ผู้ร่วมรายการ : วันนี้ไม่มีคำถาม แต่อยากจะแชร์ประสบการณ์ตัวเองสั้นๆ
เริ่มศึกษาธรรมะได้ไม่นาน เริ่มพร้อมกับเสียงสติ พื้นฐานเป็นคนขี้เกียจมาก แล้วก็ไม่เก่ง แต่ทำตามวิธีที่คุณดังตฤณแนะนำ รู้สึกว่ามันง่ายมากแล้วมันก็ได้ผล ได้ผลจริงๆ ก็เลยทำตามมาตั้งแต่เสียงสติจนถึงทุกวันนี้
เริ่มต้นที่ฟังเสียงสติ ตอนนั้นจิตใจกำลังย่ำแย่มาก เพราะว่ามีปัญหาเรื่องการเรียน เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ได้เสียงสติมาช่วย ตอนนั้นคุณดังตฤณบอกว่า เวลาฟังเสียงสติให้สังเกตด้วยว่าลมหายใจของเรามันสั้นยาวไม่เท่ากันเลยซักลมหายใจเดียว นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คลิก
พอมาสังเกตขณะฟังเสียงสติด้วย แล้วก็มาสังเกตลมหายใจตัวเองด้วย ก็รู้ว่ามันเป็นจริง มันเป็นตามนี้จริงๆ คือลมหายใจของเรามันไม่เท่ากันเลยซักลมหายใจเดียว ตื่นเต้นมากจนกระทั่งเวลาโทรคุยกับคุณแม่ ก็จะบอกแม่ว่า “แม่ดูสิลมหายใจเรามันไม่เท่ากันจริงๆนะ ถ้าแม่โอกาสแม่ลองสังเกตสิ” รู้สึกตื่นเต้นมาก
จากจุดนั้น ทำให้รู้สึกสนใจ แล้วก็ใช้เสียงสติมาเรื่อยๆ เพราะว่าพอใช้แล้วมันได้ผล กลับไปอ่านหนังสือเล่มเดิมที่เคยอ่านไม่รู้เรื่อง ก็อ่านรู้เรื่องเพิ่มมากขึ้น
ดังตฤณ : จุดนี้ผมอยากพูดนิดนึง หนังสือที่เราเคยอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เพราะว่าเราไม่มีสติปัญญาหรือไอคิวต่ำ แต่ว่าจากประสบการณ์ของผมเองเลย เวลาที่เราฟุ้งซ่าน เวลาที่จิตของเราไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรตรงหน้า ต่อให้เรื่องง่ายๆที่สุด มันก็ไม่สามารถจะทำความเข้าใจ ต่อให้อะไรที่มันเป็น ก ข ค ตั้งแต่ตัว ก มันถูกบดบังไปด้วยเมฆหมอกความฟุ้งซ่านแล้ว มันเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ มันเห็นว่า ก อยู่ในหัวของเราไม่เต็มคำด้วยซ้ำ
ทีนี้พอในหัวของเราโล่ง ความฟุ้งซ่านแล้วก็พายุอะไรต่างๆที่มันเป็นเมฆหมอกบดบังมันหายไป ตัว ก มันปรากฏเต็มทันที โดยที่เราไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเค้นใจตัวเอง ตรงนี้แหละที่มันคือความต่าง เหมือนกันพอเราหมดความฟุ้งซ่านไป จะเป็นลมหายใจก็ดี จะเป็นร่างกายก็ดี หรือจะเป็นอะไรก็ตามที่มันเป็นสภาวะธรรม มันก็ปรากฏของมันขึ้นมา แล้วก็เราก็จะรู้สึกว่า มันแสดงของมันอยู่ทนโท่มาตลอดตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็น เพียงเพราะว่ามีความฟุ้งซ่านมาบดบัง เชิญต่อเลยครับ
ผู้ร่วมรายการ : ก็ฟังเสียงสติมาเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณดังตฤณมีคลื่นปัญญามาให้ดู ก็ได้ฝึกตามไปเรื่อยๆ มันก็ยังไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ ก็ยังรู้สึกว่าเวลาเราหายใจยังเป็นตัวเราอยู่ จนกระทั้งได้ดูคลิปที่กระดูกมันแตก แค่ตรงนั้นคือตอนที่เห็นโครงกระดูกมันแตก รู้สึกตกใจมาก แล้วก็น้ำตามันคลอ แล้วรู้สึกว่า นี่หรือที่เขาบอกว่ามันไม่มีอะไรเป็นตัวเรา มันไม่มีอะไรเป็นก้อนตัวก้อนตน
ดังตฤณ : นี่แหละตรงที่พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติมาตามแนวสติปัฏฐาน ก็เพื่อที่จะได้สลายเหมือนกับเราไปฉีดน้ำไล่ฝุ่นโคลน หรือว่าก้อนหินอะไรที่มันเกรอะกรังอยู่ออกไป ให้เห็นว่าที่แท้แล้วที่มันกองๆเป็นรูปเป็นร่างอะไรเนี่ย มันมีแต่ความว่าง
เดิมจิตยึดนะว่ามีรูปเป็นรูปของเรา แล้วก็รูปร่างหน้าตาแบบนี้ มีรูปพรรณสัณฐานอย่างนั้นไม่เหมือนกับคนอื่นอย่างนี้ เนี่ยตัวที่มันยึดอยู่ มันมีความเหนียวแน่นจนกระทั่งว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจ ไม่สามารถเชื่อไปทางอื่นได้เลย ต่อเมื่อมีแรงฉีดของน้ำคือปัญญามาชะล้างของที่มันเกรอะกรังอยู่ ที่มันกองกันอยู่ จนกระทั่งรูปสลายไปจากมโนภาพของเรา ความเชื่อหรือความยึดแบบเดิมหายไป ไม่ว่าจะด้วยอุบายวิธีไหนก็แล้วแต่ ให้เห็นเข้ามาในกายใจนี้โดยความเป็นของที่ไม่ได้มีความยั่งยืนอยู่จริง ในที่สุดจิตก็เกิดความยอมรับ แล้วพอยอมรับ จะยอมรับแบบตกใจ จะยอมรับแบบมีโสมนัส จะยอมรับแบบมีปัญญาผุดขึ้นยังไงก็ตาม ในที่สุดแล้วผลมันเหมือนเดิม คือจิตจะเบา
และความเบานี้ถ้าเราสังเกตนะว่า ยิ่งวันที่เราเห็นกายใจโดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจะยิ่งเบาขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ออกห่างถอยห่างออกมาจากความยึดมั่นถือมั่นในกายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาเป็นปกติว่า อะไรๆที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับกายใจก็ตาม หรือว่าจะเป็นสิ่งมันนึกขึ้นในหัว เป็นจินตภาพเป็นจินตนาการก็ดี ล้วนแล้วแต่กำลังจะต้องแตกสลายไปไม่ต่างกัน ความรู้สึกตรงนั้นแหละ ที่จิตมันจะเริ่มถอนจากการยึด อนุโมทนานะครับ การได้เป็นกัลยาณมิตรกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ
ผู้ร่วมรายการ : ต้องขอบคณคุณดังตฤณนะคะ ก่อนหน้านั้นเคยสงสัย คุณดังตฤณเคยบอกว่า เวลาเราหายใจมันไม่มีตัวเรา มันมีแต่ลมเข้าแล้วก็ลมออก ซึ่งพอมาทำก็รู้สึกว่า เอ๊ะมันจะไม่มีตัวเราได้ยังไง ก็เราหายใจอยู่ หายใจสั้นเราก็หายใจ หายใจยาวเราก็หายใจ สงสัยจนกระทั่งไปดูพระอาจารย์ท่านหนึ่ง เวลาที่ท่านนำปฏิบัติธรรมปฏิบัติสมาธิ ก็ไปมองท่านว่าเวลาท่านหายใจมีตัวท่านอยู่ในนั้นมั้ย ก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้มี
ดังตฤณ : เป็นจุดสังเกตที่ดีครับ ก็ขอบคุณมากนะครับ ผมจะเล่าเรื่องของตัวเองนิดนึง คือครั้งแรกเลยที่ผมสะดุดกับคำว่า อัตตา หรือ อนัตตา คือตอนที่ผมเรียน ม.๕ หรือ ม.๖ ราวๆนี้สองปีนี้แหละ คือคุณครูท่านสอนฟิสิกส์นะ แต่ท่านพูดคำนึง “ตัวกูไม่ใช่ของกู” คือท่านพูดเล่นๆ พูดแบบจะสื่อความหมายเป็นอนัตตา ท่านพูดหลายครั้ง แต่ละครั้งผมรู้สึกขึ้นมาว่า มันจะไม่ใช่ตัวเราได้ยังไง ตัวเราชัดๆ แล้วขณะนั้นก็รู้สึกถึงความเป็นแขนสองข้าง รู้สึกถึงหัว รู้สึกถึงตัว มันตัวเราจริงๆ มันตัวเราชัดๆ มันจะไม่ใช่ตัวเราได้ยังไง
ที่สงสัยก็เนื่องจากรู้ว่า
ที่คุณครูพูดพูดออกมาจากมุมมองของพุทธศาสนา
แต่มาด้วยความรู้สึกสงสัยตรงนั้นก็ต่อยอดเป็นความค่อยๆเข้าใจ เนี่ยเหมือนคล้ายๆอย่างนี้แหละ
ไปเห็นภาพศพ ศพของอาซิ้มถูกคว้านออกมา แล้วก็มีท่านธรรมรักษาได้แปะท้ายไว้บอกว่า
“ทุกข์แท้แปรผัน เน่าเหม็นแตกดับ” วันหนึ่งมันต้องกระจัดกระจาย
ที่แออัดยัดทะนานกันอยู่เป็นตับไตไส้พุงเนี่ย มองเข้าไปในภาพนั้น มันไม่มีความเป็นบุคคลอยู่เลย
มีแต่สภาวะอะไรบางอย่างมาประชุมกัน มาอัดแน่นกัน แล้วสุดท้ายมันก็ต้องกระจายหายไป
แล้วตอนกระจายหายไปมันไม่มีภาพบุคคลอยู่เลย มันไม่เหลือเลยว่า หน้าตาอาซิ้มที่มีหู
ตา จมูก ปาก อะไรยังไง
มีแต่ความว่างเปล่าของอากาศธาตุที่ปราศจากการประชุมกันของเลือดเนื้อ จากตรงนั้นตอนนี้ก็เลยกลายเป็นไอเดีย
ที่มาสร้างเป็นแอนิเมชั่นคลื่นปัญญานะครับ
-------------------------------------------------
๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
Clubhouse
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
คำถาม : ฝึกตามคลื่นปัญญา ดูคลิปที่กระดูกแตก รู้สึกตกใจที่เห็นโครงกระดูกแตก รู้สึกตกใจมาก น้ำตาคลอ รู้สึกเข้าใจที่ว่าเราไม่มีตัวตน
ระยะเวลาคลิป ๙.๔๙ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=WUtWTs62usU&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=35
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น