วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

ต้องสวดมนต์หรือเจริญสติ เวลาเดิมไหม

ผู้ถาม : จำเป็นไหมคะที่เราจะต้อง สวดมนต์ หรือ เจริญสติภาวนา เวลาเดิม 

หรือว่า เฉพาะตื่นนอน กับ ก่อนนอนเท่านั้น


ดังตฤณ : เป็นความเข้าใจ ขึ้นต้นด้วยความเข้าใจนะครับ

กายนี้ ใจนี้ สมควรจะได้รับการเห็น ได้ถูกมองว่าไม่เที่ยง อยู่ตลอดเวลา

อันนี้ คือ คติแบบพุทธนะครับ

 

คติที่แท้จริงแบบพุทธ คือว่า เราควรพิจารณาอยู่เนืองๆ  หรือว่าเสมอๆ

ว่า กายนี้ ใจนี้ ไม่เที่ยงแท้..ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน 

 

ถ้าเรามีรากฐานความรับรู้ว่า Concept ของการเจริญสติ ของการภาวนา นี่ คือ แบบนี้

หมายความว่า อยู่อิริยาบถไหน เราก็พร้อม.. ควรพร้อม ที่จะมีสติอยู่กับอิริยาบถนั้นเสมอ

โดยไม่เกี่ยงว่า จะเป็นก่อนนอน จะเป็นเวลาอาบน้ำ

 

พระพุทธเจ้าสอนนะครับ ขนาดที่ว่า ถ้าอุจจาระอยู่ ถ้าปัสสาวะอยู่ 

ก็ขอให้มีสติรู้ด้วยว่า กำลังอยู่ในท่าทางนั้นๆ อยู่ในอิริยาบถนั้นๆ 

เรากำลังขับถ่ายแบบนั้นๆ นี่ท่านสอนถึงขนาดนี้ 

 

คือ ถ้าหากมีสติได้ตลอดเวลา อย่าเลือกเวลา


แต่ถ้าหาก ยังรู้สึกว่า กำลังใจยังอ่อน 

ขอภาวนา หรือว่า ปฏิบัติเจริญสติ เป็นพักๆ

ก็อาจจะเลือก ในเวลาที่เรากำลังว่างงาน เรากำลังว่างจากความคิดแบบโลกๆ 

ไม่มีธุระปะปังอะไรต้องทำ 

 

แล้วก็มา ..มีความสะดวกในการเห็นนะครับว่า กำลังหายใจเข้า หรือ หายใจออกอยู่

 

แค่นี้.. ตรงที่เรารู้ว่า กำลังหายใจเข้า หรือ หายใจออกอยู่

นี่ คือ บันไดขั้นแรกที่จะเจริญสติ ที่จะเข้าสู่การภาวนาแล้ว


ทีนี้ ถ้าเรามีความรู้ มีความเข้าใจใน Concept ของการภาวนาอย่างแท้จริง

ว่าที่ให้หายใจเข้า หายใจออกไป 

ไม่ใช่ เพื่อที่จะ อยู่ กับลมหายใจ

แต่เพื่อที่จะ อาศัย ลมหายใจ เป็นเครื่องสังเกต 

ว่า มีอะไรบ้าง ในกาย ในใจ นี้ ที่เหมือนเดิม ที่เป็นตัวเดิม


ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเรากำลังมีความรู้สึก

วันนี้มีความสุขจัง อยากยิ้ม อยากหัวเราะ อยากเริงร่า

แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีนั้นว่า อยากให้อยู่นานๆ 

อยากให้เป็นตัวตนของเราตลอดไป ความสุขความเริงร่าแบบนี้

 

ถ้าเรามีสติ แล้วนึกถึงการภาวนาได้ ณ บัดนั้น

จะมีการตั้งคำถามขึ้นมา ย้อนกลับขึ้นมาว่า

ที่กำลังสุข ที่กำลังเริงร่านั้นน่ะ อยู่ได้กี่ลมหายใจ 

 

นี่ จะอาศัยลมหายใจเป็นเครื่อง .. เป็นเหมือนกับไม้บรรทัดวัด 

ว่า มีขนาดความสุข แค่ไหน

 

ถ้ามีความสุขมากจริงๆ บางที เราหายใจไปร้อยครั้งนะ .. ความสุข ยังเท่าเดิม

แต่ถ้ามีความสุขแบบอ่อนๆ หายใจไปแค่ครั้งสองครั้ง .. นี่ ความสุข นั้นจางลงแล้ว

 

เมื่อใดก็ตาม เราเห็นว่า ความสุข หรือ ความทุกข์ ที่เกิดขึ้นในใจของเรา

แสดงความต่าง

แสดงความไม่เหมือนเดิม

แสดงความไม่เที่ยงออกมา เป็นอนิจจัง นะครับ

 

เมื่อนั้น จิต ของเราจะเกิดความฉลาด ไม่ไปมองว่า ความสุขนั้นเป็นตัวของเรา 

หรือว่า เป็นของของเรา

 

จะมองว่า เป็นสภาวะชั่วคราวภาวะหนึ่ง ที่เดี๋ยว ก็ต้องผ่านไป 

แล้วถ้าผ่านไป ก็ไม่ได้น่าเสียดายอะไร

เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ แล้วก็ต้องหายไปอีก

 

ตัวนี้แหละ เป็นปัญญา เป็นสิ่งที่เรียกว่า ได้จากการภาวนา

เรียกว่า ได้จากการปฏิบัติแท้จริง

ซึ่งจะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ได้ นอนก็ได้ เดินก็ได้

แม้กระทั่ง ขับถ่าย อยู่ก็ได้ นะครับ

 

อันนี้ พระพุทธเจ้าสอน ผมไม่ได้พูดเองนะครับ

 

พระพุทธเจ้าสอนว่า แม้กระทั่ง เรากำลังขับถ่ายอยู่  อุจจาระ ปัสสาวะ

ก็ให้รู้ว่า ภาวะทางกาย ภาวะทางใจ กำลังเป็นอย่างไรอยู่นะครับ

 

คุณแจ๊คกี้ : ชัดเจนค่ะ ขอบคุณอาจารย์มากนะคะ 

 

เห็นภาพเลยว่า แค่เราอยู่กับลมหายใจ และให้นำพาจิตเรา ไปเห็นว่า

เราอยู่อย่างไร เราทำอะไรอยู่ มีอะไรรอบตัวเรา

รู้สึกว่า .. เหมือน.. ง่าย ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ


ดังตฤณ : ไม่ต้องคิดอะไร ใช่

ถ้าเริ่มแบบง่ายๆ และจับจุดถูกนะ 

บางที ก้าวหน้าได้ไว แล้วก็ไปได้ไกลกว่าคนที่ทำมาเป็น 10-20 ปี แล้วจับจุดจากตรงนี้ไม่ถูกนะ

 

ผมขอเน้นอีกทีนะครับ

ไม่ใช่ว่า เรารู้ลมหายใจ แล้วเรารู้สิ่งรอบตัวนะครับ

แต่รู้ลมหายใจ แล้วรู้ว่าที่กำลังหายใจอยู่ ณ บัดนั้น นี่ 

 

เป็นลมหายใจแห่งความสุข หรือว่า ลมหายใจแห่งความทุกข์


ถ้าเราจับจุดตรงนี้ถูกก่อน นะครับ

จะได้เห็นก่อนว่า ทั้งสุข ทั้งทุกข์ นี่ ไม่เที่ยง

สามารถวัดได้แน่นอนเลย เป็นว่า สุขได้นานกี่ลมหายใจ 

ทุกข์ได้นานกี่ลมหายใจ

 

จากนั้น นี่ จะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ จะ Advance ขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ

เห็นว่า ตอนโดนกระทบ โดนโลกกระทบ ไม่ได้มีแต่ความสุขมาให้

บางที มีความทุกข์มา แล้วทุกข์เยอะด้วยนะครับ

แต่ ทั้งทุกข์ ทั้งสุข เหล่านั้น นี่ วัดได้ด้วยเทปวัด คือ ลมหายใจ เหมือนๆ กัน

เหมือนๆ กัน หมดเลย นะว่า อยู่ได้กี่ลมหายใจ

 

ตรงนี้ จะกลายเป็นการสะสมความเห็นว่า ไม่เที่ยง 

หรือที่เรียกว่า อนิจจสัญญา นะ

ความรู้สึกว่า ไม่เที่ยง

 

พอรู้สึกว่า อะไรๆ ไม่เที่ยงได้ นี่

จะมี วิถีจิต ที่ถูกทางแบบพุทธ คือ มีความยึดมั่นถือมั่นต่ำ

มีความรู้สึกเป็นตัวเป็นตน .. มีความรู้สึกในตัวตน นี่ น้อยลงมาเรื่อยๆ 


ความรู้สึกถือตัวถือตน หรือว่า ความรู้สึกว่าต้องมีเราอยู่แน่ๆ นี่ จะน้อยลงๆ

แล้ว ความสุข จะเพิ่มขึ้นแบบสวนทางเป็นทวีคูณนะครับ

 

ยิ่งตัวตนน้อยลง ยิ่งความยึดมั่นถือมั่นน้อยลง 

ความสุข ยิ่งเบ่งบาน

ยิ่งมีอะไร ขึ้นมาแทนที่ความยึดมั่นถือมั่น นี่

คือ ความปล่อย ความวาง ความเป็นอิสระของจิต

_____________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน มุมมองที่เปลี่ยนไป

วันที่ 13 มีนาคม 2564

ถอดคำ : นกไดโนสคูล

ตรวจทาน : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=o3NAN_rJpYk

** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น