< อ่านบทความที่แล้ว
เช้าวันนั้น
เกาทัณฑ์กับเรือนแก้วออกจากโรงแรมในย่านออร์เชิร์ดสตรีท
ทอดเท้าเรื่อยเฉื่อยปะปนไปกับลูกจีนชาวสิงคโปร์ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ
เนื่องจากออฟฟิศของ เดวิด ชุน อยู่ห่างออกไปเพียงสามร้อยเมตรเท่านั้น
เช้านี้เรือนแก้วคมคายไปทั้งตัว
เรือนผมหล่อนแสกกลางโหย่ง เห็นไรผมแหลมจิกกลางหน้าผากส่วนบนเก๋ไก๋
สูทสีน้ำตาลอ่อนเรียบกริบดูภูมิฐาน ท่วงทีแต่ละย่างก้าวประเปรียวเชื่อมั่นราวกับกำลังเดินแบบบนแคตวอล์คอวดความเฉิดฉาย
เกาทัณฑ์สังเกตเห็นทั้งหนุ่มทั้งแก่บนฟุตบาทที่เดินสวนต่างเหลียวตามราวกับเจอมนต์สะกด
เขาเองขนาดเห็นหล่อนมานานยังลอบชำเลืองเป็นพักๆเลย
บางวันเรือนแก้วมีอำนาจเสน่ห์ดึงดูดความสนใจราวกับแม่เหล็กแรงสูง
โดยเฉพาะขณะกำลังมาดมั่นเอางานเอาการอย่างเดี๋ยวนี้
ทั้งสองมาถึงก่อนเวลา
และถูกเชื้อเชิญเข้าห้องทำงานของนายชุนทันที
นายชุนยิ้มแย้มโอภาปราศรัยกับเรือนแก้วราวกับญาติสนิท เพราะเคยคุ้นกันมาก่อน
และหล่อนก็พูดจีนกลางกับฝ่ายนั้นเป็นต่อยหอย
เกาทัณฑ์กลายเป็นใบ้และหูหนวกไปโดยปริยาย เนื่องจากฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว
จึงนั่งเป็นตัวประกอบ หรือพูดให้ชัดคือส่วนเกิน
ฟังคู่สนทนาส่งภาษาหว่าๆเหวยๆไปเรื่อย
บางทีเรือนแก้วก็หัวเราะแฮะๆๆๆเหมือนเพื่อนเล่น
และท่าทางนายชุนเจอมุขเด็ดเข้าไปหลายขนาน บางทีถึงกับหัวเราะจนตาปิด
อย่างนี้ไม่ต้องรู้ภาษา เกาทัณฑ์ก็ทราบได้ว่าบทสนทนาทั้งหมดทั้งปวงห่างไกลจากการงานสุดกู่
เห็นนายชุนคึกคักกระชุ่มกระชวย
ยิ้มไม่หุบจ้องเรือนแก้วตาเป็นมันอย่างกับหนุ่มละอ่อนแล้วชักนึกหมั่นไส้ขึ้นมารำไร
กระทั่งได้เวลานัด
ผู้จัดการฝ่ายอีกคนก็เคาะประตูเดินทื่อราวกับผีดิบเข้ามาสมทบ และหลังจากทักทายเสวนากับเรือนแก้วได้เดี๋ยวเดียว
ผีดิบก็เปลี่ยนสภาพเป็นปลากระดี่ได้น้ำตามนายชุนไปอีกราย เกาทัณฑ์ชินเสียแล้ว
เสน่ห์น่าทึ่งของหล่อนนอกจากไม่หย่อนลง บางทีจะแรงขึ้นตามวัยและชั่วโมงบินด้วยซ้ำ
อพยพจากโต๊ะทำงานนายชุนไปนั่งที่ชุดรับแขก
หันหน้าคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวด้วยภาษาอังกฤษ เพื่อให้ ‘ส่วนเกิน’
อย่างเขาเข้าร่วมวงได้
เรือนแก้วทำหน้าที่ได้อย่างวิเศษ
หล่อนใช้ภาษาอังกฤษที่ไพเราะและชัดเปรี๊ยะไร้ที่ติในการปูพื้นเกี่ยวกับความพร้อมทั้งกำลังคนและเทคโนโลยีซึ่งถูกกับงาน
จากนั้นค่อยๆผ่อนจังหวะ ถ่ายเทบทบาทด้านเทคนิคมาทางเขาทีละเปลาะ
สร้างบรรยากาศเป็นกันเองให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งถึงเวลาที่ต้องฉายไฟล์สไลด์ด้วยมัลติมีเดียโปรเจ็คเตอร์
เกาทัณฑ์ต้องไปยืนชี้รายละเอียดหน้าสกรีน
ความแรงของแสงกว่าหนึ่งพันแอนซีลูเมนส์จากเครื่องฉายทำให้ไม่ต้องหรี่ไฟห้องให้ต่ำลงกว่าเดิม
ดังนั้นเมื่อมองเข้าหาโต๊ะประชุมจึงเห็นความเป็นไปอย่างถนัด
ว่าพ่อเจ้าประคุณทั้งสองไม่ได้ให้สมาธิกับการฟังเขาบรรยายสักเท่าไหร่
เอาแต่แวะเวียนสายตาไปทางเรือนแก้ว บางคราวก็ทำทีสงสัย
เขายืนอยู่ข้างหน้าทั้งคนไม่ถาม ไปถามเอากับสาวสวยนั่นแหละ พอเรือนแก้วอึกๆอักๆจะเบนมาถามเขาต่ออีกทอด
ก็ทำเป็นโบกมือหัวเราะกลบเกลื่อน ซึ่งแปลว่าที่แท้ไม่อยากรู้คำตอบ
หรือรู้แล้วแต่แกล้งถามเพราะอยากคุยด้วยเท่านั้นเอง
เสียสมาธิจากคนฟังผู้เป็นเป้าหมายไม่พอ
บางทีถูกล่อตาจากกิริยายกเรียวขาไขว่ห้างอย่างแนบเนียนของเพื่อนร่วมงานสาวเข้าอีก ปุบปับชะวากลึกเห็นถึงไหนต่อไหน
ทำเอาเขาพูดอยู่แทบอ้าปากค้าง ผู้หญิงเป็นเสียอย่างนี้ แกล้งยั่วให้อยากถลาใส่
พอเกิดเรื่องก็โวยวายโทษความหน้ามืดของเพศชายฝ่ายเดียว น่าอ่อนใจน้อยอยู่เมื่อไหร่
นายชุนนำไปเลี้ยงข้าวกลางวันในภัตตาคารหรูเกินเหตุ
เกาทัณฑ์ทราบชัดเลยว่านั่นคือการได้กินบุญของเรือนแก้ว
สองชั่วโมงเศษบนโต๊ะจีนแพงระยับนั้น
เกลื่อนไปด้วยอาหารโอชารสชั้นอ๋องที่ทยอยมาจานแล้วจานเล่า
เจ้าภาพใช้งบส่วนตัวด้วยความต้องการเอาใจหล่อนเพียงคนเดียว
ช่วงบ่ายแก่ๆ
กลับมานั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับงานต่ออีกพักใหญ่ ทำวิเคราะห์เบื้องต้นให้เดี๋ยวนั้นทั้งยังไม่ตกลงเซ็นสัญญา
เกือบหนึ่งทุ่มจึงจับมือเซย์กู๊ดบายกันได้ ทั้งเกาทัณฑ์และเรือนแก้วรู้สึกเหนื่อย
แต่ก็สนุกพอควร เนื่องจากนี่เป็นงานช้าง
และนายชุนบอกอย่างไม่เป็นทางการแล้วว่าโอเคแน่
โดยทิ้งท้ายด้วยการหยอดว่าขอให้เรือนแก้วประสานงานไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนโปรเจ็คต์ก่อนๆ
เห็นกันและกันเป็นสองแรงเสมอกัน
ช่วยผลักดันให้งานสำเร็จอย่างงดงาม เกาทัณฑ์กับเรือนแก้วมานั่งชนแก้ว
ทานข้าวเย็นในห้องอาหารของโรงแรมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
แม้เคยเดินทางร่วมกันมาก่อน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่อยู่ในต่างประเทศตามลำพังสองต่อสอง
ช่วงแรกคุยกันเรื่องงานอย่างติดใจ
แต่พอถึงเวลาของหวาน เรือนแก้วก็ยักคิ้วให้
“ว่าไง จะสะกดจิตแอ้คืนนี้เลยไหม?”
เกาทัณฑ์เบิกตา
ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปแล้วอย่างสนิท
เพราะนับแต่เครื่องบินย่างเข้าสู่น่านฟ้าสิงคโปร์ ในหัวมีแต่งานเท่านั้น
“อยากลองจริงๆน่ะเหรอะ?”
เขาย่นคิ้วถามยิ้มๆ
“จริงสิ
แอ้โลเลเปลี่ยนใจง่ายเหมือนเต้เสียที่ไหน”
เรือนแก้วถือโอกาสเหน็บนิดเหน็บหน่อย
เกาทัณฑ์แยกเขี้ยว
“ห้องแอ้หรือว่าห้องผมดีล่ะ?”
“ห้องแอ้!”
เกาทัณฑ์อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวมาอยู่ในชุดลำลอง
ออกจากห้องพักขึ้นลิฟต์ กดปุ่มตรงไปสู่ชั้นของเรือนแก้ว
เมื่อย่างเท้าออกจากลิฟต์
เดินทอดน่องไปตามทางปูพรมสีเลือดนกอันเงียบเชียบนั้น เพิ่งใจเต้นผิดจังหวะ
และถามตนเองว่าเป็นการสมควรแล้วหรือที่เขาจะเข้าหาหล่อนและอยู่ด้วยกันตามลำพังในยามวิกาล
พยายามไม่คิดอะไรให้มากนัก เที่ยวบินกลับกรุงเทพฯของเขาเป็นเวลาเช้าตรู่ของที่นี่
ส่วนของเพื่อนสาวเป็นช่วงเย็น เพราะหล่อนเตรียมแผนช็อปปิ้งต่อ
หากเลื่อนไปเป็นเวลาอื่นในไทย ก็อาจได้สถานที่ที่ไม่เหมาะ
ไม่เป็นข้ออ้างแบบผลพลอยได้เหมือนเมื่อมางานด้วยกันอย่างนี้
หยุดยืนหน้าประตูสีเหลืองอ่อนของห้องแรกปีกขวา
สูดลมหายใจลึกๆ กำหนดจะรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร
ก่อนยกมือเคาะเรียกเพื่อนสาวด้วยใจเกือบปกติ
เงียบเป็นครู่ก่อนประตูจะแง้มเปิดเล็กน้อย
เขาต้องเป็นฝ่ายดันออกกว้างเนื่องจากเรือนแก้วแง้มค้างไว้แค่นั้น
ก้าวเท้าล่วงเข้าสู่เขตส่วนตัวของหล่อน
รู้สึกงงเคว้งขึ้นมาในหัววูบหนึ่ง สัญชาตญาณเก่าๆแวบเวียนมาเยือนเป็นระลอก
บรรยากาศฉ่ำเย็นวังเวงในห้องพักโรงแรมหรูกับสาวสวยยวนตาไม่ค่อยจุดชนวนความคิดอันดีงามได้เท่าไหร่
สถานที่และสถานการณ์จริงไม่เชิญชวนให้นึกถึงการทดลองเล่นวิชาเช่นขณะคุยวางแผนกันตอนอยู่บนเครื่องบินหรือห้องอาหารเอาเลย
กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ
สายตาตามร่างงามในชุดเสื้อยืดกางเกงยาวที่เดินไปหย่อนกายรอบนม้านั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
สีหน้าหล่อนสงบเฉยขณะทอดมองมาทางเขา
ชายหนุ่มเกิดความลังเลว่าควรแง้มประตูไว้เล็กน้อยหรือปิดสนิท
แต่แล้วเมื่อคิดถึงกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลัง
ทว่าไม่ลงล็อก คือแค่ผลักบานประตูคืนที่
เพื่อสกัดกั้นใจจากความเห็นห้องนอนของเรือนแก้วเป็นเขตลับสนิท
แม้ทำไปด้วยเจตนาดี
แต่ก็เกิดความสังหรณ์ขึ้นมาแปร่งๆ
คล้ายมีเสียงกระซิบแว่วมาจากส่วนลึกบอกให้ล็อกเถิด ล็อกเถิด...
เดินมานั่งลงที่ปลายเตียงห่างจากหล่อนหลายก้าว
พยักพเยิดไถ่ถาม
“เพลียหรือเปล่า?”
เรือนแก้วสั่นศีรษะ
“แปลกเหมือนกันนะ สงสัยตื่นเต้นมั้ง
พออาบน้ำเสร็จรู้สึกสดชื่นยังกับเพิ่งตื่นเช้าแน่ะ เต้ล่ะ เหนื่อยไหม?”
ชายหนุ่มสั่นศีรษะเช่นกัน
“มาเริ่มกันเลยดีกว่า”
เรือนแก้วลุกขึ้นในท่าพร้อมอย่างง่ายๆ
“จะให้นั่ง นอน ยืน หรือเดินยังไงล่ะ
อย่าบอกนะว่าต้องห้อยหัวลงมาจากเพดาน”
เกาทัณฑ์หัวเราะ ก่อนมองรอบตัว
“มานอนบนเตียงมา”
ผายมือให้นิดๆ เรือนแก้วพยักหน้า มาหย่อนร่างเอนนอนราบบนอีกเตียงหนึ่งซึ่งอยู่คู่กับเตียงที่เขานั่ง
เกาทัณฑ์คุมสติแน่น เริ่มสะกดตนเองเป็นคนแรกให้อยู่ในสถานะจิตแพทย์ใจซื่อ
ลุกจากที่
เดินขึ้นมานั่งบนขอบฟูกหันหน้าเข้าหาเตียงของเรือนแก้วซึ่งเปรียบเสมือนคนไข้ทดลอง
“ก่อนอื่นมาตกลงเรื่องเป้าหมายกันก่อน
ถึงทำเล่นสนุกๆก็ควรมีจุดกำหนดเอาไว้ ทั้งแอ้และผมจะได้ตั้งกรอบให้ตัวเองแต่แรก
แอ้ไม่ใช่คนมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน นี่จึงไม่ใช่การรักษา
เอาเป็นว่าผมพยายามทำให้แอ้รู้สึกดีกับตัวเอง คงพอนะ”
เรือนแก้วยักไหล่
“แอ้แค่อยากรู้ว่าถูกสะกดจิตเป็นยังไง
เราเห็นอดีตตัวเองได้แค่ไหน และถ้า...เต้พบอะไรที่เป็นปม เป็นแผล
หากมีวิธีบรรเทาลงได้ก็เชิญแสดงความสามารถเต็มที่
แอ้จะยินยอมตกอยู่ในอาณัติทุกประการ”
ฟังเช่นนั้นแล้วเกาทัณฑ์มีสติรู้ว่าในหัวเกิดความคิดชั่วร้ายแล่นวาบขึ้นมา
เขาไม่เคยผ่านการอบรมแบบจิตแพทย์ ไม่เคยอยู่ในแล็บทดลองอย่างเป็นวิชาการ
จู่ๆได้อำนาจโดยปราศจากการสร้างสมจรรยาแพทย์อย่างนี้
ประโยคสุดท้ายของเรือนแก้วจึงเป็นเสมือนแรงยั่วยุให้จินตนาการเตลิดล่วงหน้าสารพัด
เบนความสนใจจากร่างเหยียดนอนของหญิงสาว
ปิดตาสำรวมจิตเพ่งสายลมหายใจเข้าออก อธิษฐานว่าถ้าใจยังไม่นิ่ง ยังวางอารมณ์ใคร่ไม่ลง
ก็จะไม่ลืมตาขึ้นอีกเลย
เป็นธรรมดาของผู้มีตบะอันบำเพ็ญแล้วด้วยดี
พูดจริงทำจริง ทำเสร็จ ทำสำเร็จเสมอ
ย่อมมีกำลังหนุนอยู่ภายในดุจกลุ่มน้ำใหญ่ที่พร้อมจะเข้าท่วมทับข้าศึกทุกชนิด
เพียงอึดใจเดียวเกาทัณฑ์ก็ลืมตาขึ้นอย่างสบายอก ทั้งกายอัดแน่นด้วยพลังมหาศาล
รู้ชัดด้วยใจสำเหนียกในบัดนั้นว่าตนจะไม่หลงรี่ลงต่ำอีกเลยตลอดกระบวนการที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดนับจากนี้
เกาทัณฑ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงซึ่งถ่ายทอดออกมาจากจิตใจที่มั่นคงและเจตนาเกื้อกูลกัน
“หลับตาลง...”
หล่อนทำตามเขาสั่ง
ในเบื้องแรกเกาทัณฑ์ทราบดีว่าจะใช้กลวิธีไหนก็ได้ทำให้ผู้ถูกสะกดอยู่ในภาวะสบาย
ผ่อนพักที่สุด เพื่อให้ย่างเข้าสู่ความรู้ตัวครึ่งๆกลางๆ
ฉะนั้นจึงคิดปูพื้นให้หล่อนเกิดฐานปัญญาเห็นรูปนามไปในตัว
“ดูตรงแผ่นหลังที่วางน้ำหนักราบอยู่นี้”
เขาสั่งสั้นที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าเกิดการรับรู้ตาม
ครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ
“คิดว่ากายที่นอนอยู่คือโครงกระดูกเปล่าๆโครงหนึ่ง
เราอาศัยพักอยู่ชั่วคราว สักแต่มีไว้เพียงให้ระลึกรู้ว่ายังปรากฏ”
ด้วยเพราะเรือนแก้วเคยเพ่งพิจารณาเห็นข้อมือและปลายแขนเป็นอนัตตามาก่อน
จึงเข้าใจวิธีกำหนดหมายตามได้ง่าย และสิ่งที่เกาทัณฑ์หรือแม้แต่หล่อนเองไม่ทราบก็คือหล่อนมีพรสวรรค์
หรืออีกนัยหนึ่งวิถีรู้รูปนามติดจิตติดวิญญาณอยู่
ฉะนั้นเมื่อถูกกำหนดแนะให้ดูนิดเดียวก็คุ้นทางโดยง่าย
ซึ่งอย่างนี้เป็นอาการของผู้เคยสั่งสมวิปัสสนาญาณมาแต่ปางก่อน
เพียงอึดใจเดียวหลังจากเรือนแก้วเพ่งดูส่วนหลังที่วางลงรับน้ำหนักส่วนใหญ่ของกาย
ก็เห็นสัณฐานคร่าวของโครงกระดูกตนเองอย่างชัดเจน
และเหมือนโพรงว่างระหว่างกระดูกช่วงไหปลาร้ากับซี่โครงเป็นแหล่งอาศัยของตัวรู้
นิ่งดูสัณฐานกายโดยรวม
ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของผู้มีบารมีมาทางนี้คือเมื่อเกิดความเห็นขึ้นแล้วจะรู้จักรักษาความเห็นไว้ด้วยความพึงพอใจ
ไม่สงสัยกับนิมิตภายในที่เกิดขึ้น
ฉะนั้นเกาทัณฑ์ผู้สังเกตสีหน้าของเรือนแก้วตลอดเวลา
จึงเห็นความนิ่งอยู่ในอาการเล็งรู้อย่างรวดเร็วน่าแปลกใจ
เพิ่งมีโอกาสสังเกตคนอื่นทำสมาธิอย่างละเอียด
แม้ดูภายนอกเหมือนสงบ แต่สัมผัสภายในก็บอกว่าจิตของเรือนแก้วยังไหว
หาหลักยึดแน่นอนไม่ได้
เขานึกถึงอุบายที่เคยมีให้ตนเองคือเคาะนิ้วเพื่อสร้างผัสสะกระทบให้เกิดความรู้เฉพาะจุดถี่ๆ
ซึ่งถ้าทำอย่างถูกต้อง จิตไม่หนีไปไหนครู่เดียว
ก็เกิดการรวมลงสู่ภาวะสงบได้ระดับหนึ่ง
เขาทดลองแบบเหวี่ยงแหไปเรื่อย
เคาะกับวัตถุนอกกายได้ความรู้ตัวแบบหนึ่ง
เคาะหน้าตักตอนนั่งเล่นได้ความสบายแบบหนึ่ง
เคาะหน้าผากตอนเครียดได้ความผ่อนคลายแบบหนึ่ง
แต่พบว่าจุดกระทบซึ่งทำให้จิตรวมอย่างดี รวดเร็วที่สุด
กับทั้งให้ผลเป็นความรู้พร้อมทั่วตัวที่สุด เห็นจะไม่มีอะไรเกินเคาะแผ่นกระดูกเหนือร่องอก
ชายหนุ่มตัดสินใจลองกับเพื่อนสาว
โดยสั่งว่า
“ยกมือวางทาบอก
ให้ปลายนิ้วกลางแตะอยู่กับกระดูกเหนือร่องอก”
เมื่อหล่อนทำตามแบบเก้ๆกังๆ
เกาทัณฑ์สังเกตว่าส่วนใดเกร็ง ก็บอกเป็นจุดๆ เช่นให้วางราบทั้งมือบนอกและศอกบนฟูก
กับทั้งไหล่ตกไม่ยกเกร็งแล้วบอกต่อ
“ขยับนิ้วเคาะขึ้นลงเบาๆ
แต่เร็วนิดหนึ่ง เหมือนเคาะเล่นเพื่อให้รู้อาการขยับไหวของนิ้ว”
เรือนแก้วทำตาม
ในความสบายตลอดกายใจนั้นรู้อยู่เฉพาะอาการขยับไหวขึ้นลงของนิ้ว
เกาทัณฑ์สัมผัสได้ถึงกระแสความคิดฟุ้งที่แปรเป็นคลื่นเงียบ
รวมรู้อยู่เฉพาะความขยับของลำนิ้วที่ปราศจากความเกร็ง
“เคาะไปเรื่อยๆนะ
คราวนี้นอกจากรู้นิ้วขยับ ลองดูที่จุดกระทบด้วย
แอ้จะไม่รู้สึกถึงอะไรอื่นเลยนอกจากนิ้วกระทบกระดูกป๊อกๆๆอยู่”
เมื่อจ่ออยู่กับกายกระทบ
จิตก็เข้ามาอยู่ในขอบเขตของกาย
เรือนแก้วเห็นตลอดตัวด้วยความแจ่มชัดอีกระดับหนึ่งเมื่อจิตอยู่นิ่งกับที่
เพลินนานพักใหญ่
เรือนแก้วก็หลงเคลิ้ม และหยุดขยับนิ้วเคาะไปโดยไม่รู้สึกตัว
เกาทัณฑ์สังเกตอยู่แล้ว เพราะเคยผ่านจุดนี้มาก่อน
หากปล่อยให้หลับก็อาจหลับเพลินยาวไปทั้งคืน แต่หากสะกิดให้ตื่นรู้ขึ้นอีกครั้ง
ก็จะมีความไวสัมผัสราบรื่นสม่ำเสมอกว่าเดิม
จึงเรียกเตือนเสียงแผ่วให้เรือนแก้วขยับเคาะต่อ
เมื่อสังเกตรู้สึกถึงโฟกัสของจิตที่คงเส้นคงวาดีพร้อม
เกาทัณฑ์ก็ไม่ปล่อยให้จิตหล่อนดำเนินไปถึงความเคลิ้มหลับอีก
แต่ส่งช่วงต่อมาถึงอารมณ์สมาธิที่จะจูงจิตให้เข้าสู่สภาพรู้พร้อมนิ่มนวลขึ้นกว่าเก่า
“แอ้นิ่งดีแล้วนะ หยุดเคาะ
วางมือลงข้างตัว คราวนี้มาจับลมหายใจกันต่อ”
เมื่อเห็นหล่อนปฏิบัติตามโดยดีก็สั่งว่า
“ตอนหายใจเข้าให้พองหน้าท้องขึ้นก่อนแล้วค่อยดึงลมยาวๆสบายๆ
เมื่อรู้ลมหายใจเข้า ให้คิดว่าเราสูดเอาความสดชื่นเข้าร่าง
เพื่อพยุงความรู้ตัวให้เพิ่มขึ้น เมื่อผ่อนลมหายใจออก
ให้คิดว่าเราระบายเอาความเครียด ความเหน็ดเหนื่อยทิ้งออกนอกร่าง”
เรือนแก้วสูดลมหายใจด้วยการตั้งความคิดตามเกาทัณฑ์บอก
พบว่าเมื่อตั้งเจตนาเห็นลมหายใจเป็นพาหะนำความสดชื่นและพลังระลอกใหม่เข้าร่าง
ก็เกิดความชุ่มฉ่ำกายใจขึ้นนิดหนึ่งได้จริงๆ
และเมื่อผ่อนลมหายใจออก
เห็นเป็นการถ่ายเทเอาความเครียด ความอ่อนล้าออกสู่ภายนอก
ก็ยิ่งมีความรู้สึกเป็นสุข ความสบายใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อย่าปล่อยให้ความคิดไหนๆแทรกเข้ามาแทนที่ลมหายใจ
ตอนนี้ไม่มีอะไรมีค่าเกินลมหายใจเข้า และไม่มีอะไรน่าสนใจเกินลมหายใจออก”
เขาตะล่อมตามจังหวะ
คิดเอาจากการที่เคยกล่อมตนเองสำเร็จมาแล้วในการทำสมาธิปกติ สังเกตความสม่ำเสมอ
และคอยเตือนเรือนแก้วเมื่อเห็นลมเบาลงหรือแรงขึ้นกว่าเดิม
ต่อเมื่อดูเข้าที่เข้าทางแล้ว จึงดำเนินการขั้นต่อไป
“ค่อยๆสำรวจทีละส่วนว่ามีจุดไหนในร่างที่ยังเกร็ง
ไม่ผ่อนพักตามสบาย ไล่จากส่วนหน้า...”
เขาค่อยๆพูดทอดจังหวะทีละจุดให้เรือนแก้วส่งใจตาม
“ส่วนคอ...ส่วนหลัง...ส่วนแขน...ส่วนขา”
หญิงสาวพบว่าส่วนหลังยังเกร็งอยู่บ้าง
เมื่อรู้ตัวจึงหย่อนกล้ามเนื้อส่วนที่เกร็งลง
เกาทัณฑ์สามารถรู้ได้ด้วยตาเปล่าว่าทั้งร่างหล่อนผ่อนพักเต็มที่แล้ว
จึงตรวจดูความสม่ำเสมอของลมหายใจอีกครั้ง เมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง
พบว่าผ่อนแผ่วลงอย่างที่จะนำไปสู่ภาวะใกล้หลับ ก็เตือนด้วยเสียงเนิบนาบ
“อย่าลืมว่าเวลาเข้าให้ขยายหน้าท้องพองขึ้นก่อน
ลมหายใจจะได้เข้ามากกว่าปกติ”
เรือนแก้วกำลังอยู่ระหว่างเคลิ้ม
เมื่อได้ยินเสียงก็กลับตื่นตัวรับรู้ลมหายใจใหม่
เสียงสั่งของเกาทัณฑ์กลายเป็นตัวกั้นไม่ให้จิตซัดส่ายสุ่มหาอารมณ์เอง
ประคองให้พุ่งแน่วลงในลมหายใจเป็นหนึ่งเดียว รวมทั้งไม่เผลอไหลลงหลับ
ถึงจุดหนึ่งหญิงสาวเกิดความเพลินที่จะรับคำสั่ง
เวลานั้นเริ่มถอยจากความเป็นตัวของตัวเอง
แต่กลับเกิดศักยภาพที่จะรับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ใจทรงนิ่งอยู่กับฐานคือกายอันวางนอน
เห็นความปรากฏของกายคงที่ พลังอันเกิดจากการเล็งรู้อยู่ตัวโดยไม่ต้องประคองมากนัก
เมื่อเกาทัณฑ์จับสังเกตสติของหญิงสาวนานไป
ที่สุดก็เกิดสติ และจับเป็นขณิกสมาธิเองด้วย
กระแสจิตเขายามนี้มีสภาพคล้ายผ้าอ่อนเนื้อแน่นที่พร้อมจะทิ้งตัวลงห่มคลุมสนิทแนบกับวัตถุใดๆที่ใจเจตนาเข้าจับ
เรียกว่าบำเพ็ญสมาธิภาวนามาถึงขั้นอ่อนตัว พร้อมใช้งานดังประสงค์
สัมผัสพลังที่รวมกลุ่มเป็นอันเดียวในกายตน
และเกิดความรู้ขึ้นมาเองว่าจิตที่เป็นสมาธิสามารถช่วยประคองคนอื่นได้
เช่นในขณะนี้เขาเกิดความเห็นอาการเป็นไปในหญิงสาวซึ่งยากจะอธิบายเป็นคำพูด
เมื่อแลเห็นหล่อนดึงลมหายใจเข้าและผ่อนลมหายใจออกแล้ว
เกิดการแปลความหมายขึ้นในหัวว่านั่นเป็นอาการลงตัวของสมาธิชนิดถูกสะกด
ถูกจูงโดยผู้อื่น หากเขาบังคับกระแสในตนเข้าช่วยประคองกระแสในหล่อน
ก็อาจทรงอยู่ได้นาน และสัมผัสรู้แผ่วๆคล้ายแตะตัวกันอยู่ด้วยปลายนิ้ว
หล่อนกำลังนิ่งในภาวะพร้อมถูกสั่งเต็มที่
เรือนแก้วให้ความร่วมมืออย่างดี จึงบังเกิดผลรวดเร็วขนาดนี้
“เอาล่ะแอ้ พูดกับผมนะ บอกซิว่าตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง”
เรือนแก้วนิ่งเป็นครู่
ก่อนขมุบขมิบปากพูดกับเขาตามปกติ
“มีความสุข
เห็นร่างกายออกมาจากข้างในตลอดเวลา”
เกาทัณฑ์ย่นคิ้วเล็กน้อย
เพราะคาดหมายว่าหล่อนจะพูดคล้ายละเมออยู่ในภวังค์
เขาเพิ่งมาเรียนรู้ว่าอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นในภาวะสะกดนั้น ครึ่งหนึ่งหลับ
ครึ่งหนึ่งตื่นจริงๆ รับฟังได้ พูดและคิดตามได้เป็นปกติเกือบสมบูรณ์
ถึงขั้นนี้เขาต้องการให้หล่อนหมดจากความรู้สึกทางกาย
เพื่อให้เหลือแต่จิตสว่างพร้อมฉายภาพนิมิตอย่างมั่งคั่งด้วยกระแสสติเหมือนฝันดี
จึงสั่งว่า
“แอ้...คิดไปนะว่าเนื้อของเราเหลวลงนิดหนึ่ง”
เว้นจังหวะเป็นครู่แล้วถามว่า “คิดได้ไหม?”
“ได้”
หญิงสาวตอบเกือบทันที
เพราะความรู้สึกทางกล้ามเนื้อตลอดร่างมลายหายไปเกือบหมด
เพียงคิดว่าเนื้อส่วนบนเหลวลงนิดเดียว
“คราวนี้...” เกาทัณฑ์สั่งต่อ
“คิดว่าฟูกกับเนื้อเราละลายกลืนเป็นอันเดียวกัน”
หยุดเว้นดูท่าทีของหล่อน
พลางส่งใจจับอาการทางกล้ามเนื้อทั่วกายหญิงสาวเท่าที่ตาเห็น
“ยังมีกายอยู่อีกไหมในความรู้สึก?”
“มี...มีลมหายใจเข้าออก”
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าระดับลมหายใจของหล่อนยังค่อนข้างแรง
จึงบอกไป
“ถูกแล้ว ลมหายใจจะยังอยู่กับเราเสมอ
ต่อไปนี้เมื่อหายใจเข้า แอ้จะเห็นแสงสว่างเพิ่มขึ้นในตัวทีละน้อย
ลมหายใจกับแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน”
พักนิดหนึ่ง
เพื่อให้เรือนแก้วจินตนาการตามเฉพาะลมหายใจเข้า
เมื่อเห็นระบายลมออกจึงมอบจินตภาพต่อมา
“ลมหายใจออกจะพาความรู้สึกในกายที่หลงเหลืออยู่ให้หมดลง
เพราะลมหายใจออกกับความรู้สึกในกายเคยคลุกเคล้าเป็นอันเดียวกัน”
พอเขาเห็นหล่อนหายใจเข้าและผ่อนออกจนสุดในครั้งถัดมา
ก็ถามทันที
“รู้สึกสว่างขึ้น
และเหมือนกายหายไปไหม?”
“รู้สึก”
เรือนแก้วตอบราบเรียบ
ริมฝีปากระบายยิ้มเล็กน้อย
“สนใจสายลมเข้าและแสงสว่างให้มากกว่านี้
แล้วจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ”
หญิงสาวจับคำพูดของเกาทัณฑ์ด้วยสติที่เปลี่ยนไปอีกรูปหนึ่ง
ทุกสิ่งปรากฏขึ้นตามคำของเขาราวกับเป็นการบันดาลจากเวทมนตร์
ในหัวเรืองแสงสว่างไสวขึ้นจริงๆ คล้ายเกาทัณฑ์หมุนปุ่มเร่งนีออนรอบๆกายหล่อนได้
กว่าสิบครั้งของลมหายใจเรือนแก้วที่เกาทัณฑ์คุมด้วยคำพูดอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาอัตราเร็วและน้ำหนักลมให้คงตัว
ในที่สุดหล่อนก็รายงานว่า
“สว่างเหลือเกินเต้...แอ้ไม่เคยเห็นใจตัวเองสว่างสวยเท่านี้มาก่อนเลย”
เกาทัณฑ์ซึ่งเป็นผู้ทำการสะกดเองก็กะพริบตาทึ่ง
สัมผัสทางใจบอกว่าเรือนแก้วพบสภาวะที่น่าปีติชื่นใจจริงๆ
เพิ่งซึมซับและตระหนักถึงอำนาจดลบันดาลจากปากตนว่าน่าอัศจรรย์ปานใด
แม้คิดพูดตามอัตโนมัติตามที่เห็นควรเฉพาะหน้า ก็อาจให้ผลเกินความคาดหมายได้ขนาดนี้
“อย่าตื่นเต้น…”
เขาบอกหล่อนทั้งที่ตัวเองนั่นแหละชักใจเต้นกับผลลัพธ์
“แสงสว่างและความสุขสบายนี้จะอยู่กับแอ้ตลอดเวลา
แอ้สามารถรู้สึกได้ใช่ไหมว่ามันคงตัวอยู่อย่างนั้นโดยไม่ต้องบังคับ”
เรือนแก้วนิ่งไปนานเกือบครึ่งนาที
ก่อนรายงานตามจริง
“แสงหรี่ลง...”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอเก้อๆ
พยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะไม่ให้เสียความเชื่อมั่น คิดว่านั่นเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง
เขาไม่ควรพูดตามอำเภอใจจนเกินไป ประเภทสั่งว่าจะให้คงอยู่
จะให้ตรึงสภาพไว้อะไรทำนองนี้ ทุกจุดมีจังหวะเฉพาะหน้าของตัวเองเสมอ
“ถ้าอย่างนั้นหายใจเข้าใหม่ดีๆ
และคิดว่าเราดึงแสงเข้ามาทางลมหายใจ เรามีความอบอุ่นสบายใจเพิ่มขึ้นเพราะลมหายใจเข้านั้น”
เรือนแก้วหายใจยาวลึกกว่าปกติ
พักหนึ่งก็ยิ้มแช่มชื่นออกมาอีก
เกาทัณฑ์รับรู้ได้ว่านั่นเป็นอาการเฉียดสมาธิระดับที่มีปีติหล่อเลี้ยง
ทว่าต่างจากสมาธิปกติคือหล่อนไม่อาจค้ำยืนโดยปราศจากการช่วยประคับประคองจากเขา
“ต่อไปนี้หายใจเข้าทุกครั้ง ให้แอ้คิดว่าเพื่อรักษาแสงสว่างในหัวให้คงที่นะ”
ปล่อยให้หล่อนหายใจอีกสี่-ห้าหนจึงถามใหม่
“แสงสว่างเป็นปกติดีไหม?”
“เป็นปกติ สดชื่นมาก...”
หญิงสาวยิ้มกว้างราวกับยืนสูดอากาศบริสุทธิ์บนผาสูงยามเช้าตรู่
เกาทัณฑ์จับตามองด้วยความพึงพอใจ สูดลมหายใจด้วยความสดชื่นตามไปด้วย
เกิดความรู้สึกว่าตนประสพความสำเร็จอย่างงดงามในเบื้องต้นนี้
คล้ายเรือนแก้วเตาะแตะหัดเดิน
เขาเป็นพี่เลี้ยงเบื้องหลังด้วยความจดจ่อ
มีความนุ่มนวลอ่อนโยนเกิดขึ้นอย่างท่วมท้น
“ผมจะเริ่มให้แอ้ย้อนนึกถึงอดีตแล้วนะ
ตั้งต้นกันที่จุดใกล้สุด ให้คิดว่าเราจะเห็นทุกสิ่งตามที่เคยเกิดขึ้นจริงเท่านั้น”
เมื่อเรือนแก้วเงียบพร้อม
เกาทัณฑ์ก็สั่งแผ่วชัด
“นึกถึงตอนที่ได้ยินผมเคาะประตู
ผมเคาะกี่ครั้ง?”
คล้ายเสียงก๊อก ก๊อกเกิดขึ้นในหัว
หญิงสาวรายงานตามที่ระลึกได้
“สองครั้ง”
“บอกซิว่าแอ้ทำอะไรบ้างเมื่อมาเปิดประตูให้ผม”
หญิงสาวตรึกนึกทบทวน
เริ่มจากจุดที่ตนเองนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนได้ยินเสียงเคาะประตู
เบื้องแรกเหมือนศีรษะหล่อนเป็นถังแก้วที่บรรจุเต็มด้วยน้ำขุ่น
เห็นภาพความจำไม่ถนัดนัก แต่ด้วยแรงดันของสมาธิที่เกิดจากการสะกด
คล้ายน้ำในถังลดฮวบลงเผยให้เห็นภาพชัดสนิท ปราศจากสิ่งปกคลุมมัวมน
นั่นเป็นการพลิกตัวของสมาธิจิตที่ระลึกภาพความจำ
ภาพที่เห็นในหัวปรากฏเป็นรูปทรงสัณฐานสองมิติคับแคบ
แตกต่างจากของจริงที่เป็นสามมิติกว้างโล่งโดยรอบ
ทั้งนี้เพราะภาพที่จิตฉายออกมายังผูกติดกับกายประสาทอันเป็นเสมือนเครื่องขัง
เครื่องมุงบังในเขตแคบจำกัด
และแสงของจิตที่ปราศจากกำลังฌานสนับสนุน
ก็ฉายตัวเพียงมลังเมลือง
คล้ายอยู่ในห้องใต้ดินที่มีแสงสว่างลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างริบหรี่
ภาพนิมิตจึงปรากฏเป็นรูปทรงสีสันชัดเจนในเงาสลัว มิใช่ชัดเจนในแสงสว่างกลางแจ้ง
ด้วยความทรงจำอันสดใหม่ใกล้ปัจจุบัน
เรือนแก้วเห็นตนเองกำลังนั่งสำรวจความพร้อมของหน้าตาในเงากระจก
จำได้ถึงความกระวนกระวายนิดๆเพราะรู้ว่าใกล้เวลานัด และเกาทัณฑ์จะตรงเวลาเสมอ
เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หล่อนดีใจหน่อยๆ ลุกขึ้นจากม้านั่ง หมุนตัวเดินมาทางประตู
ตอนแรกภาพกระโดดๆน่าอึดอัดรำคาญ แต่พอใจคล้อยลงในภาพความทรงจำมากกว่าเก่า
ก็เห็นต่อเนื่องราวกับเกิดขึ้นอีกครั้ง เรือนแก้วสนุกกับประสบการณ์แปลกใหม่นั้นมาก
ก้ำกึ่งในความรู้ตัวว่านั่นเป็นอดีต คละกันกับความรู้สึกตัวบนเตียงนอนในปัจจุบัน
“แอ้ลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง
เดินมาเปิดประตูให้เต้”
เมื่อหล่อนพูด
ภาพชะงักค้างคล้ายเครื่องฉายหยุดเดินลงชั่วขณะ
“พอเปิดประตูแล้วแอ้ก็กลับมานั่งที่เดิม”
เกาทัณฑ์พยักหน้า
“ย้อนกลับมาตอนยังนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งใหม่
แอ้ก้าวเท้าแรกเป็นซ้ายหรือขวา”
เรือนแก้วคิดตาม แล้วเห็นตนเองย่างเท้าขวาออกเป็นก้าวแรก
“ขวา”
ชายหนุ่มพยายามให้หล่อนเจาะลึกลงไปในรายละเอียดรอบด้าน
เพราะเห็นมีความสำคัญในอันที่จะทำให้ตัวรู้ตัวคิดทั้งหมดในอดีตย้อนกลับมา
ให้ทบทวนแม้ความรู้สึกขณะยื่นมือไปสัมผัสลูกบิดประตู
หรือกระทั่งเมื่อเท้าสัมผัสพรมในห้องขณะเดินไปเดินกลับ
“พอนึกถึงรายละเอียดอย่างนี้ทำให้ความเห็นชัดขึ้นไหม?”
ถามอย่างทราบอยู่แล้วเนื่องจากเคยปฏิบัติเองมาก่อน
“ชัดขึ้น”
“คราวนี้ย้อนนึกไปถึงเมื่อตอนเช้า
เราเข้าห้องทำงานของนายชุน...”
เขาให้เรือนแก้วทบทวนบทสนทนา ซึ่งหล่อนเล่าได้อย่างถูกต้องละเอียดลออเป็นฉากๆ
กับทั้งสามารถหัวเราะออกมาได้เบาๆกับบางถ้อยคำและท่าทางที่ออกรสออกชาติของตนเอง
ด้วยเจตนาจะให้นายชุนนึกเอ็นดู
เมื่อเห็นกิริยาและได้ยินน้ำเสียงของตนเองด้วยใจที่กำลังสว่างนิ่งอยู่เหนือภาวะสามัญ
บางทีก็คล้ายเป็นคนหนึ่งเฝ้าดูอีกคน ตลกชอบกล
เรือนแก้วไหลไปตามแรงดึงดูดของกระแสความทรงจำ
บางจังหวะถึงกับตกใจที่สีสันและเส้นสายในภาพมีความคมชัดจนเชื่อสนิทว่าเป็นปัจจุบัน
เพราะสำนึกของตัวตนที่นอนบนเตียงหายหนไปหมด
หล่อนยังคงสภาพรู้เห็นออกมาจากมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง เป็นศูนย์กลาง
เป็นผู้ประจักษ์ ผู้ร่วมโต้ตอบ
บางทีเหลือเพียงอนุสติบางๆว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงภาพอดีตที่จบลงแล้ว
ผ่านเลยไปแล้ว
ภาพส่วนใหญ่แม้คมกริบ
ก็มีลักษณะกระโดดบ้าง ทั้งนี้เนื่องจากยามปกตินั้นคนเราหมกมุ่นฟุ้งซ่าน
สติขาดตอนเป็นห้วงๆ จะเห็นภาพ ได้ยินเสียงที่มีอิทธิพลขนาดสมองเก็บบันทึกลงจิตแค่ครึ่งต่อครึ่งสำหรับคนสติดีทั่วไป
ถ้าใครเหม่อมากหน่อยอาจไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งรอบตัวเลยเป็นนาที
เกาทัณฑ์เริ่มสอบถามเป็นระยะว่าเหนื่อยไหม
ความทรงจำที่ทยอยลำดับมายังชัดเจนอยู่หรือเปล่า
ปรากฏว่าเรือนแกัวยังชอบใจที่จะเกาะติดอยู่กับกระแสความทรงจำอย่างต่อเนื่อง
กระปรี้กระเปร่าพร้อมจะขยับถอยกลับไปเรื่อยๆไม่เหนื่อยล้า
ครึ่งชั่วโมงแรกเกาทัณฑ์ให้หล่อนพูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ที่มีเขาร่วมอยู่ด้วย
เพื่อความแน่ใจว่าหล่อนสามารถระลึกได้จริง และถูกต้องครบถ้วน
เป็นการพิสูจน์ว่าครึ่งที่ตื่นของหล่อนในบัดนี้ เต็มไปด้วยสติแจ่มใสสมบูรณ์แบบ
ถัดจากนั้นจึงเริ่มย่างเข้าสู่โลกส่วนตัวของหล่อนที่เขาไม่เคยรับรู้
โดยตัดสินใจทดลองให้ย้อนแบบก้าวกระโดด
“นึกถึงช่วงวัยรุ่น...”
เขากล่าวสั่งอย่างคลุมเครือ
เพื่อให้ใจหล่อนสุ่มเลือกโดยอิสระ ไม่ผูกโยงอยู่กับเครื่องแบบนักเรียนหรือชุดลำลองในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดๆ
“ตรวจดูซิว่ามีเรื่องราวอะไรที่แอ้ประทับใจ
มีความสุขกับมันมากที่สุด และเด่นขึ้นมาก่อนเพื่อน”
ด้วยเพราะเกาทัณฑ์รับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเพื่อนสาวมีปมทุกข์ใหญ่หลวง
จึงจงใจกระโดดข้ามด้วยการใช้คำพูดให้หล่อนตรึกนึกย้อนเฉพาะเหตุการณ์ที่เป็นสุข
เพื่อผลของการสะกดเริ่มแรกจะได้ไหลลื่นด้วยกำลังปีติจนสุดทาง
อีกอย่างคือในการสะกดครั้งนี้เขาให้หล่อนระลึกถึงสะเก็ดความจำที่ผุดเด่นขึ้นมาเอง
ไม่ให้ต้องใช้ความพยายามเลย เพราะความพยายามนั่นแหละคือตัวสกัดกด มิได้ช่วยดึงความจำขึ้นมาแต่อย่างใด
หญิงสาวเงียบนิ่งไปอึดใจ
ก่อนแย้มยิ้มระรื่นและเล่าว่า
“แอ้ซ้อนท้ายจักรยานเพื่อน
มืออุ้มลูกหมาที่พ่อซื้อให้ เป็นพันธุ์ปักกิ่ง ขนยาวขาวนุ่ม ชื่อก๋วยจั๊บ”
เกาทัณฑ์ขมวดคิ้วหน่อยๆ
“กำลังซ้อนจักรยานใครไปไหน?”
ใบหน้าเรือนแก้วเปื้อนด้วยรอยยิ้มสดใส
“เขามารับไปกินไอติมด้วยกันที่หน้าหมู่บ้าน”
เป็นวาระที่เกาทัณฑ์รู้ใจตนเองชัดเดี๋ยวนั้น
ว่าความผูกพันที่มีต่อเรือนแก้วไม่อาจเรียกว่าเป็นเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจ
เพราะอารมณ์เริ่มเจือด้วยความขุ่น สิ่งที่ผุดพลุ่งขึ้นมาจากอกในยามนั้นคือความริษยาเจ้าหนุ่มนิรนามผู้ถือแขนจักรยานนำหล่อนในอดีตไปสวีทจี๋กันตามประสาวัยรุ่น
สีหน้าเรือนแก้วฟ้องชัดว่าหลงใหลได้ปลื้มหมอนั่นเพียงใด รักแรกก็อย่างนี้แหละ...
แปลบปลาบอยู่ชั่วครู่ก่อนข่มอกข่มใจให้เป็นปกติ
ระลึกว่าตนกำลังทำหน้าที่ใดอยู่ อย่างไรก็ตาม คำถามต่อมาก็สนธิมาจากความรู้สึกค้างคาที่เจือด้วยการเอาตัวเองเข้าไปพัวพันนั่นเอง
“แอ้รักเขามากไหม?”
ถามเสร็จจึงเพิ่งสำนึกว่าเป็นการซอกแซกเรื่องส่วนตัว
เสียมารยาทยิ่ง และนั่นก็ถูกสะท้อนด้วยปฏิกิริยาปฏิเสธจากหญิงสาว
หล่อนไม่ถูกสะกดลึกขนาดถูกครอบงำจนไร้ความเป็นตัวของตัวเองถึงที่สุด
จึงมีความคิดยับยั้ง ตอบเขาเพียงด้วยรอยยิ้มเฉยเมย
เกาทัณฑ์รู้ตัวว่ากำลังออกนอกลู่นอกทาง
ซึ่งอาจฉุดให้การสะกดสะดุดอยู่แค่นั้น จึงรีบจินตนาการเห็นตนเองเป็นสุญญากาศ
เพื่อให้น้ำเสียงและความต้องการที่เข้ากระทบใจเรือนแก้วเป็นกลางที่สุด
“ไอติมที่แอ้สั่งมาทานคราวนั้นรสอะไร?”
“ช็อกโกแล็ต...ช็อกโกแล็ตซันเดย์
แอ้ชอบที่สุด”
“จำความเย็น
จำรสที่แตะลิ้นในคราวนั้นได้ไหม?”
“จำได้”
“ลองนึกถึงกลิ่น
นึกถึงบรรยากาศทั่วไปในร้าน ชัดไหม?”
“ชัด ในร้านเปิดไฟนีออนสว่าง
อากาศโปร่ง เย็นสบาย กลิ่นใหม่สะอาด
โต๊ะเก้าอี้ลายไม้สีน้ำตาลอ่อนกับข้างฝาทาสีครีม
มีภาพไอติมแปะอยู่แบบลดหลั่นต่ำสูง มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หลังบาร์เคาน์เตอร์...”
“จำได้ไหมว่าวันนั้นเป็นวันอะไร?”
แม้ความคิดและความรู้สึกขณะทานไอศกรีมจะเด่นชัดในหัวราวกับอยู่ในอดีตจริงๆ
แต่การย้อนนึกวันเวลากลับต้องอาศัยความพยายามในภาวะปัจจุบัน
เพราะตัวตนในร้านไอศกรีมไม่ได้มีจุดใดโยงใยถึงวันเวลาให้ระลึกได้
เรือนแก้วหยุดทบทวนเป็นครู่จนหัวคิ้วขมวด
ก่อนตอบด้วยเสียงค่อยลง
“จำวันไม่ได้ รู้แต่เป็นวันเรียน
เพราะใส่ชุดนักเรียนอยู่”
นั่นเป็นอีกข้อเท็จจริงหนึ่ง
จิตซึมซับไว้เฉพาะการประมาณเวลาและเหตุการณ์สำคัญ ไม่ใช่วันที่ เดือน
และปีละเอียดชัดเหมือนอย่างบันทึกของนักสะกดจิตบางเจ้าที่ระบุได้เป็นตุเป็นตะ
ราวกับมีปูมบันทึกฝังอยู่ในหัวผู้ถูกสะกด
“อย่าเคร่งเครียด
คราวหลังถ้านึกไม่ออกก็ไม่ต้องเค้นนะ...แอ้รู้ตัวไหมว่ากำลังเป็นเด็กลง?”
เรือนแก้วทบทวนคำถามเขา
ประมวลอยู่ครู่หนึ่ง ใจย้อนกลับเป็นตัวของตัวเองในปัจจุบันชั่วขณะ
แต่แวบเดียวก็หันกลับไปหาอดีตหวานชื่นมื่นในร้านไอศกรีม
ความคิดในหัวยามอยู่ในวัยนั้นกระจัดกระจาย
ไม่คมกริบเป็นหนึ่งเดียวเหมือนวัยใส่สูททำงานในบริษัทใหญ่ หัวอกหัวใจเคยมีแต่สีชมพู
มองโลกอภิรมย์ ต้องการการเอาอกเอาใจและคำพูดอ่อนโยนเหนือสิ่งอื่นใด
“ใช่
เหมือนแอ้เป็นวัยรุ่นอีกครั้งจริงๆ แอ้เห็นหน้าเขา ได้ยินเสียงเขา
รู้ความคิดในหัวของตัวเอง แปลกดีจังเลยเต้ มันไม่เหมือนความคิดเดี๋ยวนี้เลย
อย่างกับเป็นคนละคนแน่ะ”
ในที่สุดหล่อนก็ตอบแผ่วเบา
ภาคของจิตที่คิดพูดเช่นนั้นคล้ายเจือจางอยู่ที่สุดพื้นของสำนึกรู้ว่าหล่อนเป็นหล่อนบนเตียงนอนเดี๋ยวนี้
เกาทัณฑ์เห็นเพื่อนสาวตระหนักเช่นนั้น
ตนเองก็เกิดความเห็นอนิจจตาตามไปด้วย
และผุดคำพูดอันปรุงขึ้นด้วยอนิจจสัญญาโดยแทบมิได้เจตนา
“ตัวที่เห็นกายใจเป็นเรานั่นแหละคืออุปาทาน
แท้จริงร่างกายและความนึกคิดคลี่คลายไปเป็นอื่นตลอดเวลา กายใจในเวลานี้
วันหนึ่งก็จะเป็นอดีตเมื่อมองย้อนกลับมาจากอนาคตที่แตกต่างออกไป”
ขณะพูด
เกาทัณฑ์เกิดความรู้สึกราวกับไม่ใช่เขา แต่เป็นอีกตัวตนหนึ่งซึ่งอยู่สูงกว่าจิตสำนึกยามปกติ
เรียกว่าเป็นภาวะเกินตัวจริงไปชั่วขณะที่เกิดปัญญาธรรม
ฝ่ายเรือนแก้ว แม้เป็นขณะแห่งการสะกด
มิใช่ด้วยปัญญาส่องรู้ด้วยเจตนาของตนเอง หล่อนก็พิจารณาและเห็นตามได้
จิตเกิดความสลดสังเวชขึ้นมาวูบวาบเมื่อตระหนักว่าอดีตแสนหวานเลือนหายไปหมดแล้ว...
”ลองสืบสาวดูซิว่าหลังออกจากร้านไอศกรีมแอ้ไปเที่ยวไหนกับเขาคนนั้นต่อ”
“เขาพาแอ้กลับมาส่งที่บ้าน
แล้วแยกกลับไป”
“แล้วแอ้ทำอะไรต่อ?”
คราวนี้ภาพความจำเริ่มสะดุดอีก
คล้ายกระโดดจับราวโหนตัวอันแรกไว้ได้ แต่เมื่อจะเหวี่ยงขึ้นคว้าราวต่างระดับที่อยู่สูงขึ้นไป
ก็คว้าพลาดแบบฉิวเฉียดเพราะกำลังที่ใช้เหวี่ยงตัวยังไม่แรงพอ
“นึกไม่ออก”
หล่อนรีบบอก
เพราะเกาทัณฑ์เคยสั่งไม่ให้เค้นนึก
“ช่างเถอะ
แสดงว่าเหตุการณ์ต่อมาไม่น่าสนใจพอ”
ไล่เลียงความเป็นมาสมัยวัยรุ่นอีกพักใหญ่
ฟังเรื่องราวในโรงเรียนมัธยม ในบ้าน และสถานที่ท่องเที่ยว
จากนั้นเกาทัณฑ์ให้เรือนแก้วย้อนนึกถึงวัยเรียนชั้นประถม จึงได้มีโอกาสเห็นกับตา
ได้ยินกับหูว่าผู้ถูกสะกดที่ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งนั้น
กิริยาท่าทางขณะเล่าดูเหมือนกลายเป็นเด็กน้อยจริงๆ
“...แอ้นอนตัวร้อน แต่ก็มีความสุขมากที่พ่อยอมเสียเวลาก่อนไปทำงานมาป้อนข้าวต้มให้
ถึงจะแค่สิบนาทีก็เหมือนได้พ่อไว้เป็นของแอ้ทั้งวัน...”
เกาทัณฑ์มองหล่อนด้วยแววปรานี
แท้จริงเรือนแก้วผูกพันกับพ่อไม่น้อยกว่าแม่เลย
เขาจี้ให้ระลึกถึงพ่อในแง่ดีอีกหลายๆครั้ง โดยคาดหมายว่าเมื่อตื่นจากสะกด
หล่อนจะมีความรู้สึกกับพ่อดีขึ้นมาก
กระทั่งอดีตดำเนินย้อนมาตามลำดับ
เกาทัณฑ์ลองลงลึกไปอีกขั้น
ตัดสินใจให้ย้อนไปถึงเบื้องต้นชีวิตอย่างเตรียมจบการสะกดครั้งแรก
“คิดถึงเหตุการณ์ที่สนุกที่สุดสมัยเรียนอนุบาล...”
ดังกำหนดไว้แต่แรกว่าการสะกดครั้งนี้จะให้เรือนแก้วเห็นว่าชีวิตตนเป็นบรมสุข
เมื่อหล่อนตื่นจากการสะกดจะแช่มชื่นเบิกบานเป็นพิเศษ
เขาจึงไม่สะกิดปมร้ายขึ้นมาเลย แม้ทราบว่าโดยหลักการแล้ว
นั่นเป็นวิธีรักษาบาดแผลที่ดีเยี่ยม
เกาทัณฑ์อยากมั่นใจกับตนเองว่าการสะกดครั้งแรกนี้จะไม่มีสิ่งเกินความคาดหมายเหนือการควบคุมใดๆ
นั่งฟังเพื่อนสาวเล่าถึงชีวิตยามเป็นหนูน้อยตัวจ้อย
ไม่ว่าจะเป็นระดับเสียงเล็กใส วิธีเลือกคำพูด วิธีแสดงความคิด
หรืออาการลังเลสับสนวกวนในบางคราว
ล้วนแต่เป็นกิริยาของทาริกาผู้เยาว์ต่อโลกทั้งสิ้น ชักนึกเสียดาย
ถ้ารู้ว่าจะได้ผลอย่างนี้ เขาจะยอมควักกระเป๋าซื้อเครื่องบันทึกเสียงจากร้านขายในออร์เชิร์ดสตรีทมาเก็บความน่าประทับใจไว้ฟังเล่นนานๆ
“...แม่เป็นคนตั้งชื่อให้
แอ้รักเจ้าเอ้เตมากกว่าจุ้มปุ๊ก”
หล่อนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อกระต่ายน้อยสองตัวในครอบครอง
“ตอนเจ้าเอ้เตจับผักบุ้งเคี้ยวมันทำท่าน่ารักดี...”
ชายหนุ่มหัวเราะโดยปราศจากสุ้มเสียง
ความรู้สึกคล้อยลงอ่อนโยนตามราวกับโลกใสในวัยเด็กมาปรากฏตรงหน้าตนด้วย
เขาปล่อยให้หล่อนวิ่งเริงร่าโดยยืนระวังเฝ้าดูอยู่ที่ข้างสนาม
รู้ว่าเรือนแก้วจะไม่พลัดหลงไปไหน
เรือนแก้วระลึกดิ่งกลับไปไกลขนาดนี้
ไม่ถือว่าธรรมดาเลย โดยเฉพาะในการสะกดครั้งแรก เขาเพลินฟังเรื่องราวในวัย 2-3
ขวบของหล่อน และถอยกลับไปก่อนหนึ่งขวบในที่สุด
“...ตอนแอ้อยากให้แม่อุ้ม
แอ้ขยับมือเท้าไม่ได้ ความรู้สึกอยากร้องไห้มันออกมาเอง...”
นั่นคือความก้ำกึ่งมีสติคิดพูดได้อย่างหญิงสาวที่โตแล้ว
กับความอ้อแอ้ของเด็กแบเบาะ เกาทัณฑ์อยากทดลองอะไรบางอย่าง ตามความรู้จากการอ่าน
เขาทราบว่าเด็กแบเบาะนั้น แม้ยังไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก ไม่รู้ความ
แต่กลับหลับฝันได้อย่างชวนให้พิศวงสนเท่ห์ยิ่ง
ทางแพทย์รู้ว่าใช่แน่เพราะอาการกลอกตาขณะหลับอย่างคนฝัน
ไม่รู้เท่านั้นว่าเด็กๆเห็นหรือได้ยินสิ่งใดในหัว
ตอนนี้เขาอาจมีโอกาสสืบรู้
ไขภาพและเสียงอันลี้ลับน่าใคร่รู้ในหัวของเด็กหญิงเรือนแก้วได้
“นึกถึงตอนแอ้ปิดตาง่วงจะหลับลงกับบ่าของคุณแม่”
เขาสั่งอย่างนุ่มนวลแบบพูดกับเด็ก “จำภาวะความรู้สึกได้ไหม?”
“จำได้”
หล่อนตอบทันที
“ลองนึกให้ดีซิว่าพอปิดตาหลับแล้วฝันอะไรชัดๆบ้าง”
คราวนี้เรือนแก้วนิ่งไปนาน
อาการนอนราบของหล่อนดูเป็นปกติ แต่ใบหน้าเริ่มปรากฏริ้วรอยเคร่ง
ซึ่งเกาทัณฑ์จับสังเกตเห็นได้ถนัด
“เต้...เหมือนเตียงหมุน”
หล่อนหมายถึงเตียงที่กำลังนอนอยู่เดี๋ยวนี้
ไม่ใช่ความจำในวัยเด็กอีกต่อไป กระแสแปลกชนิดหนึ่งซึมแทรกเข้ามาทีละน้อย
ปั่นวนอยู่ในหัว และทำให้เห็นเหมือนเตียงหมุนเวียนจากซ้ายไปขวาแรงขึ้นทุกขณะ
เกาทัณฑ์เบิกตานิดหนึ่ง
ด้วยเพราะเตรียมรับมือกับสิ่งไม่คาดฝันมาแต่ต้น
จึงตั้งสติได้ไวเท่ากับที่รู้เห็นอาการผิดปกตินั้น
“แอ้...” เขาเรียกหล่อนเสียงเข้ม
“ผมนั่งอยู่ข้างๆ เห็นชัดเลยว่าเตียงไม่ได้หมุน
นี่เป็นแค่ความไม่สมดุลในร่างกายแอ้นิดหน่อย อย่ากลัว ลองยกมือซ้ายขึ้นซิ”
เรือนแก้วต้องใช้ความพยายามเป็นครู่
กว่าจะดึงความรู้สึกทางกายกลับมา และทราบว่ามือซ้ายอยู่ตรงไหน ตอนสมองสั่งให้ยกขึ้นนั้นต้องใช้ความพยายามอย่างหนักราวกับมือตนเองเป็นของจับแล้วหลุด
จับแล้วหลุด
“นี่มือผม”
เกาทัณฑ์กล่าวขณะรวบมือหล่อนไว้ในอุ้งมือตนมั่นคง “รู้สึกได้ใช่ไหม?”
“รู้สึก”
“จับสัมผัสที่มือไว้
เพราะผมอยู่ที่ความหยุดนิ่ง แอ้ก็ต้องนิ่งด้วยเช่นกัน”
พลังในน้ำเสียงมั่นคงของเขาที่แฝงกระแสบางอย่างมาในอากาศ
เมื่อรวมเข้ากับไออุ่นในอุ้งมือแข็งแรง
ทำให้ความเคว้งงงและการหมุนของเตียงค่อยๆจางลงราวกับม้าหมุนจะหมดรอบ
และในที่สุดก็แน่นิ่ง ปลอดภัยเป็นปกติจนได้
“หยุดหมุนแล้ว...”
เกาทัณฑ์ถอนใจโล่งอก ปล่อยมือหล่อนวางราบตามเดิม
เตรียมสั่งให้หล่อนถอยย้อนกลับสู่สภาพปกติเพื่อยุติการสะกด
“หายใจเข้าให้เต็มปอด
แล้วระบายช้าๆ...”
ประวิงเวลาก่อนตื่นของเรือนแก้วเพื่อให้ทั้งร่างกายและจิตใจคืนสู่สภาพสมดุลเดิม
กล่อมให้หล่อนเห็นตนเองในปัจจุบันไล่มาเรื่อย กระทั่งบุคลิกทั้งหมดกลับเป็นปกติแน่แล้ว
เกาทัณฑ์จึงบอกในขั้นสุดท้าย
“แอ้อยู่กับผมในห้องพักของแอ้เอง
ตอนนี้เหมือนเราไปเที่ยวและกลับถึงบ้านเรียบร้อย
ฟังผมนับห้าถึงหนึ่งเพื่อให้แอ้เตรียมใจตื่น พอได้ยินเสียงดีดนิ้วให้ลืมตาช้าๆ”
เขานับ ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง
แล้วลัดนิ้วแป๊ก เปลือกตาหญิงสาวแย้มเปิดขึ้นครึ่งหนึ่งทันที
แล้วจึงค่อยๆเบิกเต็มหน่วยในเวลาต่อมา
นัยน์ตาหล่อนกลอกมาหาเขา
ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข เกาทัณฑ์ยักคิ้วให้ทีหนึ่ง
“เป็นไงมั่ง?”
เรือนแก้วมองเพื่อนชายด้วยแววทอดสนิท
เมื่อครู่หล่อนยอมตกอยู่ในมือเขา ให้เขาชักจูงไปทุกหนทุกแห่ง
บัดนี้คล้ายเขาผูกพันกับหล่อนมาทั้งชีวิต นั่นเป็นผลลัพธ์อย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น
นึกอยากลุกขึ้นกอดเขาอย่างจะแสวงหาความอบอุ่นสักครั้ง
แต่เกรงจะเข้าใจผิดและนึกดูถูก จึงได้แต่ดึงกายขึ้นนั่ง ปัดผมเผ้าให้เรียบร้อย
“เพิ่งเคยสะกดแอ้เป็นคนแรกจริงๆเหรอ?”
“จริงสิ”
“รู้สึกยังกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเลยนิ”
แล้วหล่อนก็หรี่ตารำพึง
“รู้สึกแปลกดีจัง”
ทดลองเลื่อนแขนเปลี่ยนที่วางมือ
สัมผัสแห่งความเป็นปัจจุบันช่างน่าจับสังเกตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หล่อนขยับเขยื้อนอย่างมีสติเดี๋ยวนี้ อีกสิบนาทีข้างหน้าจะยังประทับอยู่ในความทรงจำให้สามารถย้อนระลึก
ประสบการณ์ในชีวิตมนุษย์มีความหมายเพียงเพื่อให้ถูกจำและถูกลืมเท่านี้เองล่ะหรือ?
“ขอบใจนะที่พยายามทำให้แอ้รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีความสุข”
สายตาที่เบนมามองเขาทอดอ่อนด้วยกระแสความขอบคุณ
“แอ้ชักสนุกกับการสังเกตสัมผัสและรายละเอียดต่างๆในปัจจุบันแล้วสิ…”
“นั่นแหละเบื้องต้นของการปฏิบัติธรรมในวิถีพุทธ
มีสติอยู่กับรายละเอียดจนเกิดตัวรู้ มองเห็นกาย มองเห็นความคิดแยกกันเป็นชั้นๆ
เพียงแค่ถามตัวเองว่ากำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไรต่อผัสสะหนึ่งๆ
ซึ่งเมื่อปฏิบัติถึงระดับ ‘ขึ้นใจ’ แล้วจะเกิดผลมากมาย อย่างถ้าย้อนระลึกอดีต
ก็จะเกิดตัวรู้ตัวเห็นที่ชัดเจนสมจริงมาก”
เรือนแก้วอ้าปากจะพูดโต้ตอบ
แต่ก็ต้องตกใจสะบัดหน้าและอุทานอุ๊ยเบาๆเมื่อประตูห้องเปิดผางโดยแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ
อาคันตุกะหน้าเหี้ยมสองคนรุกล้ำเข้ามาอย่างพรวดพราด คนหนึ่งงับประตูปิดลงอย่างรวดเร็ว
อีกคนกรากเข้าชี้ปืนขู่เจ้าของห้องในระยะห่างเพียงสองเมตร
“เฉยๆแล้วกูจะไม่ทำอะไรพวกมึง!”
เสียงสั่งเป็นภาษาอังกฤษกระชากห้วน
ปืน .38 ออโต้ในมือแผ่กระไอทมิฬมืดออกมาจากรูกระบอกดำลึก กดให้รู้สึกอยากหดหัว น่ากลัวจนเชื่อได้ทันทีว่ามีลูกปืนในรังเพลิง
พร้อมระเบิดออกมาทะลุเป้าหมายอย่างมนุษย์เนื้ออ่อนให้เจ็บดิ้นหรือสิ้นชีพเพียงลงมือกระดิกนิ้ว
สองหนุ่มสาวเบิกตาค้าง
ตะลึงงันจนลำคอตีบตัน พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
กลิ่นอายเพชฌฆาตอันเหม็นหืนที่ลอยมาจากร่างป้อมเป็นมะขามข้อเดียวนั้น
กลบกลิ่นหอมอวลในห้องลงสิ้น
บางคนที่ฆ่ามนุษย์ไว้มากจะมีกลิ่นขื่นเขียวชวนสะอิดสะเอียนเฉพาะตัวที่ฟอกล้างด้วยสบู่ไม่ออก
เกาทัณฑ์เคยพบมาก่อน
และทำให้ทราบทันทีว่าหมอนี่ฆ่าเขาง่ายเป็นผักปลาดังตาประกาศแน่
เรือนแก้วเหมือนถูกตรึงด้วยตะปู
เพราะหวาดกลัวจนระบบประสาทชาไปหมดทั้งร่าง
สิ่งแรกที่ทำเมื่อคลายจากอาการแข็งค้างได้หน่อยคือถลันข้ามเตียงไปขออาศัยร่างเพื่อนหนุ่มเป็นกำบัง
เบียดกอดเกาทัณฑ์จากเบื้องหลังแน่นทั้งเนื้อตัวสั่นเทา
ขณะโจนตัวก็ขนหัวลุกเพริดแทบอยากหวีดร้องด้วยเกรงจะยินเสียงปืนลั่น และมีพญายมมากระชากวิญญาณตน
ยังดีที่หมอนั่นรู้ว่าเป็นกิริยาที่เกิดจากความประสาทเสีย
เยือกเย็นพอจะจ่อปืนเฉย เรือนแก้วซุกหน้าแอบลงกับต้นคอเพื่อนหนุ่ม
เผยตาข้างเดียวดูชายผู้มีใบหน้าเหลี่ยมหักราวกับยักษ์มาร
นัยน์ตาโปนโตอำมหิตที่เพ่งอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญใกล้ตัวในบัดนี้ สร้างความหมายของคำว่า
‘ประสบการณ์’ ขึ้นใหม่ในใจหล่อน เอี่ยมอ่องที่สุดในชีวิต
“เต้...”
สุ้มเสียงสั่นกระเส่าอย่างน่าสงสารนั้น
ปลุกเกาทัณฑ์ให้ตั้งสติกลับสู่สถานการณ์จริงอย่างฉับพลัน
อย่างน้อยก็รับรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน และเป็นเรื่องที่เขาต้องคิดอ่านรับมือโดยด่วน
ถ้าปล่อยให้ความตกใจกลัวเข้าครอบงำ
สิ่งเลวร้ายอาจยิ่งร้ายถึงที่สุดเกินกว่าจะผ่อนหนักเป็นเบาได้
เรื่องไม่คาดฝันมีอยู่มากมาย
จะร้ายหรือดีล้วนปรากฏเหมือนความบังเอิญ
แต่น้อยคนจะรู้ว่าเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับวิถีชีวิตอย่างแรงนั้น
ที่แท้เป็นวิบากกรรมอันมีจริง เห็นได้จริง ไม่มีเรื่องใดบังเอิญเลย จะเป็นเวลาไหน
โยงใยกับใคร กรรมเป็นผู้คัดเลือกทั้งสิ้น
มีเริ่มต้องมีจบ
ทุกคนที่เผชิญเหตุร้ายต่างภาวนาให้จบลงด้วยดีที่สุด โดยเร็วที่สุด
แต่คนเราให้เล่นกีฬาที่ไม่เคยลงสนามจริงนั้น
ใครเล่าประมาณแพ้ชนะ ประมาณช้าเร็วได้ว่าเมื่อไหร่จบ?
ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น