธิไปเอาอะไร
หรือว่าตั้งเป้าให้ถูกทาง ว่าจะออกจากวังวนทุกข์ได้อย่างไรนะครับ
เรารอพระองค์มาอุบัติ รอเป็นกัปเป็นกัลป์ เพื่อที่จะอาศัยมหาบุรุษเยี่ยงพระองค์มาตรัสว่า
นิพพานมีจริง เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่เข้าถึงได้
แล้วก็เป็นสิ่งเดียวนะ.. เป็นสิ่งเดียวในจักรวาลว่า
เข้าถึงแล้วสามารถพ้นทุกข์พ้นกรรม แล้วก็พ้นการปรุงแต่งใดๆ ที่จะต้องทำให้เวียนกลับมา
เกิดทุกข์เกิดโศกกันอีก
เรารอพระองค์มาตรัสสอนให้เข้าสมาธิ ด้วยอานาปานสตินะครับ
คือ จริงๆ แล้วนี่ คุณบอกได้ .. ผมไม่เถียงว่าเข้าสมาธิมีหลายแบบ
แต่ว่าเสี่ยงผิดเสี่ยงถูกมากๆ เลยนะ ถ้าทำสมาธิแบบอื่น แล้วโอกาสที่จะย้อนกลับเข้ามารู้กายรู้ใจนี่ยากมากนะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาธิที่ทำให้เกิดแสงสว่าง โอภาสตั้งอยู่ตรงหน้า
แล้วก็เปิดตาในให้เห็นโน่นเห็นนี่ สมาธิแบบนั้นนี่ ช่วยยกระดับชีวิตให้มีคุณภาพมากขึ้น
อาจเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ อาจเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่จะไม่พาคุณย้อนกลับเข้ามาโดยอัตโนมัติ
เข้ามาดูกายใจ
แล้วถ้าไม่ดูกายใจนี่ โอกาสที่จะหลุดพ้นจากอุปาทาน
เป็นศูนย์ เลยนะ
ไม่มีนะ แบบที่ดูข้างนอกแล้วจะบรรลุธรรมได้ ดูข้างในนี่แหละ
ถึงจะเกิดมรรคเกิดผล แบบที่พระพุทธเจ้าตรัสนะ
อย่างที่สัปดาห์ที่แล้ว หลายท่านก็คงจะเป็นประจักษ์พยานให้พระพุทธเจ้านะว่า
ถ้าดูลมหายใจถูก ดูลมหายใจเป็น จนกระทั่งเห็นว่ามีแสงสว่างควบคู่มากับลมหายใจได้ แสงสว่างนั้นพาคุณมาดูกายใจ
ไม่ค่อยจะดึงคุณออกไปดูอะไรข้างนอก
นี่คือเหตุผลที่คุณจะเข้าใจชัดๆเลยนะ ว่าอานาปานสติที่ถูกนี่
พอทำมาถึงจุดหนึ่ง เอาไม่ต้องถึงฌานนะ เอาแค่ เป็นขณิกสมาธิได้ แบบที่มีความสว่างโพลงขึ้นมาข้างใน
สว่างแป๊บๆ สว่างแค่ครึ่งนาทีนี้ คุณเริ่มเข้าใจแล้ว คุณเริ่ม get แล้ว ว่าอานาปานสติ พาเข้ามาดูกายดูใจโดยอัตโนมัติ
คุณยังไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรเพิ่มเติม ก็สามารถเห็นเข้ามาข้างในได้แล้ว
เพราะฉะนั้น อย่างตอนนี้ ถ้าจะกลับไปที่ก้าวแรก ก่อนอื่นคุณต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ตลอดเวลาว่า
จะทำอานาปานสติไปทำไม
ในวันนี้ผมเอามาให้ดูชัดๆ เลยว่า พระพุทธเจ้าตรัสนะว่า
อานาปานสติ เป็น ศูนย์กลางของกรรมฐานทั้งปวง
พูดซ้ำหลายๆ รอบ เพื่อให้จำเข้าไปนะ คุณไปค้นพระไตรปิฎก
ทั่วทั้งพระไตรปิฎก วิธีทำสมาธิมีอยู่วิธีเดียว ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างละเอียดคืออานาปานสติ
นอกนั้นเป็นกรรมฐานหรือเป็นวิธีดู ที่ต่อยอดมาจากอานาปานสติทั้งสิ้น
นี่เป็นคำพูดจากคนที่ศึกษามาหลาย 10 ปี จากทั้งประสบการณ์ตรง
เห็นจากคนอื่น แล้วก็ย้อนกลับมาดูว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร
ในทีปสูตรนี่ เป็นหลักฐานเลยว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะว่า
อานาปานสติ ถือเป็นศูนย์กลางของกรรมฐานทั้งปวง
ท่านตรัสขึ้นมานะ ผมสรุปให้ดูง่ายๆว่า
ทำอานาปานาสติมากแล้ว มีผลมาก
มีผลอย่างไร .. คือถ้ามนสิการอานาปานสติไว้ดีๆ แล้วนะ
พึงหวังผลต่างๆนานาได้ ตามแนวการฝึกจิตแบบพุทธนะครับ
อย่างเช่น คุณจะรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว เบาเนื้อเบาตัว
ที่เป็นสำนวนพุทธพจน์บอกว่า ไม่ลำบาก
กายไม่ลำบาก หมายความว่าร่างกายปลอดโปร่ง มีความอ่อนควร
สมกับที่จะมาทำ สมถะ หรือว่า วิปัสสนา แบบพุทธนะครับ
นอกจากนั้นสายตาไม่ลำบาก ก็คือเห็นอะไรได้ชัด
คนทำอานาปานสติไป
จนกระทั่งเห็นลมหายใจเป็นนิมิตชัด จะสามารถยืนยันตรงนี้ได้
พอลืมตาขึ้นมา จะรู้สึกหูตากว้างขวางขึ้นสว่างขึ้น
เห็นอะไรชัดขึ้น
บางคน ถ้าทำไปถึงระดับที่ถึงฌานเลย บางคนเลิกใส่แว่นเลยก็มีนะ
นี้เป็นสิ่งที่เรียกว่าอกาลิโก พระองค์ตรัสไว้เมื่อเกือบสามพันปีที่แล้ว
แต่ปัจจุบันนี้ ถ้ายังอาศัยกายอาศัยใจแบบมนุษย์ ซึ่งเป็นแบบเดียวกับสมัยพุทธกาลนั่นแหละ
มีอาการ 32 แบบนี้นะครับ
ถ้าหากว่าทำอานาปานสติได้ คุณจะสบายเนื้อสบายตัว
มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ เป็นฐานที่ตั้ง เป็นชัยภูมิให้ปฏิบัติ ทั้งสมถะและวิปัสสนาได้โดยสะดวก
หูตาคมชัดกว้างขวาง รู้อะไรได้ตรงตามจริง
และที่สำคัญที่สุด อานาปานาสติ
พระพุทธองค์ .. พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ท่านได้ตรัสเป็นขั้นเป็นตอนมา
เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวคือ เพื่อที่จะได้พ้นจากกิเลส
พ้นจากอุปาทานทั้งหลาย
เพราะว่าถ้าฝึกมาถูกทางแล้ว จะทำให้ไม่ยึดมั่น
คือถอนอุปาทานได้
ซึ่งคืนนี้ จะมาต่อยอดจากสัปดาห์ที่แล้วนิดหนึ่งในแง่ของวิปัสสนา
แต่ในเชิงสมถะ เราถอยมาก้าวหนึ่ง เพื่อให้เห็นภาพรวมชัดขึ้นนะครับ
และคนที่มนสิการ อานาปานสติไว้ดีๆ จะหวังได้ต่างๆนานา
ไม่จำกัดเลยนะ
พูดแบบรวบรัดก็คือว่า สามารถเห็นกาย โดยความเป็นของไม่น่าเอาก็ได้
หรือว่า กลับมาเป็นตาปกติ เป็นใจปกติแบบคนธรรมดาทั่วไป
ที่เขารู้ว่า
คนนี้หล่อ คนนี้สวย คนนี้เนื้อเนียน คนนี้น่าดูน่าชม
คือสามารถคล้อยตามสมมุติแบบโลกๆ เข้าไปได้
แต่ในขณะเดียวกัน พอย้อนกลับมาที่ใจตัวเอง เพื่อความไม่ยึดติด
ก็สามารถที่จะถอนออกมา โดยเห็นว่าสิ่งเหล่านั้น เฉือนนิดเดียว
กลายเป็นเลือดเนื้อน่าสยดสยอง เป็นปฏิกูลที่ไม่น่าเอา
เป็นของโสโครกที่ไม่น่าดมอะไรแบบนี้
สามารถที่จะพลิกจิตกันได้นะ ถ้าทำอานาปานสติดีๆ
จิตสามารถเข้าถึงตรงนั้นได้
เพราะอะไร เพราะว่า อานาปานสติ จะนำลมหายใจที่สว่าง
เข้ามาให้เกิดการรับรู้ มีความสามารถทางจิต ที่จะเห็นภายในของตัวเองได้
คนที่เห็นภายในของตัวเองได้ ไม่มีใครหรอกที่บอกว่า
ข้างในนี้เป็นแก้ว ข้างในนี่เป็นของหอม
มีแต่เห็นตรงจริงว่าข้างในนี่ ยิ่งกว่าเลือดสาด ยิ่งกว่าหนังสยองขวัญที่โหดที่สุดในโลก
ถ้าเห็นได้ตลอดเวลา จะเป็นผู้ที่ไม่อยากเอาปฏิกูลในกายมาแบกไว้
อันนี้พูดถึงสิ่งที่พระพุทธองค์วางเป็นแผน วางเป็นแปลนไว้นะว่า
อานาปานสติจะนำไปสู่อะไรบ้าง
คือไม่จำเป็นต้องรีบร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฆราวาสเรานี่
มักมีข้อสงสัยว่าจะต้องเจริญอสุภกรรมฐานให้เข้มข้นแค่ไหน
อย่างที่พระองค์ตรัสนะ จะมองให้เห็นเป็นของงามก็ได้
จะมองให้เห็นเป็นของที่น่ารังเกียจก็ได้
แล้วแต่ว่าจุดประสงค์ของเรา ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างเวลา
ต่างกาลเทศะนะ
ถ้าเราอยู่ในสังคมแบบฆราวาส ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเจริญอสุภกรรมฐานตลอดเวลา
เพราะว่านั่นเป็นงาน full time แบบพระ เเบบชี หรือแบบเณร ที่อยู่ในเพศบรรพชิตกันนะครับ
นอกจากนั้นก็หวังว่าจะสงัดจากอกุศลธรรม
คือคนที่จะบรรลุปฐมฌาณ หรือว่าฌานขั้นต้นได้ มีวิตก
มีวิจาร มีปีติ มีสุขอันเกิดแต่วิเวกได้นี่
สิ่งที่คุณจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ที่เข้าถึงได้ ไม่ใช่เพราะว่าเก่ง
ไม่ใช่เพราะว่าได้อุบายสมาธิดีอย่างเดียว
แต่จิตต้องถึง และจิตถึง หมายความว่า จิตไม่เอาอะไรแบบโลกๆ
ถ้ายังหมกมุ่น เอาอะไรแบบโลกๆ แล้วก็ปรารถนา มีตัณหาอยากจะได้ปฐมฌาณด้วย
อันนี้เป็นเรื่องที่ผิดวิสัยธรรมชาตินะครับ
แต่ถ้าหากว่าเจริญอานาปานสติไปดีๆ มนสิการอานาปานสติไว้ดีๆ
นี่ หวังได้ว่า เราจะสงัดสงบจากอกุศลธรรมทั้งหลายแบบโลกๆ นะ แล้วเข้าถึงปฐมฌาณ สามารถเข้าถึงทุติยฌาน
สามารถเข้าถึงตติยฌาน
ตติยฌาน นี่มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขอยู่ด้วยนามกาย
คือปีติ ความรู้สึกเหมือนกับพลุ่งพล่านเป็นน้ำพุที่เบิกบาน
แห่งความเบิกบานยิ่งใหญ่อะไรนี่จะหายไป
เหลือแต่ สายสภาวธรรมที่ ดำเนินเป็นกระแสต่อเนื่อง
มีความสุขที่เบาบาง แล้วก็ไม่รู้สึกแตะต้อง ไม่รู้สึกว่าจะกลับมาแตะต้องความทุกข์อะไรได้
จะมีความสุขที่ตั้งมั่นแบบนั้นอยู่นะครับ
แล้วก็หวังได้ว่า จะถึงจตุถฌาน
อันนี้เป็นเรื่องที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจได้นะ
แม้กระทั่งคนที่จะทำอรูปฌาน ไม่ว่าจะเป็นการเพ่งอากาศว่าง หรือเพิกสัญญาทั้งปวงนะ รวมทั้งแม้กระทั่งในความคิดนึกอะไร
ที่จะก่อให้เกิดสัญญาต่างๆนานา ความสำคัญมั่นหมาย ต่างๆนานา ก็จะหายไปด้วยนะ
คุณจะมีความสามารถแบบหนึ่ง คือจิตหน่วงเอาช่องว่างเป็นอนันต์เหมือนกับหลับตาไป
เห็นจักรวาลทั้งห้วงจักรวาล ปรากฏอยู่ในความรับรู้นะครับ ไม่มีตัวมีตนแบบนี้ ไม่มีในตัวที่เป็นกายตั้งอยู่แบบนี้
ที่จับต้องได้
อะไรทั้งหลายใน โลกที่เป็นกลมๆ หรือว่าดวงอาทิตย์
เป็นดวงอะไรต่างๆนี่จะหายไปหมดเลย เหลือแต่อากาศว่างๆ ซึ่งนั่นแหละคือการเอาจิตไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งนะ
ที่แตกต่างไปจากที่เรารู้อยู่
ซึ่งหลายคนบอกว่าไม่น่าเกี่ยวกับสมาธิธรรมดา แต่จริงๆ
แล้วพระพุทธเจ้าตรัสยืนยันไว้ ณ ตรงนี้ ช่วยๆ กันจำไว้นะครับว่า
แม้จะเจริญอรูปฌานก่อนที่จะเข้าสู่การเพิกรูปสัญญานะ
แล้วก็เอาช่องว่างเป็นอนันต์มาหน่วงไว้ในใจนี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เจริญอานาปานสติไว้เป็นฐาน
เป็นส่วนที่จะผลักดันให้ต่อยอดไปถึงขั้นนั้นได้
แล้วก็ ถ้าหากจะบรรลุวิญญานัญจายตนะ หมายความว่ายกระดับขึ้นไปอีกนะ
อากาศว่างนี่ ยังหยาบอยู่ แต่ตัวรู้ ที่รู้อากาศว่างเป็นอนันต์
จะละเอียดกว่า ซึ่งเอามาคิดคะเน คำนวณกันด้วยวิธีจินตนาการเอาไม่ได้ ต้องเข้าถึงตรงนั้น
เราจะเราถึงจะเข้าใจ
หวังว่าจะบรรลุอากิญจัญญายตนะ คือ พูดง่ายๆ ถ้าไม่มีความเข้าใจแบบพุทธนี่
จะนำไปสู่ความเข้าใจว่า ที่สุดของธรรมชาตินี่ ความจริงขั้นสูงสุดคือการไม่มีอะไรเลย
ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย การไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งจิตวิญญาณ การไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งอากาศว่างๆ
นั่นแหละคือที่สุด
ซึ่งในสมัยพระพุทธเจ้าก็จะมีสำนักอาฬารดาบส ที่เหมือนกับตั้งเป้าไว้ว่า
เราจะไปให้ถึงตรงนั้น ไปให้ถึงความไม่มีอะไรเลย
ความไม่มีอะไรเลยจริงๆ แล้ว เป็นแค่สัญญาชนิดหนึ่ง
พระพุทธเจ้าท่าน เข้าถึงแล้วนะ ตามที่ท่านอาฬารดาบสสอน แต่ท่านก็รู้ว่า นั่นยังไม่ใช่
ยังกลับมาได้ ยังมีกิเลส ยังกลับมามีภวตัณหา อยู่ในภาวะของกายภาวะของใจนี้ได้ ยังมีกิเลสตื้นๆ
ได้ ถ้าหากว่าเอาผู้หญิงมาล่อนะ หรือว่าเอาลาภยศสรรเสริญ ต่างๆ มากองไว้นี่ บางทีจิตยังกระโดดกลับไปงับอยู่
ตรงนี้พระพุทธเจ้าท่านเลยรู้ว่า ทำถึงอรูปฌาน
ขั้นอากิญจัญญายตนะ ยังไม่พอ ท่านก็เลยไปศึกษาต่อกับท่านอุทกดาบสนะครับ ซึ่งเป็นสำนักที่สอนถึงขั้นที่
จะมีก็ไม่ใช่ จะไม่มีก็ไม่เชิง
คือการรับรู้แบบที่เหนือชั้นจริงๆ สุดๆ จริงๆ ในสมัยนั้น
พระพุทธเจ้าก็ยังพบว่าไม่ใช่อยู่ จนกระทั่งพระองค์ไปเจริญอานาปานสติ ในพรรษาที่อายุ
35 มีพระชนม์มายุได้ 35 พระองค์ทรงค้นพบว่า ถ้าทำอานาปานสติ รู้เข้ามาข้างในกาย
รู้เข้ามาข้างในใจ แล้วรู้ให้ชัดว่า กายนี้ใจนี้ ภาวะอย่างนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
แล้วจะจบได้อย่างไร
พระองค์ตั้งต้นรู้จักอานาปานสติ และตรงนั้นแหละ ที่พระองค์ถึงตรัสว่า
แม้สัญญาเวทยิตนิโรธ หรือสมาบัติขั้นสูงสุด ที่เหนือกว่าเนวะสัญญานาสัญญายตนะนี่ ก็ให้ตั้งต้นด้วยอานาปานสติ
ถ้ามนสิการอานาปานสติไว้ดีแล้ว พระอนาคามีและพระอรหันต์นะครับสามารถเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติได้
คือ แม้แต่สัญญาก็หายไป เวทนาก็หายไป ตรงนั้นนี่เป็นเรื่องลึกลับที่สุดในจักรวาลแล้ว
ลึกลับที่สุดในสังสารวัฏแล้ว คือเราๆ ท่านๆ นี้ไม่ต้องไปจินตนาการว่าเป็นอย่างไรนะ
เอาเป็นว่า ตกลงพระพุทธเจ้าท่านให้ รักษาอานาปานสติไว้
ตั้งแต่ระดับปุถุชน ไปยังกระทั่งถึงพระอรหันต์นะครับ
พอสามารถที่จะเข้าสมาธิแบบอานาปานสติได้ เสวยสุขเวทนาอยู่
ไม่ต้องกลัวเลยนะ ไม่ต้องกลัวติดสุข เพราะว่าเราจะรู้ชัดว่า สุขเวทนานั้นไม่เที่ยงแม้ทุกข์เวทนาก็ไม่เที่ยง
อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่เที่ยง
จะไม่มีความเพลิดเพลิน จะไม่มีความยินดีเหม่อๆ เผลอๆ
ไปยึดว่านี่คือตัวเรา ความรู้สึกนี้เป็นของเรา
เดี๋ยววันนี้ในขั้นของวิปัสสนา จะมีการเจาะลึกในแง่นี้นิดหนึ่งด้วยนะครับ
อันนี้แหละ ก็คือย่อๆ ทีปสูตร คุณไปอ่านดูเอาเองเพื่อให้ชัวร์ว่า
ผมไม่ได้มามั่วนิ่มนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้จริงๆ ว่าอานาปานสติสูตรเหมือนกับศูนย์กลางของกรรมฐานทั้งปวงนะ
ถ้าใครปฏิเสธอานาปานสติ ก็คือปฏิเสธเข้าไปที่แก่นเลยนะ
อุตส่าห์รอพระพุทธเจ้ามาอุบัติ เพื่อตรัสสอนอานาปานสติอย่างละเอียด
เราจะสกรีนเอาต์ ตัดตรงนี้ทิ้งไปเลยนะ ถ้าไม่เชื่อว่าอานาปานสติสำคัญจริง
ทัศนคติจึงจำเป็นนะครับ
ทีนี้ ย้อนกลับมาทบทวนดูอีกทีว่า อานาปานสตินี่ ทำกันอย่างไร
แก่นของอานาปานสติจริงๆ ไม่ได้ยากไม่ได้ง่าย แต่ถ้ามีอุบาย
มีวิธีที่จะทำให้คุณเกิดประสบการณ์ได้ คุณก็จะเข้าใจว่า อานาปานสติก็คือ การพิจารณาเข้ามาในกายใจ
เห็นกายใจโดยความเป็น กาย เวทนา จิต และธรรม
อย่างหมวดกาย เราก็ต้องเริ่มจาก มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
หมวดเวทนาก็ คือพอรู้ลมหายใจไปจนกระทั่งจิตเลิกดิ้นรน
คุณก็จะรู้ขึ้นมาเองว่า จิตที่เลิกดิ้นรนนั้นจะเข้าถึงความเป็นวิเวก
ตรงนี้ หลายคนบอกว่า ยังไม่เกิดปีติ และยังไม่ชุ่มฉ่ำ
ยังไม่ได้เย็นเป็นน้ำพุ พุ่ง แบบที่ผมบรรยายมาหรืออะไรอย่างนี้
คือไม่ใช่ว่าจะต้องรีบร้อนเอาให้ได้นะ ความวิเวก
บางทีถ้าจับจุดถูก แค่ครั้ง สอง ครั้ง .. จะเกิดเลย แต่ถ้าหากว่า ใจของเรายังอยากโน่นอยากนี่
หรือคาดหวังว่าเมื่อไหร่จะเกิดปีติเสียที ใจที่ดิ้นรนนั่นแหละ จะไปไม่ถึงความเป็นวิเวกนะ
ความวิเวกนี่ ผมย้ำหลายครั้งนะครับว่า เกิดขึ้นจากการที่ใจไม่ดิ้นรน
ไม่อยากได้ ไม่เอาอะไร นอกจากพอใจที่จะรู้ลมหายใจเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ
ซึ่งทำกันมาหลายครั้ง คุณก็ได้เห็นว่าช่วงต้น ผมให้เวลา
5 นาที ให้จิตนี่โฟกัสอยู่กับลมหายใจให้ได้ จากนั้นให้เวลาอีก 10 นาที เพื่อที่จะทำท่าทำทาง
ให้เป็นการเลียนแบบ คนที่เข้าถึงความปลอดโปร่งของร่างกายและจิตใจนะครับ
ความปลอดโปร่งเกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นจากการที่เนื้อตัวผ่อนคลายไปทั้งร่าง
แล้วก็จิตใจสบายหายกังวล หายพะวงไม่เอาอดีต ไม่เอาอนาคต เอาปัจจุบันอย่างเดียว
นี่ ตัวนี้ ที่จะเกิดปีติขึ้นมาเอง และปีติจะควบคู่มากับสุขเสมอ
นอกจากนั้น พระพุทธเจ้า ยังตรัสเหมารวมถึงการที่เราจะรู้จากประสบการณ์ตรงนะครับว่า
พอมีปีติ มีสุขแล้ว ความฟุ้งซ่านพอจะจรเข้ามา เราสามารถปัดเป่ามันทิ้งไปจากใจได้แบบง่ายๆ
เลย
เพราะว่าความชุ่มฉ่ำ ความสุข ทำให้เราไม่รู้สึกอยากเอาอะไรมากกว่านี้
เรื่องใดๆ ก็ตามที่แผ้วผ่านเข้ามาในรูปของความฟุ้งซ่าน ก็เลยระงับไปได้แบบที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม
แล้วหมวดจิต เริ่มจากตรงที่พระพุทธเจ้า ตรัสให้ทำจิตให้ร่าเริง
ทำจิตให้ตั้งมั่น ซึ่งตรงนี้ถ้าใคร เข้าถึงประสบการณ์ที่ มีปีติ มีสุข แล้วไม่มีความฟุ้งซ่าน
ก็เหลือแต่จิต
จิต ที่ไม่มีความฟุ้งซ่านห่อหุ้ม ก็คือจิตที่มีความตั้งมั่นอยู่กับที่
มีความพอใจของมันอย่างนั้น เสพรสชาติของวิเวก เสพรสชาติของปีติอันเกิดแต่วิเวกจนกระทั่งไม่อยากเอาอะไร
ก็เลยตั้งอยู่ของมันแบบนั้น
ผมก็เปรียบเป็นฝ่ามือนี่ ถ้าฝ่ามือขวาเป็นจิต ฝ่ามือซ้ายเป็นฐานที่ตั้ง
เวลามาวางลง เราจะเข้าใจ อ๋อ ก็คือลักษณะของจิตที่เสถียร ตั้งอยู่กับที่โดยไม่คลอนแคลน
ไม่โยกเยกไปไหน
และหมวดธรรม พูดง่ายๆเอาง่ายๆ เลย ภาวะใดเกิดขึ้น
เราเห็นภาวะนั้นมาเพื่อแสดงความไม่เที่ยงเสมอ
ถ้าทำไว้ในใจแบบนี้ จะเห็นแบบพุทธไปเรื่อยๆ กระจ่างขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถ้าไม่ทำไว้ในใจแบบนี้ เราจะเห็นแต่ความตั้งมั่น
แล้วก็รู้สึกว่าเราดี รู้สึกว่าเราสูงส่งขึ้น มีตัวตนแบบเดิม ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงทางอุปาทานใดๆ
เลย
พอออกมาจากสมาธิ แม้กระทั่งสมาธิขั้นสูงสุด ไม่มีอะไรเลย
มีแต่ความว่างเปล่า สุดท้ายสมาธิเสื่อม กลับมาก็ฟุ้งซ่าน .. ความฟุ้งซ่านเอาไปกินอีก
ความอยากโน้นอย่างนี้เอาไปกินอีก
ซึ่งตรงนี้ พูดง่ายๆ นะ คุณทำสมาธิได้ถึงขั้นสูงสุดระดับของเนวะสัญญานาสัญญายตนะ
เกิดใหม่คุณอาจไปเป็นศาสดา แบบท่านอุทกดาบท นี่ก็จัดเป็นศาสดาองค์หนึ่ง ในสมัยนั้น
เป็นเจ้าสำนักที่ใหญ่ขนาดที่คนระดับเจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนด้วย ไปศึกษาด้วยนะ
ไปเป็นสหายแห่งพรหม แล้วก็กลับมาเกิดใหม่ มาเสี่ยงบุญเสี่ยงบาปเอาใหม่
ชาติไหนเจอเพื่อนไม่ดี เจอพ่อแม่ที่ยุยงให้ลูกโกหกมดเท็จ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็พอกบาปพอกกรรมกันใหม่
แล้วก็เสี่ยงสวรรค์เสี่ยงนรกกันอีกถึงแม้ว่าจะเคยผ่านพรหมโลกขั้นสูงสุดมาแล้วก็ตาม
ตรงนี้พระพุทธเจ้าท่านให้มองตามจริง มองตรงนี้เลย
คือไม่ต้องไปมองถึงชั้นพรหมชั้นสวรรค์อะไรนะ มองอยู่ตรงนี้แหละ ภาวะที่กำลังแสดงอยู่นี่ตั้งแต่ลมหายใจเป็นต้นไปนี่
มีอะไรบ้างที่เที่ยง เดี๋ยววันนี้ จะมาขยี้กันที่จุดนี้นะครับ
พอเราเข้าใจว่า แก่นของอานาปานสติสูตร คือการเห็นเข้ามาในกายใจเพื่อให้รู้นะว่า
แยกออกมาเป็น กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่เป็นตัวของเรา
ตรงนี้แหละ ที่คุณจะได้ชื่อว่าเข้าใจอานาปานสติจริง
ทีนี้ อย่างที่เมื่อสัปดาห์ก่อนก็เคยยกมาให้ดูแล้วนะ
ถึงแม้ทำอานาปานสติถูกทาง บางทีก็มีประสบการณ์ไปต่างๆ อย่างเช่น ถ้าหากว่า คุณยังไม่ได้มีความเป็นสมาธิตั้งมั่นอะไร
ขึ้นต้นมา ก็เห็นลมหายใจบ้างแหละ แต่เสร็จแล้วก็มีอารมณ์รบกวน
อาจจะเป็นอารมณ์ลบ ซึ่งพออารมณ์ลบก่อตัวขึ้นมากๆ ขณะหลับตา ก็อาจจะมองไม่เห็นลมหายใจ
มองไม่เห็นกายเลย เห็นแต่อารมณ์ที่คุกรุ่น เห็นแต่ความอึดอัดทางกาย ความอึดอัดทางใจ
และบางทีก็สลับย้อนกลับมาเห็นลมหายใจบ้างแผ่วๆ ครั้ง สองครั้ง เสร็จแล้วก็กลับไปมีอารมณ์วกวน
มีความฟุ้งซ่าน มีความร้อนแรง มีความอึดอัด มีความทรมาน มีความอยากลืมตา มีความอยากออกจากสมาธิอีก
แล้วๆ เล่าๆ ไม่มีที่สิ้นสุด วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้
นี่แสดงให้เห็น สะท้อนให้เห็นนะครับว่า ใจของคุณจริงๆ
ในระหว่างวัน ยังไม่ได้ทิ้ง จากอารมณ์แบบโลกๆ ยังมีความพัวพันกับ ที่เรียกว่ากามฉันทะ
คือมีความพอใจที่จะเสพอะไรแบบโลกๆ นะ หรือมีความพอใจที่จะยึดติดอยู่กับความพยาบาท หรือว่าปล่อยให้ความฟุ้งซ่านห่อหุ้ม
หรือปล่อยให้จิตตก ปล่อยให้จิตหดหู่ หรือว่าทำสมาธิไปแล้ว เกิดความสงสัยอะไร ก็ย้ำอยู่ตรงนั้น
วนลูปอยู่ตรงนั้น เป็นคนขี้สงสัย เป็นนักทำสมาธิขี้สงสัย
แบบนี้นี่พอทำไปๆ ก็เกิดภาวะย้อนไปย้อนมา ระหว่างเห็นลมหายใจบ้าง
แป๊บๆ นะแล้วก็มาเห็นแต่ความมืดมน หรือ ความอึดอัดทุกข์ทรมานร้อนแรงยาวๆ
ตรงนี้ ก็เป็นประสบการณ์ขั้นต้นของคนที่ผ่านสมาธิมาเป็นธรรมดานะ
จะต้องเป็นแบบนี้แหละ เจอแบบนี้แหละ
ถ้ายกระดับขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง คือเห็นลมหายใจได้บ้าง
และลมหายใจนี้ก็ทำให้รู้สึกดีได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่โดยมาก ในขณะอยู่ในสมาธิจะมีอารมณ์เอื่อยๆ
ฟุ้งซ่าน บางทีก็เอื่อยๆ แบบเย็นๆ บางที ก็กลับมาเห็นลมหายใจได้ใหม่ แล้วแต่ว่าคุณจะปล่อยจิตปล่อยใจนานแค่ไหน
บางทีก็กลับไปอึดอัดอีก อยากออกจากสมาธินะ หรือไปคิดถึงเรื่องที่แย่ๆ
ร้ายๆ ในชีวิต กังวลไปข้างหน้า นั่งสมาธิแล้ว จะถูกหวยได้ไหม เมื่อไหร่จะใช้หนี้หมด
เมื่อไหร่ที่จะแก้แค้นศัตรูได้ อารมณ์ต่างๆนานา ที่เป็นทั้งบวกทั้งลบ เข้ามารบกวนไม่ให้เห็นลมหายใจได้อย่างต่อเนื่อง
นี่ก็เป็นอีกประสบการณ์แบบหนึ่ง อย่างน้อยดีขึ้นมา
กว่าประสบการณ์แรกที่มีแต่อะไรแย่ๆ อยู่ในใจใน ขณะที่หลับตาทำสมาธิ
ทีนี้ ยกระดับขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง สามารถที่จะเห็นลมหายใจได้อย่างต่อเนื่อง
สามารถที่จะรู้สึกถึงความชุ่มชื่น รู้สึกถึงความสดชื่นได้บ้างในเวลาที่หายใจยาวนะครับ
เป็นธรรมชาติธรรมดาอยู่แล้วทุกคนนี่ ถ้าหายยาวจะต้องสดชื่นขึ้น
มีความรู้สึกว่าเนื้อตัวเบาลง มีความรู้สึกว่า ความฟุ้งซ่านเบาลง เบาบางจนกระทั่งเหมือนกับไม่มีความฟุ้งซ่านเลย
มีแต่สมาธินะที่จะรู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง
อันนี้ก็เป็นประสบการณ์อีกระดับหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่คนที่มาถึงตรงนี้ได้
อย่างน้อยไม่ใช้ชีวิตแบบอีลุ่ยฉุยแฉก ไม่ใช้ชีวิตแบบไม่บันยะบันยัง
มีความยับยั้งชั่งใจ มีความรู้สึกอยากห้ามใจเมื่อพบว่า จะเกิดความเหลวแหลกทางจิตวิญญาณขึ้นมา
ไม่ว่าจะด้วยการไปหมกมุ่นในกามแบบทั้งวันทั้งคืน
หรือว่าไปหมกมุ่นอยู่กับความพยาบาทร้อนแรง วันๆ มีแต่จะคิดเอาคืนอะไรแบบนี้ ก็คือความเหลวแหลกทางวิญญาณชนิดหนึ่ง
หรือแม้กระทั่งว่าไปพูดเพ้อเจ้อ เรื่อยเปื่อย สามชั่วโมง
สี่ชั่วโมง พูดเรื่องใครก็ไม่รู้ ไม่ได้มีประโยชน์กับชีวิตของเราเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย
แต่ก็พูดไปเถอะ ราวกับว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญมากในชีวิต พูดจนกระทั่งจิตไม่เหลือชิ้นดี
แบบนี้ก็หวังไม่ได้หรอก ถ้าหากว่าเหลวแหลกขนาดนั้น จะมาตั้งเป็นสมาธิได้อย่างนี้
ระดับของสมาธิตรงนี้ ที่จะเปิดประสบการณ์แบบนี้ได้
เห็นลมหายใจต่อเนื่อง อย่างน้อยที่สุด คุณต้องระมัดระวังรักษาจิต ในระหว่างใช้ชีวิตประจำวันด้วย
ไม่ใช่แค่มาทำสมาธิอย่างเดียว แล้วจะเกิดประสบการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้
ต่อให้คุณใช้อุบายที่ดีวิเศษแค่ไหน จะใช้เสียงสติช่วย
จะมีการเอาตัวปลีกวิเวกไปอยู่บนยอดเขาอะไรก็ตาม ถ้าใจยังหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ที่เป็นโลกๆ
แบบนี้ ไม่มีทางที่คุณจะมีจิตมีคุณภาพพอ ที่จะเห็นลมหายใจต่อเนื่อง
และอันดับสุดท้าย สุดยอดเลยก็คือ รู้สึกว่าจิตสว่างโพลง
รอบตัวสว่างโพลง เห็นลมหายใจเป็นแสงสว่างได้
คือแสงสว่าง เหมือนกลั้วมากับลมหายใจ ปนมากับลมหายใจ
ระคนมาอยู่ด้วยกันนะ คล้ายๆกับว่าลมหายใจเป็นแสงนีออนเป็นแสงสว่าง
ซึ่งพวกเรา ที่ทำทำมาด้วยกัน มีมือมีเท้าเท่ากัน
อาการ 32 เท่ากันนี่ ก็ยืนยัน 8% นะ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ระหว่างใช้ชีวิตที่ได้เจริญอานาปานสติมานี่
สามารถเห็นลมหายใจ เป็นแสงสว่างได้ตลอดทุกครั้งที่มาทำสมาธิ
คนที่ยังทำไม่ได้นี่ ไม่ใช่ว่า มี 8% นี้ไว้ดูเล่นเฉยๆว่า เป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเรา เราทำไม่ได้ชาตินี้
ไม่ใช่นะ
คือ 8% นี้ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งเลยนะ
แบบที่ใจนี่พยากรณ์ได้เลยว่า ต้องไม่เอาเรื่องแบบโลก
อย่างน้อยที่สุดพอจะมาทำสมาธิ จะต้องรู้สึกขึ้นมาว่า
ไม่อยากเอา ไม่อยากได้อยากดีอะไรแบบโลกๆ แล้ว เรื่องหน้าตาชื่อเสียงเงินทอง หรือว่าในการแข่งขัน
การเอาชนะอะไรทั้งหลายห่างออกไปจากใจ รู้สึกว่ากองไว้ไกลๆ อยู่ข้างนอกไม่เกี่ยวกับฉัน
ไม่เกี่ยวกับจิตนี้ ไม่เกี่ยวกับจิตที่จะเอาดีทางสมาธิ
พอใจมีความปลอดโปร่ง มีความโล่ง มีความสบาย ก็พร้อมที่จะสว่างในไม่กี่นาที
อย่างเคยทำโพลครั้งหนึ่งว่า เกิดปีติได้แรงภายใน
5 นาทีไหม ก็มีคนตอบมา9% นะว่าสามารถไปถึงตรงนั้นได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดา
คนที่ไปถึงตรงนั้นได้ ที่ไม่ธรรมดาไม่ใช่เพราะเก่ง
ไม่ใช่เพราะมีไอคิวทางจิตวิญญาณสูง แต่เพราะว่าใจไม่เอาเรื่องโลกๆ แล้วก็มีวิธีที่แน่นอน
ที่จะมารู้ลมหายใจให้ชัดอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดก็เกิดธรรมชาติธรรมดา เห็นภาวะภายในของตัวเอง
จิตสว่างโพลงขึ้นมา จิตพอสว่างโพลงออกมาจากภายใน ภายนอกก็เหมือนสว่างตามไปด้วย และพอมากำหนดรู้ลมหายใจลมหายใจนี่ก็ประกอบอยู่ด้วยแสงสว่าง
อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
เป็นเรื่องธรรมดาๆ ไม่ใช่เรื่องเหนือมนุษย์นะ
แต่ว่าแน่นอนว่า ต้องใช้ชีวิตที่แตกต่างจากมนุษย์กิเลสหนาๆทั่วไปนิดหนึ่ง
ไม่ใช่มีกิเลสหนาแล้วบอกว่า ฉันบุญเก่าดีนะทำสมาธิได้เก่งอะไรแบบนี้
ยังใช้ชีวิตอย่างไร ฉันก็จะทำสมาธิได้อยู่ดี .. ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ
ความเก่งทางสมาธินี่ ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน
แล้วก็ทั้งความช่างสังเกตในการเข้าสมาธิ จับทางเข้าสมาธิถูก
ที่พูดมาทั้งหมด ก็เพื่อหวังว่า พอเรามีประสบการณ์ทำสมาธิบ้างแล้วรู้ว่าตัวเองอยู่กลุ่มไหน
แล้วมาทำความเข้าใจกันใหม่เลยนี่ จะเหมือนการลงเสาเข็มนะ
ตอกย้ำเสาเข็มให้แน่นขึ้นอีก ให้ลึกลงไปอีก และมีความมั่นคงมากขึ้นอีก
ตรงนี้ที่บอกว่าไม่ลืมก้าวแรกนะ ถ้าหากว่าอยากจะก้าวไกล
ก็อย่าลืมก้าวแรก เพราะก้าวแรกจะช่วยให้เรามีสติจริงๆ
ทำสมาธิไม่ใช่ทำเพื่อเอาสุข เอาเล่น ไม่ใช่เพื่อเอาความเก่ง
แต่เพื่อที่จะเห็นว่า เรากำลังทำอยู่นี่ เราจะไปไหน เรากำลังเดินไปไหนนะ
การมีสติรู้ว่าเรากำลังเดินไปไหนนี่แหละ ที่จะทำให้สมาธิไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างที่ผ่านมาคุณจะมองย้อนกลับไปเข้าใจได้ด้วยว่า
ตอนนั้น ทำไมใช้เสียงสติ ใช้มาเป็นปีๆ เพราะว่า พูดตรงๆ เพราะยังคิดไม่ได้
ผมยังคิดไม่ออกว่า จะมาใช้มือช่วยไกด์ในการช่วยทำอานาปานสติอย่างไร
เสียงสติ นี่ก็ช่วยปัดเป่าความฟุ้งซ่าน แต่ไม่ได้ช่วยให้คุณเกิดปัญญาเห็นเข้ามา
พิจารณาเข้ามา
เหมือนกับอย่างที่ยกทีปสูตร หรืออานาปานสติสูตรขึ้นมา
คุณจะไม่เห็นแบบนั้นนะ ต่อให้คุณสงบแค่ไหนก็ตาม
แต่ตอนนี้เรา มีอุบายวิธี มีคนยืนยันว่าใช้ได้จริง
การใช้มือไกด์เพื่อที่จะช่วยให้ทำอานาปานสติได้ ทำอานาปานสติเป็นนะครับ!
__________________________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
ก้าวไกลไม่ลืมก้าวแรก
ช่วงเกริ่นนำ
วันที่ 29 สิงหาคม 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=8ft8xC6qAeI&t=1742s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น