ดังตฤณ : มันขึ้นอยู่กับเราตั้งเป้าไว้แบบไหน ถ้าหากว่าเราตั้งใจแค่ปฏิบัติธรรมเพื่อมีความสุขในปัจจุบัน
ไม่ต้องเครียดจนกระทั่งเหมือนจะเป็นบ้านะครับ กับการงานยุคนี้สมัยนี้ สมัยก่อนเราเรื่อยๆเฉื่อยๆใจสบายๆ
งานการอะไรต่างๆเนี่ย มากันแบบว่าวันต่อวันน่ะนะครับ
พอทำเสร็จบางทีเหมือนกันพักได้เป็นเดือน แทบจะไม่มีอะไรต้องมาวุ่นวายกันต่อ
แต่สมัยนี้เนี่ยมันมาอยู่ตลอด
แล้วก็น่าจะเป็นเหตุปัจจัยทางเทคโนโลยีด้วย ที่ทำให้เราเหมือนกับรับงานกันได้เยอะขึ้น
รับงานกันได้ไม่จำกัด แล้วก็ดูจัดการงานหรือว่าคุยกับผู้คนเกี่ยวกับเรื่องงานได้ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นเนี่ย
ความฟุ้งซ่านมันก็จะมากกว่าคนในยุคอื่นๆนะครับ
ถ้าหากว่าเรามาเจริญสติเพียงหวังว่าจะให้ความฟุ้งซ่านมันทุเลาเบาบางลง
มีความสุขมากขึ้น ก็ไม่ต้องทำตามรูปแบบก็ได้ จะเอาแนวแบบว่า
ดูจิตดูใจหรือว่าดูมีสติรู้เท่าทันภาวะที่มันเป็นปัจจุบันอยู่ ก็โอเคแล้วนะครับ
ถือว่ามีความสุขในปัจจุบันแบบชาวพุทธเกรดเอแล้ว เกรดเอที่เป็นฆราวาสนะครับ
แต่ถ้าหากว่า
ความตั้งใจของเรา เราอยากจะให้สมาธิมีพัฒนาการมีความก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
เป็นสมาธิแบบสัมมาทิฏฐิ เป็นสมาธิแบบที่จะทำให้เรามีความตื่นรู้
แล้วก็มีความสามารถที่จะสิ้นทุกข์สิ้นโศกได้ หรืออย่างน้อยที่สุดปิดอบายเป็นพระโสดาบันได้
ก็จำเป็นนะครับที่จะต้องเอาจริงเอาจังนิดนึง
อย่างน้อยเอาจริงเอาจังเป็นช่วงๆน่ะนะครับ
เจริญหรือว่าเดินตามมรรคมีองค์แปดเป็นพักๆ
คือไม่จำเป็นต้องตลอดปีตลอดชาติแบบที่ผู้ที่ถือบวชด้วยความตั้งใจทำมรรคผลทำนิพานให้แจ้งโดยเฉพาะ
แต่อย่างน้อยถ้าเรารู้จักที่จะทำสมาธิบ้าง
เดินจงกรมบ้าง
หรือว่าอาจจะประพฤติปฏิบัติอะไรในทางที่จะทำให้กายใจมีความเบามีความบางลงจากกิเลส
ก็มีส่วนนะครับที่ว่า ทำสมาธิได้เนี่ยเป็นเรื่องดีแน่นอนนะครับ ถามว่าจำเป็นไม๊
มันแล้วแต่เป้าหมายนะครับ
แล้วทีนี้บอกว่า
ตอนก่อนนอนกับตอนเข้านอนอันไหนดีกว่ากัน จริงๆควรทำทั้งสองอย่าง ทั้งตื่นนอนมา แล้วก็ก่อนจะเข้านอน
เพราะว่าตอนเพิ่งตื่นเนี่ยหัวกำลังโล่งๆ
มันมีความพร้อมที่จะเห็นสภาวะธรรมตามจริงมากกว่า
มีความพร้อมที่จะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่ายกว่านะครับ
แต่ตอนนอนเนี่ย
มันก็เหมือนกับเป็นการชะล้างสิ่งโสโครก ขยะทางอารมณ์ หรือว่าความขุ่นมัว
ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นจิตเห็นใจ
คุณจะเห็นเลยนะครับยิ่งเราใช้ชีวิตประจำวันไปมากชั่วโมงขึ้นเท่าไหร่
ตกเย็นเนี่ยมันยิ่งมีอะไรหมักหมม
มันยิ่งมีอะไรที่เหมือนกับร่างกายที่มีแบคทีเรียมีปฏิกูล แต่จิตใจของเราเนี่ย อาจจะยิ่งกว่านั้น
เพราะว่าการที่จะต้องมาคุยการงานกันแบบเคร่งเครียด
ต้องมาโต้เถียงกันในห้องประชุมว่าเห็นด้วยไม่เห็นด้วยอะไรต่างๆเนี่ย
มันมีความขะมุกขะมอม มันมีความเป็นตะปุ่มตะป่ำ จิตเนี่ยถ้าหากว่าเราไม่ได้ชะล้าง ไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอนบ้าง
หรือว่าไม่ได้มาดูจิตดูใจบ้าง ไม่ได้มานั่งสมาธิเดินจงกรมบ้าง
บางทีเราหลับไปพร้อมกับความสกปรก คืออุตส่าห์ชำระสะสางร่างกายแล้ว
รู้สึกเหมือนจิตใจมันชื่นบานขึ้นนิดนึง
---------------------------------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม จำเป็นหรือไม่ที่ต้องตื่นมาปฏิบัติธรรมในรูปแบบ
เช่นนั่งสมาธิ
ตอนเช้าตี 4 การปฏิบัติธรรมตอน ก่อนนอนจะดีเท่ากันหรือไม่คะ?
ระยะเวลาคลิป ๕.๑๓ นาที
รับชมทางยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=3iv61mWYLZw&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=30** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น