ผู้ร่วมรายการ : ผมได้บวชทดแทนคุณพ่อแม่ พอได้บวชก็ได้ศึกษาธรรม ก็เป็นการถามตอบกับอาจารย์ที่สอน แล้วก็อ่านหนังสือ ก็เลยคิดว่าศาสนาพุทธสามารถตอบคำถามในชีวิตได้หลายอย่างที่ไม่เคยหาคำตอบได้ ก็ได้ปฏิบัติและอ่านหนังสือมาเรื่อยๆ
ดังตฤณ : ที่ผ่านมาเคยปฏิบัตินั่งสมาธิหรือเดินจงกรม หรือมีประสบการณ์ทางธรรมแบบไหนที่รู้สึกถึงความเป็นกายเป็นใจโดยความเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการจะให้เห็นบ้างมั้ยครับ
พอเล่าให้ฟังได้บ้างมั้ยครับ
ผู้ร่วมรายการ
:
ผมปฏิบัติมา ๑๓ ปี มันก็เข้าใจมาเรื่อยๆ แต่ว่ายังไม่เคยมีประสบการณ์แบบจิตรวม หรือว่าเข้าฌาน
หรือว่าเกิดปีติอะไรอย่างนี้ ไม่เคยมีนะครับ แต่ว่าเป็นการเข้าใจเสียมากกว่าในเรื่องของกายใจ
แล้วก็พยายามที่จะเจริญสติในชีวิตประจำวัน
ดังตฤณ : ที่บอกว่าเจริญสติในชีวิตประจำวัน
พอเล่าได้คร่าวๆมั้ยครับ เช่น เดินไปแล้วมีความรู้สึกขึ้นมาว่ากำลังเดินอยู่ หรือว่ามีความฟุ้งซ่านแล้วมีความเห็นขึ้นมายังไง
มีสติขึ้นมายังไง พอเล่าให้ฟังได้มั้ยครับ
ผู้ร่วมรายการ
:
ส่วนมากก็จะดูกายที่เคลื่อนไหวบ้าง แต่จะได้แค่แป๊บเดียวแวบๆ แล้วก็ดูจิตบ้าง เช่น
จิตฟุ้งซ่าน จิตโกรธ จิตโลภ แต่ก็ไม่ได้เยอะในแต่ละวันครับ ก็มาเพิ่มด้วยการนั่งสมาธิเพิ่มขึ้นครับ
ดังตฤณ : สำหรับคืนนี้มีคำถามอยากจะถามอะไรครับ
ผู้ร่วมรายการ
:
คำถามจะเป็น ๒ จุด ครับ
จุดแรกอยากได้วิหารธรรมที่สามารถไปต่อไปได้แบบต่อเนื่องครับ ผมทำมาหลายอย่าง แต่ทำได้ไม่กี่วันแล้วก็มันก็จะไม่ดี
พยายามทำแบบเดิมไปหลายเดือนมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น พอเปลี่ยนเป็นอีกอย่างนึง
มันก็ดีไม่กี่วันเหมือนกันแล้วก็กลับมาเหมือนเดิมครับ ก็เลยอยากได้วิหารธรรมที่สามารถอยู่กับเราไปได้นานๆครับ
ดังตฤณ : ผมขอตอบข้อแรกก่อนเลยเพราะสำคัญนะครับ
คำว่า
วิหารธรรม หรือว่า เครื่องอยู่ของจิต ที่จะทำให้จิตมีสติหรือว่า
มีความเป็นสมาธิ หรือว่ามีความเป็นกุศลได้อยู่ตลอด ไม่หลงไปในทางอกุศล
ไม่หลงไปแบบฟุ้งซ่านหรือว่ามีความเหม่อมีความลอยอะไรต่างๆเนี่ยนะครับ
ตัววิหารธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มีอยู่หลายอย่าง
อย่างเช่น เมตตา ก็เป็นวิหารธรรม ถ้าเจริญเมตตาก็หมายถึง นึกถึงความสุขที่แผ่ออกไป
พร้อมจะแผ่ออก พร้อมจะให้ประโยชน์สุขกับชาวโลก อย่างนี้ก็เรียกว่าวิหารธรรมได้
เพราะอะไร?
เพราะเมื่อจิตแผ่ออกไป
มันพร้อมจะมีสมาธิ มันพร้อมจะตั้งมั่น มันพร้อมจะรวม จิตที่เป็นเมตตามากๆเนี่ย
ถึงแม้จะไม่ไปเล็งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนกับจะไม่ได้ตั้งใจโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เอาแค่ทำความรู้สึกเข้ามาถึงความสุขที่แผ่ผายออกไปจากจิตเนี่ย
มันก็เกิดสมาธิขึ้นมาได้เป็นวิหารธรรมขึ้นมาได้ ตรงนั้นเนี่ยเหมาะกับคนที่มักโกรธ
หงุดหงิด หรือว่ามีสมาธิสั้น หรือว่าฟุ้งซ่านบ่อยอะไรแบบนี้ พอจิตมันมีความกว้าง มันมีความเปิด
มันมีความเบิกบาน มันก็จะช่วยลดอาการอะไรที่มันเสียๆพวกนั้นไปได้เอง
ทีนี้จะมีวิหารธรรมอีกแบบหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงมากที่สุด
ก็คือ อานาปานสติ พูดไปพูดมาในพุทธศาสนาในเชิงปฏิบัตินะครับ ก็วนเวียนอยู่กับเรื่องของอานาปานสติ
หรือว่าใช้ลมหายใจเป็นเครื่องตั้งสติล้วนๆเลย
ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า
คนส่วนใหญ่เข้าใจเกี่ยวกับอานาปานสติไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่หยุดแค่ตรงที่การรับรู้ว่า
มีสติอยู่กับลมหายใจรู้ว่าหายใจเข้าหรือหายใจพอแล้ว ซึ่งพอมีทิศทางอยู่แค่นั้น
มีเป้าอยู่แค่นั้น มันก็ไม่กลายเป็นวิหารธรรม
ตัววิหารธรรมเนี่ย เริ่มต้นขึ้นมาสำคัญมาก
ไม่ใชเอาลมหายใจเป็นเครื่องตั้งของสมาธิ
แต่เอาลมหายใจเป็นเครื่องสังเกตว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในแต่ละลมหายใจ มันไม่ใช่แค่ดูลมหายใจอย่างเดียว
ดูด้วยว่าลมหายใจพาอะไรมาหาเราบ้าง พาความรู้สึกเป็นสุข พาความรู้สึกเป็นทุกข์
หรือแม้กระทั่งพาความฟุ้งซ่าน
อย่างตอนที่เราฟุ้งซ่านเหม่อลอยเนี่ยนะครับ
ถ้าถามตัวเองว่า กำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก แล้วเห็นนะว่าตอนที่หายใจเข้า
หายใจออกเนี่ยเป็นลมสั้น มันถึงเหม่อมันถึงมีความฟุ้งซ่าน แล้วถ้าหายใจยาว ความฟุ้งซ่านนั้นปฏิรูปไปยังไงเปลี่ยนไปยังไง
ตรงนั้นแหละที่มันจะเริ่มเป็นการสังเกตแบบอานาปานสตินะครับ คือรู้ขึ้นมาว่า ถ้าเราสังเกตไปเรื่อยๆ
สิ่งที่จะเห็นคือความต่างๆเรื่อยๆเช่นกัน
แต่ถ้ามาดูเพื่อที่จะเอาสมาธิ
ดูแค่ครั้งสองครั้งแล้วรู้สึกฟุ้งซ่านเหม่อลอยไป แล้วทิ้งเลย
ไม่จับสังเกตต่อนี่คือความต่างของจุดเริ่มต้น ถ้าจุดเริ่มต้นของเราจะเอาสมาธิ ทำได้แค่สองสามลมหายใจเราจะหยุด
แต่ถ้าว่าจุดเริ่มต้นของเราคือ
การสังเกตว่าแต่ละลมหายใจเอาอะไรเข้ามาหาเราบ้างเนี่ย ตรงนั้นเราจะเห็นความไม่เที่ยง
แล้วเราจะดูต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่ามันจะมีช่วงเว้นวรรคยาว มันจะมีความฟุ้งซ่าน มันจะมีความเหม่อลอย
แต่ในที่สุดพอกลับมาหาลมหายใจ เราจะไม่โทษตัวเองว่า เอ้ยเนี่ยเหม่อไปอีกแล้วนานเลย
แต่เราจะได้ข้อสรุปมากขึ้นทุกทีว่า ทุกครั้งที่เราเหม่อ ทุกครั้งที่เราฟุ้งซ่าน
คือทุกครั้งที่เราไม่รู้สึกถึงลมหายใจ แล้วพอเห็นความไม่เที่ยงของทั้งลมหายใจ และอารมณ์ที่มากับลมหายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดนั่นแหละมันจะทำให้เราไม่เผลอยาวไม่เหม่อยาว นี่น่าจะเป็นคำตอบนะครับ
ผู้ร่วมรายการ
:
เป็นคำตอบครับ แต่ว่าผมมีความกังวลอย่างนึงคือ พอเข้าไปดูลมหายใจโดยตรงอย่างนั้น
รู้สึกมันเหมือนกับเป็นการเพ่งไปด้วยครับ ก็เลยกลัวเพ่งไปอีก
ดังตฤณ : เหตุผลที่เราเพ่งนะครับ มีอยู่ข้อเดียว
คือเราไปพยายามจับให้มั่นคั้นให้ตายเพื่อเอาสมาธิ เพื่อจะระงับความฟุ้งซ่าน เพื่อจะให้มีความคมชัดอะไรขึ้นมา
ซึ่งตรงนั้นแหละมันเป็นจุดผิดพลาด
สิ่งที่ถูกต้องคือ เราตั้งเป้าไว้นะครับ ทำไว้ในใจว่า เราจะสังเกตลมหายใจเพื่อให้เห็นว่ามีอะไรเข้ามาในแต่ละลมหายใจ
คือพอเราตั้งไว้ในใจอย่างนั้น ลองตั้งดูนะว่าเราจะดูว่ามีอะไรเข้ามาแต่ละลมหายใจ
อย่างเช่น มีความอึดอัด มีความเพ่งมากเกินไป หรือว่ามีความรู้สึกว่ามีการโฟกัสหนัก
จนกระทั่งเกิดความอึดอัดไปทั้งตัว เกิดความเกร็งไปทั้งตัว อย่าไปรังเกลียด
อย่าไปให้คะแนนลบกับตัวเอง แต่ให้จำไว้ว่าทุกครั้งที่เราเห็นผิด
ทุกครั้งที่เราเกร็ง คือทุกครั้งที่เราได้จิ๊กซอร์มาชิ้นหนึ่ง
ได้จิ๊กซอร์คืออะไร?
บอกว่าเนี่ย!
อย่างนี้เป็นลมหายใจที่หนักเกินไป
พอเห็นลมหายใจที่หนักเกินไปหลายๆครั้งเข้าแล้วไม่โทษตัวเอง ไม่มีการมากังวลอยู่ว่าเราจะทำผิดไปอย่างนี้เรื่อยๆ
ในที่สุดมันจะเห็นหลายลมหายใจขึ้น มีความหลากหลายมากขึ้น อย่างเช่น ลมหายใจที่หนักในครั้งนี้เนี่ย
มันต่างกันกับลมหายใจที่เบาในครั้งต่อๆมา เพราะอะไร?
เพราะว่าสติ
จำไว้เลยนะครับ ถ้าหากว่าเกิดสติเห็นว่าลมหายใจมากับความหนักมากเกินไปเนี่ย
ครั้งต่อๆมาจิตมันจะฉลาดขึ้นเอง แล้วก็จะรู้ทางว่าหายใจยังไง ด้วยความตั้งใจประมาณไหน
มันถึงจะมีความเบา เป็นลมหายใจแห่งความเบานะครับ
ตรงนี้แหละที่มันจะเริ่มเห็นความไม่เที่ยงไปเรื่อยๆ
แล้วอย่าถามตัวเองว่าจะเห็นไปให้ถึงไหน บอกไปเลยว่าเห็นไปอีกทั้งชีวิต
เพราะแม้แต่พระอรหันต์ก็ยังเจริญอานาปานสติอยู่นะ ยังเห็นขันธ์ ๕
โดยความเป็นของกลวงของว่าง
พระอรหันต์ท่านเห็นขันธ์
๕ โดยความเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพื่อความสุขอยู่ในปัจจุบัน
แต่เราๆท่านๆเนี่ย เห็นลมหายใจหรือขันธ์ ๕ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เพื่อที่จะได้เป็นพระอรหันต์แบบท่านบ้าง
ตรงนี้เนี่ยเราบอกตัวเองเลยว่าเราจะเห็นไปทั้งชีวิต
คนส่วนใหญ่นะ เห็นลมหายใจไปได้ครั้งสองครั้งแล้วจะถามตัวเองว่า จะให้เห็นไปถึงไหน
จะให้เห็นไปเท่าไหร่นะ แล้วเสร็จแล้วจะจบลงที่สองสามลมหายใจนั่นแหละ
แต่ถ้าเกิดมุมมองที่ถูกต้อง ตั้งทิศตั้งทางไว้ตรงนะครับ ก็จะรู้สึกว่ายิ่งเห็นมาก มันก็ยิ่งเห็นความไม่เที่ยงมาก ความเป็นภาวะอะไรต่างๆที่มาพร้อมกับลมหายใจเนี่ย ยิ่งเห็นชัดขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเห็นมากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมรู้สึกถึงไม่เที่ยงมากขึ้นเท่านั้น ตรงนี้นะครับที่มันเป็นข้อสังเกต หรือว่าเป็นจุดมุ่งหมายที่ถูกต้อง มันจะทำให้การปฏิบัติของเราแตกต่างไปด้วยนะครับ
--------------------------------------------------
๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
Clubhouse
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
คำถาม : อยากได้วิหารธรรมที่สามารถทำให้ปฏิบัติธรรมได้ต่อเนื่อง?
ระยะเวลาคลิป ๑๑.๓๙ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=OSuh81SrmyE&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=30&t=7s
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น