ดังตฤณ : เป็นปีๆแล้วที่ผมพยายามจะใช้ช่องทางอื่นดึงเข้ามาทางเฟสบุคไลฟ์ แต่มันก็ไม่เวิร์คเท่าไหร่ เพราะมีปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความไม่เคยชินที่จะคุยกันทางช่องทางอื่นของทางแฟนเพจนะครับ ก็ได้แต่คุยกันทางนี้
อย่างคลับเฮ้าส์เนี่ย มันมีข้อดีนอกจากเราคุยกันได้แบบเหมือนคุยโทรศัพท์แล้วเนี่ย มันยังมีวิธีการควบคุมห้องได้ในแบบที่ง่ายกับการที่จะเชิญใครขึ้นมาพูด หรือว่าเชิญใครขึ้นมาถามตอบในแบบที่เราเห็นโปรไฟล์กันแล้ว
การเห็นโปรไฟล์กัน หรือว่าการได้ยินเสียงกัน มันดีกว่าที่จะถามตอบผ่านตัวอักษรอย่างเดียว เพราะว่าถามตอบทางตัวอักษรเนี่ย หลายท่านไม่ได้มีความชัดเจนว่าต้องการจะยิงประเด็นอะไรกันแน่ หรือว่าตัวเองมีประสบการณ์ หรือติดขัดปัญหาอะไรยังไงมาจากสาเหตุแบบไหน ได้แต่บอกเฉยๆ ยกตัวอย่างเช่น พอทำสมาธิแล้วปวดหว่างคิ้ว แต่ไม่ได้เล่าหรือไม่สามารถที่จะแจกแจงรายละเอียดได้ว่า ก่อนที่จะปวดหว่างคิ้วมันเกิดอะไรขึ้น ตัวเองทำยังไง หรือว่าทำสมาธิมาแนวไหน ทำมานานเท่าไหร่ รายละเอียดที่ตกหล่นเหล่านี้เนี่ย นอกจากจะทำให้ตอบไม่ตรงประเด็นได้ มันยังอาจจะทำให้คนฟังอื่นๆพลอยรู้สึกสับสน หรือว่าเอาไปยุกต์กับปัญหาของตัวเองไม่ได้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน
คนทำสมาธิแล้วบอกว่าปวดคอ หรือว่าเจ็บหว่างคิ้ว หรือว่าเสียวๆหว่างคิ้ว ต้นตอปัญหามันก็มาจากอันเดียวกัน คือไม่ใช่ว่าทำมาแนวไหน หรือว่ามีครูบาอาจารย์สอนไว้อย่างไร แต่ตัวของตัวเองนั่นแหละไม่เข้าใจว่าเริ่มต้นขึ้นมา จะตั้งท่าทำสมาธิกันอย่างไร แล้วก็กำหนดจิตเป็นสเตปบายสเตป หนึ่ง สอง สาม ยังไง เพราะประสบการณ์ทางจิตเนี่ย พูดไปแล้วเวลาที่เราหลับตา หลับตาปุ๊บเนี่ย มันเหมือนหลงเข้าป่าทันที เพราะอะไร?
เพราะในหัวของเรามันเป็นป่ารกตลอดเวลา ความฟุ้งซ่าน หรือว่าความที่จิตมันไม่ว่าง มันไม่สว่าง มันไม่มีสติที่จะอยู่กับตัวเองภายในอยู่กับโลกภายในของตัวเอง มันก็ทำให้เริ่มต้นขึ้นมาเกิดความรู้สึกว่าสับสน แล้วก็มึนงงเป็นธรรมดา หลับตาปุ๊บ เหมือนหลงเข้าป่าทันที ทั้งๆที่จริงๆแม้ลืมตามันก็หลงเข้าป่าอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ว่าไม่รู้ตัวว่ากำลังหลงอยู่
ต่อเมื่อเราทำสมาธิได้ชำนาญ แล้วก็จิตมีความโล่ง มีความว่างบ้างแล้ว ไอ้ความรู้สึกว่าหลับตาแล้วหลงป่า มันถึงค่อยๆลดลงเบาบางลง หรือกระทั่งไม่หลงเลย
ไม่หลงเลยแล้วเกิดอะไรขึ้น ประสบการณ์ทางจิตตรงนี้แหละ ที่เราเอามาคุยเอามาพูดกันแล้วมันจะค่อยๆมีความกระจ่างมากขึ้นเรื่อยๆว่า พระพุทธเจ้ามีประสงค์ที่จะให้ดูร่างกาย หรือว่าภาวะทางใจอย่างไร
ถ้าใจยังไม่โล่ง ยังหลงติดอยู่กับป่ารก โอกาสที่จะสับสนว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร มีเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ ไม่ว่าในทางโลกคุณจะไอคิวสูงแค่ไหน หรือว่ามีสติปัญญาดีเพียงใดมาก่อน แต่ถ้าหากมาพูดถึงโลกภายใน หรือว่ากายใจที่พระพุทธเจ้าท่านอยากจะให้เห็นโดยความเป็นรูปนามเนี่ย มันเป็นอะไรอีกแบบนึงเลย มันเข้ามาอยู่ในอีกมิตินึง
มิติภายในเนี่ยมันพิสดารขนาดไหนก็ลองคิดดู เวลาคุณหลับลงแล้วก็ฝันไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเนี่ย ฝันพาไปเจออะไรบ้าง มันไม่สามารถให้คำพยากรณ์ได้เลยในแต่ละคืน
พอหลับปุ๊บเนี่ยคุณกลายไปเป็นใครอีกคนก็ได้ที่คุณไม่รู้จัก กลายไปเป็นอีกเพศก็ยังได้ โดยไม่ต้องผ่าตัดแปลงเพศ หรือกระทั่งว่าบางคืนอยู่ๆเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เอ๊ะ! เรากำลังฝันอยู่รึเปล่า มันเป็นไปได้พิสดารมาก
เส้นทางของการทำสมาธิก็เช่นกัน คือเวลาที่เราตั้งต้นขึ้นมานะ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ทำสมาธิมันเป็นไปเพื่อที่จะตอบสนองจุดประสงค์แบบพุทธอย่างไรนะครับ
การหลับตาของคุณมันก็เป็นการหลับตาไปมั่วๆ หลับตาไปแบบที่ไม่รู้หรอกว่าจะหลับตาไปทำไม จะกำหนดลมหายใจ จะกำหนดไปทำไม กำหนดแล้วได้อะไร
พอเราไม่มีจุดหมายชัดเจนแล้วนั่งสมาธิไป บางวันนะครับหนึ่งปีมีวันนึงที่นิ่งขึ้นมาก็เกิดความรู้สึกดีอกดีใจ รู้สึกว่าเออเนี่ย มันประสบความสำเร็จในการนั่งสมาธิแล้ว ทั้งๆที่จริงมันเหมือนกับอาจจะวันดีคืนดีที่ใจของคุณมันฟลุคเข้าร่องที่จะเกิดความสงบนิ่งขึ้นมา เสร็จแล้วหลังจากนั้นไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน ก็พยายามที่จะก๊อบปี้จิตแบบที่ตัวเองรู้สึกว่านิ่ง รู้สึกว่าดีที่เป็นสมาธินั้น แล้วมันก็ทำไม่ได้ เพราะว่าวิธีก็อบปี้ของคุณก็คือ เอาอาการทางใจที่มันอยากโน่นอยากนี่
โอเคครับมาลองกันเลย
-------------------------------------------
๒๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอนทดสอบไลฟ์จากคลับเฮาส์ ครั้งที่ ๒
เหตุผลที่คุณดังตฤณไลฟ์ผ่านคลับเฮาส์
ระยะเวลาคลิป ๖.๓๖ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=rAyqaoCK1_0&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=2
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น