วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

รู้ว่าต้องพลัดพรากจากบุคคลที่รัก แต่ทำใจไม่ได้

ดังตฤณ: ความยึดมั่นถือมั่น ในตัวในตน ไม่ได้เริ่มต้นมาจากจิต

ฉะนั้น ถ้าเราดูจิต แล้วเห็นว่าจิตไม่เที่ยง อารมณ์ไม่เที่ยง ก็เห็นได้แค่ผิวๆ

 

ตัวตั้ง ของความรู้สึกในตัวตนจริงๆ นี่ อยู่ในกาย 

ถ้าหากว่า เราสามารถเห็นกาย โดยความเป็นของไม่เที่ยงได้

เห็นของตัวเองก่อนนะครับ

เริ่มนับตั้งแต่ลมหายใจ จนกระทั่งถึงอิริยาบถปัจจุบันนะ 

แล้วก็ในอิริยาบถนี้มีอะไรอยู่ ที่เป็นตับไตไส้พุง

นี่อันนี้ ถึงจะทิ้งความรู้สึกในตัวตนทางกายได้จริง

ทั้งของเราแล้วของคนอื่น 

 

ตรงนี้นี่ พระพุทธเจ้าถึงสอนมาเป็นขั้นเป็นตอน 

แต่โอเค เราอยู่ในเมือง เราอาจจะทำไม่ได้แบบเต็มที่

อาจจะดูไม่ได้ คือไม่ใช่นักปฏิบัติที่เก่งกาจ ฉกาจฉกรรจ์อะไร

ไม่สามารถที่จะดูคว้าน เข้ามาถึงตับไตไส้พุงได้

ไม่สามารถเห็นกายว่า วันหนึ่งจะต้องแตกดับลงเป็นธรรมดา

ตับไตไส้พุง จะต้องกระจัดกระจายหายไป อาจจะทำไม่ได้ถึงตรงนั้น  

 

แต่แค่ดูจิต แล้วเรายอมรับความจริงว่า อารมณ์โกรธ

อารมณ์ที่ได้รับ จากการกระทบกระทั่งในชีวิตประจำวัน เป็นของไม่เที่ยง  

 

แค่นี้ก็ถือว่าเป็นฆราวาส ที่รู้จักการเจริญสติ

แล้วก็ปฏิบัติธรรม ได้ประโยชน์จากพุทธศาสนาไปเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปก็มากแล้ว 

ถ้าเป็นฆราวาส ก็จัดเป็นฆราวาสเกรดเออยู่แล้ว

 

ตรงที่ว่า เราทำใจไม่ได้กับบุคคลอันเป็นที่รัก ที่ต้องจากไปนี่

นั่นเพราะว่า เรายังปฏิบัติไม่ครบ เรายังปฏิบัติไม่เต็มที่ แบบที่พระพุทธเจ้าสอนนะครับ

 

ดูจิตอย่างเดียวนี่ ถอนได้แค่อารมณ์ผิวๆ นะครับ

และเท่าที่เห็นมา พวกที่ดูจิตอย่างเดียวเป็น 10 ปีนี่ คือมักจะไปถึงจุดหนึ่ง

ที่ย้อนกลับมา วนกลับมาหาจุดเริ่มต้น เหมือนกับปฏิบัติไม่เป็น

ทำอะไรไม่ถูก แล้วก็ไม่รู้จะดูอย่างไร

เพราะไม่มีวิหารธรรม ไม่มีที่ตั้งของสติที่มั่นคงอยู่

 

ดูจิตนี่ พูดกันจริงๆ เลยนะ เริ่มต้นฝึกวันแรกนี่ ง่าย เพราะไม่มีอะไร

ถ้าเข้าใจวิธีที่จะเห็นเข้ามา กำลังเกิดอะไรขึ้น ทางความรู้สึกนึกคิด

แต่ไม่มีฐานที่ตั้ง 

 

ส่วนคนที่เริ่มดูจากกาย แล้วค่อยเขยิบขึ้นมาทางจิตนี่

จะเริ่มจากฐานที่ตั้ง ที่มั่นคงก่อน อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน

ให้ดูลมหายใจ เพื่อที่จะให้ไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ นะครับ

ฐานที่ตั้งที่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ วันต่อวันๆ พอไปถึงจุดหนึ่ง ไม่ย้อนกลับนะ 

 

บางคนนี่ คือเสียเวลาแค่เดือนเดียว ทำอย่างถูกทางนะ

กลายเป็นคนที่มีจิตตั้งมั่น แล้วก็สามารถเห็นอะไรต่อได้ ไม่มีจำกัด

และไม่ถอยหลัง เพราะพอทำเป็นแล้ว รู้ว่าจะจับจุดอย่างไร จะอยู่กับอะไร

 

เสร็จแล้วคือ พอไม่ถอยหลัง ทางเดียว ที่จะไปได้ก็คือก้าวหน้า

ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ เราจะพบความจริงว่า

ความต่อเนื่องคือความก้าวหน้า ถ้าหากมาถูกทาง 

 

ทีนี้ ถึงเราจะบอกว่า ที่ทำมาแค่ดูจิต แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง

เรารู้สึกว่า ไปต่อไม่ได้ มาถึงทางตัน หรือว่ามาถึงทางย้อนกลับ

แต่อย่างน้อย ก็ไม่ได้เสียเวลาที่ผ่านมาเปล่าๆ

ทำให้เรารู้จักการปฏิบัติธรรม ทำให้เรามีจิตมาฝักใฝ่

อยู่กับการรู้ การดู ภายใน ไม่ใช่เอาแต่โยนไปข้างนอก

โยนทิ้งเปล่าไปข้างนอก

 

ถ้าถึงจุดนี้ ที่เรารู้สึกว่า เราเริ่มไปชนเพดานแล้ว ไปต่อไม่ได้แล้ว

ก็อาจจะถึงเวลาที่เราย้อนกลับมา สร้างรากสร้างฐาน

สร้างเบสิก ให้มีความเจริญแล้วก็มั่นคง แบบมีวิหารธรรม

มีสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ย้ำนักย้ำหนา

เรื่องการให้รู้ลมหายใจ เป็นจุดเริ่มต้น

แล้วก็สามารถที่จะรู้ เข้ามาทางกาย

 

และถ้าหากว่ารู้ทางกายได้ อิริยาบถนี้เป็นอย่างไรอยู่

ตั้งอยู่ได้นานแค่ไหน แล้วเกิดความรู้ลึกเข้ามาในกายมากขึ้น

จนกระทั่งเห็นว่ากายนี้ ไม่เที่ยงจริงๆ ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ 

 

นั่นแหละ เวลาที่เราน้อมไปพิจารณาคนอื่น

ก็จะเห็นว่าไม่เที่ยง แล้วก็ไม่ใช่ตัวตนที่จะยึดติดอยู่ได้ เหมือนกัน    

 

ไม่อย่างนั้นนี่ จินตภาพของเรานะ ไม่ไปไหนหรอก

คือเอาง่ายๆ .. เราเห็นจิตคนอื่นแตกดับไหมล่ะ .. ไม่เห็นใช่ไหม

เห็นแต่จิตของเรา อารมณ์ของเราแปรปรวน

เห็นจิตของเราไม่เที่ยง เราก็เลยวางอารมณ์แปรปรวนของเราได้ 

ไม่ใช่วางจิตนะ วางอารมณ์ที่แปรปรวนของเราไปนี่   

บอกว่า อารมณ์นี้ไม่เหมือนเดิมไม่ใช่ตัวเดิม เพราะฉะนั้นเราทิ้งได้  

 

แต่ให้ไปดูว่า จิตของคนอื่นนี่ เขาคิดไม่ดีกับเรา

ทำไมเขาต้องคิดไม่ดีกับเรา ก็จะย้ำอยู่อย่างนี้

จะมองไม่เห็นใช่ไหมว่า เขาคิดไม่ดีขึ้นมาเมื่อไหร่

ความคิดไม่ดีเกี่ยวกับเรานั้น หายไปเมื่อไหน

จะเห็นแต่ว่า เขาคิดไม่ดีกับเรา แล้วก็จำไว้อย่างงั้น 

 

เหมือนกัน  สภาวะทางกายที่เรายังมีชีวิตอยู่ เขายังมีชีวิตอยู่

เอาวัดจากตรงที่ว่า ร่างกายยังขยับได้

หรือว่ามาอยู่ตรงหน้าเราได้ เป็นของของเราได้ 

แต่พอห่างหายไป หรือร่างกายแตกดับไป อ้าว นี่ เศร้า

ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ก็เพราะว่า

เราไม่เคยได้ฝึก ที่จะปล่อยวางสภาวะทางกาย ของทั้งเรา ของทั้งเขา

 

นี่ตัวนี้จะมาเติมเต็ม ให้เกิดความเข้าใจที่สมบูรณ์มากขึ้น 

 

ปฏิบัติมานานแค่ไหน ไม่สำคัญเท่ากับที่ว่าเราปฏิบัติครบตามที่พระพุทธเจ้าให้มองหรือเปล่า

 

ถ้ามองทั้งกาย มองทั้งใจ ก็ปล่อยวางได้ทั้งกายทั้งใจ

แต่ถ้ามองแค่เป็นจุดๆ มองแค่บางส่วน

ก็ปล่อยวางได้แค่เป็นจุด ๆ ได้แค่บางส่วนเหมือนกัน!

______________

คำถาม: ปฏิบัติโดยการดูจิต ทั้งๆ ที่รู้ว่าวันหนึ่งเราจะต้องพลัดพรากจากคนที่เรารัก แต่ใจยังไม่ฉลาด ไม่ยอมรับค่ะ ยังคงยึดมั่นอยู่ เห็นอนัตตาแล้วก็ยังทุกข์ จะทำอย่างไรคะ

รายการปฎิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮ้าส์

วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๔

ถอดคำ : เมี่ยง

ตรวจทาน : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=WcTP0qhhh6Y

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น