วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บบทที่ ๒๑ สะกดจิต

บทที่ ๒๑  สะกดจิต

 อ่านบทความที่แล้ว


เช้าวันนั้น เกาทัณฑ์กับเรือนแก้วออกจากโรงแรมในย่านออร์เชิร์ดสตรีท ทอดเท้าเรื่อยเฉื่อยปะปนไปกับลูกจีนชาวสิงคโปร์ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เนื่องจากออฟฟิศของ เดวิด ชุน อยู่ห่างออกไปเพียงสามร้อยเมตรเท่านั้น

เช้านี้เรือนแก้วคมคายไปทั้งตัว เรือนผมหล่อนแสกกลางโหย่ง เห็นไรผมแหลมจิกกลางหน้าผากส่วนบนเก๋ไก๋ สูทสีน้ำตาลอ่อนเรียบกริบดูภูมิฐาน ท่วงทีแต่ละย่างก้าวประเปรียวเชื่อมั่นราวกับกำลังเดินแบบบนแคตวอล์คอวดความเฉิดฉาย เกาทัณฑ์สังเกตเห็นทั้งหนุ่มทั้งแก่บนฟุตบาทที่เดินสวนต่างเหลียวตามราวกับเจอมนต์สะกด เขาเองขนาดเห็นหล่อนมานานยังลอบชำเลืองเป็นพักๆเลย บางวันเรือนแก้วมีอำนาจเสน่ห์ดึงดูดความสนใจราวกับแม่เหล็กแรงสูง โดยเฉพาะขณะกำลังมาดมั่นเอางานเอาการอย่างเดี๋ยวนี้

ทั้งสองมาถึงก่อนเวลา และถูกเชื้อเชิญเข้าห้องทำงานของนายชุนทันที นายชุนยิ้มแย้มโอภาปราศรัยกับเรือนแก้วราวกับญาติสนิท เพราะเคยคุ้นกันมาก่อน และหล่อนก็พูดจีนกลางกับฝ่ายนั้นเป็นต่อยหอย เกาทัณฑ์กลายเป็นใบ้และหูหนวกไปโดยปริยาย เนื่องจากฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว จึงนั่งเป็นตัวประกอบ หรือพูดให้ชัดคือส่วนเกิน ฟังคู่สนทนาส่งภาษาหว่าๆเหวยๆไปเรื่อย

บางทีเรือนแก้วก็หัวเราะแฮะๆๆๆเหมือนเพื่อนเล่น และท่าทางนายชุนเจอมุขเด็ดเข้าไปหลายขนาน บางทีถึงกับหัวเราะจนตาปิด อย่างนี้ไม่ต้องรู้ภาษา เกาทัณฑ์ก็ทราบได้ว่าบทสนทนาทั้งหมดทั้งปวงห่างไกลจากการงานสุดกู่ เห็นนายชุนคึกคักกระชุ่มกระชวย ยิ้มไม่หุบจ้องเรือนแก้วตาเป็นมันอย่างกับหนุ่มละอ่อนแล้วชักนึกหมั่นไส้ขึ้นมารำไร

กระทั่งได้เวลานัด ผู้จัดการฝ่ายอีกคนก็เคาะประตูเดินทื่อราวกับผีดิบเข้ามาสมทบ และหลังจากทักทายเสวนากับเรือนแก้วได้เดี๋ยวเดียว ผีดิบก็เปลี่ยนสภาพเป็นปลากระดี่ได้น้ำตามนายชุนไปอีกราย เกาทัณฑ์ชินเสียแล้ว เสน่ห์น่าทึ่งของหล่อนนอกจากไม่หย่อนลง บางทีจะแรงขึ้นตามวัยและชั่วโมงบินด้วยซ้ำ

อพยพจากโต๊ะทำงานนายชุนไปนั่งที่ชุดรับแขก หันหน้าคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวด้วยภาษาอังกฤษ เพื่อให้ ‘ส่วนเกิน’ อย่างเขาเข้าร่วมวงได้

เรือนแก้วทำหน้าที่ได้อย่างวิเศษ หล่อนใช้ภาษาอังกฤษที่ไพเราะและชัดเปรี๊ยะไร้ที่ติในการปูพื้นเกี่ยวกับความพร้อมทั้งกำลังคนและเทคโนโลยีซึ่งถูกกับงาน จากนั้นค่อยๆผ่อนจังหวะ ถ่ายเทบทบาทด้านเทคนิคมาทางเขาทีละเปลาะ สร้างบรรยากาศเป็นกันเองให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งถึงเวลาที่ต้องฉายไฟล์สไลด์ด้วยมัลติมีเดียโปรเจ็คเตอร์ เกาทัณฑ์ต้องไปยืนชี้รายละเอียดหน้าสกรีน ความแรงของแสงกว่าหนึ่งพันแอนซีลูเมนส์จากเครื่องฉายทำให้ไม่ต้องหรี่ไฟห้องให้ต่ำลงกว่าเดิม ดังนั้นเมื่อมองเข้าหาโต๊ะประชุมจึงเห็นความเป็นไปอย่างถนัด ว่าพ่อเจ้าประคุณทั้งสองไม่ได้ให้สมาธิกับการฟังเขาบรรยายสักเท่าไหร่ เอาแต่แวะเวียนสายตาไปทางเรือนแก้ว บางคราวก็ทำทีสงสัย เขายืนอยู่ข้างหน้าทั้งคนไม่ถาม ไปถามเอากับสาวสวยนั่นแหละ พอเรือนแก้วอึกๆอักๆจะเบนมาถามเขาต่ออีกทอด ก็ทำเป็นโบกมือหัวเราะกลบเกลื่อน ซึ่งแปลว่าที่แท้ไม่อยากรู้คำตอบ หรือรู้แล้วแต่แกล้งถามเพราะอยากคุยด้วยเท่านั้นเอง

เสียสมาธิจากคนฟังผู้เป็นเป้าหมายไม่พอ บางทีถูกล่อตาจากกิริยายกเรียวขาไขว่ห้างอย่างแนบเนียนของเพื่อนร่วมงานสาวเข้าอีก ปุบปับชะวากลึกเห็นถึงไหนต่อไหน ทำเอาเขาพูดอยู่แทบอ้าปากค้าง ผู้หญิงเป็นเสียอย่างนี้ แกล้งยั่วให้อยากถลาใส่ พอเกิดเรื่องก็โวยวายโทษความหน้ามืดของเพศชายฝ่ายเดียว น่าอ่อนใจน้อยอยู่เมื่อไหร่

นายชุนนำไปเลี้ยงข้าวกลางวันในภัตตาคารหรูเกินเหตุ เกาทัณฑ์ทราบชัดเลยว่านั่นคือการได้กินบุญของเรือนแก้ว สองชั่วโมงเศษบนโต๊ะจีนแพงระยับนั้น เกลื่อนไปด้วยอาหารโอชารสชั้นอ๋องที่ทยอยมาจานแล้วจานเล่า เจ้าภาพใช้งบส่วนตัวด้วยความต้องการเอาใจหล่อนเพียงคนเดียว

ช่วงบ่ายแก่ๆ กลับมานั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับงานต่ออีกพักใหญ่ ทำวิเคราะห์เบื้องต้นให้เดี๋ยวนั้นทั้งยังไม่ตกลงเซ็นสัญญา เกือบหนึ่งทุ่มจึงจับมือเซย์กู๊ดบายกันได้ ทั้งเกาทัณฑ์และเรือนแก้วรู้สึกเหนื่อย แต่ก็สนุกพอควร เนื่องจากนี่เป็นงานช้าง และนายชุนบอกอย่างไม่เป็นทางการแล้วว่าโอเคแน่ โดยทิ้งท้ายด้วยการหยอดว่าขอให้เรือนแก้วประสานงานไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนโปรเจ็คต์ก่อนๆ

เห็นกันและกันเป็นสองแรงเสมอกัน ช่วยผลักดันให้งานสำเร็จอย่างงดงาม เกาทัณฑ์กับเรือนแก้วมานั่งชนแก้ว ทานข้าวเย็นในห้องอาหารของโรงแรมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แม้เคยเดินทางร่วมกันมาก่อน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่อยู่ในต่างประเทศตามลำพังสองต่อสอง

ช่วงแรกคุยกันเรื่องงานอย่างติดใจ แต่พอถึงเวลาของหวาน เรือนแก้วก็ยักคิ้วให้

“ว่าไง จะสะกดจิตแอ้คืนนี้เลยไหม?”

เกาทัณฑ์เบิกตา ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปแล้วอย่างสนิท เพราะนับแต่เครื่องบินย่างเข้าสู่น่านฟ้าสิงคโปร์ ในหัวมีแต่งานเท่านั้น

“อยากลองจริงๆน่ะเหรอะ?”

เขาย่นคิ้วถามยิ้มๆ

“จริงสิ แอ้โลเลเปลี่ยนใจง่ายเหมือนเต้เสียที่ไหน”

เรือนแก้วถือโอกาสเหน็บนิดเหน็บหน่อย เกาทัณฑ์แยกเขี้ยว

“ห้องแอ้หรือว่าห้องผมดีล่ะ?”

“ห้องแอ้!”



เกาทัณฑ์อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวมาอยู่ในชุดลำลอง ออกจากห้องพักขึ้นลิฟต์ กดปุ่มตรงไปสู่ชั้นของเรือนแก้ว

เมื่อย่างเท้าออกจากลิฟต์ เดินทอดน่องไปตามทางปูพรมสีเลือดนกอันเงียบเชียบนั้น เพิ่งใจเต้นผิดจังหวะ และถามตนเองว่าเป็นการสมควรแล้วหรือที่เขาจะเข้าหาหล่อนและอยู่ด้วยกันตามลำพังในยามวิกาล

พยายามไม่คิดอะไรให้มากนัก เที่ยวบินกลับกรุงเทพฯของเขาเป็นเวลาเช้าตรู่ของที่นี่ ส่วนของเพื่อนสาวเป็นช่วงเย็น เพราะหล่อนเตรียมแผนช็อปปิ้งต่อ หากเลื่อนไปเป็นเวลาอื่นในไทย ก็อาจได้สถานที่ที่ไม่เหมาะ ไม่เป็นข้ออ้างแบบผลพลอยได้เหมือนเมื่อมางานด้วยกันอย่างนี้

หยุดยืนหน้าประตูสีเหลืองอ่อนของห้องแรกปีกขวา สูดลมหายใจลึกๆ กำหนดจะรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร ก่อนยกมือเคาะเรียกเพื่อนสาวด้วยใจเกือบปกติ เงียบเป็นครู่ก่อนประตูจะแง้มเปิดเล็กน้อย เขาต้องเป็นฝ่ายดันออกกว้างเนื่องจากเรือนแก้วแง้มค้างไว้แค่นั้น

ก้าวเท้าล่วงเข้าสู่เขตส่วนตัวของหล่อน รู้สึกงงเคว้งขึ้นมาในหัววูบหนึ่ง สัญชาตญาณเก่าๆแวบเวียนมาเยือนเป็นระลอก บรรยากาศฉ่ำเย็นวังเวงในห้องพักโรงแรมหรูกับสาวสวยยวนตาไม่ค่อยจุดชนวนความคิดอันดีงามได้เท่าไหร่ สถานที่และสถานการณ์จริงไม่เชิญชวนให้นึกถึงการทดลองเล่นวิชาเช่นขณะคุยวางแผนกันตอนอยู่บนเครื่องบินหรือห้องอาหารเอาเลย

กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ สายตาตามร่างงามในชุดเสื้อยืดกางเกงยาวที่เดินไปหย่อนกายรอบนม้านั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สีหน้าหล่อนสงบเฉยขณะทอดมองมาทางเขา

ชายหนุ่มเกิดความลังเลว่าควรแง้มประตูไว้เล็กน้อยหรือปิดสนิท แต่แล้วเมื่อคิดถึงกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลัง ทว่าไม่ลงล็อก คือแค่ผลักบานประตูคืนที่ เพื่อสกัดกั้นใจจากความเห็นห้องนอนของเรือนแก้วเป็นเขตลับสนิท

แม้ทำไปด้วยเจตนาดี แต่ก็เกิดความสังหรณ์ขึ้นมาแปร่งๆ คล้ายมีเสียงกระซิบแว่วมาจากส่วนลึกบอกให้ล็อกเถิด ล็อกเถิด...

เดินมานั่งลงที่ปลายเตียงห่างจากหล่อนหลายก้าว พยักพเยิดไถ่ถาม

“เพลียหรือเปล่า?”

เรือนแก้วสั่นศีรษะ

“แปลกเหมือนกันนะ สงสัยตื่นเต้นมั้ง พออาบน้ำเสร็จรู้สึกสดชื่นยังกับเพิ่งตื่นเช้าแน่ะ เต้ล่ะ เหนื่อยไหม?”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะเช่นกัน

“มาเริ่มกันเลยดีกว่า”

เรือนแก้วลุกขึ้นในท่าพร้อมอย่างง่ายๆ

“จะให้นั่ง นอน ยืน หรือเดินยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าต้องห้อยหัวลงมาจากเพดาน”

เกาทัณฑ์หัวเราะ ก่อนมองรอบตัว

“มานอนบนเตียงมา”

ผายมือให้นิดๆ เรือนแก้วพยักหน้า มาหย่อนร่างเอนนอนราบบนอีกเตียงหนึ่งซึ่งอยู่คู่กับเตียงที่เขานั่ง เกาทัณฑ์คุมสติแน่น เริ่มสะกดตนเองเป็นคนแรกให้อยู่ในสถานะจิตแพทย์ใจซื่อ ลุกจากที่ เดินขึ้นมานั่งบนขอบฟูกหันหน้าเข้าหาเตียงของเรือนแก้วซึ่งเปรียบเสมือนคนไข้ทดลอง

“ก่อนอื่นมาตกลงเรื่องเป้าหมายกันก่อน ถึงทำเล่นสนุกๆก็ควรมีจุดกำหนดเอาไว้ ทั้งแอ้และผมจะได้ตั้งกรอบให้ตัวเองแต่แรก แอ้ไม่ใช่คนมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน นี่จึงไม่ใช่การรักษา เอาเป็นว่าผมพยายามทำให้แอ้รู้สึกดีกับตัวเอง คงพอนะ”

เรือนแก้วยักไหล่

“แอ้แค่อยากรู้ว่าถูกสะกดจิตเป็นยังไง เราเห็นอดีตตัวเองได้แค่ไหน และถ้า...เต้พบอะไรที่เป็นปม เป็นแผล หากมีวิธีบรรเทาลงได้ก็เชิญแสดงความสามารถเต็มที่ แอ้จะยินยอมตกอยู่ในอาณัติทุกประการ”

ฟังเช่นนั้นแล้วเกาทัณฑ์มีสติรู้ว่าในหัวเกิดความคิดชั่วร้ายแล่นวาบขึ้นมา เขาไม่เคยผ่านการอบรมแบบจิตแพทย์ ไม่เคยอยู่ในแล็บทดลองอย่างเป็นวิชาการ จู่ๆได้อำนาจโดยปราศจากการสร้างสมจรรยาแพทย์อย่างนี้ ประโยคสุดท้ายของเรือนแก้วจึงเป็นเสมือนแรงยั่วยุให้จินตนาการเตลิดล่วงหน้าสารพัด

เบนความสนใจจากร่างเหยียดนอนของหญิงสาว ปิดตาสำรวมจิตเพ่งสายลมหายใจเข้าออก อธิษฐานว่าถ้าใจยังไม่นิ่ง ยังวางอารมณ์ใคร่ไม่ลง ก็จะไม่ลืมตาขึ้นอีกเลย

เป็นธรรมดาของผู้มีตบะอันบำเพ็ญแล้วด้วยดี พูดจริงทำจริง ทำเสร็จ ทำสำเร็จเสมอ ย่อมมีกำลังหนุนอยู่ภายในดุจกลุ่มน้ำใหญ่ที่พร้อมจะเข้าท่วมทับข้าศึกทุกชนิด เพียงอึดใจเดียวเกาทัณฑ์ก็ลืมตาขึ้นอย่างสบายอก ทั้งกายอัดแน่นด้วยพลังมหาศาล รู้ชัดด้วยใจสำเหนียกในบัดนั้นว่าตนจะไม่หลงรี่ลงต่ำอีกเลยตลอดกระบวนการที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดนับจากนี้

เกาทัณฑ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงซึ่งถ่ายทอดออกมาจากจิตใจที่มั่นคงและเจตนาเกื้อกูลกัน

“หลับตาลง...”

หล่อนทำตามเขาสั่ง ในเบื้องแรกเกาทัณฑ์ทราบดีว่าจะใช้กลวิธีไหนก็ได้ทำให้ผู้ถูกสะกดอยู่ในภาวะสบาย ผ่อนพักที่สุด เพื่อให้ย่างเข้าสู่ความรู้ตัวครึ่งๆกลางๆ ฉะนั้นจึงคิดปูพื้นให้หล่อนเกิดฐานปัญญาเห็นรูปนามไปในตัว

“ดูตรงแผ่นหลังที่วางน้ำหนักราบอยู่นี้”

เขาสั่งสั้นที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าเกิดการรับรู้ตาม ครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ

“คิดว่ากายที่นอนอยู่คือโครงกระดูกเปล่าๆโครงหนึ่ง เราอาศัยพักอยู่ชั่วคราว สักแต่มีไว้เพียงให้ระลึกรู้ว่ายังปรากฏ”

ด้วยเพราะเรือนแก้วเคยเพ่งพิจารณาเห็นข้อมือและปลายแขนเป็นอนัตตามาก่อน จึงเข้าใจวิธีกำหนดหมายตามได้ง่าย และสิ่งที่เกาทัณฑ์หรือแม้แต่หล่อนเองไม่ทราบก็คือหล่อนมีพรสวรรค์ หรืออีกนัยหนึ่งวิถีรู้รูปนามติดจิตติดวิญญาณอยู่ ฉะนั้นเมื่อถูกกำหนดแนะให้ดูนิดเดียวก็คุ้นทางโดยง่าย ซึ่งอย่างนี้เป็นอาการของผู้เคยสั่งสมวิปัสสนาญาณมาแต่ปางก่อน

เพียงอึดใจเดียวหลังจากเรือนแก้วเพ่งดูส่วนหลังที่วางลงรับน้ำหนักส่วนใหญ่ของกาย ก็เห็นสัณฐานคร่าวของโครงกระดูกตนเองอย่างชัดเจน และเหมือนโพรงว่างระหว่างกระดูกช่วงไหปลาร้ากับซี่โครงเป็นแหล่งอาศัยของตัวรู้ นิ่งดูสัณฐานกายโดยรวม

ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของผู้มีบารมีมาทางนี้คือเมื่อเกิดความเห็นขึ้นแล้วจะรู้จักรักษาความเห็นไว้ด้วยความพึงพอใจ ไม่สงสัยกับนิมิตภายในที่เกิดขึ้น ฉะนั้นเกาทัณฑ์ผู้สังเกตสีหน้าของเรือนแก้วตลอดเวลา จึงเห็นความนิ่งอยู่ในอาการเล็งรู้อย่างรวดเร็วน่าแปลกใจ

เพิ่งมีโอกาสสังเกตคนอื่นทำสมาธิอย่างละเอียด แม้ดูภายนอกเหมือนสงบ แต่สัมผัสภายในก็บอกว่าจิตของเรือนแก้วยังไหว หาหลักยึดแน่นอนไม่ได้ เขานึกถึงอุบายที่เคยมีให้ตนเองคือเคาะนิ้วเพื่อสร้างผัสสะกระทบให้เกิดความรู้เฉพาะจุดถี่ๆ ซึ่งถ้าทำอย่างถูกต้อง จิตไม่หนีไปไหนครู่เดียว ก็เกิดการรวมลงสู่ภาวะสงบได้ระดับหนึ่ง

เขาทดลองแบบเหวี่ยงแหไปเรื่อย เคาะกับวัตถุนอกกายได้ความรู้ตัวแบบหนึ่ง เคาะหน้าตักตอนนั่งเล่นได้ความสบายแบบหนึ่ง เคาะหน้าผากตอนเครียดได้ความผ่อนคลายแบบหนึ่ง แต่พบว่าจุดกระทบซึ่งทำให้จิตรวมอย่างดี รวดเร็วที่สุด กับทั้งให้ผลเป็นความรู้พร้อมทั่วตัวที่สุด เห็นจะไม่มีอะไรเกินเคาะแผ่นกระดูกเหนือร่องอก

ชายหนุ่มตัดสินใจลองกับเพื่อนสาว โดยสั่งว่า

“ยกมือวางทาบอก ให้ปลายนิ้วกลางแตะอยู่กับกระดูกเหนือร่องอก”

เมื่อหล่อนทำตามแบบเก้ๆกังๆ เกาทัณฑ์สังเกตว่าส่วนใดเกร็ง ก็บอกเป็นจุดๆ เช่นให้วางราบทั้งมือบนอกและศอกบนฟูก กับทั้งไหล่ตกไม่ยกเกร็งแล้วบอกต่อ

“ขยับนิ้วเคาะขึ้นลงเบาๆ แต่เร็วนิดหนึ่ง เหมือนเคาะเล่นเพื่อให้รู้อาการขยับไหวของนิ้ว”

เรือนแก้วทำตาม ในความสบายตลอดกายใจนั้นรู้อยู่เฉพาะอาการขยับไหวขึ้นลงของนิ้ว เกาทัณฑ์สัมผัสได้ถึงกระแสความคิดฟุ้งที่แปรเป็นคลื่นเงียบ รวมรู้อยู่เฉพาะความขยับของลำนิ้วที่ปราศจากความเกร็ง

“เคาะไปเรื่อยๆนะ คราวนี้นอกจากรู้นิ้วขยับ ลองดูที่จุดกระทบด้วย แอ้จะไม่รู้สึกถึงอะไรอื่นเลยนอกจากนิ้วกระทบกระดูกป๊อกๆๆอยู่”

เมื่อจ่ออยู่กับกายกระทบ จิตก็เข้ามาอยู่ในขอบเขตของกาย เรือนแก้วเห็นตลอดตัวด้วยความแจ่มชัดอีกระดับหนึ่งเมื่อจิตอยู่นิ่งกับที่

เพลินนานพักใหญ่ เรือนแก้วก็หลงเคลิ้ม และหยุดขยับนิ้วเคาะไปโดยไม่รู้สึกตัว เกาทัณฑ์สังเกตอยู่แล้ว เพราะเคยผ่านจุดนี้มาก่อน หากปล่อยให้หลับก็อาจหลับเพลินยาวไปทั้งคืน แต่หากสะกิดให้ตื่นรู้ขึ้นอีกครั้ง ก็จะมีความไวสัมผัสราบรื่นสม่ำเสมอกว่าเดิม จึงเรียกเตือนเสียงแผ่วให้เรือนแก้วขยับเคาะต่อ

เมื่อสังเกตรู้สึกถึงโฟกัสของจิตที่คงเส้นคงวาดีพร้อม เกาทัณฑ์ก็ไม่ปล่อยให้จิตหล่อนดำเนินไปถึงความเคลิ้มหลับอีก แต่ส่งช่วงต่อมาถึงอารมณ์สมาธิที่จะจูงจิตให้เข้าสู่สภาพรู้พร้อมนิ่มนวลขึ้นกว่าเก่า

“แอ้นิ่งดีแล้วนะ หยุดเคาะ วางมือลงข้างตัว คราวนี้มาจับลมหายใจกันต่อ”

เมื่อเห็นหล่อนปฏิบัติตามโดยดีก็สั่งว่า

“ตอนหายใจเข้าให้พองหน้าท้องขึ้นก่อนแล้วค่อยดึงลมยาวๆสบายๆ เมื่อรู้ลมหายใจเข้า ให้คิดว่าเราสูดเอาความสดชื่นเข้าร่าง เพื่อพยุงความรู้ตัวให้เพิ่มขึ้น เมื่อผ่อนลมหายใจออก ให้คิดว่าเราระบายเอาความเครียด ความเหน็ดเหนื่อยทิ้งออกนอกร่าง”

เรือนแก้วสูดลมหายใจด้วยการตั้งความคิดตามเกาทัณฑ์บอก พบว่าเมื่อตั้งเจตนาเห็นลมหายใจเป็นพาหะนำความสดชื่นและพลังระลอกใหม่เข้าร่าง ก็เกิดความชุ่มฉ่ำกายใจขึ้นนิดหนึ่งได้จริงๆ

และเมื่อผ่อนลมหายใจออก เห็นเป็นการถ่ายเทเอาความเครียด ความอ่อนล้าออกสู่ภายนอก ก็ยิ่งมีความรู้สึกเป็นสุข ความสบายใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“อย่าปล่อยให้ความคิดไหนๆแทรกเข้ามาแทนที่ลมหายใจ ตอนนี้ไม่มีอะไรมีค่าเกินลมหายใจเข้า และไม่มีอะไรน่าสนใจเกินลมหายใจออก”

เขาตะล่อมตามจังหวะ คิดเอาจากการที่เคยกล่อมตนเองสำเร็จมาแล้วในการทำสมาธิปกติ สังเกตความสม่ำเสมอ และคอยเตือนเรือนแก้วเมื่อเห็นลมเบาลงหรือแรงขึ้นกว่าเดิม ต่อเมื่อดูเข้าที่เข้าทางแล้ว จึงดำเนินการขั้นต่อไป

“ค่อยๆสำรวจทีละส่วนว่ามีจุดไหนในร่างที่ยังเกร็ง ไม่ผ่อนพักตามสบาย ไล่จากส่วนหน้า...” เขาค่อยๆพูดทอดจังหวะทีละจุดให้เรือนแก้วส่งใจตาม “ส่วนคอ...ส่วนหลัง...ส่วนแขน...ส่วนขา”

หญิงสาวพบว่าส่วนหลังยังเกร็งอยู่บ้าง เมื่อรู้ตัวจึงหย่อนกล้ามเนื้อส่วนที่เกร็งลง เกาทัณฑ์สามารถรู้ได้ด้วยตาเปล่าว่าทั้งร่างหล่อนผ่อนพักเต็มที่แล้ว จึงตรวจดูความสม่ำเสมอของลมหายใจอีกครั้ง เมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง พบว่าผ่อนแผ่วลงอย่างที่จะนำไปสู่ภาวะใกล้หลับ ก็เตือนด้วยเสียงเนิบนาบ

“อย่าลืมว่าเวลาเข้าให้ขยายหน้าท้องพองขึ้นก่อน ลมหายใจจะได้เข้ามากกว่าปกติ”

เรือนแก้วกำลังอยู่ระหว่างเคลิ้ม เมื่อได้ยินเสียงก็กลับตื่นตัวรับรู้ลมหายใจใหม่ เสียงสั่งของเกาทัณฑ์กลายเป็นตัวกั้นไม่ให้จิตซัดส่ายสุ่มหาอารมณ์เอง ประคองให้พุ่งแน่วลงในลมหายใจเป็นหนึ่งเดียว รวมทั้งไม่เผลอไหลลงหลับ

ถึงจุดหนึ่งหญิงสาวเกิดความเพลินที่จะรับคำสั่ง เวลานั้นเริ่มถอยจากความเป็นตัวของตัวเอง แต่กลับเกิดศักยภาพที่จะรับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ใจทรงนิ่งอยู่กับฐานคือกายอันวางนอน เห็นความปรากฏของกายคงที่ พลังอันเกิดจากการเล็งรู้อยู่ตัวโดยไม่ต้องประคองมากนัก

เมื่อเกาทัณฑ์จับสังเกตสติของหญิงสาวนานไป ที่สุดก็เกิดสติ และจับเป็นขณิกสมาธิเองด้วย กระแสจิตเขายามนี้มีสภาพคล้ายผ้าอ่อนเนื้อแน่นที่พร้อมจะทิ้งตัวลงห่มคลุมสนิทแนบกับวัตถุใดๆที่ใจเจตนาเข้าจับ เรียกว่าบำเพ็ญสมาธิภาวนามาถึงขั้นอ่อนตัว พร้อมใช้งานดังประสงค์

สัมผัสพลังที่รวมกลุ่มเป็นอันเดียวในกายตน และเกิดความรู้ขึ้นมาเองว่าจิตที่เป็นสมาธิสามารถช่วยประคองคนอื่นได้ เช่นในขณะนี้เขาเกิดความเห็นอาการเป็นไปในหญิงสาวซึ่งยากจะอธิบายเป็นคำพูด เมื่อแลเห็นหล่อนดึงลมหายใจเข้าและผ่อนลมหายใจออกแล้ว เกิดการแปลความหมายขึ้นในหัวว่านั่นเป็นอาการลงตัวของสมาธิชนิดถูกสะกด ถูกจูงโดยผู้อื่น หากเขาบังคับกระแสในตนเข้าช่วยประคองกระแสในหล่อน ก็อาจทรงอยู่ได้นาน และสัมผัสรู้แผ่วๆคล้ายแตะตัวกันอยู่ด้วยปลายนิ้ว

หล่อนกำลังนิ่งในภาวะพร้อมถูกสั่งเต็มที่ เรือนแก้วให้ความร่วมมืออย่างดี จึงบังเกิดผลรวดเร็วขนาดนี้

“เอาล่ะแอ้ พูดกับผมนะ บอกซิว่าตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง”

เรือนแก้วนิ่งเป็นครู่ ก่อนขมุบขมิบปากพูดกับเขาตามปกติ

“มีความสุข เห็นร่างกายออกมาจากข้างในตลอดเวลา”

เกาทัณฑ์ย่นคิ้วเล็กน้อย เพราะคาดหมายว่าหล่อนจะพูดคล้ายละเมออยู่ในภวังค์ เขาเพิ่งมาเรียนรู้ว่าอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นในภาวะสะกดนั้น ครึ่งหนึ่งหลับ ครึ่งหนึ่งตื่นจริงๆ รับฟังได้ พูดและคิดตามได้เป็นปกติเกือบสมบูรณ์

ถึงขั้นนี้เขาต้องการให้หล่อนหมดจากความรู้สึกทางกาย เพื่อให้เหลือแต่จิตสว่างพร้อมฉายภาพนิมิตอย่างมั่งคั่งด้วยกระแสสติเหมือนฝันดี จึงสั่งว่า

“แอ้...คิดไปนะว่าเนื้อของเราเหลวลงนิดหนึ่ง” เว้นจังหวะเป็นครู่แล้วถามว่า “คิดได้ไหม?”

“ได้”

หญิงสาวตอบเกือบทันที เพราะความรู้สึกทางกล้ามเนื้อตลอดร่างมลายหายไปเกือบหมด เพียงคิดว่าเนื้อส่วนบนเหลวลงนิดเดียว

“คราวนี้...” เกาทัณฑ์สั่งต่อ “คิดว่าฟูกกับเนื้อเราละลายกลืนเป็นอันเดียวกัน”

หยุดเว้นดูท่าทีของหล่อน พลางส่งใจจับอาการทางกล้ามเนื้อทั่วกายหญิงสาวเท่าที่ตาเห็น

“ยังมีกายอยู่อีกไหมในความรู้สึก?”

“มี...มีลมหายใจเข้าออก”

เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าระดับลมหายใจของหล่อนยังค่อนข้างแรง จึงบอกไป

“ถูกแล้ว ลมหายใจจะยังอยู่กับเราเสมอ ต่อไปนี้เมื่อหายใจเข้า แอ้จะเห็นแสงสว่างเพิ่มขึ้นในตัวทีละน้อย ลมหายใจกับแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน”

พักนิดหนึ่ง เพื่อให้เรือนแก้วจินตนาการตามเฉพาะลมหายใจเข้า เมื่อเห็นระบายลมออกจึงมอบจินตภาพต่อมา

“ลมหายใจออกจะพาความรู้สึกในกายที่หลงเหลืออยู่ให้หมดลง เพราะลมหายใจออกกับความรู้สึกในกายเคยคลุกเคล้าเป็นอันเดียวกัน”

พอเขาเห็นหล่อนหายใจเข้าและผ่อนออกจนสุดในครั้งถัดมา ก็ถามทันที

“รู้สึกสว่างขึ้น และเหมือนกายหายไปไหม?”

“รู้สึก”

เรือนแก้วตอบราบเรียบ ริมฝีปากระบายยิ้มเล็กน้อย

“สนใจสายลมเข้าและแสงสว่างให้มากกว่านี้ แล้วจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ”

หญิงสาวจับคำพูดของเกาทัณฑ์ด้วยสติที่เปลี่ยนไปอีกรูปหนึ่ง ทุกสิ่งปรากฏขึ้นตามคำของเขาราวกับเป็นการบันดาลจากเวทมนตร์ ในหัวเรืองแสงสว่างไสวขึ้นจริงๆ คล้ายเกาทัณฑ์หมุนปุ่มเร่งนีออนรอบๆกายหล่อนได้

กว่าสิบครั้งของลมหายใจเรือนแก้วที่เกาทัณฑ์คุมด้วยคำพูดอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาอัตราเร็วและน้ำหนักลมให้คงตัว ในที่สุดหล่อนก็รายงานว่า

“สว่างเหลือเกินเต้...แอ้ไม่เคยเห็นใจตัวเองสว่างสวยเท่านี้มาก่อนเลย”

เกาทัณฑ์ซึ่งเป็นผู้ทำการสะกดเองก็กะพริบตาทึ่ง สัมผัสทางใจบอกว่าเรือนแก้วพบสภาวะที่น่าปีติชื่นใจจริงๆ เพิ่งซึมซับและตระหนักถึงอำนาจดลบันดาลจากปากตนว่าน่าอัศจรรย์ปานใด แม้คิดพูดตามอัตโนมัติตามที่เห็นควรเฉพาะหน้า ก็อาจให้ผลเกินความคาดหมายได้ขนาดนี้

“อย่าตื่นเต้น…” เขาบอกหล่อนทั้งที่ตัวเองนั่นแหละชักใจเต้นกับผลลัพธ์ “แสงสว่างและความสุขสบายนี้จะอยู่กับแอ้ตลอดเวลา แอ้สามารถรู้สึกได้ใช่ไหมว่ามันคงตัวอยู่อย่างนั้นโดยไม่ต้องบังคับ”

เรือนแก้วนิ่งไปนานเกือบครึ่งนาที ก่อนรายงานตามจริง

“แสงหรี่ลง...”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอเก้อๆ พยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะไม่ให้เสียความเชื่อมั่น คิดว่านั่นเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง เขาไม่ควรพูดตามอำเภอใจจนเกินไป ประเภทสั่งว่าจะให้คงอยู่ จะให้ตรึงสภาพไว้อะไรทำนองนี้ ทุกจุดมีจังหวะเฉพาะหน้าของตัวเองเสมอ

“ถ้าอย่างนั้นหายใจเข้าใหม่ดีๆ และคิดว่าเราดึงแสงเข้ามาทางลมหายใจ เรามีความอบอุ่นสบายใจเพิ่มขึ้นเพราะลมหายใจเข้านั้น”

เรือนแก้วหายใจยาวลึกกว่าปกติ พักหนึ่งก็ยิ้มแช่มชื่นออกมาอีก เกาทัณฑ์รับรู้ได้ว่านั่นเป็นอาการเฉียดสมาธิระดับที่มีปีติหล่อเลี้ยง ทว่าต่างจากสมาธิปกติคือหล่อนไม่อาจค้ำยืนโดยปราศจากการช่วยประคับประคองจากเขา

“ต่อไปนี้หายใจเข้าทุกครั้ง ให้แอ้คิดว่าเพื่อรักษาแสงสว่างในหัวให้คงที่นะ”

ปล่อยให้หล่อนหายใจอีกสี่-ห้าหนจึงถามใหม่

“แสงสว่างเป็นปกติดีไหม?”

“เป็นปกติ สดชื่นมาก...”

หญิงสาวยิ้มกว้างราวกับยืนสูดอากาศบริสุทธิ์บนผาสูงยามเช้าตรู่ เกาทัณฑ์จับตามองด้วยความพึงพอใจ สูดลมหายใจด้วยความสดชื่นตามไปด้วย เกิดความรู้สึกว่าตนประสพความสำเร็จอย่างงดงามในเบื้องต้นนี้

คล้ายเรือนแก้วเตาะแตะหัดเดิน เขาเป็นพี่เลี้ยงเบื้องหลังด้วยความจดจ่อ มีความนุ่มนวลอ่อนโยนเกิดขึ้นอย่างท่วมท้น

“ผมจะเริ่มให้แอ้ย้อนนึกถึงอดีตแล้วนะ ตั้งต้นกันที่จุดใกล้สุด ให้คิดว่าเราจะเห็นทุกสิ่งตามที่เคยเกิดขึ้นจริงเท่านั้น”

เมื่อเรือนแก้วเงียบพร้อม เกาทัณฑ์ก็สั่งแผ่วชัด

“นึกถึงตอนที่ได้ยินผมเคาะประตู ผมเคาะกี่ครั้ง?”

คล้ายเสียงก๊อก ก๊อกเกิดขึ้นในหัว หญิงสาวรายงานตามที่ระลึกได้

“สองครั้ง”

“บอกซิว่าแอ้ทำอะไรบ้างเมื่อมาเปิดประตูให้ผม”

หญิงสาวตรึกนึกทบทวน เริ่มจากจุดที่ตนเองนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนได้ยินเสียงเคาะประตู เบื้องแรกเหมือนศีรษะหล่อนเป็นถังแก้วที่บรรจุเต็มด้วยน้ำขุ่น เห็นภาพความจำไม่ถนัดนัก แต่ด้วยแรงดันของสมาธิที่เกิดจากการสะกด คล้ายน้ำในถังลดฮวบลงเผยให้เห็นภาพชัดสนิท ปราศจากสิ่งปกคลุมมัวมน นั่นเป็นการพลิกตัวของสมาธิจิตที่ระลึกภาพความจำ

ภาพที่เห็นในหัวปรากฏเป็นรูปทรงสัณฐานสองมิติคับแคบ แตกต่างจากของจริงที่เป็นสามมิติกว้างโล่งโดยรอบ ทั้งนี้เพราะภาพที่จิตฉายออกมายังผูกติดกับกายประสาทอันเป็นเสมือนเครื่องขัง เครื่องมุงบังในเขตแคบจำกัด

และแสงของจิตที่ปราศจากกำลังฌานสนับสนุน ก็ฉายตัวเพียงมลังเมลือง คล้ายอยู่ในห้องใต้ดินที่มีแสงสว่างลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างริบหรี่ ภาพนิมิตจึงปรากฏเป็นรูปทรงสีสันชัดเจนในเงาสลัว มิใช่ชัดเจนในแสงสว่างกลางแจ้ง

ด้วยความทรงจำอันสดใหม่ใกล้ปัจจุบัน เรือนแก้วเห็นตนเองกำลังนั่งสำรวจความพร้อมของหน้าตาในเงากระจก จำได้ถึงความกระวนกระวายนิดๆเพราะรู้ว่าใกล้เวลานัด และเกาทัณฑ์จะตรงเวลาเสมอ

เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น หล่อนดีใจหน่อยๆ ลุกขึ้นจากม้านั่ง หมุนตัวเดินมาทางประตู ตอนแรกภาพกระโดดๆน่าอึดอัดรำคาญ แต่พอใจคล้อยลงในภาพความทรงจำมากกว่าเก่า ก็เห็นต่อเนื่องราวกับเกิดขึ้นอีกครั้ง เรือนแก้วสนุกกับประสบการณ์แปลกใหม่นั้นมาก ก้ำกึ่งในความรู้ตัวว่านั่นเป็นอดีต คละกันกับความรู้สึกตัวบนเตียงนอนในปัจจุบัน

“แอ้ลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง เดินมาเปิดประตูให้เต้”

เมื่อหล่อนพูด ภาพชะงักค้างคล้ายเครื่องฉายหยุดเดินลงชั่วขณะ

“พอเปิดประตูแล้วแอ้ก็กลับมานั่งที่เดิม”

เกาทัณฑ์พยักหน้า

“ย้อนกลับมาตอนยังนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งใหม่ แอ้ก้าวเท้าแรกเป็นซ้ายหรือขวา”

เรือนแก้วคิดตาม แล้วเห็นตนเองย่างเท้าขวาออกเป็นก้าวแรก

“ขวา”

ชายหนุ่มพยายามให้หล่อนเจาะลึกลงไปในรายละเอียดรอบด้าน เพราะเห็นมีความสำคัญในอันที่จะทำให้ตัวรู้ตัวคิดทั้งหมดในอดีตย้อนกลับมา ให้ทบทวนแม้ความรู้สึกขณะยื่นมือไปสัมผัสลูกบิดประตู หรือกระทั่งเมื่อเท้าสัมผัสพรมในห้องขณะเดินไปเดินกลับ

“พอนึกถึงรายละเอียดอย่างนี้ทำให้ความเห็นชัดขึ้นไหม?”

ถามอย่างทราบอยู่แล้วเนื่องจากเคยปฏิบัติเองมาก่อน

“ชัดขึ้น”

“คราวนี้ย้อนนึกไปถึงเมื่อตอนเช้า เราเข้าห้องทำงานของนายชุน...”

เขาให้เรือนแก้วทบทวนบทสนทนา ซึ่งหล่อนเล่าได้อย่างถูกต้องละเอียดลออเป็นฉากๆ กับทั้งสามารถหัวเราะออกมาได้เบาๆกับบางถ้อยคำและท่าทางที่ออกรสออกชาติของตนเอง ด้วยเจตนาจะให้นายชุนนึกเอ็นดู

เมื่อเห็นกิริยาและได้ยินน้ำเสียงของตนเองด้วยใจที่กำลังสว่างนิ่งอยู่เหนือภาวะสามัญ บางทีก็คล้ายเป็นคนหนึ่งเฝ้าดูอีกคน ตลกชอบกล

เรือนแก้วไหลไปตามแรงดึงดูดของกระแสความทรงจำ บางจังหวะถึงกับตกใจที่สีสันและเส้นสายในภาพมีความคมชัดจนเชื่อสนิทว่าเป็นปัจจุบัน เพราะสำนึกของตัวตนที่นอนบนเตียงหายหนไปหมด หล่อนยังคงสภาพรู้เห็นออกมาจากมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง เป็นศูนย์กลาง เป็นผู้ประจักษ์ ผู้ร่วมโต้ตอบ บางทีเหลือเพียงอนุสติบางๆว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงภาพอดีตที่จบลงแล้ว ผ่านเลยไปแล้ว

ภาพส่วนใหญ่แม้คมกริบ ก็มีลักษณะกระโดดบ้าง ทั้งนี้เนื่องจากยามปกตินั้นคนเราหมกมุ่นฟุ้งซ่าน สติขาดตอนเป็นห้วงๆ จะเห็นภาพ ได้ยินเสียงที่มีอิทธิพลขนาดสมองเก็บบันทึกลงจิตแค่ครึ่งต่อครึ่งสำหรับคนสติดีทั่วไป ถ้าใครเหม่อมากหน่อยอาจไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งรอบตัวเลยเป็นนาที

เกาทัณฑ์เริ่มสอบถามเป็นระยะว่าเหนื่อยไหม ความทรงจำที่ทยอยลำดับมายังชัดเจนอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าเรือนแกัวยังชอบใจที่จะเกาะติดอยู่กับกระแสความทรงจำอย่างต่อเนื่อง กระปรี้กระเปร่าพร้อมจะขยับถอยกลับไปเรื่อยๆไม่เหนื่อยล้า

ครึ่งชั่วโมงแรกเกาทัณฑ์ให้หล่อนพูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ที่มีเขาร่วมอยู่ด้วย เพื่อความแน่ใจว่าหล่อนสามารถระลึกได้จริง และถูกต้องครบถ้วน เป็นการพิสูจน์ว่าครึ่งที่ตื่นของหล่อนในบัดนี้ เต็มไปด้วยสติแจ่มใสสมบูรณ์แบบ

ถัดจากนั้นจึงเริ่มย่างเข้าสู่โลกส่วนตัวของหล่อนที่เขาไม่เคยรับรู้ โดยตัดสินใจทดลองให้ย้อนแบบก้าวกระโดด

“นึกถึงช่วงวัยรุ่น...”

เขากล่าวสั่งอย่างคลุมเครือ เพื่อให้ใจหล่อนสุ่มเลือกโดยอิสระ ไม่ผูกโยงอยู่กับเครื่องแบบนักเรียนหรือชุดลำลองในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดๆ

“ตรวจดูซิว่ามีเรื่องราวอะไรที่แอ้ประทับใจ มีความสุขกับมันมากที่สุด และเด่นขึ้นมาก่อนเพื่อน”

ด้วยเพราะเกาทัณฑ์รับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเพื่อนสาวมีปมทุกข์ใหญ่หลวง จึงจงใจกระโดดข้ามด้วยการใช้คำพูดให้หล่อนตรึกนึกย้อนเฉพาะเหตุการณ์ที่เป็นสุข เพื่อผลของการสะกดเริ่มแรกจะได้ไหลลื่นด้วยกำลังปีติจนสุดทาง

อีกอย่างคือในการสะกดครั้งนี้เขาให้หล่อนระลึกถึงสะเก็ดความจำที่ผุดเด่นขึ้นมาเอง ไม่ให้ต้องใช้ความพยายามเลย เพราะความพยายามนั่นแหละคือตัวสกัดกด มิได้ช่วยดึงความจำขึ้นมาแต่อย่างใด

หญิงสาวเงียบนิ่งไปอึดใจ ก่อนแย้มยิ้มระรื่นและเล่าว่า

“แอ้ซ้อนท้ายจักรยานเพื่อน มืออุ้มลูกหมาที่พ่อซื้อให้ เป็นพันธุ์ปักกิ่ง ขนยาวขาวนุ่ม ชื่อก๋วยจั๊บ”

เกาทัณฑ์ขมวดคิ้วหน่อยๆ

“กำลังซ้อนจักรยานใครไปไหน?”

ใบหน้าเรือนแก้วเปื้อนด้วยรอยยิ้มสดใส

“เขามารับไปกินไอติมด้วยกันที่หน้าหมู่บ้าน”

เป็นวาระที่เกาทัณฑ์รู้ใจตนเองชัดเดี๋ยวนั้น ว่าความผูกพันที่มีต่อเรือนแก้วไม่อาจเรียกว่าเป็นเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจ เพราะอารมณ์เริ่มเจือด้วยความขุ่น สิ่งที่ผุดพลุ่งขึ้นมาจากอกในยามนั้นคือความริษยาเจ้าหนุ่มนิรนามผู้ถือแขนจักรยานนำหล่อนในอดีตไปสวีทจี๋กันตามประสาวัยรุ่น สีหน้าเรือนแก้วฟ้องชัดว่าหลงใหลได้ปลื้มหมอนั่นเพียงใด รักแรกก็อย่างนี้แหละ...

แปลบปลาบอยู่ชั่วครู่ก่อนข่มอกข่มใจให้เป็นปกติ ระลึกว่าตนกำลังทำหน้าที่ใดอยู่ อย่างไรก็ตาม คำถามต่อมาก็สนธิมาจากความรู้สึกค้างคาที่เจือด้วยการเอาตัวเองเข้าไปพัวพันนั่นเอง

“แอ้รักเขามากไหม?”

ถามเสร็จจึงเพิ่งสำนึกว่าเป็นการซอกแซกเรื่องส่วนตัว เสียมารยาทยิ่ง และนั่นก็ถูกสะท้อนด้วยปฏิกิริยาปฏิเสธจากหญิงสาว หล่อนไม่ถูกสะกดลึกขนาดถูกครอบงำจนไร้ความเป็นตัวของตัวเองถึงที่สุด จึงมีความคิดยับยั้ง ตอบเขาเพียงด้วยรอยยิ้มเฉยเมย

เกาทัณฑ์รู้ตัวว่ากำลังออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งอาจฉุดให้การสะกดสะดุดอยู่แค่นั้น จึงรีบจินตนาการเห็นตนเองเป็นสุญญากาศ เพื่อให้น้ำเสียงและความต้องการที่เข้ากระทบใจเรือนแก้วเป็นกลางที่สุด

“ไอติมที่แอ้สั่งมาทานคราวนั้นรสอะไร?”

“ช็อกโกแล็ต...ช็อกโกแล็ตซันเดย์ แอ้ชอบที่สุด”

“จำความเย็น จำรสที่แตะลิ้นในคราวนั้นได้ไหม?”

“จำได้”

“ลองนึกถึงกลิ่น นึกถึงบรรยากาศทั่วไปในร้าน ชัดไหม?”

“ชัด ในร้านเปิดไฟนีออนสว่าง อากาศโปร่ง เย็นสบาย กลิ่นใหม่สะอาด โต๊ะเก้าอี้ลายไม้สีน้ำตาลอ่อนกับข้างฝาทาสีครีม มีภาพไอติมแปะอยู่แบบลดหลั่นต่ำสูง มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หลังบาร์เคาน์เตอร์...”

“จำได้ไหมว่าวันนั้นเป็นวันอะไร?”

แม้ความคิดและความรู้สึกขณะทานไอศกรีมจะเด่นชัดในหัวราวกับอยู่ในอดีตจริงๆ แต่การย้อนนึกวันเวลากลับต้องอาศัยความพยายามในภาวะปัจจุบัน เพราะตัวตนในร้านไอศกรีมไม่ได้มีจุดใดโยงใยถึงวันเวลาให้ระลึกได้

เรือนแก้วหยุดทบทวนเป็นครู่จนหัวคิ้วขมวด ก่อนตอบด้วยเสียงค่อยลง

“จำวันไม่ได้ รู้แต่เป็นวันเรียน เพราะใส่ชุดนักเรียนอยู่”

นั่นเป็นอีกข้อเท็จจริงหนึ่ง จิตซึมซับไว้เฉพาะการประมาณเวลาและเหตุการณ์สำคัญ ไม่ใช่วันที่ เดือน และปีละเอียดชัดเหมือนอย่างบันทึกของนักสะกดจิตบางเจ้าที่ระบุได้เป็นตุเป็นตะ ราวกับมีปูมบันทึกฝังอยู่ในหัวผู้ถูกสะกด

“อย่าเคร่งเครียด คราวหลังถ้านึกไม่ออกก็ไม่ต้องเค้นนะ...แอ้รู้ตัวไหมว่ากำลังเป็นเด็กลง?”

เรือนแก้วทบทวนคำถามเขา ประมวลอยู่ครู่หนึ่ง ใจย้อนกลับเป็นตัวของตัวเองในปัจจุบันชั่วขณะ แต่แวบเดียวก็หันกลับไปหาอดีตหวานชื่นมื่นในร้านไอศกรีม ความคิดในหัวยามอยู่ในวัยนั้นกระจัดกระจาย ไม่คมกริบเป็นหนึ่งเดียวเหมือนวัยใส่สูททำงานในบริษัทใหญ่ หัวอกหัวใจเคยมีแต่สีชมพู มองโลกอภิรมย์ ต้องการการเอาอกเอาใจและคำพูดอ่อนโยนเหนือสิ่งอื่นใด

“ใช่ เหมือนแอ้เป็นวัยรุ่นอีกครั้งจริงๆ แอ้เห็นหน้าเขา ได้ยินเสียงเขา รู้ความคิดในหัวของตัวเอง แปลกดีจังเลยเต้ มันไม่เหมือนความคิดเดี๋ยวนี้เลย อย่างกับเป็นคนละคนแน่ะ”

ในที่สุดหล่อนก็ตอบแผ่วเบา ภาคของจิตที่คิดพูดเช่นนั้นคล้ายเจือจางอยู่ที่สุดพื้นของสำนึกรู้ว่าหล่อนเป็นหล่อนบนเตียงนอนเดี๋ยวนี้

เกาทัณฑ์เห็นเพื่อนสาวตระหนักเช่นนั้น ตนเองก็เกิดความเห็นอนิจจตาตามไปด้วย และผุดคำพูดอันปรุงขึ้นด้วยอนิจจสัญญาโดยแทบมิได้เจตนา

“ตัวที่เห็นกายใจเป็นเรานั่นแหละคืออุปาทาน แท้จริงร่างกายและความนึกคิดคลี่คลายไปเป็นอื่นตลอดเวลา กายใจในเวลานี้ วันหนึ่งก็จะเป็นอดีตเมื่อมองย้อนกลับมาจากอนาคตที่แตกต่างออกไป”

ขณะพูด เกาทัณฑ์เกิดความรู้สึกราวกับไม่ใช่เขา แต่เป็นอีกตัวตนหนึ่งซึ่งอยู่สูงกว่าจิตสำนึกยามปกติ เรียกว่าเป็นภาวะเกินตัวจริงไปชั่วขณะที่เกิดปัญญาธรรม

ฝ่ายเรือนแก้ว แม้เป็นขณะแห่งการสะกด มิใช่ด้วยปัญญาส่องรู้ด้วยเจตนาของตนเอง หล่อนก็พิจารณาและเห็นตามได้ จิตเกิดความสลดสังเวชขึ้นมาวูบวาบเมื่อตระหนักว่าอดีตแสนหวานเลือนหายไปหมดแล้ว...

”ลองสืบสาวดูซิว่าหลังออกจากร้านไอศกรีมแอ้ไปเที่ยวไหนกับเขาคนนั้นต่อ”

“เขาพาแอ้กลับมาส่งที่บ้าน แล้วแยกกลับไป”

“แล้วแอ้ทำอะไรต่อ?”

คราวนี้ภาพความจำเริ่มสะดุดอีก คล้ายกระโดดจับราวโหนตัวอันแรกไว้ได้ แต่เมื่อจะเหวี่ยงขึ้นคว้าราวต่างระดับที่อยู่สูงขึ้นไป ก็คว้าพลาดแบบฉิวเฉียดเพราะกำลังที่ใช้เหวี่ยงตัวยังไม่แรงพอ

“นึกไม่ออก”

หล่อนรีบบอก เพราะเกาทัณฑ์เคยสั่งไม่ให้เค้นนึก

“ช่างเถอะ แสดงว่าเหตุการณ์ต่อมาไม่น่าสนใจพอ”

ไล่เลียงความเป็นมาสมัยวัยรุ่นอีกพักใหญ่ ฟังเรื่องราวในโรงเรียนมัธยม ในบ้าน และสถานที่ท่องเที่ยว จากนั้นเกาทัณฑ์ให้เรือนแก้วย้อนนึกถึงวัยเรียนชั้นประถม จึงได้มีโอกาสเห็นกับตา ได้ยินกับหูว่าผู้ถูกสะกดที่ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งนั้น กิริยาท่าทางขณะเล่าดูเหมือนกลายเป็นเด็กน้อยจริงๆ

“...แอ้นอนตัวร้อน แต่ก็มีความสุขมากที่พ่อยอมเสียเวลาก่อนไปทำงานมาป้อนข้าวต้มให้ ถึงจะแค่สิบนาทีก็เหมือนได้พ่อไว้เป็นของแอ้ทั้งวัน...”

เกาทัณฑ์มองหล่อนด้วยแววปรานี แท้จริงเรือนแก้วผูกพันกับพ่อไม่น้อยกว่าแม่เลย เขาจี้ให้ระลึกถึงพ่อในแง่ดีอีกหลายๆครั้ง โดยคาดหมายว่าเมื่อตื่นจากสะกด หล่อนจะมีความรู้สึกกับพ่อดีขึ้นมาก

กระทั่งอดีตดำเนินย้อนมาตามลำดับ เกาทัณฑ์ลองลงลึกไปอีกขั้น ตัดสินใจให้ย้อนไปถึงเบื้องต้นชีวิตอย่างเตรียมจบการสะกดครั้งแรก

“คิดถึงเหตุการณ์ที่สนุกที่สุดสมัยเรียนอนุบาล...”

ดังกำหนดไว้แต่แรกว่าการสะกดครั้งนี้จะให้เรือนแก้วเห็นว่าชีวิตตนเป็นบรมสุข เมื่อหล่อนตื่นจากการสะกดจะแช่มชื่นเบิกบานเป็นพิเศษ เขาจึงไม่สะกิดปมร้ายขึ้นมาเลย แม้ทราบว่าโดยหลักการแล้ว นั่นเป็นวิธีรักษาบาดแผลที่ดีเยี่ยม เกาทัณฑ์อยากมั่นใจกับตนเองว่าการสะกดครั้งแรกนี้จะไม่มีสิ่งเกินความคาดหมายเหนือการควบคุมใดๆ

นั่งฟังเพื่อนสาวเล่าถึงชีวิตยามเป็นหนูน้อยตัวจ้อย ไม่ว่าจะเป็นระดับเสียงเล็กใส วิธีเลือกคำพูด วิธีแสดงความคิด หรืออาการลังเลสับสนวกวนในบางคราว ล้วนแต่เป็นกิริยาของทาริกาผู้เยาว์ต่อโลกทั้งสิ้น ชักนึกเสียดาย ถ้ารู้ว่าจะได้ผลอย่างนี้ เขาจะยอมควักกระเป๋าซื้อเครื่องบันทึกเสียงจากร้านขายในออร์เชิร์ดสตรีทมาเก็บความน่าประทับใจไว้ฟังเล่นนานๆ

“...แม่เป็นคนตั้งชื่อให้ แอ้รักเจ้าเอ้เตมากกว่าจุ้มปุ๊ก”

หล่อนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อกระต่ายน้อยสองตัวในครอบครอง

“ตอนเจ้าเอ้เตจับผักบุ้งเคี้ยวมันทำท่าน่ารักดี...”

ชายหนุ่มหัวเราะโดยปราศจากสุ้มเสียง ความรู้สึกคล้อยลงอ่อนโยนตามราวกับโลกใสในวัยเด็กมาปรากฏตรงหน้าตนด้วย เขาปล่อยให้หล่อนวิ่งเริงร่าโดยยืนระวังเฝ้าดูอยู่ที่ข้างสนาม รู้ว่าเรือนแก้วจะไม่พลัดหลงไปไหน

เรือนแก้วระลึกดิ่งกลับไปไกลขนาดนี้ ไม่ถือว่าธรรมดาเลย โดยเฉพาะในการสะกดครั้งแรก เขาเพลินฟังเรื่องราวในวัย 2-3 ขวบของหล่อน และถอยกลับไปก่อนหนึ่งขวบในที่สุด

“...ตอนแอ้อยากให้แม่อุ้ม แอ้ขยับมือเท้าไม่ได้ ความรู้สึกอยากร้องไห้มันออกมาเอง...”

นั่นคือความก้ำกึ่งมีสติคิดพูดได้อย่างหญิงสาวที่โตแล้ว กับความอ้อแอ้ของเด็กแบเบาะ เกาทัณฑ์อยากทดลองอะไรบางอย่าง ตามความรู้จากการอ่าน เขาทราบว่าเด็กแบเบาะนั้น แม้ยังไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก ไม่รู้ความ แต่กลับหลับฝันได้อย่างชวนให้พิศวงสนเท่ห์ยิ่ง ทางแพทย์รู้ว่าใช่แน่เพราะอาการกลอกตาขณะหลับอย่างคนฝัน ไม่รู้เท่านั้นว่าเด็กๆเห็นหรือได้ยินสิ่งใดในหัว

ตอนนี้เขาอาจมีโอกาสสืบรู้ ไขภาพและเสียงอันลี้ลับน่าใคร่รู้ในหัวของเด็กหญิงเรือนแก้วได้

“นึกถึงตอนแอ้ปิดตาง่วงจะหลับลงกับบ่าของคุณแม่” เขาสั่งอย่างนุ่มนวลแบบพูดกับเด็ก “จำภาวะความรู้สึกได้ไหม?”

“จำได้”

หล่อนตอบทันที

“ลองนึกให้ดีซิว่าพอปิดตาหลับแล้วฝันอะไรชัดๆบ้าง”

คราวนี้เรือนแก้วนิ่งไปนาน อาการนอนราบของหล่อนดูเป็นปกติ แต่ใบหน้าเริ่มปรากฏริ้วรอยเคร่ง ซึ่งเกาทัณฑ์จับสังเกตเห็นได้ถนัด

“เต้...เหมือนเตียงหมุน”

หล่อนหมายถึงเตียงที่กำลังนอนอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ความจำในวัยเด็กอีกต่อไป กระแสแปลกชนิดหนึ่งซึมแทรกเข้ามาทีละน้อย ปั่นวนอยู่ในหัว และทำให้เห็นเหมือนเตียงหมุนเวียนจากซ้ายไปขวาแรงขึ้นทุกขณะ

เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง ด้วยเพราะเตรียมรับมือกับสิ่งไม่คาดฝันมาแต่ต้น จึงตั้งสติได้ไวเท่ากับที่รู้เห็นอาการผิดปกตินั้น

“แอ้...” เขาเรียกหล่อนเสียงเข้ม “ผมนั่งอยู่ข้างๆ เห็นชัดเลยว่าเตียงไม่ได้หมุน นี่เป็นแค่ความไม่สมดุลในร่างกายแอ้นิดหน่อย อย่ากลัว ลองยกมือซ้ายขึ้นซิ”

เรือนแก้วต้องใช้ความพยายามเป็นครู่ กว่าจะดึงความรู้สึกทางกายกลับมา และทราบว่ามือซ้ายอยู่ตรงไหน ตอนสมองสั่งให้ยกขึ้นนั้นต้องใช้ความพยายามอย่างหนักราวกับมือตนเองเป็นของจับแล้วหลุด จับแล้วหลุด

“นี่มือผม” เกาทัณฑ์กล่าวขณะรวบมือหล่อนไว้ในอุ้งมือตนมั่นคง “รู้สึกได้ใช่ไหม?”

“รู้สึก”

“จับสัมผัสที่มือไว้ เพราะผมอยู่ที่ความหยุดนิ่ง แอ้ก็ต้องนิ่งด้วยเช่นกัน”

พลังในน้ำเสียงมั่นคงของเขาที่แฝงกระแสบางอย่างมาในอากาศ เมื่อรวมเข้ากับไออุ่นในอุ้งมือแข็งแรง ทำให้ความเคว้งงงและการหมุนของเตียงค่อยๆจางลงราวกับม้าหมุนจะหมดรอบ และในที่สุดก็แน่นิ่ง ปลอดภัยเป็นปกติจนได้

“หยุดหมุนแล้ว...”

เกาทัณฑ์ถอนใจโล่งอก ปล่อยมือหล่อนวางราบตามเดิม เตรียมสั่งให้หล่อนถอยย้อนกลับสู่สภาพปกติเพื่อยุติการสะกด

“หายใจเข้าให้เต็มปอด แล้วระบายช้าๆ...”

ประวิงเวลาก่อนตื่นของเรือนแก้วเพื่อให้ทั้งร่างกายและจิตใจคืนสู่สภาพสมดุลเดิม กล่อมให้หล่อนเห็นตนเองในปัจจุบันไล่มาเรื่อย กระทั่งบุคลิกทั้งหมดกลับเป็นปกติแน่แล้ว เกาทัณฑ์จึงบอกในขั้นสุดท้าย

“แอ้อยู่กับผมในห้องพักของแอ้เอง ตอนนี้เหมือนเราไปเที่ยวและกลับถึงบ้านเรียบร้อย ฟังผมนับห้าถึงหนึ่งเพื่อให้แอ้เตรียมใจตื่น พอได้ยินเสียงดีดนิ้วให้ลืมตาช้าๆ”

เขานับ ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง แล้วลัดนิ้วแป๊ก เปลือกตาหญิงสาวแย้มเปิดขึ้นครึ่งหนึ่งทันที แล้วจึงค่อยๆเบิกเต็มหน่วยในเวลาต่อมา

นัยน์ตาหล่อนกลอกมาหาเขา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข เกาทัณฑ์ยักคิ้วให้ทีหนึ่ง

“เป็นไงมั่ง?”

เรือนแก้วมองเพื่อนชายด้วยแววทอดสนิท เมื่อครู่หล่อนยอมตกอยู่ในมือเขา ให้เขาชักจูงไปทุกหนทุกแห่ง บัดนี้คล้ายเขาผูกพันกับหล่อนมาทั้งชีวิต นั่นเป็นผลลัพธ์อย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น นึกอยากลุกขึ้นกอดเขาอย่างจะแสวงหาความอบอุ่นสักครั้ง แต่เกรงจะเข้าใจผิดและนึกดูถูก จึงได้แต่ดึงกายขึ้นนั่ง ปัดผมเผ้าให้เรียบร้อย

“เพิ่งเคยสะกดแอ้เป็นคนแรกจริงๆเหรอ?”

“จริงสิ”

“รู้สึกยังกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเลยนิ”

แล้วหล่อนก็หรี่ตารำพึง

“รู้สึกแปลกดีจัง”

ทดลองเลื่อนแขนเปลี่ยนที่วางมือ สัมผัสแห่งความเป็นปัจจุบันช่างน่าจับสังเกตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หล่อนขยับเขยื้อนอย่างมีสติเดี๋ยวนี้ อีกสิบนาทีข้างหน้าจะยังประทับอยู่ในความทรงจำให้สามารถย้อนระลึก ประสบการณ์ในชีวิตมนุษย์มีความหมายเพียงเพื่อให้ถูกจำและถูกลืมเท่านี้เองล่ะหรือ?

“ขอบใจนะที่พยายามทำให้แอ้รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีความสุข”

สายตาที่เบนมามองเขาทอดอ่อนด้วยกระแสความขอบคุณ

“แอ้ชักสนุกกับการสังเกตสัมผัสและรายละเอียดต่างๆในปัจจุบันแล้วสิ…”

“นั่นแหละเบื้องต้นของการปฏิบัติธรรมในวิถีพุทธ มีสติอยู่กับรายละเอียดจนเกิดตัวรู้ มองเห็นกาย มองเห็นความคิดแยกกันเป็นชั้นๆ เพียงแค่ถามตัวเองว่ากำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไรต่อผัสสะหนึ่งๆ ซึ่งเมื่อปฏิบัติถึงระดับ ‘ขึ้นใจ’ แล้วจะเกิดผลมากมาย อย่างถ้าย้อนระลึกอดีต ก็จะเกิดตัวรู้ตัวเห็นที่ชัดเจนสมจริงมาก”

เรือนแก้วอ้าปากจะพูดโต้ตอบ แต่ก็ต้องตกใจสะบัดหน้าและอุทานอุ๊ยเบาๆเมื่อประตูห้องเปิดผางโดยแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ อาคันตุกะหน้าเหี้ยมสองคนรุกล้ำเข้ามาอย่างพรวดพราด คนหนึ่งงับประตูปิดลงอย่างรวดเร็ว อีกคนกรากเข้าชี้ปืนขู่เจ้าของห้องในระยะห่างเพียงสองเมตร

“เฉยๆแล้วกูจะไม่ทำอะไรพวกมึง!”

เสียงสั่งเป็นภาษาอังกฤษกระชากห้วน ปืน .38 ออโต้ในมือแผ่กระไอทมิฬมืดออกมาจากรูกระบอกดำลึก กดให้รู้สึกอยากหดหัว น่ากลัวจนเชื่อได้ทันทีว่ามีลูกปืนในรังเพลิง พร้อมระเบิดออกมาทะลุเป้าหมายอย่างมนุษย์เนื้ออ่อนให้เจ็บดิ้นหรือสิ้นชีพเพียงลงมือกระดิกนิ้ว

สองหนุ่มสาวเบิกตาค้าง ตะลึงงันจนลำคอตีบตัน พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว กลิ่นอายเพชฌฆาตอันเหม็นหืนที่ลอยมาจากร่างป้อมเป็นมะขามข้อเดียวนั้น กลบกลิ่นหอมอวลในห้องลงสิ้น บางคนที่ฆ่ามนุษย์ไว้มากจะมีกลิ่นขื่นเขียวชวนสะอิดสะเอียนเฉพาะตัวที่ฟอกล้างด้วยสบู่ไม่ออก เกาทัณฑ์เคยพบมาก่อน และทำให้ทราบทันทีว่าหมอนี่ฆ่าเขาง่ายเป็นผักปลาดังตาประกาศแน่

เรือนแก้วเหมือนถูกตรึงด้วยตะปู เพราะหวาดกลัวจนระบบประสาทชาไปหมดทั้งร่าง สิ่งแรกที่ทำเมื่อคลายจากอาการแข็งค้างได้หน่อยคือถลันข้ามเตียงไปขออาศัยร่างเพื่อนหนุ่มเป็นกำบัง เบียดกอดเกาทัณฑ์จากเบื้องหลังแน่นทั้งเนื้อตัวสั่นเทา ขณะโจนตัวก็ขนหัวลุกเพริดแทบอยากหวีดร้องด้วยเกรงจะยินเสียงปืนลั่น และมีพญายมมากระชากวิญญาณตน

ยังดีที่หมอนั่นรู้ว่าเป็นกิริยาที่เกิดจากความประสาทเสีย เยือกเย็นพอจะจ่อปืนเฉย เรือนแก้วซุกหน้าแอบลงกับต้นคอเพื่อนหนุ่ม เผยตาข้างเดียวดูชายผู้มีใบหน้าเหลี่ยมหักราวกับยักษ์มาร นัยน์ตาโปนโตอำมหิตที่เพ่งอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญใกล้ตัวในบัดนี้ สร้างความหมายของคำว่า ‘ประสบการณ์’ ขึ้นใหม่ในใจหล่อน เอี่ยมอ่องที่สุดในชีวิต

“เต้...”

สุ้มเสียงสั่นกระเส่าอย่างน่าสงสารนั้น ปลุกเกาทัณฑ์ให้ตั้งสติกลับสู่สถานการณ์จริงอย่างฉับพลัน อย่างน้อยก็รับรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน และเป็นเรื่องที่เขาต้องคิดอ่านรับมือโดยด่วน ถ้าปล่อยให้ความตกใจกลัวเข้าครอบงำ สิ่งเลวร้ายอาจยิ่งร้ายถึงที่สุดเกินกว่าจะผ่อนหนักเป็นเบาได้

เรื่องไม่คาดฝันมีอยู่มากมาย จะร้ายหรือดีล้วนปรากฏเหมือนความบังเอิญ แต่น้อยคนจะรู้ว่าเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับวิถีชีวิตอย่างแรงนั้น ที่แท้เป็นวิบากกรรมอันมีจริง เห็นได้จริง ไม่มีเรื่องใดบังเอิญเลย จะเป็นเวลาไหน โยงใยกับใคร กรรมเป็นผู้คัดเลือกทั้งสิ้น

มีเริ่มต้องมีจบ ทุกคนที่เผชิญเหตุร้ายต่างภาวนาให้จบลงด้วยดีที่สุด โดยเร็วที่สุด


แต่คนเราให้เล่นกีฬาที่ไม่เคยลงสนามจริงนั้น ใครเล่าประมาณแพ้ชนะ ประมาณช้าเร็วได้ว่าเมื่อไหร่จบ?



ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น