ดังตฤณ : ธรรมชาติของจิตนะ ธรรมดาของจิต เวลาที่จะเป็นสมาธิขึ้นมานี่นะ จะมีสภาวะไม่เหมือนตอนที่เรากำลังนึกๆ คิดๆ อยู่นะครับ
อย่างของคุณ เมื่อกี้บอกว่า พอเงียบไป
แล้วเป็นภวังค์ใช่ไหม เหมือนกับไม่รับรู้อะไรใช่ไหม
ผู้ถาม : มันจะบางๆ
แต่หูมันยังได้ยินเสียงอยู่ครับ
ดังตฤณ : ตรงที่เรามีประสบการณ์ทางจิต ที่แตกต่างไปจากเดิมนะครับ
จะเป็นความรู้สึกเบาบางเหมือนกับจะไม่รับรู้อะไร ร่างกายหายไป
หรือปรากฏการณ์อย่างไรก็ตามนะครับ
ขอให้จำไว้แม่นๆ ประการหนึ่ง ก็คือว่า
เป็นภาวะที่ดี ไม่ใช่ภาวะที่น่ากลัว ไม่ใช่ภาวะที่น่าสงสัย
ที่เราจะข้ามความสงสัยไปได้นี่นะ คือ
ต้องเกิดภาวะนั้นขึ้นมาอีกบ่อยๆ
แล้วเราเห็นทุกครั้ง ว่าในที่สุด
มันก็ต่างไปอยู่ดี
นี่ ตรงนี้นะ คือ คีย์เวิร์ดนะครับ ต้องเกิดขึ้นบ่อยๆ
และเห็นทุกครั้งว่า เดี๋ยวมันก็ต่างไป เดี๋ยวมันก็คลี่คลาย
กลายเป็นภาวะอื่นไปอยู่ดี
ของคุณ ที่สงสัยทั้งหมด ก็คือว่า นี่คือภาวะของอะไร .. มันคือ
ภาวะของจิตที่เริ่มเป็นสมาธิ และสภาวะของจิตที่เริ่มเป็นสมาธินี่ ก็มีได้หลายหลาก
ถ้าเพิ่งเป็นสมาธิแบบอ่อนๆ ก็อาจจะมีความรู้สึกบางๆ
อาจจะมีความรู้สึกคลุมเครือ จะชัดก็ไม่ใช่ จะพร่าเลือนก็ไม่เชิง แต่หูยังทำงานอยู่นะครับ
แล้วก็การรับรู้ทางหูนี่ ยังมีความเข้าใจ.. ยังมีความเข้าใจในธรรมะครูบาอาจารย์นะครับ
แบบนี้นี่ แค่คุณจำไว้ว่า
ภาวะแบบนั้นเป็นภาวะของสมาธิ ที่ยังฟังธรรมะรู้เรื่อง แล้วถ้าเราฟังธรรมะไปอีกนะครับ
ครั้งต่อๆ มานี่ ไม่ต้องไปอยากได้ ภาวะแบบนั้น
แต่พอ ใจ ของเรานี่ค่อยๆ ดิ่งเข้าไปในคำสอน
แล้วก็มีความสงบเกิดขึ้นมาอีกตามลำดับ เหมือนกับที่เคยผ่านมานี่นะ
แล้วเกิดภาวะนั้นขึ้นมาอีก คุณจะมีความกระจ่างมากขึ้นเรื่อยๆ
คือ จะเห็นว่าภาวะแบบนั้น ที่ปรากฏขึ้นมานี่นะ จะปรากฏขึ้นมาช้าหรือนานไม่เท่ากัน
สั้นหรือว่านานไม่เท่ากัน
บางครั้ง จะมีความรู้สึกนิ่งยาวนาน
แล้วก็ฟังธรรมะนี่กระจ่างมากเลย ชัดเจนแจ่มใส แต่บางครั้งนี่
ความเบาบางนั้นใกล้กับหลับ คือ ฟังธรรมะนี่เกือบจะไม่รู้เรื่องนะครับ ตรงนี้คือใกล้ภวังค์
แต่ถ้าหากว่า ฟังธรรมะยังกระจ่างอยู่ อันนี้ คือ
ภาวะใกล้สมาธิ นะครับ
คือ ถ้าเรามีการแปะป้ายไว้ตรงนี้ ที่ชัดเจนนี่ ก็จะไม่สงสัย
แล้วก็จะทำให้ใจนี่ เป็นสมาธิในการฟังต่อนะครับ
ถ้าเหมือนจะไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมือนจะใกล้ๆ หลับ
อันนี้ก็บอกตัวเองว่า ใกล้จะตกภวังค์แล้ว ก็ไม่ต้องสงสัย
แล้วก็ไม่ต้อง..ไม่จำเป็นต้องพยายามทำอะไรให้ดีขึ้น
เพราะว่าสติที่รู้ว่า
นั่นเป็นภาวะของจิตใกล้ภวังค์นี่ เป็นตัวที่ดีที่สุดอยู่แล้วนะครับ
คือ สติที่รู้ตัวเอง รู้ภาวะ ณ ขณะนั้นว่า
ใกล้ภวังค์ นั่นแหละดีที่สุดอยู่แล้ว
แล้วถ้าหากว่าเรายังฟังธรรมะต่อ
เพราะธรรมะของครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน ที่ท่านมีคุณวิเศษ ทรงฌาน ท่านบรรลุธรรมแล้วนี่ พอเราฟังไปนี่
เท่ากับได้ธรรมะผ่านกระแสเสียงของท่านนะครับ
จิตของเราถูกปรุงแต่งให้เป็นสมาธิ
แล้วธรรมะของท่านดูกระจ่างมากขึ้นๆ ก็บอกตัวเองว่า นั่นเป็นภาวะใกล้สมาธิ
หรือเป็นสมาธิไปแล้ว
ถ้าเป็นสมาธิดีๆ นะครับ จะมีความรู้สึกว่ารวม
แล้วก็จิตของเรา ใหญ่
ตัวนี้ ก็เป็นข้อสังเกต เป็นจุดสังเกตเฉยๆ
ไม่ต้องพยายามทำให้เกิดขึ้นเพราะถ้าพยายามทำให้มันเกิดขึ้น
กิเลสตัณหาที่อยากได้นั่นแหละ จะทำให้สมาธิมันหลุด
แต่การมีความเข้าใจไว้ก่อนแบบนี้ แล้วสังเกตเฉยๆ
โดยไม่มีความอยาก นี่ จะเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิได้นะครับ
___________________
คำถามที่ ๑๐ : ตอนนั่งสมาธิ ตอนแรกนั่ง ก็จะพิจารณาเห็นกิเลส สักพักหนึ่ง
จิตก็ดิ่งลง จะบางๆ แต่หู ยังได้ยินเสียงอยู่
เพราะว่ายังฟังธรรมะอยู่ พอพักไปสักพัก ก็จะเด้งขึ้นมาพิจารณาต่อ อยากทราบว่ามันคืออะไรครับ
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน ไลฟ์คลับเฮาส์และเฟสบุ๊ค ครั้งที่ 3
วันที่ ๒๗
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ถอดคำ : นกไดโนสคูล
ตรวจทาน : เอ้
ชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=2uLQJUVJD1I
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น