วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

ฝึกมรณสติ ใจพร้อมสำหรับตัวเอง แต่ไม่พร้อมกับบุคคลที่รัก

ผู้ถาม : สวัสดีค่ะ อาจารย์ดังตฤณ อยากสอบถามเรื่องการเจริญมรณสติค่ะ

หนูฝึกอยู่ แล้วก็มีทำบ้างก็คือ เหมือนเวลาเรานึก.. นึก เหมือนเตรียมตัวตายน่ะค่ะ

รู้สึกว่า เหมือนใจเรา พร้อมแล้ว และไม่มีความกังวล
แต่พอแวบขึ้นมาว่า ถ้าเป็นแม่เรา ก็จะมีความไม่อยากยอมรับค่ะ อาจารย์

 

พอเห็นตัวนั้น ก็มีความรู้สึกว่า เหมือนเรากังวลไปก่อนในอนาคต

พอกลับมาปัจจุบัน ก็เหมือนว่า จะกลับมาเจริญมรณสติของตัวเอง

คือ เหมือนจะมี (คิด) แวบไปแวบมาค่ะ อาจารย์


เหมือนตอนที่เจริญมรณสติ ของตัวเรา เหมือนอย่างเช่นตอนนอน

สมมุติ มีความรู้สึกดูกายไป แล้วก็ ถ้าเห็นว่าจะต้องตายตอนนี้

ก็จะรู้สึกว่าไม่กังวลอะไรแล้ว แล้วก็ค่อนข้างโล่ง

แต่พอนึกถึงแม่ขึ้นมาปุ๊บ ก็จะมีความกังวลมากๆ ประมาณนี้ค่ะ

ดังตฤณ : ที่เล่ามานี่ เขาเรียกว่า เป็นการเตรียมตัวตาย 

หรือว่า เจริญมรณสติ ด้วยจินตนาการ 

ด้วยการใช้ การนึกคิด นะครับ.. การนึกภาพความตาย

 

ทีนี้ การอาศัยจินตภาพในการเจริญมรณสติ 

ไม่ทำให้เรา ได้เห็นภาพความตายขึ้นมาจริงๆว่า ความตายเป็นอย่างไร

แต่จะช่วยให้เรา ได้เตรียมตัว 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราซักซ้อมทุกคืนนะครับ แค่ใช้จินตภาพแบบนี้นี่

ก็ได้ผลระดับหนึ่งแล้ว

 

คือ เวลาที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ จะถึงเวลา จวนอยู่จวนไป จริงๆ นี่นะ

จะรู้สึกว่า เราเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาแล้ว 

คือ ด้วยจินตภาพในหัวของเรา จะแฟลชแบ็คในแบบที่ว่า ..

 

เราเตรียมมาแล้วนะ เรามีทุนรอนอะไรบางอย่าง ที่จะเอามาใช้ในเวลานี้แล้วนะ

ประเด็นคือ เวลาที่เรานึกถึงตัวเอง เหมือนจะไม่ห่วง

แต่พอนึกถึงคุณแม่ หรือ บุคคลอันเป็นที่รัก กลับห่วงขึ้นมา

แสดงให้เห็น สะท้อนให้เห็นว่า การใช้เพียงจินตภาพ

บางที เรานึกว่า ตัวของเราเอง นี่ ไม่เป็นไร

 

แต่พอจะเอาของจริง ที่มีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นก่อน 

อย่างเช่น บุคคลอันเป็นที่รัก บุพการี นี่ นะครับ รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว

 

เหมือนกับปกติ ตอนที่เรานึกขึ้นมา ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่เป็นอะไร

คุณพ่อคุณแม่เป็นที่รัก..เป็นที่รักที่สุดในชีวิต

แค่นึกว่า วันหนึ่ง เราจะต้องไปงานศพท่าน หรือว่าจัดงานศพให้ท่าน นี่ 

โอ้โห ..รู้สึกเหมือนใจจะแหลกสลาย

 

แล้วความที่ เป็นทุกข์มาก ใจเหมือนจะแหลกสลาย นี่

ก็เป็นเหตุให้ มีการสั่งสอนกันมาว่า อย่าไปคิดถึงความตาย

 

การคิดถึง ความตาย เป็นอัปมงคล

การคิดว่า พ่อแม่จะตาย เป็นการแช่งพ่อแม่ 

เป็นเรื่องอกุศล เป็นเรื่องบาป เป็นเรื่องไม่ดี ..อย่าทำ 

 

ทั้งๆ ที่สมัยพุทธกาล นี่ สอนกันแบบว่า.. 

พ่อแม่แทบจะสอนลูกตามพระพุทธเจ้ากันเลยนะครับ

สอนเกือบทุกวันว่า ให้นึกถึงเสมอว่า วันหนึ่งพ่อแม่จะต้องตายไป

พ่อแม่ยังอยู่ ก็จะทำให้ลูก สามารถที่จะอยู่รอด เลี้ยงดูตัวเองได้นะ ..เอาตัวรอดในโลกได้

พ่อแม่ตายไป นี่ก็คือ เราจะต้องเตรียมใจไว้ก่อนนะ ว่าวันหนึ่งจะต้องมาถึง

นี่ สอนตามพระพุทธเจ้าแบบนี้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล

ตรงกันข้าม เป็นมงคล

เป็นสิ่งที่เตรียมจิตนะ ให้เป็นกุศล เมื่อถึงเวลาจริงขึ้นมา 


ทีนี้ ถามว่า เราจะต่อยอดจากจินตภาพของเราแบบนี้ไปได้อย่างไร 

 

วิธีที่เราจะ เจริญมรณสติ สามารถที่จะ Advance ขึ้นไปได้เรื่อยๆ 

ตามประสบการณ์เจริญสติของเรา

 

ยกตัวอย่างเช่น แทนที่เราแค่จะถามตัวเองว่า ทำใจได้ไหม

ซึ่ง ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกตินี่ ก็อาจจะตอบตัวเองว่า 

ทำใจได้ ไม่เป็นไร ไม่รู้สึกอะไรแล้ว

 

แต่พอมีสถานการณ์จวนตัวขึ้นมา 

อย่างเช่น ไปนั่งเครื่องบิน หรือว่า ตกหลุมอากาศอะไรบนเครื่องบินนี่นะ

เครื่องบินตกหลุมอากาศอย่างนี้ แล้วเราถามตัวเองว่า

ถ้าเครื่องบินร่วงลงไป นี่ เราจะทำใจได้ไหม

 

ตรงนี้นะ จะได้คำตอบขึ้นมาเลย

ถ้าเรายังทำใจได้ ใจยังนิ่งๆ เย็นๆ สบายๆ

ถือว่า เริ่มทำใจได้จริง ไม่กลัวมาก ไม่วิตกมาก ไม่มีความจิตหด

ให้มีความตระหนกอะไรขึ้นมาก่อนตาย

 

ทีนี้ ที่จะเป็นประโยชน์ลึกไปกว่านั้น คือ เราตั้งโจทย์ใหม่ ให้รัดกุมขึ้น

ถามว่า ถ้าต้องตายไปในนาทีนี้ เรามีดีอะไรไปตาย

 

จะเกิดการสำรวจ แล้วก็รู้ตัว มีสติมากขึ้นนะ

 

อย่างเช่น พอเราถามตัวเอง ว่า ถ้าต้องตายในนาทีนี้ มีดีอะไรไปตาย

แล้ว ขณะนั้น จิตสว่างอยู่ เราบอกว่า เอาจิตสว่างนี้แหละ

จิตที่เป็นกุศล นี่ ไปตาย

 

จะรู้สึกปลื้มขึ้นมาเลยนะว่า เรามีทุน เรามีสมบัติอะไรบางอย่างติดตัวไปจริงๆ

มีความสว่างเป็นประตูน่ะ ..ประตูความตาย

ไม่สงสัย เพราะปรากฏขึ้น ณ ขณะจิตที่ถามตัวเองว่า นาทีนี้ ถ้าตาย นี่ มีดีอะไรไปตาย



หรือถ้า ณ นาทีนั้น เรานึกไม่ออกนะครับ

จิตไม่ได้สว่าง ไม่ได้มีความรู้สึกสบายใจมากพอ ที่จะรู้สึกว่า ตัวเองมีดีไปตาย

ก็อาจจะทบทวนว่า ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ที่เป็นอาจิณกรรม ที่เกิดขึ้นเสมอ

แต่ละวัน เราคิดถึงเรื่องอะไรดีๆ โดยมาก

หรือว่าเราคิดถึงแต่ ศัตรู คู่แค้น คู่อาฆาต

 

จะนึกออกเลยนะว่า ถ้าต้องตายไปในนาทีนั้น เราจะเอาอะไรติดตัวไปด้วย 

ระหว่างคู่แค้น ความแค้น ความพยาบาท

หรือว่า จิตนึกคิด ถึงสิ่งที่ดีๆ ที่ตั้งของความคิดนึกดีๆ 

 

สำรวจตัวเองไปอย่างนี้ ถามตัวเองง่ายๆ 

ถ้าต้องตายนาทีนี้ เราเอาดีอะไรไปตาย

ตอบตัวเอง ยิ่งบ่อยขึ้นเท่าไหร่

ยิ่งเป็นการซ้อมตายที่มีความชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น

 

การซ้อมตายที่มีความชัดเจน แล้วเอาไปใช้ได้จริง เมื่อถึงเวลา

ก็คือ การที่เรามีความเคยชิน ที่จะถามตัวเองว่า

ตอนนี้ จิตของเราเป็นกุศลหรืออกุศลอยู่

 

ถ้าเราได้คำตอบเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ยอมรับตัวเองตามจริงว่า

แต่ละวัน มีแต่ความคิดไม่ดี 

บางคนนะครับ บอกกับตัวเองตรงไปตรงมาว่า มีแต่ความคิดชั่วร้าย

ก็ได้มีโอกาสซักซ้อม มีโอกาสขัดเกลาตัวเอง ก่อนถึงเวลาจริง เป็นเวลานาน


แต่ถ้าเราไม่สำรวจ ไม่มามีการมานึกว่า นาทีนี้เราจะตาย ..เราจะเอาอะไรไปตาย

บางคน หลงนึกว่า เราทำบุญมาเยอะ

แล้วคำว่า ทำบุญนี่ ไปทำที่ไหน ..ไปทำที่วัด 

แต่ตอนอยู่บ้านนี่ ทำบาปไม่รู้ ..ไม่รู้ตัวเลย

ไม่เคยสำรวจเลย ไม่เคยเห็นเลยนะ

 

ทีนี้ พอได้มาถามตัวเองบ่อยๆว่า ถ้าตายในนาทีนี้ เราเอาอะไรไปตาย 

เอาบุญที่ ..นานๆ ไปทำที่วัด 

กับที่ทำอยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน ทุกวัน ทุกชั่วโมง นี่ 

 

อันไหน มากกว่ากัน

 

ชั่งน้ำหนักแล้ว อันไหน มาอยู่ในใจเรามากกว่ากัน ในนาทีนั้น ที่เรากำลังจะตาย

 

พอเห็นชัด ก็จะเริ่มมีความรู้สึกตัว เริ่มมีความสังวรณ์ว่า 

จริงๆ แล้ว เรายังไม่มีดีพอที่จะไปตายนะ

เดี๋ยว ขอมาสั่งสมใหม่

 

นี่ ตรงนี้ จะเป็นมรณสติที่ Advance ขึ้นมา


แต่ถ้าเป็น มรณสติของจริง แบบนักเจริญสตินะ จะมี เริ่มรู้ เข้ามา 

หายใจครั้งนี้ อาจจะไม่หายใจข้างหน้า

อยู่ในอิริยาบถนี้ เดี๋ยวอาจจะหงายลง ..หงายลงหัวฟาดพื้นตึง

แล้วก็อยู่ในท่าใหม่ .. ท่านอนตลอดกาลนะ


หรือ เราจะมองเข้ามาว่า ที่กำลังหายใจเข้า หายใจออกอยู่ในอิริยาบถนี้ นี่ 

มีความเด่นชัดแค่ไหนนะ

อิริยาบถปรากฏเป็นกาย สักแต่เป็นรูป ชัดแค่ไหน

 

ถ้าหากว่า เห็น สักแต่เป็น รูป ชัดเจนมากขึ้นๆ จนกระทั่งเกิดสมาธิแบบหนึ่งขึ้นมานะครับ

สามารถมองเห็นได้ว่า รายละเอียด โครงสร้างภายในของกาย หน้าตาเป็นอย่างไร

 

แล้วก็สามารถเห็นได้ว่า ตับไตไส้พุง ที่อยู่แออัดยัดทะนานอยู่นี่

ในวันหนึ่ง จะต้องแตกสลาย แยกย้ายหายกันไป 

นี่ บรรลุถึงกายานุปัสสนาขั้นสุดยอดนะ นวสีวถิกาบรรพ’ (หมายเหตุ : อาการ ซากศพทั้ง 9) 

คือ มองเห็นว่า กาย นี่ มีแต่ ธาตุ มาประชุมกัน

แล้ว วันหนึ่ง จะต้องแตกสลายหายไป

ตัวนี้แหละ คือ มรณสติขนานแท้ ของจริงแบบนักเจริญสติ 

ที่จะเห็นว่า กายนี้ วันหนึ่ง จะต้องแตกดับ

จิต จะมีความรู้ซึ้งเลยนะว่า ของที่กำลังตั้ง เป็นอิริยาบถปัจจุบันอยู่ในขณะนี้ นี่ แป๊บเดียว

จะรู้สึกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย 

 

คือ ไม่เกินร้อยปี ของจิตที่ใหญ่ จิตแบบนักเจริญสติ 

รู้สึกว่าไม่เกิน 100 ปีของร่างกายนี้นี่ แป๊บเดียว

 

แต่ถ้าเป็นจิตที่มี โมหะ จิตที่ยังยึดอยู่ว่า กายนี้ เป็นของเรา 

จะรู้สึกว่า ต้องมี แบบนี้ ต่อไปเรื่อยๆ 

มองเห็นว่า กายนี้เที่ยง

หรือถ้ากายนี้ไม่เที่ยง เดี๋ยวไปมีกายอื่น ที่ต้องเที่ยงจนได้

มี อัตตา อะไรอยู่สักอย่างหนึ่ง ที่อยู่นอกเหนือภพนี้ ภูมินี้


ตรงนี้ เป็นความเข้าใจแบบผิดๆ ของปุถุชนทั่วไป

และความเข้าใจผิดๆ แบบนี้ ก็จะไปเล็งร่างกายอื่นนะครับ 

 

ร่างกายของพ่อ 

ร่างกายของแม่ 

ร่างกายของบุคคลอันเป็นที่รัก

ของแฟน ของลูก นะ

 

ว่า จงเที่ยงเถิด จงอยู่กับเราไปนานๆ เถิด

นี่ จะเข้าใจลึกซึ้ง แล้วก็ปลดล็อคได้เลยนะครับ


ผู้ถาม : ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ อย่างที่อาจารย์บอกค่ะ

บางที เช่น เคยนั่งเครื่องบินแล้วตกหลุมอากาศ หรืออะไรประมาณนั้น 

 

ก็มีความรู้สึกว่า ถ้าสมมุติ ถ้าตอนนี้ต้องตายไป จะเป็นอย่างไร 

แต่พอนึกถึงคุณแม่ ถ้ามีแวบขึ้นมา ก็จะเป็นความกังวล ที่ยังไม่อยากให้เขาไป ก็เลยรู้สึกว่า เหมือนเราเห็นแก่ตัวหรือเปล่า


ดังตฤณ : ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ตรงนั้น ..เป็นอย่างนี้มากกว่า

 

มรณสติในแบบของเราน่ะ เป็นจินตภาพ

ซึ่งใช้ได้ เมื่อเราบอกกับตัวเองว่า เราจะไป ..นะครับ

 

แต่ตัว ความยึดติด ถึงความมีร่างกายของเรา หรือว่า ความมีร่างกายของท่าน

ตรงนี้ ยังไม่ได้ถอนไปไหน

 

คือ โคตรเหง้าของความยึดติดในร่างกาย นี่ ยังคงอยู่กับที่

 

ที่ผมบอก ก็คือว่า ถ้าเราเจริญสติไปถึงขั้นที่เห็น กาย โดยความเป็นของแตกดับได้ 

อันนั้น ถึงจะถอนความกลัวได้จริง ถอนความยึดติดถือมั่นในกายของคนอื่นได้จริงนะครับ

_____________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน มุมมองที่เปลี่ยนไป

วันที่ 13 มีนาคม 2564

ถอดคำ : นกไดโนสคูล

ตรวจทาน : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=sl-9Ew_KGtY

 ** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น