ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ
คืนวันเสาร์สามทุ่ม
คืนนี้ก็มาต่อกันคลื่นปัญญานะครับ
จะมีอย่างนี้ไปเรื่อยๆเลยนะครับ สำหรับคลื่นปัญญานะ ยกเว้นจะมีสัปดาห์ไหน
เสาร์ไหนที่มีประเด็นพิเศษอะไรขึ้นมา แต่ช่วงนี้จะต่อเนื่องยาวไปเรื่อยๆนะครับ
เว้นแต่ถ้าอาทิตย์ไหนเสาร์ไหน เตรียมตัวไม่ทัน หรือว่าไม่พร้อมก็ขออภัยด้วยนะครับ
สำหรับคลื่นปัญญาเมื่อสัปดาห์ก่อนวันเสาร์ที่แล้ว
หลายคนก็คงจะได้ทราบแล้วว่า ถ้าเราได้ไกด์ไลน์คือตาเห็นภาพเคลื่อนไหวเนี่ย
ได้แสดงให้เห็นความเคลื่อนไหวทางร่างกายที่ถูกต้องในขณะหายใจเนี่ย
มันสามารถเหนี่ยวนำเราได้จริงๆ แค่ทอดตามองสบายๆนี่แหละ
ทีนี้วันนี้คืนนี้เราก็จะมาต่อยอดจากเดิมเราฝึกรู้ลมหายใจทั้งลมสั้นแล้วก็ลมยาว
ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญมากๆของอานาปานสติ
ถ้าเราไม่สามารถที่จะแยกได้ถูกว่า
อันไหนลมสั้นอันไหนลมยาว โอกาสที่จะอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องเหนี่ยวนำให้จิตเกิดความเห็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตามันแทบเป็นศูนย์เลย
เพราะว่าคนเนี่ยถ้าหากว่ามองลมหายใจไม่ถูก
แค่ตั้งมุมมองไว้ผิดไปจ้องจดจ่อจุดเล็กๆจุดใดจุดหนึ่งให้จิตคับแคบ หรือไปวิ่งไล่ตามลมหัวลมท้ายลม
เดี๋ยวก็กระโจนเข้า เดี๋ยวก็กระโจนออก
หรือบางคนไปเพ่งจับตัวลมทั้งหมดด้วยอาการนิ่งขึ่ง ด้วยอาการเหมือนท่อนหิน
อาการที่ผิดพลาดแค่นิดเดียว ตั้งมุมมองไปคลาดเคลื่อนแค่ไม่กี่องศา
มันมองเลยไปโน่นเลย คือแทนที่จะได้เห็นสายลมหายใจที่อันเป็นที่สบาย
กลายเป็นเข้ารกเข้าพง แล้วก็จะมีความรู้สึกว่า
ยุคของเราคงเจริญอานาปานสติไม่ได้แล้ว อันนี้เป็นกันมากที่สุดเลยนะครับ
คืนนี้เราจะมาต่อยอดจากเดิมที่เริ่มหายใจเป็น
หายใจยาวก็รู้ว่าหายใจยาว หายใจสั้นก็รู้ว่าหายใจสั้นด้วยอาการที่ถูกต้องทางร่างกาย
แล้วก็ประกอบกับจิตใจที่ตั้งไว้ดีพอดีพอเหมาะ ไม่ใช่ดีเกินๆ
หรือว่าดีขาดๆหายๆนะครับ ถ้ามันพอดีทั้งทางร่างกายแล้วก็จิตใจมีความกลมกลืนกัน
มีความพร้อมจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ที่มันจะต่อยอดในขึ้นต่อๆไปเนี่ย ไม่ว่าจะรู้สุข
รู้ทุกข์ หรือว่ารู้จิตสงบ รู้จิตฟุ้งซ่านเนี่ยมันง่ายนิดเดียว
แล้วก็จริงๆแล้วเนี่ยอานาปานสติสูตรก็ตั้งอยู่ตรงนี้
เราสามารถใช้ปลายนิ้วค้นหาได้สืบค้นได้ทันทีนะว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้รึเปล่า
แล้วที่สำคัญคือใช้อานาปานสติสูตรเป็นเหมือนกับเครื่องตรวจสอบได้เลยแบบเป็นขั้นเป็นตอนว่า
เราค่อยๆรู้เข้ามาภายในขอบเขตของกายใจนี้จริงๆในแบบที่จะทำให้ความเห็นผิด หรือว่าอุปาทานเบาบางลงหรือเปล่า
ถ้าอุปาทานเบาบางลง
ถ้าความเห็นผิดมันน้อยลง สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนไม่ต้องถามใครก็คือ
ความทุกข์มันจะลดมันจะเบา มันจะบาง จนกระทั้งเราเกิดความรู้สึกว่า
เออความสุขเนี่ยจริงๆแล้วมันเหมือนน้ำที่พร้อมจะให้เราดื่มอยู่แล้ว
แต่เนื่องจากเราไม่รู้ว่าจะอ้าปากยังไง พูดง่ายๆว่าจิตเนี่ยไม่ทราบว่าจะเปิดด้วยมุมมองท่าไหนองศาไหนมันถึงจะได้เห็นแสงสว่าง
อันนี้ก็เรียกว่าเป็นปัญหาหญ้าปากคอก ที่ต้องรอมหาบุรุษเช่นพระพุทธเจ้ามาชี้นำว่า
.. มนุษย์บารมีปกติเนี่ยคิดกันเองไม่ได้นะ ทั้งๆที่มันอยู่ตรงนี้แหละความจริงเนี่ย
แต่เป็นความจริงที่ดูเหมือนสิ่งลึกลับ ที่ลึกลับก็เพราะว่า มันมีเมฆหมอก
เมฆหมอกที่มีความมืดมีความหนาปกคลุมจิตของเราอยู่
อย่างตอนนี้ถ้าถามว่า
รู้สึกไม๊ว่ามีเมฆหมอกมืดๆปกคลุมจิตอยู่ บางคนถ้าฟุ้งซ่านหนักก็บอกว่ามีๆรู้สึก
แต่ถ้ามีจิตที่ปลอดโปร่งอยู่ก็บอกว่า ไม่มีปลอดโปร่งสบายเหมือนยืนอยู่บนยอดเขา
แต่ที่แท้มันมีเมฆหมอกความมืดแบบเดียวกันที่ว่าโมหะปกคลุมอยู่เหมือนๆกันหมดแหละ แล้วก็พร้อมที่จะทำดีก็ได้ทำชั่วก็ได้
คนดีที่ดีแสนดีก็จับพลัดจับผลูทำชั่วได้แค่คิดผิดปีเดียวเดือนเดียวหรือวันเดียว
แต่ในขณะเดียวกัน คนที่ดูเหมือนกับว่าไม่สติปัญญาโง่ๆเซ่อๆ แต่ถ้าตั้งใจพัฒนาตัวเองจริงๆ
มันก็สามารถฉลาดขึ้นมาได้ ไอ้ตรงนี้เนี่ยมันก็ยังอยู่ในขอบเขตโมหะเดียวกันนั่นแหละ
ทีนี้ถ้าเจริญสติแบบที่พระพุทธเจ้าประทานแนวทางไว้ จนกระทั่งสำเร็จอรหันตผล ถึงจะจริงๆนะว่า ตอนเมฆหมอกโมหะมันหายไปแบบเกลี้ยงฉากเนี่ยรสชาดมันยอดเยี่ยมขนาดไหน
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกพระองค์ทุกองค์ ก็ได้พูดเหมือนกันหมดเลยนะครับว่า
นิพพานเป็นรสอันยอดเยี่ยม
คืนนี้เดี๋ยวเรามา
.. คือเรายังรู้จักรสชาดความสุขแบบพระอรหันต์กันไม่ได้นะเราๆท่านๆ
แต่เราสามารถรู้ประตูความสุขที่ไปสู่ประตูของเส้นทางการเจริญสติที่เจริญเป็นแล้วก็ถูกทิศถูกทางได้
โดยการที่เราเริ่มไปแล้วนะครับเมื่อสัปดาห์ก่อนเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว
หัดที่จะหายใจอย่างมีความสุขให้เป็น ซึ่งก็หายใจยาวนั่นเองนะครับ
ถ้าใครยังไม่ได้ดู
เพิ่งมาดูนะครับก็อาจจะต้องย้อนกลับไป นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเนี่ย มันจะมีความสืบเนื่องกันนะครับ
จะต้องมีอย่างน้อยที่สุดเนี่ย ได้เห็นแล้วก็ได้ฝึก แล้วก็ได้มีความเข้าใจ
ตลอดจนถ้าทำได้ตามจุดประสงค์ของแต่ละคลิปเนี่ยยิ่งดีเลยนะครับ
มันจะต่อยอดไปทีละขั้น อันนี้ผมเริ่มต้นจากอานาปานสติแบบคร่าวที่สุด
ตอนแรกลมหายใจสั้นยาว ตอนที่สองสุขทุกข์ ตอนที่สามเกี่ยวกับจิต จิตที่สงบจิตที่ฟุ้งซ่าน
แล้วตอนต่อๆไปจะเริ่มลงรายละเอียดลึกเข้ามาในการเห็นซี่โครงได้ เห็นตับ ไต ไส้
พุงได้ เห็นปฏิจจสมุปบาทได้ อันนี้ก็จะค่อยๆเป็นค่อยๆไป
แล้วก็ถ้า
.. อันนี้ย้ำอีกทีนะครับ ถ้าหากคืนนี้ใครเพิ่งดูแล้วอาจจะงง หรือว่าทำตามไปไม่ได้
ไม่เป็นไรนะครับก็เก็บไว้ดูซ้ำทีหลัง เดี๋ยวพอเริ่มต้นนะครับ
เดี๋ยวเตรียมถ้าใครยังไม่มีนะครับ ยังไงต้องใช้นะ หูฟังนะครับ ข้างซ้ายกับข้างขวาเนี่ยเอาเข้าให้ถูกนะ
ถ้าไม่ใช้เนี่ยฟังแล้วอาจจะปวดหัวได้นะครับ
แล้วแต่คนน่ะนะบางคนก็บอกฟังแล้วสบายใจฟังลำโพง
แต่มันจะไม่ได้ไปจูนคลื่นสมองให้ช้าลงนะครับ
มันจะแตกต่างกันจากตอนที่เราใส่หูฟังนะครับ มันเป็นเทคโนโลยีทางเสียง ผมทำเป็นแบคกราวด์แล้วก็จะมีเสียงพูดพากย์นะว่า
จะให้ทำอย่างไรจะให้ดูยังไง ตั้งมุมมองไว้แบบไหนนะครับ
โอเค
คิดว่าน่าจะมาพร้อมหน้าพร้อมตานะครับ เดี๋ยวเราเริ่มกันเลย
คุณดังตฤณนำชมคลิป ))คลื่นปัญญา((
ฝึกรู้ลมสุขและลมทุกข์
เสียงบรรยายคลิปโดยคุณดังตฤณ : จุดประสงค์ของคลื่นปัญญาคลิปนี้คือ ช่วยให้คุณเกิดสติเป็นอัตโนมัติ
รู้ว่าแต่ละลมหายใจพาเอาสุขเอาทุกข์เข้ามาด้วย ซึ่งนั่นจะเป็นเหตุให้เกิดการรู้จักนามธรรมภายในขั้นต้น
อันจะนำไปสู่การรู้จักนามธรรมภายในระดับละเอียดขึ้น หลังจากมีสติรู้ลมหายใจสั้นยาวได้ดีแล้ว
สิ่งที่จะต่อยอดได้ทันทีคือ การรู้ความสดชื่นของแต่ละลมหายใจอย่างชัดเจน
ขอให้ทอดตามองภาพเคลื่อนไหวต่อไปนี้สบายๆ แล้วหายใจให้ได้จังหวะประมาณเดียวกันห้าครั้ง
โดยให้ลมหายใจยาวพอดีกันกับการขยายวงรัศมีสุขออกจนสุด
หยุดครู่หนึ่งก่อนจะระบายลมออกพอดีกันกับวงรัศมีสุขที่หดลงมา
รอสบายๆจนกว่าวงรัศมีสุขจะขยายออกให้เห็นใหม่ เพื่อนำให้เริ่มหายใจกันอีกครั้ง
ที่ผ่านไปนั้นคือการรู้ว่า
หน้าตาของความสุขจากการหายใจยาวเป็นอย่างไร ต่อไปมาฝึกเพื่อให้รู้ว่า
ความรู้เฉื่อยเฉยอันเกิดจากการหายใจสั้นต่างไปได้แค่ไหน
ขอให้ทอดตามองภาพเคลื่อนไหวต่อไปนี้สบายๆ
แล้วหายใจให้ได้จังหวะประมาณเดียวกันห้าครั้ง โดยให้ลมหายใจสั้นมีประมาณพอดีกันกับการขยายตัวของก้อนความเฉยที่ขยายแล้วหดลงอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายมาดูกันว่า
หน้าตาของความเหี่ยวเฉาจากการหายใจสั้นแบบหนักอกเป็นอย่างไร
ขอให้ทอดตามองภาพเคลื่อนไหวต่อไปนี้สบายๆ แล้วหายใจให้ได้จังหวะประมาณเดียวกันห้าครั้ง
โดยให้ลมหายใจยาวพอดีกันกับที่ก้อนความหนักอกขยายออกแล้วหดลงแบบฝืดๆ กับทั้งมีจังหวะหยุดที่ยาวกว่าปกติธรรมดา
คาดหมายไม่ได้ว่าเมื่อใดจะหดหรือขยายอีก
คุณจะพบว่า
จริงๆแล้วตัวเองอยากหายใจยาวอย่างเป็นสุขมากกว่าที่จะหายใจสั้นอย่างเป็นทุกข์
แต่คนเราก็ไม่อาจหายใจยาวอยู่ตลอดเวลาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อถูกเหตุการณ์บีบให้หายใจสั้นลง
ต่อไปนี้ขอให้ฝึกรู้สุขทุกข์ที่มากับลมหายใจยาวและสั้นด้วยตนเอง
เพื่อเห็นความจริงว่า สุขกับทุกข์ไม่เที่ยงจริงๆ หลับตาลง ..
ลืมตาขึ้น
ความรู้สึกทั้งหมดที่ผ่านมาทั้งสุข ทั้งเฉย ทั้งทุกข์ รวมเรียกว่าเวทนา
คุณได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เวทนาเกิดจากเหตุไม่ได้บังเอิญเกิดเองลอยๆ เช่น
สุขเวทนาเกิดจากการหายใจยาวสม่ำเสมอ
ทุกขเวทนาเกิดจากการหายใจสั้นแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นต้น
เวทนาทั้งหลายชวนให้นึกว่ามีตัวคุณเป็นผู้รู้สึก
เป็นผู้อยากรักษาความสุขไว้นาน หรือเป็นผู้อกไหม้ไส้ขม นึกว่าจะต้องตรอมตรมแบบไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่มีวันหลุดพ้นจากความทุกข์ไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจถูกเข้าใจตรง
จึงพบว่าแค่เปลี่ยนวิธีหายใจให้ดี ก็มีความสุขท่วมทับความทุกข์ได้แล้วในนาทีนั้น
เมื่อเห็นเวทนานานพอกระทั่งรู้ว่า
เวทนาไม่เที่ยง เป็นไปตามเหตุปัจจัย คุณจะเกิดสติ
และเมื่อเกิดสติแบบพุทธเกิดขึ้นกับจิต ก็จะมีแต่ความรู้ชัดแบบไม่มีมโนภาพตัวใครอยู่ในเวทนาเลย
นอกจากเวทนาทางกาย
ยังมีเวทนาทางใจเช่น เมื่อฟุ้งซ่านมากก็รำคาญใจมาก
ความรำคาญใจได้ชื่อว่าเป็นทุกขเวทนาอย่างใหญ่
อันนี้เราจะได้เรียนรู้จากวิธีสังเกตลมหายใจแห่งความสงบกับลมหายใจแห่งความฟุ้งซ่านกันในคลิปต่อไป
จบการรับชมคลิป ))คลื่นปัญญา((
ฝึกรู้ลมสุขและลมทุกข์
ดังตฤณ : ก็ได้ชมกันไปนะครับ ทีนี้อย่างเคยนะครับ
ขอความร่วมมือนิดนึง อยากจะทราบว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลยังไงแค่ไหนนะครับ
เดี๋ยวจะมีคำถามนะครับว่า ณ ขณะนี้คุณรู้สึกไม๊ว่าเวทนาไม่ใช่ตัวคุณ ถ้าหากว่าเป็นไปตามจุดประสงค์
เป็นไปตามความคาดหมายนะครับ คือเอาแค่คำถามเดียว เอาแค่ตรงนี้จุดเดียวเลยนะครับว่า
ณ เวลานี้เวลาที่คุณดูคลิปจบแล้วเนี่ย ได้เกิดความรู้สึกไม๊ว่า เวทนาไม่ใช่ตัวคุณ
ก็แค่คลิกเดียวนะครับขอความร่วมมือนะครับ ทุกท่านที่ได้รับฟังรับชมกันไปแล้วนะครับ
เดี๋ยวก็จะมาเข้าสู่ช่วงคำถามนะครับ
เดี๋ยวผมจะรอประมาณนาทีสองนาทีก่อนจะให้แอดมินเบล์ได้พับบลิช (Publish)
สิ่งที่เกิดขึ้นถ้าหากว่า
เราได้ความเข้าใจ ความเข้าใจเนี่ย จะเห็นว่ามันมีความสำคัญมากกว่าความสามารถในการทำสมาธิ
มีความสำคัญมากกว่าความสามารถที่เราจะเดินจงกรมกี่ชั่วโมง
เพราะว่าบางทีเนี่ย
ถ้าหากนั่งสมาธิไปสามสี่ชั่วโมง บางคนเดินจงกรมหกชั่วโมง แต่ผ่านไปปีแล้วปีเล่า
ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองยึดมั่นถือมั่นมากอยู่
หรือเรื่องที่เข้ามากระทบจิตใจให้เกิดความขัดเคือง เกิดความรู้สึกโกรธแค้น
มันยังเหมือนกับวันดีคืนดีเนี่ยรู้ไม่ทันมันแล้วก็ไปทำอะไรที่มันจะต้องมาเสียใจภายหลัง
เพราะคนที่ปฏิบัติธรรมมานานๆเนี่ย
มักจะเหมือนๆกันอย่างนึงคือ พอมีเรื่องกระทบให้รู้ตัวเนี่ยว่ากิเลสยังอยู่
โทสะยังอยู่ ความโลภโมโทสันอะไรต่างๆเนี่ย มันยังเหมือนเดิม ก็เกิดความเสียใจว่า
เราทำไม่ได้แบบครูบาอาจารย์ ทำไม่ได้แบบกัลยาณมิตรเพื่อนฝูงที่ปฏิบัติมาด้วยกัน
หรือบางคนหนักกว่านั้นคือ
นอกจากกิเลสจะไม่ลดแล้วเนี่ย ยังกลายเป็นว่าได้กิเลสตัวโตๆในภาพนักปฏิบัติเป็นโยคาวจรที่มีตัวตนหนักดั่งขุนเขา
คือแทนที่จะตัวเบาใจเบา มันกลายเป็นหนักไป อันนี้เนี่ยเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องปกติเลยที่เราได้พบได้เจอกัน
แล้วก็มักจะมีเสียงบ่นจากคนที่บางทีเนี่ยยังไม่ได้อยู่ในวงการว่า
เอ้ทำไมไปวัดปฏิบัติธรรมหรือมีความรู้ความเข้าใจอะไรมากมาย แต่กิเลสยังไม่ลดลงซักอย่างเดียวนะครับ
บางทีเหมือนกันดูหน้าตาใจดี หน้าตาผ่องใส แต่วันดีคืนดีก็แผลงฤทธิ์ขึ้นมา
หรือว่าทำเรื่องร้ายขึ้นมาอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดได้อะไรแบบนี้นะครับ มันก็ไม่ใช่ว่าธรรมะไม่ดี
แต่การตั้งมุมมองมันอาจจะคลาดเคลื่อน
หรือว่าอาจจะไม่เป็นไปในทางที่จะได้เห็นความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวเดิม
ความไม่ใช่ตัวตนของกายใจ
มันกลับไปก่อร่างสร้างเงามหึมาของตัวตนผู้ปฏิบัติขึ้นมาแทนนะครับ
แล้วก็พอรู้สึกว่าตัวตนของผู้ปฏิบัติมันสูงส่งนักหนา
หรือว่าประเสริฐเลิศเลอมีสิทธิ์เข้าใกล้นิพพานอะไรต่างๆ โอ้มันยิ่งกว่าคนธรรมดา
บางคนตอนยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเหมือนกับเป็นคนดีๆ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
แต่พอปฏิบัติธรรมไปไม่นาน กลายเป็นมีความกระด้าง
มีสีหน้าสีตาที่แปลกไปเปลี่ยนไปจากคนเดิมที่อ่อนโยนอ่อนหวาน
------------------------------------------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๒๕
มกราคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ตอน ))คลื่นปัญญา(( ฝึกรู้ลมสุขและลมทุกข์
ระยะเวลาคลิป ๒๔.๓๕ นาที
รับชมทางยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=GcOHPa88nC4&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=30
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น