ถาม :
อวิชชาคือความไม่รู้ และพระอรหันต์เท่านั้นที่ฆ่าอวิชชาได้
แสดงว่าพระอรหันต์ท่านรู้ทุกอย่างใช่ไหม?
> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๑
ดังตฤณ:
คนที่รู้ทุกอย่าง รู้ทั้งหมด เรียกว่า ‘สัพพัญญู’ ครับ บุคคลที่เป็นสัพพัญญูต้องเป็นพระอรหันต์ และพระอรหันต์องค์นั้นต้องสำเร็จธรรมด้วยตนเอง กับทั้งสามารถเผยแผ่วิธีสำเร็จธรรมสูงสุดให้แก่ผู้อื่น ด้วยการก่อตั้งพุทธศาสนาขึ้นมา เรียกว่า ‘พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า’
การจะเป็นองค์สัพพัญญูได้นั้น
มิใช่ด้วยความตั้งปรารถนาว่าจะบำเพ็ญบุญเพื่อให้รู้แจ่มแจ้งไปทุกเรื่อง
แต่ต้องเริ่มต้นด้วยความปรารถนาว่าจะช่วยให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยมหากำลังของตนเอง
และบำเพ็ญบารมีในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมทุกข์มาเป็นอนันตชาติ ด้วยรูปแบบต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นบริจาคทรัพย์ บริจาคอวัยวะ ช่วยคนตกยาก ตั้งใจรักษาศีล ตลอดจนทำสมาธิ
ทำวิปัสสนา กระทั่งชาติสุดท้ายเมื่อบารมีเต็ม
ดุจมหาบุรุษผู้สามารถว่ายน้ำข้ามห้วงสมุทรจนบรรลุถึงฝั่งที่เรียกว่า
‘อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ’ ได้สำเร็จ
เมื่อนั้นท่านจะสำเร็จอรหัตตผลโดยไม่มีใครบอกวิธี
กับทั้งมีบารมีสอนมนุษย์และเทวดาให้เป็นพระอรหันต์ตามท่าน
การที่จะสอนทั้งมนุษย์และเทวดาอินทร์พรหม
ก็จำเป็นต้องรู้แจ้งทุกจริต ทุกอัธยาศัยใจคอ กับทั้งรู้ทุกคำตอบที่ใครๆจะถาม
ขืนถามแล้วตอบไม่ได้ก็คงเป็นที่เชื่อถือลำบาก
เหตุนี้เองเป็นที่มาของญาณหยั่งรู้ทุกสิ่ง
สมบารมีตามธรรมชาติแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า
กลับมาเรื่องอวิชชา เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าอวิชชาคืออะไร
ผมจะพาคุณไปทำความรู้จักกับอวิชชาในตัวคุณเองในหลายแง่หลายมุมเดี๋ยวนี้
๑) เมื่อแรกลืมตาดูโลก
คุณไม่รู้อะไรมากไปกว่ามีคุณอยู่จริง และ ‘เพิ่งเกิดมา’ เป็นตัวนี้ตนนี้
ได้ดีหรือตกยากแบบนี้ ไม่นอกเหนือไปจากนี้ แม้เมื่อมีการบอกกล่าวว่าชาติก่อนมี
คุณก็ไม่ทราบจะเอาความสามารถใดไปเชื่อ หรือแม้อยากปักใจเชื่อ
ก็ไม่ทราบจะเอาความสามารถใดไปรู้แจ้งเห็นจริง
นอกจากดันทุรังถกเถียงกันแบบยืนกระต่ายขาเดียวอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง
นี่นับเป็นอวิชชาได้อย่างหนึ่ง
ตรองดูจะเห็นว่าการเชื่อเรื่องชาติก่อนด้วยศรัทธา
ยังไม่จัดเป็นวิชชาที่ทำลายอวิชชาข้อนี้ แต่การเห็นแจ้งด้วยสมาธิขั้นสูง
ย้อนถอยความจำไปได้เป็นลำดับ ในวันที่ผ่านมา ในเดือนที่ผ่านมา ในปีที่ผ่านมา
ในหลายสิบปีที่ผ่านมา กระทั่งทะลุช่วงคาบเกี่ยวแห่งมิติก่อนลืมตาดูโลกในชาติปัจจุบัน
เห็นแจ้งว่าก่อนเกิดชาตินี้คุณเคยมีชีวิตอื่น ซึ่งนับแต่เห็นแจ้งนั้นเอง
ศรัทธาว่าอดีตชาติมีจริงย่อมตั้งมั่นไม่กลับไม่เปลี่ยน
การรู้แจ้งเห็นจริงได้เช่นนี้เรียกว่าเกิดวิชชาคือ ‘ปุพเพนิวาสานุสติญาณ’
อย่างไรก็ตาม
วิชชาว่าด้วยการระลึกชาตินี้ เอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปไม่ได้ ตายไปก็อาจกลับกลอก
เปลี่ยนไปเป็นพวกไม่เชื่อ ไม่รู้ไม่เห็นอดีตชาติได้ใหม่
เผลอๆเข้ากลุ่มต่อต้านความเชื่อเรื่องอดีตชาติ
กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ตั้งเข็มพิสูจน์ความไม่มีของอดีตชาติก็ยังได้ วิชชาว่าด้วยการระลึกชาติจึงไม่ได้ชื่อว่าทำลายอวิชชาลงจริงๆ
แค่กดหัวอวิชชาได้บางส่วนในชาติที่สำเร็จปุพเพนิวาสานุสติญาณเท่านั้น
ในทางกลับกัน แม้เป็นพระอรหันต์
ก็ไม่ใช่พระอรหันต์ทุกองค์ที่รู้เรื่องอดีตชาติของตนเอง
หรือถึงรู้ก็รู้ได้ละเอียดแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีทางอภิญญาอ่อนแก่ของแต่ละท่าน
๒) หากชาตินี้คุณได้ดี
แล้วสำคัญแต่ว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูง โดยไม่รู้ว่าเคยทำทานกับใคร
เคยรักษาศีลสำเร็จกี่ข้อ หรือหากชาตินี้คุณตกยาก
แล้วสำคัญแต่ว่าตัวเองเป็นชนชั้นต่ำ โดยไม่รู้ว่าเคยตระหนี่อย่างไร
เคยผิดศีลมาโชกโชนขนาดไหน พูดง่ายๆโดยรวบรัดว่าไม่รู้จักกรรม
ไม่รู้จักวิบากของตนเอง ซึ่งก็ย่อมไม่อาจรู้จักกรรมวิบากของผู้อื่นด้วย
อดีตอนาคตเป็นมาเป็นไปอย่างไรและจะเป็นไปท่าไหนไม่รู้เลย
นี่นับเป็นอวิชชาได้อีกอย่างหนึ่ง
เพื่อที่จะรู้เรื่องกรรมวิบากของตนเองและผู้อื่น
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์ แค่ตั้งความเห็นให้ถูก
เชื่อว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุ รูปชีวิตทั้งหมดคือผลของกรรม
ทำดีต้องได้ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำชั่วต้องได้ชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อเจริญอยู่ด้วยความเห็นชอบเช่นนั้นก่อน
แล้วสำเร็จสมาธิชั้นสูงอันผ่องแผ้วในภายหลัง ก็เป็นไปได้ที่จะสำรวจตรวจดูตามจริง
ว่ารูปนามของคุณเองและผู้อื่นไหลมาแต่บุญบาปอันใด
และที่กำลังทำๆอยู่จะนำไปสู่สุคติหรือทุคติ รู้ได้เช่นนี้เรียกว่าเกิดวิชชาคือ
‘จุตูปปาตญาณ’
อย่างไรก็ตาม
วิชชาว่าด้วยการรู้แจ้งกรรมวิบากนี้ เอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปไม่ได้
ตายไปก็อาจกลับกลอก เปลี่ยนไปเป็นพวกไม่เชื่อ ไม่รู้ไม่เห็นกรรมวิบากได้ใหม่
เผลอๆเข้ากลุ่มต่อต้านความเชื่อเรื่องกรรมวิบาก
อาจกลายเป็นเจ้าลัทธิเผยแพร่ความเชื่อทำนองทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป วิชชาว่าด้วยการรู้กรรมวิบากจึงไม่ได้ชื่อว่าทำลายอวิชชาลงจริงๆ
แค่กดหัวอวิชชาได้บางส่วนในชาติที่สำเร็จจุตูปปาตญาณเท่านั้น
ในทางกลับกัน แม้เป็นพระอรหันต์
ก็ไม่ใช่พระอรหันต์ทุกองค์ที่รู้เรื่องกรรมวิบากอย่างละเอียดลออ
ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีทางอภิญญาอ่อนแก่ของแต่ละท่านเช่นกัน
๓) ชาตินี้คุณเกิดมา
ก็มีความรู้สึกว่าเป็นตัวคุณตั้งแต่นาทีแรกที่เริ่มรู้ความ ธรรมชาติจัดสรรให้คุณตกอยู่ในภาวะพึ่งพา
เป็นฝ่ายเอาจากคนอื่นมาให้ตัวเองก่อน
ความรู้สึกเห็นแก่ตัวจึงเพิ่มพูนขึ้นหล่อเลี้ยงความรู้สึก ‘เป็นคุณ’
มากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปักใจเชื่ออย่างตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ว่ารูปนามนี้
กายใจนี้เป็นตัวคุณ เป็นของคุณแน่ๆ แม้ว่าเห็นอยู่โต้งๆว่าแต่ละช่วงเวลาไม่เคยมีกายไหนใจไหนที่เที่ยง
กายใจล้วนแล้วแต่แปรปรวนจากอย่างหนึ่งไปเป็นอย่างอื่นอยู่ตลอดเวลา การหลงยึดสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
สิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน นี้นับเป็นอวิชชาของแท้
เพื่อที่จะรู้ว่ากายใจไม่เที่ยง
ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา คุณต้องมีจิตใสใจเบา คือมีชีวิตขาวสะอาด
ไม่สกปรกมอมแมมด้วยความตระหนี่และการผิดศีล
จากนั้นจึงฝึกสติรู้ไปทั่วทั้งหมดของความเป็นกายใจ ทั้งใหญ่และน้อย นับแต่ลมหายใจ
อิริยาบถ ความรู้สึกสุขทุกข์ สภาวะต่างๆของจิต ตลอดจนความจำได้หมายรู้
ความตั้งใจดีร้าย เห็นตามจริงว่าไม่มีสักอย่างที่เที่ยง
ไม่มีสักอย่างที่เป็นตัวตนให้บัญชาเพื่อเป็นนั่นเป็นนี่ได้อย่างใจ
กระทั่งจิตสงบลงด้วยความเห็นเช่นนั้น
เลิกอยากเอาอะไรจากเครื่องหลอกตาหลอกใจ ไม่มีที่ตั้งของความยึดถือ
เอาแต่เฝ้ามองกายอย่างรู้ กระทั่งกายไม่ใช่ที่ตั้งของตัวตน และเอาแต่เฝ้ามองใจอย่างรู้
ใจจึงปรากฏเป็นความว่างเปล่าจากตัวตน ถึงจุดหนึ่งจึงแจ่มแจ้งเด็ดขาด
ไม่สำคัญมั่นหมายว่ากายใจเป็นสุข ไม่สำคัญมั่นหมายว่ากายใจเป็นตัวตน
เห็นแต่ว่ากายใจเป็นทุกข์ กายใจไม่ใช่ตัวตน นั่นเองจึงเกิดวิชชาเรียก
‘อาสวักขยญาณ’ เป็นดวงไฟที่จุดสว่างครั้งเดียวชำแรกทำลายอวิชชาได้ตลอดกาล
วิชชาว่าด้วยการรู้แจ้งความไม่ใช่ตัวตนของกายใจนี้
เป็นการจบภพจบชาติ เพราะฉะนั้นใครสำเร็จวิชชานี้ครั้งเดียว
ก็ไม่ต้องเหนื่อยเรียนอีกในภพหน้าไหนๆ จบแล้วจบเลย
ไม่มีการกลับกลอกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีก
สรุปแล้วอวิชชาก็คือความไม่รู้ แต่มิใช่การ ‘ไม่รู้ไม่เห็น’ หรือ
‘ไม่เข้าใจ’ แบบโลกๆ เช่น ถ้าไม่รู้ว่าศัพท์คำไหนแปลว่าอะไร
อย่างนี้ไม่เรียกอวิชชา จำหน้าคนไม่ได้ทักชื่อผิดก็ไม่ใช่อวิชชา
แท้จริงอวิชชาคือการไม่รู้ว่ากายใจอันเป็นทุกข์เกิดจากอะไร
และไม่รู้ว่าจะดับทุกข์แห่งการเวียนเกิดเวียนตายได้อย่างไรต่างหากครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น