วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แรงบันดาลใจ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน เล่ม ๑๐ (ดังตฤณ)

รสชาติของทุกข์นั้นเหมือนกัน แต่รูปแบบของทุกข์มีได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทุกข์เรื่องบ้าน ทุกข์เรื่องงาน ทุกข์เรื่องเงิน ทุกข์เรื่องแฟน ทุกข์เรื่องสุขภาพ เหล่ามนุษย์ที่มีอายุทั้งหลายย่อมผ่านพบมาด้วยกันทุกคน อาจหนักบ้าง อาจน้อยบ้าง เอาเป็นว่า เมื่อพูดคำว่า ทุกข์ จะไม่มีใครเอ่ยเลย ว่าไม่รู้จักมาก่อน


เหตุให้เกิดทุกข์แต่ละแบบก็ช่างพิสดาร เหตุแห่งทุกข์จากชาติก่อนก็มี เหตุแห่งทุกข์จากชาตินี้ก็มาก

ถ้าคุณจำได้ว่าชาติก่อนเคยฆ่าคนด้วยน้ำมือตนเองไว้กลาดเกลื่อน คุณอาจรู้สึกเป็นทุกข์น้อยลง ไม่ว่าชาตินี้เดี๋ยวนี้ คุณกำลังเป็นทุกข์จากสุขภาพอ่อนแอสักเพียงใด



แต่เพราะไม่รู้ไม่เห็น ลืมทุกสิ่งไปหมดแล้ว และไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนใช้วิทยาการใดพิสูจน์ให้คุณทราบว่าคุณเคยเป็นใครมาก่อน หรือมีเพียงชาตินี้ชีวิตเดียว ดังนั้นหากคุณเจ็บออดๆแอดๆมาตั้งแต่แบเบาะ คุณคงได้แต่ก่นโทษพ่อแม่ หรืออีกทีก็โทษฟ้าดิน ด้วยความน้อยใจชะตากรรม

หากทั้งชีวิตคุณทุกข์หนัก คุณจะไม่มีแก่ใจแหงนหน้าตั้งคำถามบางข้อ เช่น ทำไมฟ้าจึงฟ้า...

แต่จะหมั่นก้มหน้าถามตัวเองซ้ำๆ เช่น ทำไมถึงต้องเป็นคุณ...

ความจริงก็คือ... ต่อให้มนุษย์ทุกคนระลึกชาติได้ ก็ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะยอมรับว่าเหตุแห่งทุกข์มาจากการกระทำของตนเอง ในเมื่อการกระทำที่เห็นอยู่ในชาตินี้แท้ๆ ยังลืม ยังนึกไม่ออก หรือยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยซ้ำ สนแต่ว่าใครกระทำกับตนไว้อย่างไร แต่ไม่สนว่าตนกระทำกับใครไว้แค่ไหน

ความไม่รู้ทำให้เรางงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และความใส่ใจแต่เรื่องของตัวเองก็ทำให้เราหลงลืมว่าทำอะไรกับใครไว้บ้าง

สถานที่บางแห่งในโลกนี้ เตือนให้เรารู้สึกถึงการเดินทางไกลอันเต็มไปด้วยความร้อนอบอ้าวและความเวิ้งว้างน่าเหน็ดหน่าย เห็นแล้วอดนึกฉงนไม่ได้ว่าจะเดินทางไปไหน จะเดินทางไปทำไม และจะเดินทางไปกับใครดี

พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบเทียบว่าวังวนกรรมและวงเวียนแห่งการเกิดตายเหมือนการเดินทางไกล เหมือนการนอนไม่หลับ แถมหนักยิ่งกว่านั้นมาก เพราะสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิดนี้ หาต้นปลายมิได้

คุณต้องหาทางหยุด ณ จุดที่กำลังรู้ตัว กำลังระลึกได้ อันเรียกกันว่า "ปัจจุบัน" นี้

พวกเราต่างชุ่มไปด้วยบาป อาบทุกข์ต่างน้ำกันแทบทุกชาติ แต่ก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้เหตุผล และสำคัญคือไม่รู้ว่าจะหยุดได้อย่างไร

พระพุทธเจ้ารู้ และท่านก็ตรัสสรุปว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน ตลอดจนหยุดเดินทางเสียได้ตามท่าน คือฝึกมีสติมองเข้าข้างใน เพื่อหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน และหยั่งรู้ว่าการทิ้งสรรพสิ่งออกจากจิต ก็คือการเข้าถึงเป้าหมายใหม่ อันเป็นยอดสุดแห่งความจริง เป็นความปลอดภัย เป็นความเกษมชั่วนิรันดร์

ดังตฤณ

กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คุณดังตฤณกล่าวสวัสดีปีใหม่

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๐

ขอกล่าวสวัสดีฉบับนี้ปีใหม่นะครับ หากตลอดปีที่ผ่านมาคุณสั่งสมกรรมขาวใหม่ๆไว้มาก ถึงระดับที่เปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นเป็นคนละคน ปีใหม่นี้คุณก็คงได้รับพรจากกรรมของตนเองแล้ว และจะไม่มีใครให้พรได้ดีกว่านั้นตราบจนสิ้นชีวิต


แก้จิตเภทด้วยกรรมได้ไหม (ดังตฤณ)

ถาม : หมอเคยวินิจฉัยดิฉันว่าเป็นโรคจิตเภท หลงผิด หวาดกลัวอย่างไม่สมเหตุสมผลขั้นรุนแรง ไม่สามารถตัดความคิดหรือควบคุมจิตใจตนเองได้ แต่ยังไม่ถึงกับอาละวาด ยังไปทำงานได้ตามปกติ แต่ทรมานใจมาก รู้อยู่กับตนเองว่านี่แหละนรกทางใจ ความนึกคิดก็พิลึกพิลั่นต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ จนถึงขนาดอยากฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด ทานยาพักหนึ่ง พอดีขึ้นก็หยุด เสร็จแล้วก็กลับมาเป็นอีก กลัวมากกับการมีจิตเศร้าหมองขณะตาย ทุกวันนี้พยายามถือศีล ๕ และเจริญสติภาวนา ระลึกถึงคุณพระอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย อยากทราบว่าทั้งหมดนี้เป็นผลจากกรรมใด และจะมีวิธีไหนช่วยให้ดีขึ้นได้บ้างคะ?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๐

ดังตฤณ: 
มารวบรัดกันโดยเล็งจุดสำคัญที่สุด คุณบอกว่า ‘กลัวมากกับการมีจิตเศร้าหมองขณะตาย’ ซึ่งนับเป็นความกลัวที่ดีที่จะยับยั้งไม่ให้ปล่อยใจเลยเถิดเตลิดเปิดเปิงแบบกู่ไม่กลับแล้วก็เป็นความกลัวที่ยืนพื้นอยู่บนความจริงทางธรรมชาติเสียด้วย พระพุทธเจ้าตรัสไว้จริง ๆ ครับว่า เมื่อจิตเศร้าหมองก่อนตาย ทุคติย่อมเป็นที่หวังได้ และแม้พระพุทธเจ้ามิได้ทรงตรัสไว้ ผู้มีความเศร้าหมองอย่างหนักทุกคนก็ย่อมสังหรณ์ได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว ดุจเดียวกับคนใกล้หลับอย่างทรมาน ย่อมเดาถูกว่าอีกเดี๋ยวคงไม่แคล้วต้องฝันร้ายยืดเยื้อ

ความกลัวการเศร้าหมองก่อนตาย จะทำให้คุณมีสติยับยั้งชั่งใจขึ้นมาระดับหนึ่ง ซึ่งก็ควรต่อยอดด้วยการบอกตัวเอง ว่าฉันกำลังต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว และติดตามราวีฉันอยู่ข้างในตลอดเวลานะ

ศัตรูของคุณมาในรูปของความคิด ดังนั้นคุณก็ต้องต่อสู้หรือตอบโต้มันด้วยความคิดเช่นเดียวกัน กำหนดใจไว้เลยว่าเมื่อใดเกิดความคิดหรือจินตนาการที่เป็นลบ คุณจะต่อกรกับมันทันทีด้วยความคิดและจินตนาการที่เป็นบวก

เอาแบบเป็นตรงข้ามเห็น ๆ เลยนะครับ เช่นถ้าเกิดแรงบีบคั้นในหัวให้ด่าคนหรือหาเรื่องอาละวาด คุณต้องให้สติทำหน้าที่ยับยั้งความตั้งใจที่เป็นลบนั้น แต่ไม่ใช่เก็บกดเฉย ๆ คุณต้องพูดจาดี มีความสุภาพอ่อนโยน เลือกคำที่ประนีประนอม หรือกุลีกุจอหาทางช่วยเหลือใครสักคนหนึ่งทันที

ถ้าทำได้อย่างนี้เรื่อย ๆ ก็เชื่อเถิดว่าความดีจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น หรือแม้ดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น อย่างน้อยคุณก็มั่นใจได้ว่าตัวเองพยายามดีที่สุดแล้ว เป็นกรรมขาวเท่าที่จะขาวได้แล้ว ความขาวของกรรมย่อมตกแต่งจิตให้เบิกบานยามตาย กรรมขาวย่อมไม่ปล่อยให้คุณตกต่ำไปสู่ความดำมืดอย่างแน่นอน

เมื่อหายกลัว และแน่ใจว่าทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พรุ่งนี้โลกสว่างอยู่แล้วครับ อย่าห่วง


วิญญาณมาหาได้ไหมถ้าไม่เคยเจอกัน (ดังตฤณ)

ถาม : ติดต่อกับชายคนหนึ่งที่ยังไม่เคยเจอตัวจริงของเรา แต่รู้จักและติดต่อกันทางจดหมาย เห็นเพียงรูปถ่าย ตายไปเขาจะมาหาเราถูกหรือเปล่าคะ? เพราะหลังจากเขาตายไปเดือนเศษก็เห็นเหมือนมีคนมายืนหน้าบ้าน และหมาก็เห่าหลายครั้งก่อนจะหอนยาว

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๐

ดังตฤณ: 
โลกของวิญญาณเป็นอะไรที่คุณคิดไม่ถึงหรอก เพราะไม่ได้ถูกกักขังด้วยหูตาและเนื้อตัวอย่างเรา ๆ ข้อจำกัดในโลกวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับวิบากกรรมที่ทำมา อาจกว้างขวางเป็นอิสระยิ่ง หรืออาจถูกจองจำในที่คับแคบ ขึ้นอยู่กับระดับบุญ

ถ้ากรรมของเขาคือการผูกใจโยงใยอยู่กับคุณ ปรารถนาจะพบคุณ โดยที่จิตคุณก็ทำตัวเป็นขั้วต่อ เขาก็มาได้จริง เพราะกระแสจิตเป็นธรรมชาติที่เชื่อมติดกันได้โดยไม่จำเป็นต้องอิงหน้าตา แค่ต่างฝ่ายต่างคิดถึงกันก็ใช้ได้แล้ว

แต่ขอให้คิดให้ดีว่าผูกติดน่ะได้  แต่จะได้อะไรจากการผูกติด? ถ้าเขามีตัวตนมาหาคุณจริง เขาจะได้อะไรจากตรงนั้นมากไปกว่าการผูกติดที่เปล่าประโยชน์? ส่วนคุณจะได้อะไรจากตรงนั้นมากไปกว่าการไม่แน่ใจว่าผูกติดกับใครแน่?

ทั้งความฝัน ทั้งอุปาทานแบบคิดไปเอง และทั้งเรื่องจริงทางวิญญาณ ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อความเปล่าประโยชน์สำหรับความเป็นอยู่ของคนธรรมดา และอาจเป็นโทษแม้กับพวก ‘เล่นเป็น’ อย่างนักไสยศาสตร์ทั้งหลาย

เรื่องหลังความตายนั้น ขอให้คิดว่ายังไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราคือยังอยู่ และใช้ชีวิตเยี่ยงคนที่ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับคนตาย


การเป็นคนธรรมดา มีชีวิตที่ไม่ต้องไปรับรู้เรื่องหลังตายนับว่าเป็นสุข และไม่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องลึกลับดีแล้ว ถ้าสัมผัสหรือสังหรณ์วูบวาบอะไรขึ้นมา ทางที่ดีที่สุดให้คิดว่าไม่ใช่ ไม่เกี่ยว ไม่จริง หรือต่อให้จริงก็ไม่สน สนแต่ว่าเรายังมีโอกาสทำบุญ อยู่ในภาวะเลือกได้ และเราก็จะเลือกนึกถึงผู้จากไปแล้วในทางดี อยากให้เขามีสุข อยากให้เขารับรู้กระแสการทำบุญที่สม่ำเสมอของเรา เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วครับ

บ้านติดกับโรงฆ่าหมู ทำใจอย่างไรดี (ดังตฤณ)

ถาม : อยู่บ้านติดกับโรงฆ่าหมู ได้ยินเขาทุบหัวหมูเป็นประจำ และเมื่อเดินไปตลาดบางครั้งก็เจอเขาทุบหัวปลาแล้วตกใจค่ะ ดิฉันควรคิดหรือพูดคำใดดีเพื่อให้จิตเป็นกุศล ในสถานการณ์ที่ชวนให้จิตตกแบบนั้น?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๐

ดังตฤณ: 
เดี๋ยวนี้หลายแห่งจะใช้วิธีช็อตไฟฟ้านะครับ ไม่ใช่ปรานีหมู แต่กลัวเนื้อหมูไม่อร่อย เพราะตอนโดนทุบเจ็บ ๆ แล้วเกิดความทรมาน จะมีการหลั่งสารบางอย่างที่ไม่ดีออกมา

สำหรับคุณซึ่งถูกชะตากรรมกำหนดให้ต้องไปรับฟังเสียงอัปมงคล ถ้าจะคิดให้จิตเป็นกุศล ก็ขอให้อ้างเอาความจริงในใจคุณนั่นแหละเป็นตัวตั้ง เช่น ‘เราไม่อยากฆ่า เราจะไม่เป็นผู้ฆ่า เพื่อไม่ต้องเป็นผู้ถูกฆ่าในภายหลัง’ หรือ ‘เราอยู่นอกวงจรของการฆ่าฟัน และจะไม่เข้าไปอยู่ในวงจรฆ่าฟัน’ หรือ ‘เราเป็นสุขจากการไม่ต้องมีมือเปื้อนเลือด และอยากให้พวกเขาเป็นสุขอย่างเราบ้าง’ หรือ ‘ขอให้พวกเธอรู้จักความสุขจากการไม่ฆ่าเถิด’


ถ้าจะพูดออกปากแบบกึ่งรำพึง กึ่งอุทาน ก็อาจว่า ‘การไม่ต้องฆ่าเป็นสุขยิ่ง’ ซึ่งถ้าพูดแล้วนึกถึงภาวะการไม่เป็นผู้ฆ่าของคุณเอง กับทั้งพบว่าหายสะดุ้งกลัว มีความสุข มีความปลอดภัย ไม่ปรารถนาความเบียดเบียน อันนั้นก็เท่ากับได้แผ่เมตตาแบบอ่อน ๆ ด้วยวิธีพูดออกปากแล้วครับ

เจอลูกน้องโกงอยู่เรื่อย (ดังตฤณ)

ถาม : การมีลูกน้องที่โกงเราตลอดศก เกิดจากกรรมอันใดคะ? ขนาดเคยให้จุดธูปสาบานยังกล้าผิดคำสาบานเลย

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๐

ดังตฤณ: 
ถ้าคุณกลัวคำสาบาน ก็อย่านึกว่าคนอื่นเขาจะกลัวตามสิครับ ความจริงก็คือคำสาบานไม่ได้ทำให้คนเรากลัวหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตอนตาเห็นเงิน หรือหูได้ยินคำยั่วยุ
         
สำหรับคนส่วนใหญ่ การไม่ได้ดี การไม่ได้รวย น่ากลัวกว่าคำสาบานนัก เพราะเห็นผลทันทีว่าอดอยาก และมีผลเป็นทุกข์ แตกต่างจากการผิดคำสาบาน ซึ่งไม่แน่ไม่นอนว่าจะให้ผลเมื่อใด เนื่องจากฐานที่แต่ละคนยืนอยู่ มีความสูงต่ำผิดกันกว่าน้ำแห่งบาปจะเอ่อขึ้นท่วมฐานที่กำลังยืน ก็อาจต้องรอกันข้ามปี หรือกระทั่งข้ามชาติไปเกิดใหม่เสียก่อน
         
กรรมที่ทำให้บริวารไม่ซื่อสัตย์ คดโกงหรือทำให้ทรัพย์สินพินาศ จะเป็นประเภทเคยผิดศีลข้อ ๒ ว่าด้วยการลักทรัพย์หรือฉ้อฉลทรัพย์ของผู้อื่นด้วยอุบายมิชอบ เมื่อมีอำนาจหน้าที่อันควรแก่การไว้ใจ กลับใช้อำนาจหน้าที่นั้นในการหาประโยชน์ส่วนตน หากเอาชนิดที่ให้ผลทันตาในชาติปัจจุบัน ก็คงประเภทขโมยเงินพ่อแม่บ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย แม้โตขึ้นจะเป็นคนซื่อ ก็อาจต้องรับผลที่ก่อไว้ในวัยเด็กได้เหมือนกัน
         
เท่าที่รู้จักนักธุรกิจมาจำนวนหนึ่ง ผมพบว่าพวกที่ถูกลูกน้องโกงมีมาก เอาเป็นว่าเกือบร้อยเปอร์เซนต์ก็แล้วกัน ซึ่งก็สอดคล้องกับความจริงที่ว่าคนในโลกหายากที่ซื่อ หายากที่ไม่เคยลักขโมย หายากที่ไม่เคยฉ้อฉลคดโกงเลยสักนิดเดียวทั้งในชาตินี้และชาติก่อน
         
นายจ้างที่ไม่เคยโดนลูกจ้างโกงผมว่าหายาก แต่จะหาง่ายขึ้น ถ้าเล็งพวกที่ไม่เคยโดนโกงแบบหนักๆ แค่โดนตอดเล็กตอดน้อย อันนี้เกิดจากกรรมเก่าที่มีใจซื่ออย่างต่อเนื่องได้เป็นชาติ ๆ ตลอดจนกรรมใหม่ที่เลี้ยงดูและปูนบำเหน็จให้ลูกน้องได้รางวัลตามความดีความชอบ ไม่ปล่อยให้เขาน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำดีเท่าไรคุณไม่เคยเห็น


ลูกจ้างดี ๆ ใจซื่อ ๆ นั้นหายาก แต่เรื่องจะง่ายขึ้น หากคุณคิดเลี้ยงเขาอย่างดี มีเมตตา ไม่ต่อว่าให้เจ็บใจกัน ความดีงาม ความใจเย็น และความปรารถนาส่งเสริมให้ลูกจ้างได้ดี  อาจเปลี่ยนคนเลวมากให้เลวน้อยลง หรืออาจเปลี่ยนคนเลวน้อยให้ดีขึ้น และกระทั่งอาจเปลี่ยนคนดีอยู่แล้วให้ดีที่สุด ขนาดที่คุณเองก็นึกไม่ถึงครับ

วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

นักวิทยาศาสตร์เชื่อกรรม (ดังตฤณ)

ถาม : อาชีพของผมเรียกได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ เมื่อหันมาเชื่อเรื่องกรรมวิบาก ก็มักได้รับคำถามจากคนรอบข้างว่าทำไมถึงเชื่ออะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ ผมควรตอบคำถามอย่างไรให้ดูเข้ากับความเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สุด?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙

ดังตฤณ: 
บอกพวกเขาไปเลยครับ ว่านักวิทยาศาสตร์มี ๒ แบบ คือ

๑) นักวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ คือพวกที่พยายามอธิบายว่า 'ทำไมมันเป็นอย่างนี้'

๒) นักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ คือพวกที่พยายามหาวิธีว่า 'จะให้มันเป็นอย่างนั้นได้ยังไง'

แทนที่จะบอกคนรอบข้างว่าคุณหันมาสนใจ 'กรรมวิบาก' ก็เพิ่มเกรดให้ตัวเองหน่อย เปลี่ยนเป็นพูดว่าคุณหันมาสนใจ 'ความจริงขั้นสูงสุดที่พุทธศาสนาท้าให้ไปพบ'

คุณจะยังคงความเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเต็มภูมิ นั่นคือคุณกำลังศึกษาอยู่ว่า 'ทำไมใจเป็นทุกข์' และ 'จะทำให้ใจพ้นทุกข์ได้อย่างไร' ด้วยการหาคำตอบทั้งสองแง่ คุณยังคงเป็นนักวิทยาศาสตร์ แถมเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ในทีเดียวอีกด้วย!

ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ คุณต้องยอมรับกับคนรอบตัวตามตรงว่าคุณยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านเป็นสุขกันเพียงใดเมื่อใจไม่ต้องทุกข์อีก แต่คุณรู้ว่าเพิ่งเริ่มเชื่อ ก็เกิดความหวังและความตั้งใจดีๆ ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นแล้ว

เมื่อโดนถามหาใบเสร็จ ว่าจะเอาอะไรพิสูจน์ให้เชื่อล่วงหน้าว่าทำได้จริง อันนี้คุณก็ต้องมองเข้ามาที่ใจตัวเอง ถ้าใจยังไม่จริง ยังไม่เอาจริง ยังไม่ทำจริง ก็ยอมรับไปตามจริงว่าคุณยังพิสูจน์ไม่ได้


คำตอบว่ายังพิสูจน์ไม่ได้ 'เพราะยังไม่ทดลองทำจริง' นั่นแหละ จะยังคงรักษาความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของคุณไว้ได้อย่างเที่ยงธรรมต่อไปครับ

วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฝันถึงดังตฤณ

ถาม : ฝันว่าคุณดังตฤณมาถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ เป็นฝันที่แจ่มชัดมาก อยากทราบว่าที่เห็นนั้นเป็นคุณดังตฤณ หรือภาคหนึ่งของจิตคุณดังตฤณจริงๆหรือเปล่า?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙

ดังตฤณ: 
ยิ่งผมเขียนหนังสือและบทความมากขึ้น ช่วงหลังก็ยิ่งได้รับคำถามทำนองนี้จากคุณๆมากขึ้นเช่นกัน ก็ขอให้คำตอบพร้อมข้อเท็จจริงไว้ ณ ที่นี้ในคราวเดียวนะครับ

ปรากฏการณ์ทางฝันนับเป็นเรื่องลึกลับชนิดหนึ่ง ที่พวกเราเผชิญกันอยู่ทุกคืน ประสบการณ์ ‘ฝันทั่วไป’ที่เกิดจากการก้าวลงสู่ความหลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น ทำให้คนส่วนใหญ่ตัดสินว่าความฝันเป็นคลื่นลมในหัวที่เหลวไหลไร้สาระ ไม่แตกต่างจากความฟุ้งซ่านไร้สติทั่วไป ขณะที่ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งเห็นความฝันเป็นช่องทางเชื่อมต่อกับต่างมิติ เช่น ขอดูเลขหวยงวดที่กำลังจะออก หรือติดต่อกับญาติที่เพิ่งตาย

แต่บางคนก็มีความสามารถพิเศษยิ่งกว่านั้น เช่น นักพยากรณ์ระดับโลกอย่างเอ็ดการ์ เคย์ (Edcar Cayce) ฝึกหลับเพื่อรู้นิมิตเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งหลายคำทำนายของเขาก็ถูกต้องตรงจริง มิฉะนั้นคงไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักประมาณน้องๆนอสตราดามุส

นอกจากนั้น ความฝันเป็นทางมาของผลงานแปลกใหม่ เช่น นักประพันธ์ขายดีข้ามชาติอย่างสตีเฟ่น คิง (Stephen King) ได้พล็อตเรื่องจากฝันระทึกในบางคืนของเขา คีตกวีนามอุโฆษอย่างนิโคโล แพกานีนี่ (Nicolo Paganini) ก็ได้งานเพลงชิ้นสำคัญมาจากการฝันว่าปีศาจสีไวโอลินให้ฟัง

ทุกวันนี้ฝรั่งนักเล่นฝันก็มีเทคนิควิธีใหม่ๆในการใช้ฝันให้เป็นประโยชน์ตามประสงค์ เช่น การฝึกมีสติรู้ตัวในฝันที่สมจริง (Lucid Dreaming) การฝันร่วมกัน (Mutual Dreaming) การใช้ฝันเพื่อเยียวยารักษา (Healing Dreaming) ฯลฯ จริงจังขนาดตั้งเป็นสถาบันวิจัยพัฒนากันใหญ่โตทีเดียว

สรุปว่าความฝันก็สำคัญไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ไม่ต้องเอาอะไรที่กล่าวมาข้างต้นเลยก็ได้ อย่างน้อยคุณคงเคยได้ยินข่าวโจรกลับใจมอบตัว เพียงเพราะฝันร้ายเห็นผีเหยื่อมาทวงแค้นทุกคืน หรือคุณอาจเจอมากับตัวเอง ประเภทต้องย้อนกลับไปหาคนรักเก่า เพียงเพราะทนอารมณ์พิศวาสแทบขาดใจในฝันหวานไม่ไหว หลายครั้งความฝันอาจเปลี่ยนวิธีที่คุณใช้ชีวิต หรือเปลี่ยนการตัดสินใจของคุณได้ จึงไม่ควรดูแคลน หรือมองว่าเป็นเรื่องเล็กที่สักแต่ผ่านไปชั่วคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝันเดิมๆที่เกิดขึ้นบ่อยๆ และจูงจิตให้ปักใจเชื่อว่านั่นเป็นโลกที่สองของคุณ

ยิ่งถ้าเป็นความฝันที่เกี่ยวกับการพัฒนาจิตวิญญาณ อันนั้นยิ่งต้องถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เพราะหมายถึงว่าคุณจะได้ใช้ชีวิตนี้เป็นประตูสู่ความพ้นทุกข์ หรือหลงวนติดกับอยู่กับวงจรลวงใจเดิมๆ เท่าที่ผมฟังมา นักปฏิบัติธรรมมากรายเล่าว่าตนเองได้วิธีฝึกจิตมาจากพระพุทธองค์หรือเทพพรหมที่มาสอนในฝัน ชาวบ้านธรรมดาหลายรายเปลี่ยนเป็นคนทรงเจ้าเพียงชั่วข้ามคืน โดยอ้างว่า ‘นายเก่า’ มาตามตัว และขอใช้ร่างเพื่อเป็นช่องทางให้ช่วยเหลือมนุษย์เพิ่มบารมี (หรือแปลอีกทีคือหาบริวารเพิ่ม)

ฟันธงกันแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ของพวกนี้มีครับ ที่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้อุปาทานไปเอง แต่ส่วนใหญ่โดนสะกดจิตหมู่ ช่วยกันสร้างอาณาจักรในฝันตามรูปแบบที่พากันปักใจเชื่อ แล้วก็เลยพากันฝันเห็นอะไรเหมือนๆกัน หรือคล้ายๆกัน หรือกระทั่งเหมือนได้ไปเจอและพูดคุยกันในอีกโลกหนึ่ง ทั้งที่จริงเป็นโทรจิตผ่านฝัน หรือผ่านภาวะสมาธิที่เชื่อมถึงกัน ซึ่งล้ำสมัยเหนือเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สายที่ว่าเร็วสุดขีดในปัจจุบัน เพราะในการสื่อสารทางจิตขณะฝันนั้นคุณจะเห็นภาพและเสียงเป็นสามมิติคมชัดไร้ที่ติ ในขณะที่เทคโนโลยีโลกเสมือนผ่านการสื่อสารไร้สาย ยังห่างไกลจาก พ.ศ. ๒๕๔๙ ไปหลายสิบปี

ฝันอันน่าติดใจบางเรื่องอาจดึงดูดให้หลายคนติดอยู่ใน ‘โลกใบที่สอง’ ซึ่งจิตสร้างขึ้นมาเองขณะหลับ พวกนี้อาจเกิดขึ้นได้น้อย เพราะอย่างที่บอกว่าคนเราไม่ค่อยเชื่อความฝันชั่วครู่ชั่วคราว แต่บางคนบทจะเชื่อขึ้นมาก็ถึงขั้นที่จิตสร้างฝันแบบเดิมให้เสพได้เกือบทุกคืนเลยทีเดียว พวกอารมณ์รุนแรง ความตั้งใจเด็ดเดี่ยวมากๆมักทำกันได้ครับ

เกริ่นเสียยาว ไม่ใช่อะไร อยากปูพื้นเสียก่อนว่าจิตขณะฝันไม่ใช่เรื่องเหลวไหลอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นจนเกินเลย เอาล่ะ! วกกลับมาตอบให้ตรงคำถามเสียที ขอแจงเป็นข้อๆนะครับ

๑) ความแจ่มชัดสมจริงของฝันไม่ได้แปลว่าฝันเป็นความจริงเสมอไป มันอาจหมายความว่าจิตของคุณนิ่ง มีคุณภาพ มีความสว่างเป็นกุศล เช่นบางคนอ่านหนังสือธรรมะเสร็จแล้วหลับทันที ก็อาจเกิดปรากฏการณ์ทางจิตได้หลากหลาย ขอให้ทำความเข้าใจว่า ‘เรื่องจริง’ ที่เกิดขึ้นแน่ๆคือจิตดีๆนั่นเอง ส่วนเหตุการณ์ในฝันไม่ต้องไปนับก็ได้ว่าจริงเท็จอย่างไร เพราะแก่นสารของชีวิตคุณอยู่ที่จิตเป็นกุศลหรืออกุศล เมื่อหลับด้วยกุศลจิตได้ก็น่าดีใจเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว

๒) คำแนะนำดีๆ ถ้าดีจริงและสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้มาจากฝันก็หาใช่ข้อน่ารังเกียจแต่อย่างใด หากเป็นกำลังใจให้คุณอยากบำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมี หรือกระทั่งภาวนาบารมี ก็ถือว่าเป็นนิมิตมงคลอันประเสริฐสำหรับตัวคุณเอง ต่อให้คุณฝันว่าคุยกับม้าพูดได้ แล้วม้าให้ข้อคิดอันวิเศษ นำไปใช้ได้จริง เชื่อม้ามันเสียหน่อยก็ไม่เสียหายหรอก ยิ่งถ้าฝันว่าคุยกับคน ก็คงไม่น่าประดักประเดิดที่จะนำมาพิจารณาบ้าง

๓) ผมไม่เคยส่งตัวเองเข้าไปในฝันของคนที่ไม่เคยพบหน้ากัน ฉะนั้นสิ่งที่คุณเห็นในฝันไม่ใช่ ‘ตัว’ ของผม ในขณะที่คุณเห็นผมคุยด้วย ผมอาจกำลังนอนหลับสนิท อาจกำลังนั่งสมาธิเพลินๆ หรืออาจกำลังยืนบิดเอวแก้เมื่อยจากการทำงานหลังขดหลังแข็งอยู่ก็ได้

๔) หากพบว่าสิ่งที่ผมพูด ไม่ใช่อะไรที่คุณเคยได้ยินจากใคร ไม่ใช่กระทั่งข้อเขียนต่างๆของผมในโลกความจริง อันนี้มีความเป็นไปได้หลากหลายครับ แต่ที่น่าจะเป็นมากกว่าอย่างอื่น คือจิตของคุณเองคุยกับตัวเอง โดยเอาผมไปเป็นหุ่นแทนอีกภาคหนึ่งของคุณ

ข้อสุดท้ายนี้ต้องขยายความ และถ้าจะจาระไนกันจริงๆก็คงได้เนื้อความหลายสิบหน้า เอาเป็นว่า ณ ที่นี้พูดแค่สั้นๆว่า เนื้อความทั้งหมดที่คุณอ่านจากหนังสือหรือข้อเขียนใดๆของดังตฤณ ล้วนแล้วแต่ไหลมาจากจิตของผม เมื่ออ่านบ่อยหน่อยถึงจุดหนึ่ง ก็อาจกล่าวว่าคุณสัมผัส ‘กระแสจิตของผม’ ได้

หลายคนอาจรู้สึกเหมือนคุยกับผมต่อหน้าต่อตากันมานาน สะสมแนวคิดและมุมมองของผมไว้ไม่น้อย อันนั้นก็เข้าไปเป็นข้อมูลที่จิตของคุณหยิบจับมาปรุงต่อได้พิสดารสารพัด บางคนเห็นผมตอบคำถามไขข้อข้องใจในฝันได้เป็นฉากๆ ตื่นขึ้นมายังจำได้สนิท นั่นก็เป็นความฉลาดทางจิตของคุณเอง เป็นปัญญาที่เกิดจากการสั่งสมความสว่างและแง่คิดตามจริง

เมื่อใดจิตมีคุณภาพ พร้อมจะมีเหตุผล พร้อมจะรู้เห็นโลกตามจริง เมื่อนั้นจิตย่อมมีคำตอบแก้ข้อสงสัยให้ตัวเองได้เสมอ อาจด้วยการหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกันตลอดสาย

ความฉลาดขณะหลับฝันนั้น เป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครค้นคว้าวิจัยกัน แต่บอกได้อย่างหนึ่ง คือถ้าก่อนหลับคุณสั่งสมกุศลอันเป็นธรรมชาติสว่างไว้มาก ฝึกที่จะมองและยอมรับชีวิตตัวเองตามหลักกรรมวิบาก ตลอดจนฝึกที่จะมองและรู้เห็นกายใจตนเองโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เมื่อลงสู่ความหลับอย่างมีสติ คุณอาจพบขุมทรัพย์ทางวิญญาณอันล้ำค่า

ในอีกทางหนึ่ง เพื่อให้คำตอบครอบคลุมความจริงทั้งหมด ผมอยากช่วยยืนยันว่าบางกรณี มีครูบาอาจารย์ หรือมีเทพมาเข้าฝันได้จริงๆ กลทางจิตไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับผู้ทรงฌาน คือแค่กำหนดดูวาระจิตอันเป็นปัจจุบันขณะของคนที่ต้องการติดต่อ และรู้ว่าเขากำลังอยู่ในสภาพ ‘พร้อมจะเห็นนิมิต’ อย่างเช่นกำลังหลับไหล หรืออย่างเช่นกำลังเข้าสมาธิได้สว่างนิ่ง ผู้ทรงฌานก็เพียง ‘เชื่อมต่อ’ จากจิตถึงจิตด้วยการนึกว่าจะให้เขาเห็น คงคล้ายกับที่คุณแอบย่องมาข้างหลังใครแล้วเพ่งนึก เหมือนสะกิดให้เขารู้สึกถึงการมาของคุณ หันมาเห็นคุณนั่นแหละ เพียงแต่อำนาจจิตขั้นสูงจะทำได้ยิ่งกว่า ‘สะกิดให้รู้สึก’ เยอะ

เมื่อกล่าวว่าเป็นไปได้จริง ก็ขอกล่าวในอีกทางหนึ่ง คือกรณีของเรียนรู้วิธีฝึกจิตหรือปฏิบัติธรรมจากในฝัน เช่นเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระชื่อดังรูปใดมาสอน อันนั้นผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องปลอดภัยนัก เพราะโอกาสเสี่ยงไปเข้าทางมิจฉาทิฏฐิ มีสูงกว่าเข้าทางสัมมาทิฏฐิ จากที่ฟังคำให้การของผู้เรียนกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ในฝัน ปรากฏว่า ๙ ใน ๑๐ เป็นอุปาทานเข้าข้างตัวเองที่ไม่รู้ตัว หรือแม้จะเจอ ‘ของสูงมาจริง’ ก็หาใช่นำไปสู่ความพ้นทุกข์เด็ดขาด แต่จะมาชวนให้ไปเป็นบริวารของท่านเสียมากกว่า

ยกตัวอย่างเช่นครูบาอาจารย์ในฝันมักเริ่มต้นด้วยการแนะนำให้รู้จักกับนิพพาน ส่วนใหญ่จะเห็นเหมือนแดนสุขาวดี มีปราสาทวิมานแก้ว มีดอกบัวสะพรั่ง มีบรรยากาศสงบเยือกเย็นน่าเป็นสุขเหลือประมาณ หรืออีกทีก็เห็นว่านิพพานเป็นอวกาศ มีตัวเองลอยเท้งเต้งอยู่อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ตื่นขึ้นมาแล้วบ่นอุบว่านิพพานไม่เห็นมีอะไร น่าเบื่อจะตาย ผมฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจครับ พวกที่เชื่อว่าตนมีเทพพรหมมาโปรดถึงในฝันนั้น พูดบอกหรือชี้แจงให้เข้าใจยาก เนื่องจากหลงนึกว่าตัวเองมีดีเหนือมนุษย์เสียแล้ว

ถ้าจะเรียนกรรมฐาน ขอแนะนำให้เรียนกับครูบาอาจารย์ที่มีชีวิต มีความสามารถแสดงเหตุผล และคุณสามารถนำไปสอบเทียบกับพระไตรปิฎกได้ ว่าถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนเพียงใด วันหนึ่งเมื่อคุณรู้จักนิพพาน คุณจะรู้ว่าไม่มีรสอะไรเหนือกว่านั้นอีกแล้วจริงๆ และนิพพานก็เป็นสิ่งที่สัมผัสรู้ได้ด้วยจิตขณะตื่นเต็ม ไม่ใช่ต้องหลับฝันหรือพึ่งบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเสียก่อน จิตอันบำเพ็ญบารมีครบพร้อมแล้วนั่นแหละ ที่จะพบว่านิพพานอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขอแค่มองชีวิตจริงให้ถูก มองชีวิตจริงให้เป็นเท่านั้น


หลังจากอ่านคำตอบจบ คืนนี้คุณอาจฝันเห็นอะไรต่ออะไร ก็ขอแนะนำไว้ล่วงหน้า ว่าให้ถือเป็นกำลังใจ แต่อย่ายึดไว้เป็นอุปาทานนะครับ

ไม่ยุ่งกับผู้หญิงแล้วเบี่ยงเบนทางเพศจริงหรือ (ดังตฤณ)

ถาม : ความเชื่อที่ว่าการไม่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง จะทำให้เกิดความหญิงเบนทางเพศนั้น เท็จจริงเป็นอย่างไรครับ? หลังๆมีพูดถึงกันมาก เมื่อข่าวฉาวของอลัชชีจะออกไปในทางชายกับชายยิ่งกว่าแบบชายกับหญิงเสียอีก และอยากทราบด้วยว่าคนที่ไม่ได้ผิดศีลผิดธรรม มีภรรยามีลูก บางคนเหตุใดจึงแต๋วแตกได้ในภายหลัง ถ้ากรรมเก่าจะส่งผลก็ควรเห็นตั้งแต่ก่อนมีลูกมีเมียไม่ใช่หรือ?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙

ดังตฤณ: 
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าอวัยวะแห่งบุรุษ กิริยาท่าทางแห่งบุรุษ วาจาแห่งบุรุษ ตลอดจนสำนึกคิดอ่านเยี่ยงบุรุษนั้น หาใช่เกิดจากการขยันมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาบ่อยๆ หรือหมั่นใช้ความเป็นชายบนหลายเตียงกับหญิงหลากหน้าด้วยความห้าวหาญชาญชัย ตรงข้าม ยิ่งมักมากในกามคุณเท่าไร รูปชีวิตโดยรวมก็จะยิ่งอ่อนแอปวกเปียกลงเท่านั้น

การหมกมุ่นในกามก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าไร้กำลังวังชา เป็นที่มาของความอิดโรย ความอิดโรยนั่นเองเป็นที่มาของความรู้สึกว่าตนเป็นผู้มีกำลังน้อย ความรู้สึกว่าตนเป็นผู้มีกำลังน้อยนั่นเองเป็นที่มาของการอยากพึ่งแรงคนอื่น การอยากพึ่งแรงคนอื่นนั่นเองเป็นที่มาของความรู้สึกแบบหญิง ความรู้สึกแบบหญิงนั่นเองเป็นที่มาของการติดในภพสตรี การติดในภพสตรีนั่นเองเป็นที่มาของสภาวะแห่งสตรี ทั้งอวัยวะ ท่าทาง น้ำเสียง และความคิดอ่าน

สรุปคร่าวๆว่าถ้า 'มากไป' ก็เป็นเหตุแห่งการถ่ายเทสูญเสียความเป็นชายออกไป แต่ในทางตรงข้าม ถ้ายังใช้ชีวิตคู่แบบ 'น้อยไป' ก็อาจนำมาซึ่งความไม่สมชายเช่นกัน เป็นต้นว่าทำการบ้านไปแกนๆ หรือ 'ตัวเล็ก' จนโดนแฟนดูถูกให้เสียใจหรือหมดความเชื่อมั่นภาวะบุรุษเพศ เหล่านี้เมื่อสั่งสมเป็นความทุกข์ทวีมากเข้าถึงจุดหนึ่ง ก็อาจมีความเบี่ยงเบนทางเพศได้

ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักษาความเป็นชาย หรือเพิ่มดีกรีชาตรีให้เข้มขึ้นได้ ทางหนึ่งก็มาจากการใช้ชีวิตคู่อย่างดีไม่เสียสมดุลไป เช่นเป็นผู้มีกามกรีฑาหรือชั้นเชิงในกามแบบที่เป็นผู้นำ เป็นผู้ทำความพอใจให้เกิดขึ้นได้สำเร็จทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญคือเป็นผู้มีสติ ไม่ตามใจตัวเอง รู้จักประมาณ ตลอดจนไม่สำส่อน

การมีสติ ไม่หลงตื่นเพริดมัวเมาในรสสตรีเกินไปจะรักษาจิตและหน้าตาไว้ไม่ให้หม่นหมองเสียราศี การคงความสว่างหนักแน่นไว้ได้ ไม่ถดถอยลงสู่ภาวะอ่อนแอ คือฝักฝ่ายของบุรุษ

การไม่ตามใจตัวเอง รู้จักเป็นผู้คิดถึงความสุขของผู้อื่น สะท้อนให้เห็นจิตใจที่เหนือกว่า และมีดีจะให้ นั่นเป็นฝักฝ่ายของบุรุษอีก

การรู้จักประมาณ ไม่มากหรือน้อยเกินไป จะรักษาสมดุลของความเป็นชายไว้ไม่ให้พร่องไป กับทั้งไม่ขาดการบริหารเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ชีวิตคู่ นั่นก็เป็นฝักฝ่ายของบุรุษเช่นกัน

การไม่สำส่อน จะทำให้จิตตรง มีใจเดียว อารมณ์เดียว ไม่แส่ส่ายมักมาก ไม่ฟุ้งซ่านอยากเปลี่ยนไปอยากเปลี่ยนมา นั่นก็เป็นฝักฝ่ายของบุรุษที่สำคัญยิ่ง (แต่ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่เป็นตรงข้าม คือหลงนึกว่ายิ่งอีหนูมากแปลว่าหญิงเก่ง)

ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตคู่ดังกล่าว จะก่อให้เกิดภาวะจิตใจแบบชาย คือแข็งแกร่ง หนักแน่น เป็นหนึ่ง ไม่เหลาะแหละเหลวไหล แต่หากเป็นตรงข้าม ก็จะไหลลงสู่ภาวะจิตแบบสตรีเพศไปแทน ฉะนั้นจะคำนึงแค่เรื่องรักษาศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารอย่างเดียวอาจไม่พอ แง่มุมแบบโลกๆก็ต้องนำมาคำนึงด้วย

เฉกเช่นนักกีฬาตัวฉกาจ พรักพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ก็ย่อมรักษาหรือเพิ่มพูนความเป็นชายให้แกร่งได้ยิ่งๆขึ้น ผิดกับนักกีฬาที่ดูถูกตัวเอง แถมโดนแฟนใช้ขวานในปากถากถางจนเกิดปมด้อยสาหัส พออ่อนแอระทดระทวยหนักเข้า ในที่สุดใจก็หาทางออกเป็นการเบี่ยงเบนทางเพศไปเสีย กลายเป็นแต๋ว หรืออยากลองทำตัวเป็นเกย์ดูบ้าง อันนี้ ไม่ใช่เพราะเขากำหนดใจให้อยากหรือไม่อยาก แต่เป็นเพราะโดนบีบคั้นให้รู้สึกอยากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่าถ้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเลยหรือห่างผู้หญิงนานๆเป็นสิบปี จะเบี่ยงเบนทางเพศได้ไหม? คำตอบคือไม่จำเป็นต้องเบี่ยงเบนหรอกครับ เพราะรากของความเป็นชายอยู่ที่จิต อยู่ที่วิธีคิด วิธีพูด และวิธีทำตัว หาใช่อยู่ที่วิธีการมีเซ็กซ์แต่อย่างใด

คิดอย่างชายเป็นอย่างไร? คิดเสียสละ คิดซื่อ คิดสะอาด คิดอย่างมีสติ คิดอย่างมีจุดหมาย คิดอย่างมีหลักเกณฑ์ คิดอย่างมีอุดมการณ์ คิดอย่างมีเหตุผล คิดรับผิดชอบ คิดในทางที่ถูกที่ชอบอย่างแน่วแน่ คิดตัดสินใจแล้วไม่โลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

พูดอย่างชายเป็นอย่างไร? พูดประนีประนอม พูดประสานประโยชน์ พูดให้เกิดความสุขไม่เชือดเฉือนเหน็บแนม พูดตรงกับความจริง พูดตรงกับใจ พูดด้วยเหตุผลเหนืออารมณ์ พูดชัดถ้อยชัดคำไม่อ้ำอึ้งติดอ่าง พูดเต็มประโยคไม่ค้างคา พูดต่อหน้าชุมชนได้โดยไม่ขัดเขินขวนอาย

ทำอย่างชายเป็นอย่างไร? เดินเหินองอาจไม่เซื่องซึม ออกหน้าปกป้องคนอื่นไม่แอบอยู่ข้างหลัง ไม่เอาเปรียบทางเพศ ไม่สำส่อนเหลวแหลก ไม่ต่อสู้ด้วยวิธีลอบกัด

เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องตามนี้ ก็จะหันกลับมามองเซ็กซ์เป็นเรื่องเล็ก เซ็กซ์เป็นเพียงวิธีแสดงออกตามสัญชาตญาณทางเพศ ว่าฉันเหนือกว่าเธอ (โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำไมจึงมามีสภาพเหนือกว่าเธอๆทั้งหลายได้) เซ็กซ์เป็นแค่กีฬาเอาไว้บริหารความเป็นชายให้สมส่วนตามคติของโลก แต่วิธีคิด วิธีพูด วิธีทำด้วยใจหนักแน่นเป็นกุศลนั่นแหละ ต้นตอแท้จริงของความเป็นชาย

ถ้าไปรับความเชื่อที่ว่าไม่มีเซ็กซ์แล้วต้องกลายเป็นแต๋ว ป่านนี้พระทั้งหลายคงเบี่ยงเบนทางเพศกันหมด แต่ความจริงนั้นเป็นคนละขั้วเลยครับ พระปฏิบัติดี มีความขวนขวายประพฤติพรหมจรรย์ ครองตัวบริสุทธิ์ ปลอดจากเรื่องทางเพศแม้ด้วยความคิด ยังดำรงสภาวะความเป็นชายไว้ได้ครบถ้วน แถมเป็นปกติเสียยิ่งกว่าคนทางโลกเสียด้วยซ้ำ

ที่คุณเห็นคนโกนหัวแกล้งนุ่งเหลืองบางคน ประพฤติตนฉาวโฉ่ จับเณร จับเด็กวัดมาทำอนาจารนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะห่างผู้หญิงแล้วเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศหรอกครับ แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ครองพรหมจรรย์ด้วยความสำรวม ถือไม่ครบแม้กระทั่งศีล ๕ ไม่ทำสมาธิ ไม่เดินจงกรม ไม่กำหนดใจรู้ตามจริงตามหลักวิปัสสนา เอาแต่ปล่อยตัวทอดหุ่ย กระทั่งใจแส่สายฟุ้งซ่านไปในเรื่องทางโลกทั้งวันทั้งคืน ไหนจะยศ ไหนจะลาภสักการะ ล้วนแต่เครื่องกระตุ้นโลภะอันเป็นลูกพี่ใหญ่ของราคะทั้งสิ้น ในที่สุดก็อดไม่ได้ ตบท้ายด้วยพฤติกรรมซ่อนเร้นทางเพศยามลับตาคน

ผู้ชายมีความกลัดมันเป็นทุนติดตัวอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลามันจุกอก ไม่มีความสุขอันเกิดจากการปฎิบัติธรรมมาช่วย ก็ไม่พ้นต้องช่วยตัวเองในห้องน้ำ ก่อให้เกิดความละอายแรง ต้องปกปิดมิดชิดยิ่ง ภาวะอับอายต้องซ่อนเร้นอย่างหนักนั่นเองที่เข้าทางภาวะสตรีเพศ

เมื่อความรู้สึกผิดดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง ผันแปรเป็นความด้านชา เรื่องทางเพศก็ย่อมปรากฏเหมือนไม่มีผิดไม่มีถูก มีแต่หาช่องเข้าทางไหนได้ก็เอาทั้งนั้น


การเบี่ยงเบนทางเพศที่เกิดขึ้นขณะห่มผ้าเหลืองนั้นเป็นไปได้เร็ว เป็นไปได้แรงกว่าคนปกติธรรมดา เพราะการออกบวชถือเป็นการตกลงกับชาวบ้าน ว่าจะปฎิบัติธรรมนำความหลุดพ้นมาเผื่อแผ่แก่โลก เป็นมหากุศลใหญ่ที่มีพุทธศาสนาอันประเสริฐเป็นฐานหนุน ดังนั้นข้อวัตรปฏิบัติที่ตรงย่อมดัดจิตให้ตรงยิ่ง แต่ในทางกลับกัน ข้อวัตรปฏิบัติที่บิดเบี้ยวย่อมดัดจิตให้เบี้ยวบิดอย่างแรงเช่นกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แรงบันดาลใจ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน เล่ม ๑๑ (ดังตฤณ)

เมื่อคุยกับต่างคน ผมก็ได้รับคำถามที่ต่างไป อย่างเช่นถ้าคุยกับนักเขียนด้วยกัน คำถามที่ได้รับมักจะออกทำนอง 'เขียนธรรมะอย่างไรให้น่าสนใจ'

คำตอบที่ฟังง่ายแต่อาจทำได้ยากในช่วงเริ่มฝึก มีดังนี้

๑) เขียนในสิ่งที่คนอยากรู้

อย่าลืมว่าประเด็นของโจทย์คือ 'เขียนอย่างไรให้น่าสนใจ' ฉะนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญกับคะแนนความน่าสนใจของเนื้อหาเป็นอันดับต้นๆ ความน่าสนใจนั่นแหละบันไดขั้นแรกสำหรับมือใหม่

ถ้าคุณรู้อะไรแล้วอยากพูดหมดแบบไม่เลือกเลย คนอาจจะแค่รับรู้ว่าคุณรู้อะไรบางอย่าง 'มากกว่า' เขา แต่ไม่ใช่รู้ 'ดีกว่า' เขา เพราะอย่างน้อยคุณก็แยกไม่ออกว่าทั้งหมดที่คุณรู้นั้น มีอะไรบ้างที่เป็นส่วนสำคัญน่าเก็บไว้ มีอะไรบ้างเป็นส่วนเกินน่าทิ้งไป

สิ่งที่คนอยากรู้และควรเก็บไว้ในความจำ จะปรากฏในรูปของคำถามซึ่งคุณได้ยินบ่อย คนเราเต็มไปด้วยความสงสัย ถ้าคำถามข้อไหนคนส่วนใหญ่สงสัยใคร่รู้กันมากก็นั่นแหละครับ สิ่งที่คนสนใจ

๒) เขียนถึงสิ่งที่คนทำได้จริง

นักเขียนมีหลายแบบ ทั้งแบบที่เป็นเสือกระดาษ และทั้งแบบที่เป็นเสือสนาม ระยะสั้นคุณอาจแยกไม่ออกว่าใครเป็นเสือแบบไหน แต่ในระยะยาวคุณจะพบความต่างหลายแง่หลายมุม และแง่มุมที่สำคัญสูงสุดเห็นจะเป็นเรื่องการปฏิบัติตามได้จริง

ต่อให้คุณเขียนสวยหรู สำนวนโวหารเลิศลอยปานเทพลิขิต ก็คงได้แต่ช่วยให้คนอ่านเกิดจินตนาการเคลิบเคลิ้ม เอาไปทำจริงไม่ได้สักข้อเดียว อย่างดีในที่สุดธรรมะของคุณก็จะเป็นธรรมะขึ้นหิ้ง ไม่ใช่ธรรมะเพื่อการดับทุกข์ตามแบบฉบับดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า

ทั้งนี้ทั้งนั้น เสือใหญ่ในภาคสนามจริงบางรายเขียนไม่เก่ง แม้รู้มาก ประสบการณ์มาก ทำจริงได้มากกว่าใคร ถ้าเขียนไม่เป็นหรือขี้เกียจเขียนเสียอย่างเดียว ก็อาจดูด้อยกว่าพวกเสือกระดาษเก่งๆมาก ตรงนี้ขอตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยนะครับ การห่อหุ้มเรื่องยากไว้ด้วยเรื่องสนุกอ่านง่ายนั้น เป็นงานศิลป์ที่นักเขียนทุกคนควรฝึก ห้ามมีข้ออ้างเกี่ยงงอนใดๆทั้งสิ้น อย่ามาบอกแบบหยิ่งๆว่าฉันนี่แหละตัวจริงของจริง ถ้าเขียนแล้วไม่เชื่อหรือไม่เข้าใจก็ช่วยไม่ได้ เชิญแห่ไปหาของปลอมกันเอาเอง เพราะคิดแบบนี้พูดแบบนี้ คนร่วมสมัยจึงหาของจริงที่อ่านง่ายได้น้อย แต่จะเจอของจริงอ่านยากหรือของปลอมอ่านง่ายกันแทน

หลังจากเขียนเรื่องใดเสร็จ ขอให้อ่านดูแล้วถามตัวเองง่ายๆว่าถ้าคุณเป็นคนอื่นคุณจะเสียเวลาทนอ่านไหม? หากตอบว่าแน่นอนฉันจะอ่าน ก็ให้ถามตัวเองต่อไปว่าสิ่งที่เขียนน่าสนใจ เข้าขั้นทำให้ตาโตตั้งแต่บรรทัดแรก แล้ววางไม่ลงจนบรรทัดสุดท้าย หรือแค่น่าสนใจระดับอ่านก็ได้ไม่อ่านก็ดี

ผมเป็นคนมีความไม่พอใจในงานเขียนของตัวเองสูงมาก ตั้งแต่เริ่มๆหัดเขียนมาจนกระทั่งบัดนี้ทีเดียว ทางหนึ่งที่เป็นเครื่องฝึกหัดขัดเกลาก็คือคิดคำให้สั้นเพื่อได้ความสำคัญกระทบใจ หรืออย่างน้อยต้องให้รู้สึกว่าตัวเองได้หยุดชะงักคิดบ้าง สอนตัวเองให้ดีขึ้นได้บ้าง ตัวอย่างคือสิ่งที่คุณเห็นท้ายเล่มนี้ เป็นวาทะคิดใหม่เพื่อรวมให้อ่านโดยเฉพาะ ไม่ได้ลงไว้ในนวนิยายหรืองานเขียนอื่นที่ไหนเหมือนอย่างเล่ม 'วาทะดังตฤณ' ครับ


ดังตฤณ
สิงหาคม ๒๕๕๐


 อ่านบทความท้ายเล่ม http://dungtrinanswer.blogspot.com/2017/05/triamsabieng1145.html