วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2564

ทำอย่างไรเราจะรู้ได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งชั่วคราว?

 ผู้ร่วมรายการ : ดิฉันค่อนข้างโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่ใกล้ชิดกับธรรมะมาตั้งแต่เกิด ที่เริ่มสนใจธรรมะครั้งแรก เกิดขึ้นตอนเด็กมากๆ พอจำความได้พอเริ่มอ่านหนังสือได้ ก็ได้ไปอ่านหนังสือโลกทิพย์ พอโตขึนมาก็เริ่มจะอ่านรู้เรื่องมากขึ้น ในหนังสือเขาบอกว่ามี ยุบหนอ พองหนอ มีพุธโธ มีสัมมาอะระหัง

 

ดังตฤณโอเคเกิดจากการทดลองตามหนังสือนะครับ แล้วที่ผ่านมามีประสบการณ์ที่เราคลิกจริงๆรู้สึกจริงๆว่า เออเนี่ยมันพาเรามาสู่ความเป็นสมาธิ มันพาเรามาสู่ความเป็นธรรมะ มีประสบการณ์ยังไง เล่าให้ฟังได้มั้ยครับ

 

ผู้ร่วมรายการ : ได้ค่ะ จะมีประสบการณ์เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะว่ามีการปฏิบัติมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นกำลังจะทำกฐิน มีอยู่วันหนึ่งที่จิตมันเป็นสมาธิแบบโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คาดหมายอะไรเลย ลักษณะของการเป็นสมาธิมันแปลกมาก คือมันเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่งซึ่งมันไม่มีคำนิยาม มันไม่มีอะไรเลย แล้วมันไม่รู้จะเรียกอะไรยังไง

 

ดังตฤณจริงๆแล้วก็คือตรงนั้นจิตมันพ้นจากการครอบงำของกรงคือปราสาทหยาบนี้ สำหรับคืนนี้มีคำถามเป็นคำถามอะไรครับ เชิญเลยครับ

 

ผู้ร่วมรายการ : หลังจากที่มีประสบการณ์ตรงนั้นมาแล้ว คราวนี้มันจะไม่เหมือนเดิมเลย แล้วเราควรจะทำยังไงต่อดีคะ

 

ดังตฤณโอเค จิตที่มันหลุดออกกรงคือร่างกายนี้ออกไปชั่วคราวไม่ใช่จุดมุ่งหมายทางพุทธศาสนานะครับ

 

จุดมุ่งหมายของการเจริญสติแบบพุทธศาสนาก็คือว่า จิตหลุดพ้นแล้วหลุดพ้นเลย หลุดจากกิเลสเลยแบบไม่กลับกำเริบอีก ไม่ใช่หลุดออกไปจากกายเพื่อไปรู้สึกถึงภาวะที่เป็นอวกาศเวิ้งว้าง ตรงนั้นมันเป็นแค่จิตดวงหนึ่ง

 

ทีนี้ผมตั้งโจทย์ให้ใหม่ ตั้งประเด็นทางการปฏิบัติให้ใหม่คือ ทำอย่างไรเราจะเห็นว่าอะไรๆที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของเราเนี่ย มันสักแต่เป็นสภาพจิตชั่วคราว อย่างเช่นในตอนที่เรากำลังมีความรู้สึกฟุ้งซ่าน มีความซัดส่ายแล้วก็ไม่ชอบใจสภาวะแบบนั้นเลยเนี่ย อันนั้นคือจิตฟุ้งซ่านคือจิตดวงหนึ่ง

 

หรืออย่างตอนที่จิตของเราหลุดออกจากกรงขังของกายออกไปเหมือนกับอยู่ในอวกาศเวิ้งว้างอธิบายไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีระสบการณ์เทียบเคียงตอนอยู่ในกายใจนี้มาเทียบวัดได้ เรารู้สึกพอใจ เรารู้สึกนั่นน่าจะเป็นธงๆหนึ่ง น่าจะเป็นผลรางวัลอะไรที่ดีอย่างหนึ่ง แต่ผมบอกให้มองใหม่นะครับ นั่นคือจิตดวงหนึ่งที่หายไปแล้วไม่ต้องเรียกกลับมาหรอก มันหายไปแล้วให้มันหายไป มันแสดงอนิจจังไปแล้ว มันแสดงความไม่ใช่ตัวของมันเองไปแล้วนะครับ มันเป็นภาวะเหมือนฟองสบู่ที่พอแตกแล้วแตกเลย ไม่กลับมาเป็นแบบเดิมอีก ไม่ต้องเรียกกลับมาก็ได้ นี่คือธงใหม่เลยนะครับที่ผมอยากจะให้คุณได้ตั้งไว้ พอตั้งไว้อย่างนี้แล้วเกิดอะไรขึ้น?

 

มันจะเกิดจิตที่ดีกว่าจิตที่หลุดจากโครงแบบนั้น ดีกว่าจิตที่ไปลอยอยู่ในอวกาศชั่วคราว นั่นคือจิตที่มีสติ แล้วก็มีความสามารถที่จะเดินต่อ เดินบนทางวิปัสสนาเพื่อไปถึงจุดที่มันหลุดพ้นไปจากกิเลสไปเลย คือไม่ใช่หลุดจากกรงคือกายนี้ชั่วคราว แต่หลุดจากกิเลสถาวรไปเลยนะครับ

 

ถามว่ามันเป็นไปอย่างนั้นได้ยังไง?

เพราะว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นจิตที่ฟุ้งซ่าน หรือจิตที่เป็นสมาธิ เรายึดว่ามันเป็นจิตของเราหมดเลย มันยึดว่าเนี่ยจิตฟุ้งซ่านมันไม่ดี ไม่น่าเอาไม่น่าให้เป็นตัวฉัน แต่มีตัวฉันที่รังเกียจมันเรียบร้อยแล้วที่จุดเริ่มต้น

 

ส่วนจิตที่เป็นสมาธิที่เคยหลุดออกจากกายได้เนี่ย หลุดออกจากปราสาทกายได้เนี่ย รู้สึกเวิ้งว้าง รู้สึกดีจังเลย มันไม่ได้ฟุ้งซ่านแบบเก่า มันไม่มีหน้าตาเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย มันไม่มีตัวเราตัวเขา  มันดีจัง ก็ยึดว่าอยากเอาแบบนั้น พอยึดว่าอยากเอาแบบนั้นปุ๊บนะ มันมีตัวของคุณเรียบร้อยแล้ว

 

ทีนีถ้าเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า จะเป็นจิตฟุ้งซ่าน หรือจะเป็นจิตเป็นสมาธิ จะเป็นจิตที่เป็นกุศลก็ตาม หรือว่าจิตที่เป็นอกุศลขึ้นมาชั่วคราวก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นจิตดวงหนึ่งในจิตอีกหลายๆดวงที่เกิดดับเหมือนฟองสบู่ ไม่ได้แตกต่างกันโดยเนื้อหา ไม่ได้มีค่าไปกว่ากันในฐานที่มันล้วนแต่ต้องดับไปเป็นธรรมดา ถ้าหากว่าเรามองอย่างนี้ ตั้งมุมมองไว้อย่างนี้ เวลาฟุ้งซ่านเราก็เห็นเป็นจิตดวงหนึ่ง เนี่ยในขณะนี้เลย ถ้าหากว่าจิตมันเบาลง มันก็คือรู้ว่า เออ มีธรรมะอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในจิตแล้วจิตมันเบาลง

 

จิตเบาลงนี้มันก็เกิดจากเหตุปัจจัยแป๊บนึง เดี๋ยวมันก็อาจจะกลับมาหนักขึ้นมาใหม่ด้วยความคิดแบบโลกๆนะครับ ไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ เรื่องบุคคลเรื่องเราเขาเรื่องงานเรื่องภาระอะไรต่างๆ มันกลับหนักขึ้นมาใหม่ได้ เนี่ยมันเป็นจิตทั้งนั้นเลย

 

จิตแต่ละดวงเนี่ย เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยหนึ่งๆ แล้วต้องดับลงหรือคลี่คลายกลายเป็นอื่นเสมอ ทิศทางตรงนี้นะครับเวลาเราเห็นเป็นบล็อกๆนะ จิตฟุ้งซ่านเปลี่ยนไปแล้วตอนนี้จิตสบายขึ้น มันก็เป็นจิตอีกแบบหนึ่ง แล้วเดี๋ยวมันก็จะต้องต่างไปตามเหตุปัจจัย นี่!ตรงนี้ที่มันจะทำให้เราถอนความยึดว่าจิตเป็นเรา กลายเป็นความเห็นอย่างมีสติมีปัญญาแบบพุทธว่า จิตไม่เที่ยง มีเหตุปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น แล้วพอเหตุปัจจัยหมดไป จิตต้องดับลงเป็นธรรมดา เนี่ยตัวนี้แหละที่มันจะเป็นประโยชน์สูงสุด แล้วในที่สุดมันไม่ใช่แค่หลุดจากกาย แต่หลุดจากกิเลส หลุดจากอุปาทานเลยนะครับ

----------------------------------------------

๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
Clubhouse รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน  

คำถาม : ทำอย่างไรเราจะรู้ได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งชั่วคราว?

ระยะเวลาคลิป   ๗.๒๘ นาที
รับชมทางยูทูบ   https://www.youtube.com/watch?v=_vYzt4EIEoI&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=29&t=11s

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น