วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

เสียสัตว์เลี้ยงที่รักมากไป ทำใจไม่ได้สักที

ผู้ถาม : ช่วง2 เดือนนี้ ได้ใกล้ชิดกับมรณานุสติ มากๆ 

ลูกสาว (หมา) อายุ 17 ปี เพิ่งเสียไป 

 

ดังตฤณ : บอกด้วยว่าหมา ไม่ใช่คนนะ 

 

ผู้ถาม : น้องหมาค่ะ 17 ปี น้ำหนัก 30 กิโลกรัม

ซึ่งเราจะต้องแบกเขา ออกไปทำธุระอึ ทำธุระฉี่ ตลอดเวลา

ซึ่ง 2 เดือนนี้ เราก็ทำให้เขา ให้ดีที่สุด แล้วก็รักษาเขาให้ดีที่สุด

 

แต่เป็นคนที่ ราคะจริต (หมายเหตุ : รักสวยรักงาม)

แล้วกับการที่จะต้องมานั่งแคะอึ แคะฉี่ 

เหมือนเราได้เห็นว่า พอร่างกายไม่ไหว 

ที่เคยน่ารัก ที่เคยสดใส เคยคาบใบไม้มาแลกไก่กรอบ

สายตาที่สดใส ค่อยๆ หายไป


เห็นแบบนั้น แล้วย้อนกลับมาหาตัวเอง

ซึ่งวันหนึ่ง เราจะต้องอ่อนแรงแบบนี้ แล้วจะต้องเป็นแบบนี้

คือ เหมือนทุกอย่าง ย้อนเข้ามาหาตัวเอง

แล้วไม่มีคำพูดอะไรเลย นอกจากคำว่า ขยาด ค่ะ พี่ตุลย์

 

ขยาดกับความแก่ แล้วก็ความเป็นอัลไซเมอร์ของน้องหมาด้วย

เหมือนกับ เขาจะลืม เดี๋ยวเขาจะจำแม่ได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง

จำว่ากินแล้วบ้าง ยังไม่ได้กินบ้าง


แต่เราก็ดูแลเขา ให้ดีที่สุด

เราตั้งใจว่า เราจะทำ จนกว่าจะวินาทีสุดท้าย จะทำให้เขาให้ดีที่สุด

แต่การทำแบบนี้ .. โทสะ ก็เกิดง่าย บางที เขาจะงอแง

พอเกิดโทสะ เราก็กลับไปดูว่า พอเรา..เมตตามากๆ ก็พลิกเป็นโทสะ

และเราก็ต้องดูให้ทัน ทำให้เราเหมือนกับ ..จิตก็จะหลุดไปบ้าง



แล้ววันที่ใกล้ๆ ที่เขาจะเสีย เหมือนกับอยู่ๆ เราก็คิดขึ้นมาได้ว่า 

ที่จริงแล้ว หมาไม่ได้เพิ่งเคยตายครั้งแรกนี่นา

เขาต้องเคยตายมาแล้วหลายๆ ครั้ง

 

แล้วก็เห็นจิตของเรา ที่เราไปยึด.. ไปยึด ไม่ได้รัก

เรายึด ในตัวเขาว่า เขาเป็นของเรา 

แล้วยึดอะไร ในเมื่อตัวเรา ยังไม่ได้เป็นของเราเลย


ทุกอย่าง ก็ คว่ำ ล้มระเนระนาดหมดเลยค่ะ

แล้วเรา ก็เลยไม่ยึดอะไรเลย 

เหมือนกับ น้ำตาหายหมด ซึ่งจะมาเศร้าทั้งหมด ก็เหมือนกับตั้งมั่นขึ้นมา

 

แล้วก็เปิดเพลงสวดมนต์ ส่งเขาด้วยกำลังที่แบบ..แข็งแรงเต็มที่ 

ทำตามเหตุ ตามปัจจัย พาไปหาหมอ 

หมอจะต้องอย่างไร ก็เอา ทำตามนั้น ถ้าจะอยู่ ก็อยู่ ถ้าจะไป ก็จะไป

 

รู้สึกว่า ตัวเองทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว แล้วได้อยู่กับมรณานุสติ ที่ 2 เดือน เต็มๆ 

รู้สึกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่ใกล้ มรณานุสติ ที่สุด แล้วก็ย้อนกลับมาที่ตัวเรา


แต่ตอนนี้ ใจเรา ..เหมือนแบบ ..พอสิ้นเขาไปแล้ว

ก็เกิดความอาลัยอาวรณ์ คิดถึง 

แล้วเดี๋ยวลุกขึ้นได้ เดี๋ยวก็ล้มลงไปอีก ..ลุกขึ้นได้ ก็ล้มไปอีก

ไม่อยากจะออกไปไหนเลย อยากจะตะบี้ตะบันดูอยู่อย่างนี้ ให้รู้กันไป

 

ว่าในเมื่อมีสภาวะให้ดู เราก็..จะดูๆ 

ล้ม ก็จะดูล้ม แล้วเดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาอีก เดี๋ยวก็หายไป 

จะวนเวียนอย่างนี้ค่ะ

ทำแบบนี้ ผิดพลาดไปหรือเปล่า หรือ ยังขาดอะไรคะ


ดังตฤณ : ก็มีเป็นขั้นเป็นตอนมานะ

 

อย่างเวลาที่เราคิดได้ว่า เออ เขาไม่ได้ตายครั้งแรก เขาตายมาแล้วหลายครั้งนะ

เราแค่มาอยู่ในการตายครั้งนี้ ของเขาอีกครั้งหนึ่ง

 

แล้วเราก็เกิดความเศร้า เกิดความโศกสลดเสียใจว่า เขาจะไม่ใช่ของของเราแล้ว

อันนี้ ก็เป็นการเรียนรู้ ก็เป็นบทเรียนทางความรู้สึกชนิดหนึ่ง

ทีนี้ พอเราคิดได้ว่า เขาไม่ได้ตายครั้งนี้ครั้งแรก 

เขาตายของเขาอยู่แล้ว และจะต้องตายอีกหลายครั้ง 

แล้วที่ย้อนหลังมา ก็ไม่รู้อีกกี่ล้านครั้งนะ ที่เขาเคยตายมาแล้ว

แล้วเราเกิดความรู้สึกว่า เราเลิกเสียใจได้ นี่ 

อันนี้ เรียกว่า เป็นการคิดได้


ซึ่งการคิดได้ นี่ จะอยู่กับเราพักหนึ่งนะครับ

จะทำให้จิตของเรา มีความรู้สึกว่า เป็นอิสระจากการยึด เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ

ไม่ใช่ เจ้าของชีวิต

ไม่ใช่ เจ้าของหมา

ไม่ใช่เจ้าของ..สิ่งที่จะต้องเป็นไปตามกรรม

จะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสังขาร

 

เรียกว่าเป็นการทำใจได้ ด้วยความคิดที่แยบคาย ด้วยความคิดที่กระแทกใจ 

แล้วกระแทก ความยึดติดถือมั่น ออกไปได้ชั่วคราว

 

ทีนี้ พอ (หมา) ตายจริง แล้วก็ย้อนไปนึกถึง แล้วเกิดความอาลัยอาวรณ์

อันนี้ เป็นคนละจังหวะ เป็นคนละเวลากันแล้วนะครับ


ตอนก่อนหน้าตาย เราคิดได้ เราทำใจได้

แต่ตอนหลังตายจริงๆ จิตมีความปรุงแต่งขึ้นมาอีกแบบ 

 

คือ นึกถึงวันคืน ที่เคยมีอยู่ 

 

หรือ บางที นี่ ไม่ต้องนึกถึง อยู่ๆ ความอาลัย ก็กลับมาครอบงำจิตได้เอง

ตรงนี้ ไม่ได้ผิดอะไร เป็นไปตามธรรมดา ธรรมชาติ ที่จะต้องเกิดขึ้น

 

วาระก่อนตาย กับ วาระหลังตาย จิตของเราถูกปรุงแต่งด้วยปรากฏการณ์ที่ต่างกัน

 

ภาวะก่อนตาย นี่ ยังเห็นอยู่นะครับ

เสร็จแล้ว เราก็นึกว่า เดี๋ยวจะต้องตาย .. ช่างเถอะ เราทำใจได้ 

นี่ เรียกว่าเป็นภาวะปรุงแต่งแบบหนึ่ง 

 

กับ ภาวะหลังตาย คราวนี้ไม่มีร่างกายเหลืออยู่แล้วจริงๆ นะครับ

ไม่มีอะไรที่เป็นร่องรอย ที่บอกความมีชีวิตแบบเดิมแล้วจริงๆ 

ก็เป็นการปรุงแต่งจิตอีกรูปแบบหนึ่ง

 

เป็นปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นกับจิตอีกแบบหนึ่งอย่างสิ้นเชิง

ซึ่งเราก็ได้รู้ว่า จิตของเรายังถูกปรุงแต่งในแบบที่ทำให้อาลัยอาวรณ์ได้นะ

ถูกห่อหุ้มด้วยความยึดติดเหนียวแน่นได้ 


เราก็รู้ไป ..ยอมรับว่า ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่

 

ความยึดมั่นถือมั่นของจิต ไม่ใช่อะไรที่เรานึกว่า

ทำได้แล้ว คิดได้แล้ว แล้วปล่อยได้แล้ว

.. แล้วจะปล่อยได้จริงๆ ..

 

ไม่อย่างนั้น ไม่ต้องมีระดับโสดาบัน สกทาคา อนาคา ไปถึงพระอรหันต์

 

พระอรหันต์เท่านั้น ที่ตัดเยื่อตัดใย จากความเป็นภาวะขันธ์ 5 นี้ ได้จริงๆ

นอกนั้น ยังตัดไม่ได้ .. เมื่อตัดไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับไป

 

ทีนี้ พอยอมรับว่า มีความอาลัยอาวรณ์

อย่าไปดูว่า เราทำมาผิด หรือเปล่า 

เราปล่อยวางไม่จริง หรือเปล่า

 

เรายอมรับว่า จิตของเรา ยังมีเยื่อใย ยังมีความผูกพัน 

ยังมีความสามารถที่จะเศร้าโศกได้ จากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย 

 

การตายของคนใดคนหนึ่ง หรือ สัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง ที่เรารัก 

คือ เครื่องชี้ว่า ใจของเรายังสามารถเป็นทุกข์ได้

กับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย 

 

ถ้าทุกข์กับความตายของสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งได้ 

นั่นแสดงว่า เรายังพร้อมที่จะได้เกิดเอง

เกิดใหม่ด้วยตัวเองอีก .. ยังยึดติดอยู่กับภพ

 

เราก็รู้ ..แค่รู้และยอมรับ

แล้วก็ฝึกต่อ อย่างที่เราเคยฝึกๆ มานะครับ

 

จนกว่า จะยอมรับได้ ทีละลมหายใจ ยอมรับได้ทีละนาที ทีละชั่วโมง

ว่า กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ของเราจริงๆ

ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ จนกระทั่งขาดนะครับ

 

จะได้ธรรมะ จะได้อะไรแค่ไหน ก็ตาม

ให้ถือเป็น อุปาทาน ทั้งหมด 


ต่อให้เป็นพระอนาคามี ก็ให้นึกว่า ยังเป็น อุปาทาน อยู่

ยังอุปาทานไปว่า เราเป็นอนาคามี 

อันนี้ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้จริงๆ นะ 

 

ถ้าเธอยังมีตัวตนอยู่ 

ยังมีมานะ ยังมีอัตตามานะ

ตราบนั้น เธอยังต้องศึกษา ยังเป็น พระเสขะ อยู่นะ ..

ต้องมีกิจ ที่ต้องทำต่อ


ต่อเมื่อ จิต พรากออกมาจากความเป็นขันธ์แล้วจริงๆ 

เป็นพระอรหันต์แล้ว นั่นถึงจะถือว่า เป็น พระอเสขะ 

 

การเป็น พระอเสขะ ก็คือ ไม่มีเยื่อใยแล้วจริงๆ

นอกนั้น นี่ จะทำมาได้แค่ไหน จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมขึ้นกับจิต อย่างไรก็ตาม

บอกว่า เป็นอุปาทาน เป็นหนึ่งในอุปาทาน 

อุปาทานว่า เราเป็นนั่นเป็นนี่


แม้แต่พระอริยเจ้า ท่านก็มีอุปาทานของท่าน 

ว่า ท่านเป็นพระโสดา พระสกทาคา พระอนาคา

แต่พระอรหันต์ ท่านจะไม่รู้สึกว่า ท่านเป็นอะไรเลยนะ

 

เป็นเรื่องของขันธ์ 5 .. ท่านไม่ได้เป็นอะไรมาตั้งแต่แรก

แล้ว ณ เวลา ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ไม่ได้เป็นอะไรต่อด้วย

 

หลังจาก ซาก ของความเป็นอรหันต์ คือ กาย ของอรหันต์ นี่

ได้ดับลง แตกลง หยุดลมหายใจแล้ว

ก็ไม่มีใคร ที่มาสืบต่อความเป็นอรหันต์นั้น

ไม่มี.. ไม่มีใครตั้งแต่แรก แล้วไม่มีใครตาย นะ

_____________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน มุมมองที่เปลี่ยนไป

วันที่ 13 มีนาคม 2564

ถอดคำ : นกไดโนสคูล

ตรวจทาน : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=H7uiVZmlEVs

 ** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น