วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

รู้สึกจิตใจดำมืด คิดอยากฆ่าพ่อแม่และสัตว์เลี้ยง อยากฟื้นฟูจิตใจตัวเอง

ผู้ถามคือว่าจะไม่มีการเรียบเรียงคำพูดไว้ก่อนนะคะ จะพูดไปเลยนะคะ คือว่า รู้สึกว่าเป็นคนที่มีแบบก้นบึ้งของจิตใจที่แบบมืดค่ะ 

เคยได้ยินพระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่มีจิตใจมืด จะเป็นความทุกข์ยิ่งกว่าตกนรก 

บางทีเรารู้สึกอย่างนั้นนะคะ แบบบางทีเรามีความรู้สึกว่าเราฆ่าคนได้  

หรือว่า เราฆ่าพ่อแม่ได้ เราเคยคิดฆ่าพ่อแม่ด้วยนะคะ 

แล้วก็บางที เรารู้สึกว่าที่เราไม่เหมือนคนอื่นเขา เรามีอะไรด้อยกว่าคนอื่นเขา เพราะว่าเราเป็นคนที่จิตดำมืดมากกว่าคนอื่นค่ะ

 

อยากจะเป็นคนที่ปกติค่ะ อยากจะฟื้นฟูจิตตั้งแต่แบบจิตใต้สำนึกจริงๆ เลยค่ะ ว่าต้องทำอย่างไรคะ

 

ดังตฤณ: อันดับแรกนะ จิตมนุษย์มีความพิสดาร ลึกซึ้งซับซ้อน

อย่างที่บางทีเรานึกไม่ถึง แล้วก็ไม่ใช่อย่างที่เราคิดไว้

 

อย่างคุณบอกว่า พื้นจิตพื้นใจของเรา ทำไมมืดบอดขนาดนี้

ทำไมดำมืดขนาดนี้ ราวกับว่าถูกกักขังไว้กับกรงมืดๆ

ไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ออกมาจากคุกนั้นไม่ได้สักที ไม่เป็นอิสระสักที ความรู้สึกจะประมาณนี้นะ 

 

แต่จริงๆ แล้ว .. นี่ว่ากันเฉพาะเจาะจง ของกรณีคุณเลยนะ 

พื้นจริงๆ ของชีวิตเรา พื้นจริงๆ ที่เรียกว่า เป็นเส้นทางกรรมของเรานี่

.. ไม่ใช่มืด แต่เป็นสว่าง ..

 

คือผมเคยเห็นคนที่ มีเส้นทางกรรมมืดมาจริงๆ เยอะ  

เพราะฉะนั้น ในมุมมองของผม ผมจะได้ข้อเปรียบเทียบนะว่า

แบบของคุณ มาพูดตรงนี้ สะท้อนความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองออกมาได้แบบนี้

อย่างนี้เรียกว่า พื้นจริงๆ ไม่ใช่มืดนะ  เส้นทางกรรมจริงๆ นี่สว่าง

 

แต่ที่รู้สึกว่า เราถูกกักขังไว้กับกรงๆ หนึ่ง เรามีความรู้สึกราวกับว่า

เราไม่สามารถพ้นไป จากความน่าเกลียดน่ากลัว ของตัวตนแบบนี้ได้

เป็นแค่เหมือนกับ ห้องขังห้องหนึ่ง ที่คุณยังไม่ได้วาระที่จะพ้นออกไป

 

แต่ถามว่า พอพ้นออกไปแล้วจะไปเจออะไร 

มีทางสองแพร่งสามแพร่ง อาจจะเป็นทางเดิน ที่โรยด้วยกลีบกุหลาบก็ได้

เป็นทางเดิน ที่มีความสว่างสวยงามก็ได้

หรือจะเป็นทางที่ดิ่งลงเหว เต็มไปด้วยขวากหนาม

เต็มไปด้วยหิน เต็มไปด้วยความรกของป่าก็ได้

 

ตอนนี้คุณมองอย่างนี้ไว้ก่อน คุณแค่อยู่ในช่วงเวลา ของการถูกคุมขัง

ไว้กับจิตแบบหนึ่งที่มืด

 

แต่จิตแบบนั้น ถ้าถูกปลดล็อคออกเมื่อไหร่

คุณจะพบว่าเส้นทางที่คุณเดินอยู่ สามารถเลือกได้

ว่าจะไปดีก็ได้ หรือจะไปร้ายก็ได้ จะขึ้นสวรรค์ก็ได้จะลงนรกก็ได้

จะไปนิพพานยังได้เลย เพราะคนที่มีความทุกข์มากๆ

คนที่มีความรู้สึกถูกกักขังมากๆ จะมีแรงดัน อยากเป็นอิสระ

 

แล้วถ้าอยากเป็นอิสระถึงที่สุดนี่ จะไม่ใช่แค่หยุดที่ไปสวรรค์

จะไม่หวังแบบคนอื่นว่า ขอไปแค่สวรรค์

จะหวังเลยว่า ขอหลุดพ้นไป จากวังวนทุกข์

ที่เกิดมาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้

จะมีความรู้สึกเข็ดอยู่ลึกๆ กับการต้องไปเป็นลูกใคร พ่อแม่คนไหน

จะต้องไปเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วก็ต้องค่อยๆ ถูกชุบเลี้ยงขึ้นมาอีก

 

หันกลับไปรู้จักพ่อแม่ที่แท้จริง แบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า

มีตัณหา มีอุปาทาน มีอวิชชานี่แหละ ที่เป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของเรา

ที่พาให้เราเกิดตายไปไม่มีที่สิ้นสุด อันนี้เป็นเรื่อง Concept

 

ที่นี้ ถามเรื่องวิธีการว่า  ทำอย่างไรจะได้ออกจากคุกมืดตรงนี้เสียที 

เมื่อกี้คุณไม่ได้ใช้คำว่าคุกมืด แต่โดยปริยายก็คือ

เราพูดถึงจิตที่ดำมืดนี่ ก็คือกรงชนิดหนึ่ง ก็คือห้องขังชนิดหนึ่ง 

 

ถามว่าจะออกมาได้อย่างไร

ออกจริงๆ แบบที่ ไม่รู้สึกว่าหลอกตัวเอง หรือว่าออกมาได้ประเดี๋ยวประด๋าว

สว่างขึ้นได้แล้วเดี๋ยวกลับไปมืดอีก

 

วิธีเดียว ที่จะออกจากจิต ที่มีสภาพเหมือนคุกมืดของตัวเองได้คือ

เห็นให้ได้ว่า นอกคุกนี่ อะไรคือแสงสว่าง

แสงสว่างอยู่ทิศไหน พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศไหน

เราต้องมองให้เห็นนะ

 

พระอาทิตย์ ขึ้นทางทิศที่เรานึกถึงพระพุทธเจ้า

พระอาทิตย์ ขึ้นในทิศที่ เราสามารถรู้ได้ว่า

จะมองเข้ามาเห็นความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของกายใจนี้

ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนได้อย่างไร  

 

ถ้าหากว่า เราสามารถรู้ได้ มองได้ อ่านออกตรงนี้

เห็นพระอาทิตย์ที่แท้จริง

เราจะรู้สึกว่า ความมืดในคุกไม่น่ากลัว

เราแค่เปิดหน้าต่างให้ถูกบานเท่านั้นแหละ

เปิดหน้าต่าง ในทิศที่จะเห็นแสงพระอาทิตย์ได้

 

หน้าต่างอยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่ ที่เราสามารถ

จะมองเห็นความไม่เที่ยงของกายนี้ของใจนี้ได้

 

ถ้าคุณเห็นความไม่เที่ยงของกายนี้ใจนี้ได้เรื่อยๆ

คุณจะเห็นลามเลยไปถึงจิตที่ดำมืด ที่บอกว่า ..โอ้โหฝังแน่น

เกาะติดเป็นพื้น เป็นที่ยืนของชีวิตเรา อะไรก็แล้วแต่ที่คุณจาระไนมา

จะลงไปได้ถึงตรงนั้น เห็นว่า จิตที่มืดที่สุดในชีวิตของเรา

เป็นแค่ภาวะปรุงแต่งชั่วคราว ไม่ใช่ว่า จะต้องอยู่ติดเนื้อติดตัว

หรือว่าติดอยู่กับพื้นชีวิตของเราไปจนตาย

 

ตรงนี้คือความหมายนะ ว่าทำไม เราถึงต้องเห็นความไม่เที่ยง

อยู่ๆ เราจะไปดูจิตที่มืด โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน .. ไม่ได้

ต้องผ่านบันไดมาเป็นขั้นๆ เห็นก่อน ซ้อมก่อน  ดูก่อนว่า

ที่หายใจไป หายใจมาอยู่นี่ เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก เที่ยงหรือไม่เที่ยง

ถามตัวเองให้ได้ก่อน

 

พอถามตัวเองเรื่อยๆ ทุกวันๆ ถ้าเราทำซ้ำไปเรื่อยๆ นานพอ

จะถึงจุดหนึ่ง ที่ได้คำตอบมาว่า ลมหายใจไม่เที่ยง

และลมหายใจที่ไม่เที่ยงนี้ แค่เป็นภาวะหนึ่ง เขาเรียกว่าธาตุลม

มีภาวะพัดเข้าพัดออก พัดขึ้นพัดลง

 

เราเห็นตัวนี้ จับให้มั่นคั้นให้ตาย ได้ตัวหนึ่ง ตัวอื่นๆตามมาได้หมด 

คือเราเห็นว่า ลมหายใจที่ไม่เที่ยงนี่

สักแต่นำเอาความรู้สึก เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง

 

ถ้าหายใจยาว มีความสุข หายใจได้ทั่วท้อง โอ้.. มีความสุขมาก

ฝึกหายใจด้วยท้อง หายใจเข้า ป่องท้องออกนิดหนึ่ง

หายใจออก แฟบท้องลงมา อย่างนี้

เท่ากับเราได้มีโอกาส ทำความรู้จักความไม่เที่ยง

ของความสุข และความทุกข์บ่อยขึ้น บ่อยขึ้นๆ

จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง พอถามตัวเองขี้นมาว่า

ที่กำลังมีความสุขอยู่นี่ มีความสุขอยู่ด้วยจิตที่อยู่นิ่งๆ

หรือว่าจิต ที่กระโดดโลดเต้น

 

หรือถ้าเกิดมีความรู้สึกว่า หายใจแล้ว อึดอัดเป็นทุกข์

ถามตัวเองว่า ในขณะที่หายใจอย่างอึดอัดเป็นทุกข์นี่

จิตมีความฟุ้งซ่านปั่นป่วนอย่างหนัก หรือว่าฟุ้งซ่านอ่อนๆ

 

พอเห็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ได้คำตอบว่า ลมหายใจไม่เที่ยง

แต่จะได้คำตอบด้วยว่า จิตของเราเองก็ไม่เที่ยง

แม้ภาวะที่มืดที่สุดในชีวิต ก็เป็นภาวะชั่วคราว 

 

ตอนที่เราเห็นจริงๆ ด้วยความรู้สึกสัมผัสออกมาจากใจ

จากจิตเต็มๆ ดวงว่า ภาวะมืดมิด เป็นแค่ห้องขังห้องหนึ่ง

แล้วเราไม่ต้องอยู่ในนั้นตลอดไป ออกมาก็ได้ 

เห็นซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตไม่รู้สึกว่า

ความมืดนั้นเป็นตัวเป็นตนของเรา จะถอนเลยนะ

ถอนออกจากความรู้สึกว่า อย่างไรๆ เราก็ต้องอยู่กับตรงนั้น

 

พอถอนจากความรู้สึกอยู่ตรงนั้นได้

เวลาเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นความคิด ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต

เป็นความคิดที่แย่ที่สุดในชีวิต

เป็นความคิดที่เรารู้สึกว่า ทำไมชั่วร้ายอย่างนี้ 

ก็จะผ่านมา แค่เป็นระลอกความคิดหนึ่ง เป็นภาวะหนึ่ง

เป็นอะไรอย่างหนึ่ง ที่ปรากฏและไม่ต้องอยู่กับเราตลอดไป

เราไม่ต้องไปรับผิดชอบ กับภาวะที่เกิดขึ้นแป๊ปเดียวนั้น

 

นี่แหละตัวนี้แหละจะเป็นโอกาสของเรา โอกาสสว่างของเรา

 

ผู้ถาม:  คือบางทีเรารับความคิดเราไม่ได้ค่ะ

 

ดังตฤณ:  นี่แหละ ที่พูดมาทั้งหมด ก็เพราะจะชี้ตรงนี้แหละ

ว่าเรารับความคิดเราไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าเป็นตัวเรา

 

ทีนี้ ถ้าเราใช้อุบายอะไรก็แล้วแต่ ที่จะดูเหมือนฉลาด

ดูเหมือนเป็นความคิดที่ดี ที่ถอนความรู้สึกแย่ๆ ออกไปได้

แต่ในที่สุด พอความยึดว่า ความคิดแย่ๆ นั้นเป็นตัวเรา เป็นของเรากลับมาเมื่อไหร่ เราก็รู้สึกแย่ๆอีก

 

และความคิด เวลาเกิดขึ้นนะ ส่วนใหญ่ถ้าเกิดขึ้นได้บ่อยๆ

จะไม่หายไปไหน จะวนเวียนกลับมาอีก

แล้วก็รู้สึกว่า ความคิดนี้เหมือนเอาสังกะสีมาเสียดๆๆ

ให้แสลงใจ เสียดแทงใจ รู้สึกแย่กับตัวเอง

 

และทุกครั้งที่รู้สึกแย่กับตัวเอง

คือการป้อนอาหาร หล่อเลี้ยงภาวะความคิดแย่ๆนั้น จิตมืดๆแบบนั้น

ต่อ(ความคิดแย่) ให้มีอายุยืนต่อไป

 

แต่ถ้าเราเลิกให้อาหาร ด้วยการเห็นว่า

ภาวะความคิดนั้น เป็นแค่ของชั่วคราว ผ่านมากับลมหายใจนี้

พอลมหายใจนี้ผ่านไป เดี๋ยวก็ค่อยย่อยสลายไปหายไป

ไม่เห็นจะต้องไปรับผิดชอบอะไร ไม่เห็นจะต้องตามไปยึด

ว่านั่นเป็นความคิดของเรา

ตัวนี้แหละจะค่อยๆถอนออกมา

 

ไม่ได้ทันทีทันใด แต่จะค่อยๆเกิดขึ้น ทีละวัน ทีละวัน

รวมแล้วเป็นเดือน รวมเดือน ทีละเดือนๆ รวมแล้วเป็นปี

พอผ่านเดือน ผ่านปีไปนะ คุณจะพบว่า

ความคิดแบบนี้หายไปไหนก็ไม่รู้

 

เพราะอะไร เพราะเราไม่ไปให้อาหารหล่อเลี้ยง

เราไม่ไปถือว่าเป็นความคิดเรา

 

ผู้ถาม : ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว เราเป็นคนแบบนั้นเหรอคะ หนูมีความรู้สึกว่า อดีตชาติ หนูต้องเคยเป็นคนที่อำมหิตค่ะ

 

ดังตฤณ: เมื่อกี้ที่ผมบอกนะ ที่ผมบอกไปตั้งแต่แรก

อยากให้เปลี่ยนมุมมองใหม่เลย

 

คือพอเราไปยึดติดว่า อดีตชาติเราเป็นคนแบบนี้มา

เพราะฉะนั้น เรานี่เป็นคนบาป เราเป็นคนชั่วร้าย เราเป็นคนอำมหิต

แล้วพอยิ่งมาได้รับการตอกย้ำ จากความคิดอะไรที่ไม่ดี

ความคิดที่ชอบลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์

ความคิดที่ชอบคิดว่า เราโหดเหี้ยมอำมหิต สามารถฆ่าใครก็ได้

เวลาที่เราโมโหเวลาเราไม่พอใจขึ้นมา

 

แล้วก็มองว่าตัวนี้ ก็คือตัวเดิมกับชาติก่อน แก้ไม่ได้ ออกไปไม่ได้

หลุดจากตรงนี้ไม่ได้ .. ตรงนี้คือความทรมานใจ

ซึ่งผมชี้ว่า คืออาหารหล่อเลี้ยง

 

ต่อเมื่อเราตั้งความเห็น ตั้งความเข้าใจให้ถูกต้องเสียใหม่

ตามที่พระพุทธเจ้าท่านชี้ว่า

ไม่ว่าจะเป็นภาวะกุศลก็ตาม ภาวะอกุศลก็ตาม

ภาวะที่สว่าง ภาวะความคิดที่มืด จิตที่ดีที่สุด จิตที่เลวที่สุด

เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็น ภาวะชั่วคราว

 

ซึ่งถ้าเราเห็นได้เรื่อยๆ ความยึดติดถือมั่น ว่านี่คือตัวเราก็จะหายไป

หรืออย่างน้อย ค่อยๆ เจือจางลง เบาบางลง

จนกระทั่งไม่ก่อความทุกข์ให้เราได้อีก นี่คือประเด็น 

 

ตรงนี้ผมอยากให้คุณจับประเด็นให้ชัดเจน

แล้วก็ลองไปทดลอง ทำดูซ้ำๆ พิจารณาดูซ้ำๆ

ณ เวลาที่เกิดความคิดไม่ดีขึ้นมา เรานับไปเลย

นับอายุไปเลยว่า มีอายุอยู่กี่ลมหายใจ แค่นี้แหละ

คุณจะพบหลังจากเวลาผ่านไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่ตอนนี้นะ

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของการทำความเข้าใจ

เป็นนาทีของการตั้งสัมมาทิฏฐิขึ้นในใจของเรา 

 

แต่นาทีต่อๆ ไปเวลาที่เราไม่ได้คุยกันแล้ว คุณไปมีชีวิตของตัวเอง

แล้วก็เผชิญกับภาวะ ที่อยู่เฉพาะหน้าของตัวเอง

คุณจะต้องจำ keyword นี้ให้ได้ เวลาที่เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา

ถามตัวเองว่า มีอายุอยู่ได้กี่ลมหายใจ

 

ถ้าทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเกิน 1 อาทิตย์แล้ว ไม่มีอะไรดีขึ้น

เรามาคุยกันใหม่

 

แต่ส่วนใหญ่ทำไปแค่วันเดียวก็เห็นผลแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

ผู้ถาม: ค่ะ คือขอพูดได้ไหมคะ จริงๆหนูมาพูดนี่ หนูก็อายมากเลยนะคะ 

 

ดังตฤณ : เดี๋ยวๆ ขอตรงนี้นิดหนึ่งได้ไหม ขออนุญาตนิดหนึ่ง

ไม่ใช่มีคุณคนเดียวนะ ผมบอกได้เลยนะที่อยู่ในห้องนี้

จะร้อยกว่าคนหรือเท่าไหร่ก็แล้วแต่นี่ เกินกว่า 50% รับประกันเลย

ว่ามีความทรมานใจ แบบเดียวกับคุณมาก่อน หรือกำลังเป็นอยู่

 

ที่กล้าพูดอย่างนี้ เพราะอะไร ผมเองก็เคยเป็น

แล้วก็ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกใคร

แต่ตอนนี้ มีคนเริ่มกล้าพูดมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะอดที่จะทรมานใจอยู่ต่อไปไม่ไหว

 

และผมตอบคำถามนี้มานี่ ไม่ใช่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

ทำมาแล้ว ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง เพราะฉะนั้น ตรงเรื่องความรู้สึกอาย

ความรู้สึกว่า ทำไมเราต้องเป็นคนแบบนี้ มีความคิดแบบนี้นี่

ขุดความคิดของทุกคนออกมาเปิดเผยเลยนะ ว่า ไม่ใช่คุณคนเดียว

 

เป็นกันเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคนี้

ที่ถูกอัดฉีดความชั่วร้ายเข้าสู่จิตใจเรา โดยไม่รู้ตัว

ผ่านละครบ้าง ผ่านเพลงบ้าง ผ่านหนังบ้าง ผ่านซีรี่ย์บ้าง

ผ่านนักการเมืองบ้าง ผ่านบุคคลที่เรานึกว่าน่าจะมีความน่านับถือบ้าง

พระสงฆ์องค์เจ้าอะไรก็แล้วแต่

 

คือบางทีนี่ ความคิดชั่วร้าย ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆหรอก

แต่มีการผสมรวมกัน ระหว่างความชั่วร้ายในรูปแบบต่างๆ

ที่ซึมซาบหรือว่าอัดฉีดเข้าสู่ตัวเรา โดยไม่รู้ตัว  

 

ผู้ถาม: คือขอพูดว่า หนูมีจิตขนาดไหนนะคะ หนูเคยเลี้ยงกระต่าย หนูก็คิด เฮ้ย หนูเอามีดมาฟันหัวกระต่าย แล้วหนูบอกใคร ใครเขาก็บอกว่าเป็นเรื่องปกติ และยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่หนูดูหนัง ดูหนังอะไรที่น่ากลัวอำมหิต หนังอะไรที่ฆ่าคน อะไรแบบนี้ค่ะ

 

ดังตฤณ: จะมีความยินดีตาม

 

ผู้ถาม: ไม่ใช่ยินดีค่ะ หนูไม่ยินดีเลย แต่หนูมีความรู้สึกว่า คล้ายๆหนูเหมือนเป็นโรคจิต หนูมีความรู้สึกว่าหนูอินไปกับหนังมาก จนหนูคิดตามตัวฆาตกร เฮ้ย จิตอย่างไรที่เขาจะคิดฆ่าคนได้ขนาดนั้น และหนูก็แบบ เหมือนหนูจะเป็นไปตามอย่างนั้นนะคะ

ดังตฤณ:  นั่นแหละที่ผมพูดถึงคำว่า ยินดีตาม คือมีใจคล้อยตาม

มีใจ ที่ถูกดูดเข้าไปสู่ความเป็นเช่นนั้น

คือใจของเรา ยอมที่จะถูกลากจูงไป หรือถูกเหนี่ยวนำไป

ให้เป็นไปตามเช่นนั้น

 

ผู้ถาม : หนูไม่อยากเป็นแบบนี้เลย

 

ดังตฤณ: นั่นแหละ ลองตามแบบที่ผมว่ามา

ดูโดยความเป็นของไม่เที่ยง อย่าดูโดยความเป็นเรา

 

ถ้าดูโดยความเป็นเรา เท่ากับเราให้อาหารด้วยความทรมานใจ

ความทรมานใจของเรานี่แหละ คืออาหารหล่อเลี้ยงไว้

แต่ถ้าเราเห็นว่าไม่ใช่เรา เป็นภาวะชั่วคราว

ไม่ว่าเห็นว่ามืดมากมืดน้อย ไม่ว่าจะรู้สึกว่าแย่ที่สุด

แย่ที่สุดในโลกแค่ไหนก็แล้วแต่ เป็นความแย่ที่สุดในโลกแป๊บหนึ่ง

ไม่ใช่แย่ที่สุดในโลกตลอดไปนะ

 

ผู้ถาม: หมายถึงว่าเวลาเกิดความคิดขึ้นมา เราก็ดูเฉยๆ อย่างนั้นหรือคะ

 

ดังตฤณ: คิดง่ายๆ เลย ว่า เป็นความคิดแย่ๆ ที่เกิดขึ้นได้กี่ลมหายใจ

จะไปได้สักกี่น้ำ .. นี่  ดูเฉยๆเลย 

 

คือตอนนี้ คุณจะยังไม่เข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แต่พอทดลองดูนะ นับเอาเลย

ความคิดแย่ๆ ความคิดที่กระจุกอึดอัดอยู่นี่ ว่าเกิดความรู้สึกลบ

เกิดความรู้สึกร้าย ความรู้สึกตรงนั้นอยู่ได้กี่ลมหายใจ

 

พอดูอย่างนี้บ่อยๆ ความรู้สึกว่า

เราจะต้องไปรับผิดชอบอะไรกับความคิดตรงนั้น จะค่อยๆ เจือจางลง 

ค่อยๆ ละลายหายไป

 

แต่อันนี้ต้องทำนะ ถึงจะเห็นว่าเป็นจริงไหม 

_____________

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน มุมมองที่เปลี่ยนไป

วันที่  13 มีนาคม 2564

ถอดคำ : เมี่ยง

ตรวจทาน : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=RUcrluouDOo&t=15s

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น