ดังตฤณ : คือ พอคลื่นสมองช้าลง .. คลื่นสมองย่านที่ช้า เด่นขึ้นนี่นะ
ความคิดนึก ความฟุ้งซ่าน ก็จะเบาบางลง
แล้วพอเกิดภาวะผิดปกติอะไรเกิดขึ้นมา เช่น ภาวะบีบแคบ
ก็จะเหมือนกับ เห็นได้ชัดว่า .. นี่ ตอนนี้ แตกต่างไปนะ
ภาวะที่ขยายอยู่ .. บีบเข้ามา
เสร็จแล้ว ความบีบนั้น จะถูกพิจารณาเป็นอัตโนมัติ
ว่า เป็นภาวะผิดปกติ
แล้วก็กลับคืนสภาพเดิม คือ ขยายออก
แต่ถ้า ใจของเรา ไม่ได้ขยายอยู่ ใจของเราไม่ได้ใหญ่
คลื่นสมอง ยังยุ่งเหยิงอยู่
เวลาที่ใจบีบแคบ ก็ยังแคบอยู่เหมือนเดิมนะ
ขยายออกไม่เป็น เท่านี้เอง
คือ พอใช้’เสียงสติ’แล้ว จะได้โหมด (mode)
ในการทำงานของสมองอีกแบบหนึ่ง
จิตกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้นนะครับ
เพราะฉะนั้น พอบีบเล็กลงมา
ก็เลยถูกมองเป็นของผิดปกติ จากภาวะที่ใหญ่กว่าเดิม
เพราะฉะนั้น ภาวะผิดปกตินั้น ก็เลยตั้งอยู่ได้ไม่นาน
กลับขยายออกมาใหม่
แต่ถ้าหากว่า เราไม่มีสมาธิ เราไม่มีสตินะ
จิตยู่ยี่ๆ อยู่ในภาพเล็กแคบ
พอเกิดภาวะบีบแคบ ก็บีบอยู่อย่างนั้น
ก็เลี้ยงตัวเองไว้อย่างนั้นแหละ
อันนี้ คือ คำอธิบายง่ายๆ
จริงๆ แล้ว ถามว่าเป็นการดูจิตไหม
ขึ้นอยู่กับ ความเข้าใจของเรา
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เกิดภาวะอะไรขึ้นมา
ต่อให้เกิดภาวะเหมือนกับ วิปัสสนา เปี๊ยบเลย
แต่ถ้าเราไม่มีความเข้าใจว่า เราจะดูอย่างไร
ดูให้เห็นความไม่เที่ยง เพื่ออะไร
เพื่อให้รู้ว่า ไม่ใช่ภาวะทางตัวทางตน
แต่เป็นภาวะของธรรมชาติที่เกิดขึ้น
แล้วจะต้องคลี่คลายกลายเป็นอื่นเสมอ
ถ้าเราเข้าใจอย่างถูกต้องอย่างนี้
จะใช้ หรือไม่ใช้ ‘เสียงสติ’ ก็ตาม
เวลาเกิดภาวะขึ้นมา เราก็จะสามารถรู้ได้อย่างถูกต้อง
ดูกาย ดูจิต ได้อย่างตรงทาง
ที่พระพุทธเจ้าประทานแนวทางไว้เสมอนะครับ
‘เสียงสติ’
แค่ช่วยให้เราดูง่ายขึ้น เท่านั้นเองนะครับ
________________
เมื่อเห็นความโกรธ ใจจะบีบแคบ แต่หลังจากนั่งสมาธิด้วย’เสียงสติ’ต้งแต่วันที่
๔ เห็นใจบีบแคบแล้วคลายตัวขยายเหมือนการแผ่เมตตาอัตโนมัติ
แบบนี้เป็นการดูจิตหรือไม่?
รายการปฎิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮ้าส์
วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๔
ถอดคำ : นกไดโนสคูล
ตรวจทาน : เอ้
รับชมคลิป :
https://www.youtube.com/watch?v=xxD1aL0PcEE
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น