ดังตฤณ : เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับว่ามาคลิกกับธรรมะเข้ามาทางนี้ได้ยังไง
ผู้ร่วมรายการ : มีความทุกข์ที่ไม่ได้ดั่งใจ ตอนแรกก็เริ่มฟังหลวงพ่อชา แล้วก็มาศึกษาตอนที่คุณดังตฤณสอนตอน skype สอนให้อยู่กับปัจจุบัน ก็ฝึกมาเรื่อยๆ เช่นทำกับข้าวอยู่ก็อยู่กับการทำกับข้าว แล้วขณะที่เราทำกับข้าวคนในบ้านก็เหมือนมาใส่เรา แล้วความที่จำได้ว่าพี่บอกว่าให้ฝึกอยู่กับปัจจุบัน ก็ฝึกอยู่กับปัจจุบันแล้วมันทำได้ค่ะ
แต่ก่อนที่จะฝึกมาอยู่กับปัจจุบันได้จะเริ่มต้นจากศีลก่อน แล้วก็ฝึกอยู่กับปัจจุบันมาเรื่อยๆ แล้วเพื่อนก็สังเกตว่า เราเหมือนไม่มีความทุกข์ ก็บอกเพื่อนว่า เรามีความทุกข์มีสิ่งกระทบทุกวัน แต่ว่าตอนนี้เราคุยกับเธอ ก็เราอยู่กับเธอไง แต่ปัญหาก็คือหนูไม่สามารถที่จะอธิบายเพื่อนได้หรือสอนเพื่อนว่าการอยู่กับปัจจุบันมันทำยังไงค่ะ คือพออธิบายไปแล้วเขาไม่เข้าใจค่ะ
ดังตฤณ : โอเคต้องการคำอธิบายให้เพื่อนนะ
จริงๆแล้วพี่อยากให้สังเกตอย่างนี้ก็แล้วกันว่า ของตัวเราเองที่เราบอกว่าเราอยู่กับปัจจุบัน มันไม่ใช่ปัจจุบันแบบที่ว่าเป็นปัจจุบันในหน้ากระดาษนะครับ แต่เป็นปัจจุบันของสภาวะทางกายของสภาวะใจนะครับ
คือเรารู้เนื้อรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในท่าทางไหน นั่นก็เรียกว่าอยู่กับปัจจุบันแล้ว หรือว่าเราคุยกับเพื่อนเห็นเพื่อนกำลังมีความทุกข์ แล้วเรารู้ว่าเพื่อนกำลังมีความทุกข์ แต่เราไม่ได้มีความทุกข์ไปด้วย ตัวเราฝั่งนึงตัวเขาฝั่งนึง อันนี้เรียกว่าเห็นสภาวะภายในของตัวเอง แล้วก็เห็นสภาวะภายนอกของเขา นี่ก็เรียกว่าเป็นการอยู่กับปัจจบันเช่นกัน
ถ้าหากว่าเรามีความเข้าใจตรงนี้นะ เอาเรื่องของกาย เอาเรื่องของใจเป็นหลักเลย เนี่ยถามตัวเองเลยว่า เรากำลังมีสติรู้กับสิ่งไหน สิ่งไหนกำลังปรากฏอยู่ต่อใจของเราอยู่ เนี่ยมีอยู่แค่สองคำ ไม่กายก็ใจนี่แหละ มีอยู่สองอย่างเท่านั้น
ถ้าหากว่าเราอธิบายเพื่อนไปว่า คำว่า ปัจจุบันของเรา ก็คือท่าทางที่เรากำลังนั่งอยู่นี่แหละ มันจะไหวโคลง หรือว่ามันจะอยู่นิ่งกับที่ มันจะหลังงอ หรือว่าหลังตรง นี่เรียกว่าเห็นภาวะปัจจุบันความเป็นกาย
ส่วนภาวะความเป็นปัจจุบันที่เป็นสภาพทางใจเนี่ย บางทีถ้าเราเป็นคนที่รู้อยู่กับปัจจุบันตรงจริง มันจะเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธตัวเอง คือถ้าฟุ้งซ่านอยู่ มันยอมรับว่าฟุ้งซ่าน ฟุ้งมากยอมรับว่าฟุ้งมาก แล้วก็ไม่อยากที่จะฟุ้งน้อยลง
ถ้าฟุ้งน้อยก็รู้ว่าฟุ้งน้อย แล้วบางทีมันก็ดับหายไปเลย พอดับหายจากอาการฟุ้งน้อยพอมีสติขึ้นมา มันเงียบไป กลายเป็นจิตเงียบๆเชียบๆ เราก็รู้ตามจริงโดยไม่มีความไปยินดียินร้ายว่า เออเนี่ย ฉันจิตเงียบสงบลงแล้วนะ มันเห็นแต่เป็นภาวะว่ากำลังเกิดขึ้นแป๊บนึง แล้วเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปเป็นอีกภาวะนึง นี่แหละตัวนี้ที่เรียกว่า ปัจจุบัน
คำว่า ปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าคงที่เป็นเสาโด่เด่อยู่นะ
แต่คำว่า
ปัจจุบัน หมายถึง การที่เราเห็นความเคลื่อนไหวของปัจจุบันที่มันเปลี่ยนจากอดีตมาเป็นตอนนี้
แล้วก็เปลี่ยนจากตอนนี้ไปเป็นอนาคตที่กำลังจะถึงในวินาทีหน้า มันไม่อยู่กับที่ มันไม่อยูนิ่ง
นี่ก็เรียกว่าเป็นการเห็นมูฟเมนท์ (movement) เป็นการเห็นความเคลื่อนไหวของปัจจุบันนะครับ
ถ้าจำไม่ได้นะครับ เอาง่ายๆเลยคือ เราอธิบายเพื่อนว่า เราอยู่กับกาย หรือไม่ก็อยู่กับใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าตอนนั้นตอนที่อยู่กับเพื่อน ร่างกายของเรา ท่าทางของเรากำลังปรากฏอยู่ในใจของเรา ก็ให้บอกว่าปัจจุบันของเรา เราเห็นอิริยาบถที่กำลังเป็นอย่างนี้ หลังตรงหรือหลังงอ คอหมุนหรือคอตรง ฝ่าเท้าวางราบกับพื้นหรือว่ามันหงิกงอ
ส่วนใจอาการทางใจ มันมีอาการวิ่งตามเพื่อนมั้ย มีอาการเต้นตามเพื่อนมั้ย ถ้าเราหยุดอยู่กับที่ แล้วเห็นจิตของเพื่อนวิ่ง วิ่งวนสงสัยราวกับว่ามีอะไรคลุ้งๆออกมาจากหัวเขา เราก็บอกว่า เออเนี่ย สิ่งที่ฉันเห็นในปัจจุบันคือ ใจของฉันมันนิ่งๆเหมือนน้ำ มันสงบๆเหมือนน้ำ แต่ของเธอเนี่ยมันคล้ายๆกับพายุที่มันก่อตัวขึ้นมา
พอเราชี้ให้เขาเห็นแบบนี้ บางทีเนี่ยมันเป็นประโยชน์กับเขามหาศาลเลยนะ เขาได้เห็นตัวเองว่า เปรียบเทียบแล้วเนี่ย เขากำลังมีจิตที่ฟุ้งยุ่งอยู่ มีปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นอกุศล ในขณะที่เขาเห็นว่าจิตของเราเนี่ยเป็นกุศล
หลายคนมาถามพี่นะว่า เวลาที่จะแนะนำให้คนใกล้ตัวมาสนใจทางธรรมะ เขาแนะนำกันยังไง ใช้อุบายแบบไหน พี่บอกว่าอุบายหรือว่าคำพูดเนี่ยใช้ไม่ได้หรอก เพราะว่าธรรมะเนี่ยถ้าใครสักคนจะมาสนใจ มันเปลี่ยนชีวิตเขาเลยนะ มันเปลี่ยนเส้นทางกรรมเขาเลยนะ
เพราะฉะนั้นเนี่ย ถ้ามีคำพูดสำเร็จรูปตายตัวที่จะทำให้คนทั้งโลกเปลี่ยนใจมาสนใจธรรมะได้ แปลว่าคำพูดนั้นเนี่ย ต้องเป็นคำพูดมหัศจรรย์ที่ไม่ใช่มนุษย์พูด ต้องออกมากจากเสียงของเทวดา ถึงจะพูดให้เขากลับใจได้เปลี่ยนใจได้
แต่คนธรรมดาๆด้วยกันที่จะดึงให้คนธรรมดาด้วยกันมาสนใจธรรมะเนี่ย ก่อนอื่นเราต้องทำให้เขาถามอย่างที่เขาถามน้องเนี่ยว่า เอ๊ะ!เธอไม่เคยมีความทุกข์บ้างเหรอ ดูทำไมมีความสุขไม่ค่อยจะเต้นไปกับเรื่องราวต่างๆในชีวิต เนี่ย!ตรงนี้แหละ คือโอกาสที่เราจะต้อนเขาเข้ามาหาท้องฟ้าแห่งธรรมะ
ปกติคนน่ะจะยืนอยู่ขอบๆเหว แต่ไม่รู้หรอกว่าเงยหน้าขึ้นไปนิดเดียว สามารถที่จะเห็นท้องฟ้าได้ เราก็ทำให้เขาเห็นท้องฟ้าแบบรำไรขึ้นมา โดยให้เห็นใจของเรานิ่งๆ แล้วก็มีความสุข แล้วก็ยิ้มๆอยู่อย่างที่เป็นอยู่นั่นแหละ
แล้วถ้าเขาถามอีกนะ เราตอบใหม่ตอบว่า เนี่ยใจของเธอกับใจของฉันตอนนี้มันต่างกันนะ ใจของฉันมีโฟกัสอยู่กับภาวะทางกายภาวะทางใจอันเป็นปัจจุบัน ส่วนของเธอเนี่ยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่อดีตก็อนาคต
อดีต อาจจะเป็นข่าวอะไรสักอย่างนึง
อนาคต อาจจะเป็นเรื่องราวที่กำลังเป็นเศรษฐกิจบ้าง
เป็นสตางค์ในกระเป๋าหรืออะไรต่างๆ ชี้ให้เขาเห็นความแตกต่างระหว่างใจที่อยู่กับปัจจุบัน
และใจที่อยู่กับอดีตและอนาคต แล้วเขาจะมาทางเดียวกับเราเองนะครับ โอเคมั้ย
ผู้ร่วมรายการ : หนูก็อธิบายเขาไปในลักษณะที่ปฏิบัติอยู่ และหนูเจอหลายคนคือครอบครัวดี ชีวิตดี คนเหล่านี้เหมือนเขาไม่ค่อยได้เจอความทุกข์ แต่ตัวหนูเจอความทุกข์มาเยอะ แต่หนูใช้วิธีการจากอดทน มาเป็นยอมรับค่ะ
ดังตฤณ : อันนี้แหละคือคีย์เวิร์ดที่สำคัญมากๆของการเจริญสติ การมีสติที่แท้จริงไม่ใช่การเฝ้าอดทน แต่การมีสติคือการยอมรับตรงตามจริงที่มันกำลังปรากฏให้ยอมรับ เพราะว่าจิตเนี่ย เอาง่ายๆเลย จิตของคนที่ไม่เจริญสติคือจิตที่ปรุงแต่งด้วยจินตนาการ ความชอบใจความไม่ชอบใจ
แต่ว่า จิตของคนมีสติ คือจิตที่ถูกปรุงแต่งน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คือปรุงแต่งเท่าที่มีความจริงมันมาปรุงแต่ง อย่างเช่น ลมหายใจกำลังเข้า กำลังออกอยู่ นี่ก็เรียกว่าความจริงมาปรุงแต่งว่าปัจจุบันมีอยู่แค่นี้ให้รู้
หรือว่าของน้องอาจจะถ้ามีเรื่องมีราวมีเหตุการณ์อะไรมาทำให้ยุ่งยากลำบากใจ
แล้วเราไม่ไปปรุงแต่งเกินกว่านั้น เราปรุงแต่งแค่มีอะไรให้แก้ก็แก้ไปตามจริง
อันนี้แหละที่มันจะมีความสุขอยู่ได้ ถึงแม้ว่าสิ่งแวดล้อมมันจะไม่เอื้อให้สุขก็ตาม
ขอบคุณมากนะครับ โอเคครับ อนุโมทนานะครับ
---------------------------------------------
๒๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอนทดสอบไลฟ์จากคลับเฮาส์ ครั้งที่ ๒
คำถาม : ขอวิธีแนะนำให้เพื่อนฝึกรักษาศีลเพื่อละความโกรธ
ระยะเวลาคลิป ๑๐.๕๐ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=q1_qWTiN35s&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=24
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น