วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2564

พระพุทธเจ้าสอนให้ฆราวาสบรรลุพระโสดาบันว่าอย่างไร

ดังตฤณ : พูดตามแบบอย่างในสมัยพุทธกาลก็แล้วกันนะครับ 

 

ในสมัยพุทธกาลนี่ พระพุทธเจ้าท่าน .. ส่วนใหญ่นะครับ ถ้าพูดเรื่องการเจริญสติ เรื่องของการทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งนี่นะ เราจะเห็นหลักฐานในพระไตรปิฎก ขึ้นต้นมาจะมีการบอกว่า ..ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นะ

 

จะไม่มีนะ ที่มาบอกฆราวาสว่า ..ดูกร ฆราวาส หรือว่า ..ดูกร ชื่อนั้น ชื่อนี้ แล้วสอนเรื่องการเจริญสติปัฏฐานนี่ จะไม่เห็น

 

เหมือนกับจะมีการแบ่งแยกกันชัดเจนนะครับว่า ธรรมะนี้สอนภิกษุ ธรรมะอีกแบบหนึ่งสอนฆราวาส


สอนฆราวาสนี่ ท่านจะสอนเรื่องการถือศีล 5 เป็นหลัก เรื่องการให้ทาน .. สรรเสริญเป็นเอนกเลยว่า ผลของการให้ทานดีอย่างไร ผลของการถือศีล ทำให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข ไม่เดือดร้อนใจอยู่ในปัจจุบันอย่างไรนะครับ .. ให้ผลเป็น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจในปัจจุบัน

 

แล้วในเรื่องของการภาวนา คือ ท่านจาระไนพรรณนาอานิสงส์ของการถือศีล 8 .. สมัยก่อนเรียกว่าเป็น ศีลอุโบสถ เหตุที่เรียกเช่นนั้น ก็เพราะท่านแนะนำว่า ฆราวาสผู้มีความใฝ่ธรรม ควรที่จะไปอยู่วัดทุกวันพระ คือ วันพระจันทร์เต็มดวงกับจันทร์แรมนะ

 

แล้วก็เหมือนกับสรรเสริญอานิสงส์ของผู้ที่สละเรือนไปอยู่วัด 1 วัน ในวันพระไว้ว่า ก็จะสำเร็จสมประสงค์ทุกประการ ไม่ว่าจะปรารถนาสวรรค์หรือนิพพาน

 

อันนี้ คือ สิ่งที่เราจะเห็นภาพแบบคร่าวๆ นะครับ ในสมัยพุทธกาล ซึ่งหมายความว่าอะไร

 

หมายความว่า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะกีดกันว่า ฆราวาส ห้ามปฏิบัติธรรม ห้ามเจริญสติ ไม่มีทางได้มรรคผล

 

ตรงข้าม ท่านได้ชี้ไว้ด้วยว่า มีบุคคลไหนที่เป็นฆราวาสบ้าง ได้บรรลุโสดาบันแล้ว ได้บรรลุเป็นพระสกทาคามีแล้ว เป็นพระอนาคามีแล้ว แต่เป็นพระอรหันต์ ไม่มี ถ้าพระอรหันต์นี่ ต้องบวชนะครับ

 

อันนี้ ก็เป็นข้อสงสัยกันเยอะแยะ ว่าเป็นพระอรหันต์ต้องบวชหรือเปล่า คือ เป็นฆราวาสก็ได้นะ ความเป็นอรหัตผลไม่ได้ฆ่าใคร แต่ว่าถ้าอยู่ไป (ในเพศฆราวาส) คนที่เป็นฆราวาส แล้วถ้าบรรลุอรหัตผลนี่นะ อยู่ไปๆ เดี๋ยวชาวบ้านชาวเมืองได้ไปนรกกันหมดนะครับ 

 

เพราะว่าจะปฏิบัติกับพระอรหันต์เยี่ยงคนธรรมดา ด้วยการตบหัวตบไหล่ หรือไม่ก็ทักทายกันแบบเพื่อนฝูง หรือว่าคนเคยเป็นพ่อเป็นแม่มา อะไรแบบนี้ ต่อให้เป็นพ่อเป็นแม่มา ถ้ามาเล่นกับคนที่จิตบริสุทธิ์ระดับพระอรหันต์ ก็มีอันเป็นไปได้เหมือนกัน

 

เพราะฉะนั้น พอเป็นพระอรหันต์ ในที่สุดแล้ว ถึงจะอยู่เป็นฆราวาสไปพักหนึ่ง ก็ต้องไปบวชอยู่ดี

 

ฉะนั้น การเป็นฆราวาสสามารถที่จะเจริญสติได้ถึงระดับอรหัตผลนะครับ เหตุเพราะว่า อุปกรณ์ที่เราจะใช้เจริญสติ จะเหมือนกันกับที่พระภิกษุมีนั่นแหละ

 

พระภิกษุ ภิกษุณี มีก็คือ กายนี้ ใจนี้ นะครับ ..ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง .. หรือว่า สภาพความเคลื่อนไหว .. ยืน เดิน นั่ง นอน หายใจเข้า หายใจออก สิ่งเหล่านี้ เป็นอุปกรณ์ที่จะใช้ในการทำลายอุปาทาน ว่ามีตัว ของเรา มีตนของเราอยู่

ฆราวาส โดยเฉพาะยุคเรา จะว่าไป มีทั้งข้อได้เปรียบและก็ข้อเสียเปรียบ

 

ข้อได้เปรียบ ในปัจจุบัน ก็คือว่า ถ้าสงสัยว่าอันไหนใช่หรือไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็สืบกันง่ายๆ เลยด้วยปลายนิ้วนะครับ ..ใช้ Google ใช้อากู๋ ประจำยุคไอทีของเรา ในการบอก

 

 

อย่างที่ผมแนะนำเป็นประจำ คือ ให้เข้าไปที่ แปดหมื่นสี่พันดอทออค (84000.org) แล้วก็ search หาดูว่า คำนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้จริงหรือเปล่า

 

นี่ เรายังสามารถที่จะหาคำยืนยันได้เป็นลายลักษณ์อักษรนะครับ เป็นกิจจะลักษณะ 

 

คนยุคอื่น สมัยอื่น ทำไม่ได้แบบเรานะ อันนี้คือข้อได้เปรียบที่สำคัญมากๆ เพราะถ้าใครมีความใส่ใจ แล้วก็ค่อยๆ อ่านนะครับ จริงๆ ไม่ต้องตีความอะไรมากนะ คำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เกี่ยวกับแนวทางการเจริญสติ ยังคงอยู่ชัดเจน แล้วก็ไม่สูญหายไปไหน ไม่ได้ถูกบิดเบือนไปด้วย

 

เพราะว่าสามารถอ่านเข้าใจ แล้วก็ปฏิบัติตามได้ทันที แล้วก็เห็นผลอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ ว่า ทำให้กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ นี่ เบาบางลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง ในที่สุดแล้ว สามารถจะทำให้จิต ชำแรกตัวอวิชชาไปเห็นนิพพานได้ เสมอกันกับภิกษุและภิกษุณี


เพียงแต่ว่า ในความเป็นจริง ในทางปฏิบัติ ฆราวาสไม่ได้มีหน้าที่ทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งเหมือนอย่างภิกษุ .. ภิกษุ ภิกษุณี ในวันแรกเลยที่บวช ต้องมีการสวด ต้องมีการเปล่งวาจาปฏิญาณตน ว่า ที่บวชเข้ามา นี่ ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อื่นใด แต่เพื่อที่จะทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งสถานเดียว

 

เป็นการประกาศตนนะว่า เข้ามาบวชนี่ ไม่ใช่เพื่อที่จะเอาลาภสักการะ ไม่ใช่เพื่อที่จะมาเป็นเจ้าพ่อหวย หรือว่าเป็นผู้ที่ทำกิจอะไรแบบที่บางทีเข้าใจคลาดเคลื่อนกันไป

 

ในสมัยพุทธกาล หรือแม้แต่ในสมัยนี้ก็ตาม ที่คนสวดกันในวันอุปสมบทนี่นะครับ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า ที่สวดๆ กันไป เป็นการประกาศตนนะครับ ว่า บวชเข้ามาเพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง

 

ทีนี้ ฆราวาส ไม่ได้มีการมาปฏิญาณตนอะไรแบบนั้น ไม่ได้มามี ฟูลไทม์จ๊อบ แบบภิกษุภิกษุณีนะครับ แต่ที่ทำนี่ ทำด้วยความสมัครใจ ทำแบบ Part Time ทำแบบที่ไม่สามารถมากะเกณฑ์นะ ว่าห้ามนั่นห้ามนี่ 


สมมุติว่า บอกว่า เราจะเจริญสติ ก็ไม่มีใครมาว่าเราได้นะ ถ้าเราบอกว่า วันนี้ไม่เอา วันนี้ไม่พร้อม วันนี้หัวยุ่ง วันนี้มีกิจการงานที่ต้องรับผิดชอบมาก ไม่สามารถมานั่งสมาธิเดินจงกรมได้  อันนี้จะไม่มีใครว่าเลยนะ

 

แต่ภิกษุ ถ้าเป็นสมัยพุทธกาล มาอ้างแบบนี้.. โดนนะ คือ มีการเล่นงานจากครูบาอาจารย์ หรือว่ามีความผิดตามวินัยสงฆ์บางข้อนะ อย่างเช่น บอกไปมัวแต่เล่นสนุก หรือไม่ก็ไปศึกษาเดรัจฉานวิชา นะครับ ไม่มาศึกษาพระธรรมวินัย ไม่มาศึกษาวิธีเจริญสติ แบบนี้พระพุทธเจ้าปรับอาบัติไว้ด้วย


ทีนี้ เรื่องของเรื่อง ถ้าเรามองเห็นภาพรวมนะครับ ความแตกต่างอย่างชัดเจนว่า ระหว่างพระ กับ ฆราวาส มีความต่างกันอย่างไรแล้ว เรามาสำรวจดูว่า เรามีอุปกรณ์ในการเจริญสติ แต่เราไม่มีเวลาที่เป็น full Time เราเป็นพวกนักเจริญสติแบบ Part time

 

แล้วอะไรบ้างที่เราทำได้ 

 

ตรงนี้แหละ เป็นจุดที่เราสามารถจะมาตั้งโจทย์ให้กับตัวเองได้นะครับ

 

เวลาถามตัวเอง ว่า ทุกวันนี้เราเจริญสติ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือจะอยู่ในระหว่างวันก็ตาม ..เราเจริญสติไปนี่ เราเข้าใจไหม ว่าที่เจริญสติไป point ของการเจริญสติของเราคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจ point ก็จะปฏิบัติไปเรื่อยๆ แบบไม่มีเป้าหมาย

 

อย่างคน มักจะบั่นทอนกำลังใจกันเองนะครับ ว่าไม่ต้องไปหวังหรอก เจริญสติไปนี่ สะสมบารมีไปบรรลุเอาชาติหน้า

 

ถ้าคิดแบบนี้ ถ้าเชื่อแบบนี้ ตัดสินใจเชื่อไว้แบบนี้แล้ว โอกาสที่จะก้าวไป ให้ถึงจุดหมายก็ค่อนข้างต่ำ

 

เพราะว่า คนจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีกำลังใจที่จะทำให้เต็มที่ ใจไม่เป็นสมาธิหรอก ใจจะวอกแวก แล้วก็กลับไปกลับมาง่าย กลับกลอกง่าย ฟุ้งซ่านง่ายนะครับ

 

แล้วทีนี้ ถ้าสมมติ พอบอกว่าให้ตั้งธงไว้ ว่าจะให้บรรลุมรรคผลนิพพานใช่ไหม พอตั้งธงแบบนี้ปุ๊บ แล้วเกิดความอยาก.. อยากได้ อยากมี จะเอาเดี๋ยวนี้เลย ไม่เอาล่ะ แบบ 7 เดือน 7 ปี ..จะเอาวันนี้เลย ถ้าไม่ได้วันนี้ ขอท้อ (ยอมแพ้) .. นี่ก็ไม่ได้อีก เป็นสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง

 

คือ พอเราไปเร่งรัดตัวเอง ว่าจะต้องให้ได้ เมื่อนั่นเมื่อนี่ ถ้าต้องรออีกนานๆ ไม่เอาอันนี้ ก็จบอีกเหมือนกัน

 

ทีนี้ เราตั้งธงว่า ปฏิบัติเจริญสติไป เพื่อที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ถ้าชัดเจนไป บางทีก็ไปกระตุ้นกิเลสตัณหาขึ้นมานะครับ แล้วความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น แม้กระทั่งเป็นผู้บรรลุมรรคผลนิพพานนี่ ก็จะเป็น ความอยาก ที่มาขวางทาง มาถ่วงรั้ง ไม่ให้สติของเราเจริญขึ้น

 

ทีนี้ อยู่ตรงกลางเป็นอย่างไร

 

อยู่ตรงกลางนี่นะ ความเข้าใจ จะเป็นอันดับแรกเลยที่สำคัญมากๆ คือ การบรรลุมรรคผล ไม่ใช่การได้อะไรเพิ่มเติมเข้ามา แต่เป็นการทิ้งอะไรออกไป


ความเป็นโสดาบัน ทิ้งความเห็นผิดว่า กายนี้ใจนี้ เป็นตัวเป็นตน

 

ถ้าเราสำรวจเข้ามาในนาทีนี้ แล้วบอกว่า ฉันอยากได้บรรลุมรรคผล เพื่อให้ตัวฉันได้ดิบได้ดี ได้พ้นนรก ..ตัวนี้ มีตัวตนของผู้อยากได้ดีให้ตัวเองแล้วนะครับ

 

เห็นไหม ไม่ตั้งธงก็ไม่ได้ แต่พอตั้งธงเสร็จ เกิดกิเลสตัณหาขึ้นมา ก็ผิดทางอีก

 

แต่ถ้ามีความเข้าใจว่า ตัวเราตอนนี้ ที่อยากได้อยากดีให้ตัวเอง กำลังผิดทางนิพพาน มันไม่ใช่ทางของการบรรลุมรรคผล เพราะเป็นการพยายามเอามาเข้าตัว ไม่ใช่ทิ้งอะไรออกไปจากตัว


นี่ เห็นไหม การมีวิสัยทัศน์ การเห็นอย่างชัดเจนว่า เป้าหมายของเราคืออะไร จะมีผลให้จิตของเราเดินถูกด้วย ถ้าหากว่าเดินถูกนะ แล้วเห็นตัวเอง อยากได้ อยากดีขึ้นมา แล้วพิจารณาว่า ความอยากได้ อยากดี ตรงนั้น เป็นตัวเป็นตน เป็นก้อนอัตตา เป็นอะไรหนักๆ ขึ้นมา เป็นอะไรทึบๆ ขึ้นมา เป็นความทุกข์ที่ก่อตัวขึ้นมา

 

แล้วเกิดสติ เห็นว่า นี่แหละ ที่เราจะต้องดูก่อนเป็นอันดับแรก เพราะว่ามันเด่นก่อน เป็นภาวะที่กำลังปรากฏขึ้นอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นภาวะที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง ไม่มีของจริงอะไรในกายใจ ที่จริงยิ่งไปกว่านี้

 

ใจของเรา จะมีความสงบระงับลงมา นาทีนั้นเลย เห็นว่า ตัวที่จะต้องทิ้ง คือ ตัวนี้แหละ ตัวที่อยากได้ดีเพื่อตัวเอง

 

วิธีทิ้ง ไม่ใช่ขับไล่ไสส่ง ไม่ใช่ไปบังคับใจตัวเอง ให้บ้วนให้คายให้ถ่มออกมา แต่เป็นเหมือนกับอาการของมือ ..เดิมที่กำอยู่แน่นเลยนะครับ ทำอย่างไรให้แบ ให้คลายออก

 

ของที่ยึดไว้ ด้วยลักษณะกำ ถ้าหากว่าเราทำให้มือกลายเป็นแบได้ .. ของที่อยู่ในมือก็ตก ร่วงไป หายไป


อาการของใจก็แบบนั้น มันกำอยู่ว่า อยากได้มรรคผล มันกำอยู่ว่า อยากได้ดิบได้ดี อยากได้ญาณ อยากได้ฌาน อยากเป็นอริยบุคคลผู้วิเศษ ความอยากตรงนี้ เป็นอาการของใจที่กำไว้ 

 

วิธีที่ใจ จะแบออก ก็คือ เห็นความไม่เที่ยงของมัน

 

ถ้าเห็นความไม่เที่ยง โดยทำความรู้สึกเข้าไปแบบตรงไปตรงมาว่า ตอนนี้อึดอัดอยู่แค่ไหน มีความหนาแน่นอยู่แค่ไหน ความอยากได้นี่นะ แล้วเห็นว่า กลุ่มความอยากได้ที่หนาแน่นตรงนี้ อยู่ที่ลมหายใจนี้ ประมาณนี้ .. นี่ กำอย่างนี้เลย เห็นตามจริงไป

 

แล้วเห็นตามจริงอีกเช่นกัน ในลมหายใจต่อมาว่า มันยังเท่าเดิมอยู่ไหม ลักษณะที่มันกำแน่นนี่


พอเรารู้สึกว่าอาการกำนี่ เราไม่ต้องไปสั่งให้คลาย เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปได้เอง เดี๋ยวก็ออกอาการคล้ายๆ อยากจะแบออกมาเอง

 

เพราะอะไร ..เพราะว่าไม่มีสิ่งไหน ที่ทนอยู่ในสภาวะบีบคั้นของตัวเองได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกแรงกำ การที่จิตออกแรงยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้นี่ จะปรากฏเร็วที่สุดเลย

 

ในลมหายใจนี้ ยังมีความยึดเหนียวแน่นอยู่ อีกลมหายใจต่อมา เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ที่อึดอัดแบบเดิมนี่ ผ่อนคลายลง พอผ่อนคลายลงแม้แต่นิดเดียว แล้วใจเราเห็น ใจเรามีสติรู้ว่า มันไม่เท่าเดิมนะ นั่นแหละ คือการเห็นความไม่เที่ยงแล้ว

 

และใจ เมื่อเห็นความไม่เที่ยงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งบ่อยๆ ก็จะถอนออกมาจากอาการยึดไปเองนะ ถอนแบบที่ ..เป็นการถอนแบบปกติ 

 

ยิ่งเรามีความเห็นมากเท่าไหร่ว่า ความอยากได้มรรคผลนิพพานนี่ เกิดขึ้นบ่อยนะครับ เดี๋ยวก็เกิดๆ จะเท่ากับ ยิ่งมีโอกาสที่จะฝึก มีโอกาสที่จะรู้ ว่า อาการยึดกับอาการคลาย แตกต่างกันอย่างไรนะครับ

_____________

คำถามที่ ๓ : ธรรมะที่ฆราวาส หรือว่าคนมีครอบครัว มีสามีภรรยามีลูก ต้องพึงมีคืออะไรบ้าง 

และมีหนทางที่จะปฏิบัติ เพื่อเป็นอริยบุคคล เช่น โสดาบัน มีทางไหนที่จะปฏิบัติให้ถึงได้บ้าง

 

คำถามที่ ๓

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ไลฟ์คลับเฮาส์และเฟสบุ๊ค ครั้งที่ 3

วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔

ถอดคำ : นกไดโนสคูล

ตรวจทาน : เอ้

ชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=lyxEI_qK5Bk

 

 ** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น