ผู้ร่วมรายการ :
จุดเริ่มต้นของการมาปฏิบัติธรรมก็คืออกหัก
ดังตฤณ : หลายคนที่เข้ามาทางธรรมก็ต้องขอบคุณความรักนะครับ เพราะว่าถ้าไม่ได้ความรักในชีวิตนี้ก็ไม่รู้ว่าอาการยึดที่สุดหลงที่สุดหน้าตาเป็นยังไง
แล้วก็ถ้าหากว่าไม่ได้อกหัก ถ้าไม่ได้เสียใจจากความรักก็ไม่รู้หรอกว่า ความทุกข์ที่มันจะเป็นจะตายเนี่ย ทำให้อยากออกจากการมีชีวิต หรือว่าพ้นไปจากสภาพความเป็นมนุษย์แบบนี้หน้าตาเป็นยังไง
ผู้ร่วมรายการ : อยากจะพ้นจากภาวะทุกข์ตรงนี้ ก็เลยหาวิธีปฏิบัติลองหลายแนวมาก จนสุดท้ายก็มาจบที่สายแนวทางของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ตอนนี้ก็ฝึกดูเวทนาของกาย ก็รู้สึกว่ามันมีความเกิดดับ ไม่ว่าจะเป็นรูป หรือเป็นนามมันไม่ใช่เรา จะฝึกอยู่อย่างนี้ตลอด แล้วพอเข้าถึงตัวความรู้สึกไม่ใช่เรา เรารู้สึกว่าจิตมันจะวางของมันเอง คือเราไม่ต้องไปบอกให้มันวาง ถ้าเราเห็นว่าตัวนั้นไม่ใช่เราปุ๊บ มันจะเกิดดับ มันจะกระพริบ มันจะเปลี่ยนไปเรื่อย
ดังตฤณ : เมื่อกี้มีคีย์เวิร์ดที่ดีมากเลยนะ ก็คือพอเราเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเรา จิตจะวางไปเอง นั่นคือปัญญาแบบพุทธ อนุโมทนาสาธุครับ
ผู้ร่วมรายการ : แต่มันก็จะเข้าถึงเป็นพักๆ แล้วมันก็จะกลับเข้ามาที่ความเป็นกิเลสที่เรามีเยอะอยู่ เราก็พยายามเติมตัวนี้ทุกวัน ฝึกไปทุกวัน เราฝึกเห็นเวทนาที่มันเกิดดับ เรารู้สึกเหมือนกายมันไม่ใช่กาย มันเหมือนแค่เป็นกระแสสั่นสะเทือนของรูปนาม มันเป็นแค่กระแสมวลพลังงานที่มันมารวมตัวกัน มันไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีตัว คือถ้ากายได้แล้วนามมันเกิดดับเร็วอยู่แล้ว เดี๋ยวความคิดเดี๋ยวก็เปลี่ยนเดี๋ยวก็เปลี่ยน
พอฝึกมาเรื่อยๆมันเหมือนกับว่าเราจะลืมอะไรเร็วมาก เช่น เราจะพยายามกลับมาที่ร่างกาย แล้วก็ดูความเกิดดับไม่ใช่ตัวตนของนามรูปตลอดเท่าที่เรามีสติดึงมา เช่นไปกินส้มตำกับพี่เหมือนมันขาดมานานมากเพราะเราลืมไปเลย เหมือนมันลืมแล้วกลับมาอยู่ที่ความจริง เหมือนจิตมันไม่ได้สนใจเรื่องราวที่มันผ่านไป ก็เลยจะถามว่ามันผิดอะไรหรือเปล่า
ดังตฤณ : ขอคำถามอีกทีคือ อยากจะรู้ว่าที่ทำมามันถูกหรือเปล่าเพราะว่า ไม่มีความแน่นอนที่จะเห็นอย่างนั้นใช่ไหม
ผู้ร่วมรายการ : คือมันเห็น แต่เหมือนว่าเราไม่สนใจคำพูดหรือเหตุการณ์เลย
เหมือนมันจะจำไม่ได้ เหมือนกับเราไม่ใส่ใจ เช่น
มันผ่านไปแล้วทั้งๆที่มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ดังตฤณ : เข้าใจคำถามแล้วครับ คำถามของน้องคือการที่เราได้แต่เห็นว่า
มันมีอะไรบางอย่างเกิดแล้วดับเป็นความรู้สึกแต่จำหรือว่าไม่เข้าใจสาร หรือว่าสิ่งที่เขาจะสื่อมา
อันนี้มันดีหรือไม่ดีมันถูกหรือผิด เข้าใจถูกใช่มั้ยครับ
ผู้ร่วมรายการ : ไม่เชิงค่ะ เหมือนประมาณที่เราไปทำหรือพูดอะไรกับพี่สาวไว้เราก็จะลืม จิตเราจะกลับมาอยู่ที่การปฏิบัติตลอด เห็นความไม่ใช่ตัวตนแล้วก็จะวาง วาง วาง ไปอย่างนี้ค่ะ
ดังตฤณ : โอเค คือตัวพี่เองพี่ก็เคยมีผลของการปฏิบัติมาหลายแบบ อย่างที่คล้ายๆกับน้องก็เคยมีเหมือนกัน ประเภทที่เหมือนกับขี้ลืม หรือว่ารู้สึกเหมือนคนตรงหน้าเนี่ย พอเรารู้สึกว่าเขาเป็นแค่รูปเป็นแค่นามปุ๊บเนี่ย มันเหมือนใจไม่อยากฟัง
คือเวลาที่เราเกิดความรู้สึกขึ้นมา คล้ายๆกับว่านี่มีแต่รูปกับนาม มันไม่เหมือนจะมีบุคคลอยู่ตรงหน้า แล้วเสียงเขาที่เข้าหูเราเนี่ย ก็กระทบแล้วก็เกิดความจำได้ขึ้นมา จำได้เป็นห้วงๆเลยนะว่า ประโยคนี้เขาพูดภาษาไทย เขาพูดว่าอะไร ใจความที่ต้องการสื่อเนี่ยสื่อว่าอะไร แต่เราไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่านั่นเป็นบุคคล นั่นเป็นหญิง นั่นเป็นชาย มีแต่ความรู้สึกว่ามีตัวอะไรสักอย่างอ้าปากพะงาบๆขึ้นมาแล้วก็มีเสียงหลุดออกมา สัญญาของเรามันไม่ใช่เป็นอัตตสัญญามันเป็นอนัตตสัญญา ณ เวลานั้น
ขอพูดคร่าวๆนิดนึง
อนิจจสัญญา หมายความว่า รู้สึกว่าไม่เที่ยง
ทุกขสัญญา รู้สึกว่ามันทนอยู่ไม่ได้เดี๋ยวต้องแตกดับไป
อนัตตสัญญา รู้สึกว่าไม่มีตัวใคร ไม่มีตัวเขา ไม่มีตัวเรา ไม่มีมนุษย์
ไม่มีเทวดา ไม่มีบุคคล ไม่มีเราเขา มีแต่รูปกับนามประชุมกันชั่วขณะหนึ่ง
ซึ่งตัวอนัตตสัญญามันจะกินขอบเขตเล็กหรือว่าใหญ่แค่ไหน มันขึ้นอยู่กับจิตเรามีความตั้งมั่นแล้วก็มีความเล็กหรือความใหญ่เพียงใด
ถ้าจิตของเราใหญ่มากๆ โอกาสที่เราจะมีความรู้สึกครอบไปทั้งชีวิตก็สูงมาก คือมีความรู้สึกเลยว่าชีวิตนี้มันเป็นแค่ของชั่วคราวแป๊บนึง คือมันรู้สึกออกมาจาก ณ ขณะนั้นเลยวินาทีนั้นเลยว่า ชีวิตทั้งชีวิตทั้งเราทั้งเขามันแป๊บเดียว เสร็จแล้วเกิดผลยังไง ก็คือข้อความที่เขาสื่อสารมาบางทีเราก็จำได้แล้วก็รู้ด้วยว่าเขาพูดถึงอะไร
แต่บางทีเราอาจเหมือนกับเลือนๆไปว่าเขาพูดอะไร หรือว่าต้องย้อนทบทวนดูอีกที คือพูดง่ายๆว่ามีตัวสัญญาอยู่สองชั้น มีความจำได้หมายรู้อยู่สองชั้น
ชั้นหนึ่งคือรู้ว่านั่นน่ะเป็นมนุษย์อยู่ และอีกชั้นหนึ่งคือรู้สึกว่าเป็นรูปเป็นนาม ไม่รู้สึกว่าเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเนี่ยวิธีที่จิตมันจะรับข้อความเข้ามา มันเลยไม่เหมือนเดิม มันเหมือนกับมีการกรองสองชั้น อันนี้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เกิดขึ้นกับพี่
ทีนี้ในแง่ที่น้องถามว่า บางทีข้อความที่เข้ามาในหัวของเราเนี่ย ตอนที่เราคิดว่าเรากำลังมีสติในการเห็นรูปเห็นนามอยู่เนี่ย ปรากฏว่าในเวลาต่อมันหายไปเลย อันนี้ถูกหรือผิด หรือว่ามีข้อที่น่าสังเกตอะไรควรระวังมั้ยนะครับ
อย่างแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนนะครับ จริงๆแล้วเนี่ยถ้าหากว่าเราพิจารณาดูฐานที่ตั้งของสติ ท่านให้เริ่มจากกายก่อน คือไม่ได้ให้ตั้งต้นจากเวทนา
ทีนี้จากประสบการณ์ตรงของพี่ เวลาที่เราเริ่มต้นจากฐานคือกาย ผลมันเป็นยังไง?
มันมีความรู้สึกนะตอนที่สติมันเต็มเนี่ย
ศูนย์กลางมันจะอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา
ไม่ว่าเราจะเดินเหินเคลื่อนไหว หรือว่าอยู่นิ่งกับที่ กำลังนั่งหรือกำลังนอนก็ตาม
มันจะมีความรู้สึกว่าลมหายใจเป็นศูนย์กลางการรับรู้
อันนี้พี่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีกว่าที่มันจะกลายเป็นศูนย์กลางของสติได้จริงๆ
พอยท์ (point) คือ เมื่อมันเป็นศูนย์กลางการรับรู้ เป็นศูนย์กลางของสติได้ สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือ ตัวสติจะถูกคลุมไว้ไม่ให้เตลิดไปไหน ไม่ว่าเราจะรู้การเกิดดับภายในกายใจก็ตาม หรือว่ารู้ข้อความจากคนอื่นพูดให้เราฟังก็ตาม มันจะรู้เกิดดับเสร็จแล้วกลับมาอยู่กับฐานที่ตั้ง
ซึ่งฐานที่ตั้งตรงนั้น มันจะรวบรวมทุกอย่างไว้ทั้งความรู้สึก ความจดจำไม่ว่าข้อความที่เราพูดหรือว่าข้อความที่คนอื่นสื่อถึงเรา
พูดง่ายๆว่า ลมหายใจที่มีความเป็นศูนย์กลางสตินั้น จะไม่ทำให้เราวอกแวก หรือว่าเผลอลืมอะไรระหว่างที่เราเห็นรูปนามเกิดดับ ตรงนี้ที่เป็นประสบการณ์ตรงของพี่
พี่ก็อยากแนะนำน้องว่า ถ้าหากเราจะเอาให้ชั่วว่าสติของเราไม่ใชมีแค่เห็นรูปนามเกิดดับเป็นห้วงๆสั้นๆ แล้วก็อาจจะลืมข้อความ อาจจะลืมโน่นลืมนี่ไปด้วยเนี่ย ลองฝึกให้ตัวฐานขอให้มันมีความแน่นหนาขึ้นนิดนึง ขอให้มันมีความชัวร์ว่าใจเราไม่ลอยไปไหนไม่เหม่อไปไหน
พี่เข้าใจว่าเราสามารถเห็นเวทนาโดยความเป็นของเกิดดับได้ แต่ทบทวนดู หลังจากเห็นเวทนาเกิดดับแล้ว เราเห็นอะไรต่อ มันกลับไปที่ไหน มีฐานที่มั่นมั้ย มีวิหารธรรมมั้ย
ถ้าหากว่าไม่มีวิหารธรรม ขอให้น้องสังเกตว่า หลังจากเห็นเวทนาเกิดดับเนี่ย ใจมันจะเหม่อไปทางอื่น มันจะลอยๆไป แล้วก็ไม่มีจุดหมาย
แต่ถ้าหากว่าเรามีอานาปานสติ คือลมหายใจเข้า-ออกเป็นฐานที่ตั้งของสติ เวลาที่เราเห็นเวทนาเกิดดับไปแล้ว สติจะกลับมาที่ฐานที่ตั้ง หรือวิหารธรรมโดยอัตโนมัติ และตรงนั้นเนี่ยที่จะทำให้ไม่ลืม พี่ตอบคำถามชัดเจนรึเปล่าครับ
ผู้ร่วมรายการ : ตอบชัดเจนมากค่ะ ก็คือถ้ามันหลุดไปเราก็ต้องกลับมา ..
ดังตฤณ : เดี๋ยวๆ พี่ไม่ได้ให้น้องไปพยายามที่จะกลับมาในที่ใดที่หนึ่งในทันทีนะ พี่อยากให้ฝึกแยกกันก่อน
คืออย่างนี้ ถ้าน้องกำหนดไว้ในใจว่า น้องรู้อะไรเกิดดับ แล้วจะกลับมาที่ลมหายใจเนี่ย อย่างนั้นมันจะไม่ใช่การรู้การเกิดดับที่แท้จริง มันจะเป็นการที่พะวง เราจะมาพะวงอยู่กับลมหายใจ
สิ่งที่พี่แนะนำน้องคือ ให้แยกไปฝึกให้เกิดความเคยชินว่า เราหายใจออกอยู่ เราหายใจเข้าอยู่ ฝึกเป็นปกติ ฝึกจนกระทั่งเกิดความคุ้นเคย จนกระทั่งการเข้าการออกของลมหายใจมันอยู่เป็นอนุสติ
คือพูดง่ายๆว่า รู้สึกโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องฝืน โดยไม่ต้องตั้งใจ จากนั้นลองสังเกตเวลาที่เราเห็นเวทนาเกิดดับในครั้งต่อไปเนี่ย มันจะกลับมาเองโดยที่ไม่ต้องพยายามดึงกลับมา เข้าใจที่พี่พูดมั้ย
ผู้ร่วมรายการ : เข้าใจว่าให้กลับมาที่ฐานกายก่อน อย่าเพิ่งไปเวทนา เอาฐานกายให้แม่นๆ
ดังตฤณ : จะว่าอย่างนั้นก็ได้
แต่ประเด็นของน้องคืออย่างนี้นะ น้องทำมาแล้ว แล้วก็ถือว่าใช้ได้เลย เมื่อกี้มีคีย์เวิร์ดคีย์นึงที่พี่รู้สึกว่า เออเนี่ยอย่างนี้แหละที่น้องเกิดปัญญาแบบพุทธแล้วก็คือ พอเห็นเวทนาไม่ใช่ตัวเราเนี่ย ไอ้อะไรอะไรที่มันจะเป็นความยึดมั่นมันก็หายไปเอง นั่นถูกต้องเลยนะร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
ทีนี้สิ่งที่น้องขาดไปคือ ฐานหรือเบสิกที่ชัดเจน เพราะสิ่งที่ฟ้องเป็นหลักฐานก็คือว่า น้องไม่สามารถที่จะจำข้อความ หรือว่าอะไรบางที่มันเกิดขึ้นได้ นั่นมีทางเดียวที่เราจะบอกก็คือว่า พอน้องเห็นการเกิดดับแล้ว จิตมันมัวเข้าไปหมกมุ่นในธรรมที่เรียกว่า กุกกุจจะ มันไปฟุ้งในธรรม หรือว่าไปเหม่อ หรือว่าไปขาดตัวสติที่จะให้กลับมาที่วิหารธรรมแบบใดแบบหนึ่ง มันก็เลยมีอาการลบความจำในช่วงที่เห็นเวทนาไม่เที่ยง หรือว่าในช่วงที่เรารับรู้ข้อความอะไรมานะครับ อันนี้พี่มองเห็นว่า มันมีอะไรที่สับสนอยู่ในจิตของน้อง เพราะฉะนั้นพี่ก็เลยแนะนำว่า แทนที่เราจะดูเวทนาอย่างเดียว ซึ่งดูต่อไปดูได้นะครับ แต่พี่ขอให้น้องไปฝึกในแบบที่จะเป็นฐานที่ตั้งของสติแบบที่พระพุทธเจ้าแนะนำ
คนเรานะ ถ้ารู้ลมหายใจเข้า-ออกอย่างถูกต้องได้ว่า ขณะนี้หายใจเข้าอยู่ หรือหายใจออกอยู่ หายใจสั้นอยู่ หรือยาวอยู่ ศูนย์กลางของสติมันจะเข้ามาที่ฐานคือกายโดยอัตโนมัติเลย หมายความว่า ถึงแม้เราจะนั่งอยู่หรือเดินอยู่ก็ตาม ท่านั่งท่าเดินมันก็จะปรากฏต่อความรู้สึกของเราที่หายใจอย่างถูกต้องนั้น หายใจไปด้วยรู้อิริยาบถไปด้วย
พอเราไปได้รับแรงจากใครมาก็ตาม ใครจะพูดอะไรให้เราพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม แล้วเราเห็น ณ ขณะที่เขาพูดมากระทบใจเนี่ยนะครับ เป็นความชอบใจ หรือเป็นความไม่ชอบใจสวนออกไป น้องจะเห็นอีกแบบหนึ่งคือ เห็นเวทนาเกิดดับเหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิม เพราะมันมีฐานที่ตั้งเป็นฐานที่ตั้งอย่างใหญ่ จิตมันจะใหญ่ขึ้น
จิตเนี่ยสำคัญ ถ้าเป็นสมาธิแล้วเป็นจิตใหญ่ ในขณะที่รู้รูปนามเกิดดับ มันจะรู้แบบไม่หลง แล้วรู้เนี่ยจะไม่เตลิดไปไหน พอเห็นอาการเกิดดับของรูปนามแล้ว มันจะกลับมาที่ฐานที่ตั้งที่มีความคุ้นเคย ซึ่งพระพุทธเจ้าคะยั้นคะยอนัก คะยั้นคะยอหนาว่า ให้อาศัยอานาปานสติเป็นที่ตั้งของสติ ตรงนี้น้องเข้าใจนะครับ มีข้อสงสัยมั้ยครับ
ผู้ร่วมรายการ : เคลียร์ชัดค่ะ
--------------------------------------------------------
๒๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอนทดสอบไลฟ์จากคลับเฮาส์ ครั้งที่ ๒
คำถาม : ฝึกดูความเกิดดับไม่ใช่ตัวตน พบว่าตัวเองกลายเป็นคนไม่จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ระยะเวลาคลิป ๑๖.๐๓ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.yo
utube.com/watch?v=xt98sSqb6r0&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=3
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น