ถาม : ฟังจากที่คุณดังตฤณอธิบายอานิสงส์ของทานและศีลมา
ดูเหมือนให้ผลเหมือนเป็นอันเดียวกัน อยากทราบว่าตกลงทานกับศีลคือสิ่งเดียวกันหรือ
จึงให้ผลเหมือนกัน?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒
ดังตฤณ:
ทั้งทานและศีลเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้อ่อนโยน มีความสว่างไม่มืดทึบ มีความเปิดกว้างไม่คับแคบ เป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันและกัน เช่น เมื่อทำทานจนชอบเป็นผู้ให้ ย่อมกระดากแม้จะเป็นผู้รับสักครั้ง ไหนเลยจะริอ่านผิดศีลขโมยของใครมาเป็นของตน
คนเรามีสมบัติหลายแบบ
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสชี้ความจริงให้แก่เหล่าคนร่ำรวย
ท่านก็กล่าวว่าศีลคือสมบัติชนิดหนึ่ง ผู้มีศีลเป็นสมบัติ
คือถึงพร้อมด้วยศีลโดยเจตนาเว้นขาดจากความชั่ว ย่อมรับอานิสงส์ ๕ ประการคือ
๑) ได้กองโภคทรัพย์ใหญ่หลวง
๒)
ชื่อเสียงอันดีงามของคนที่ถึงพร้อมด้วยศีลย่อมเฟื่องฟุ้งไป
๓)
เป็นผู้แกล้วกล้าไม่ขวยเขินในการเข้าที่ชุมชน ไม่ว่าจะเป็นพวกไหนเหล่าใด
๔)
ไม่หลงเลอะเทอะขณะกำลังจะตาย
๕)
เบื้องหน้าหลังจากกายนี้ดับลง ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
สรุปคือถือศีลดีๆได้ทั้งเงิน
ได้ทั้งชื่อเสียง ได้ทั้งความเชื่อมั่นในตนเอง ได้ทั้งสติ ได้ทั้งสวรรค์
ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากการทำทานดีๆแต่อย่างใดเลยครับ (อานิสงส์ของศีลไม่ใช่ว่ามีแค่ ๕
ข้อเท่านี้ ยังมีผลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา ชาติตระกูล สติปัญญา และอื่นๆทั้งหมด
ที่พระพุทธองค์ตรัสนี้เพื่อให้เห็นอย่างถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติภายนอกและสมบัติภายในเท่านั้น)
เรื่องของเรื่องคือหาคนที่พร้อมบริบูรณ์ทั้งทานและศีลได้ยาก
บางคนชอบทำทานแต่ไม่ชอบรักษาศีล บางคนชอบรักษาศีลแต่ไม่ชอบทำทาน
ผลเลยออกมาลักลั่นอย่างที่เห็นโดยทั่วไป เช่น บางคนสุดหล่อสุดสวย
แต่ยากจนและมีเครื่องยั่วให้เอาตัวไปขาย บางคนฐานะดีมีปัญญาครบ
แต่ขี้ริ้วขี้เหร่จนเป็นปมด้อยไปทั้งชาติ
หากพบเจอคนที่มีพร้อมไปทุกด้าน
ทั้งรูปร่างหน้าตา ความภูมิใจในเพศแห่งตน ฐานะการเงิน เกียรติยศชื่อเสียง
ตลอดจนสติปัญญาความรู้ความสามารถ ก็ขอให้ทราบเถิดว่าในอดีตพวกเขาบำเพ็ญทั้งทานทั้งศีลไว้ไม่บกพร่องครับ
และการทำทานรักษาศีลในปัจจุบันของพวกเขาก็จะเป็นตัวกำหนดต่อไป
ว่าข้างหน้าจะยังคงเลิศเลอสมบูรณ์แบบเหมือนที่เห็นอยู่หรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น