วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พระอรหันต์รู้ทุกอย่างไหม (ดังตฤณ)

ถาม : อวิชชาคือความไม่รู้ และพระอรหันต์เท่านั้นที่ฆ่าอวิชชาได้ แสดงว่าพระอรหันต์ท่านรู้ทุกอย่างใช่ไหม?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๑

ดังตฤณ:
 
คนที่รู้ทุกอย่าง รู้ทั้งหมด เรียกว่า ‘สัพพัญญู’ ครับ บุคคลที่เป็นสัพพัญญูต้องเป็นพระอรหันต์ และพระอรหันต์องค์นั้นต้องสำเร็จธรรมด้วยตนเอง กับทั้งสามารถเผยแผ่วิธีสำเร็จธรรมสูงสุดให้แก่ผู้อื่น ด้วยการก่อตั้งพุทธศาสนาขึ้นมา เรียกว่า ‘พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า’

การจะเป็นองค์สัพพัญญูได้นั้น มิใช่ด้วยความตั้งปรารถนาว่าจะบำเพ็ญบุญเพื่อให้รู้แจ่มแจ้งไปทุกเรื่อง แต่ต้องเริ่มต้นด้วยความปรารถนาว่าจะช่วยให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยมหากำลังของตนเอง และบำเพ็ญบารมีในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมทุกข์มาเป็นอนันตชาติ ด้วยรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริจาคทรัพย์ บริจาคอวัยวะ ช่วยคนตกยาก ตั้งใจรักษาศีล ตลอดจนทำสมาธิ ทำวิปัสสนา กระทั่งชาติสุดท้ายเมื่อบารมีเต็ม ดุจมหาบุรุษผู้สามารถว่ายน้ำข้ามห้วงสมุทรจนบรรลุถึงฝั่งที่เรียกว่า ‘อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ’ ได้สำเร็จ เมื่อนั้นท่านจะสำเร็จอรหัตตผลโดยไม่มีใครบอกวิธี กับทั้งมีบารมีสอนมนุษย์และเทวดาให้เป็นพระอรหันต์ตามท่าน

การที่จะสอนทั้งมนุษย์และเทวดาอินทร์พรหม ก็จำเป็นต้องรู้แจ้งทุกจริต ทุกอัธยาศัยใจคอ กับทั้งรู้ทุกคำตอบที่ใครๆจะถาม ขืนถามแล้วตอบไม่ได้ก็คงเป็นที่เชื่อถือลำบาก เหตุนี้เองเป็นที่มาของญาณหยั่งรู้ทุกสิ่ง สมบารมีตามธรรมชาติแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า

กลับมาเรื่องอวิชชา เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าอวิชชาคืออะไร ผมจะพาคุณไปทำความรู้จักกับอวิชชาในตัวคุณเองในหลายแง่หลายมุมเดี๋ยวนี้

๑) เมื่อแรกลืมตาดูโลก คุณไม่รู้อะไรมากไปกว่ามีคุณอยู่จริง และ ‘เพิ่งเกิดมา’ เป็นตัวนี้ตนนี้ ได้ดีหรือตกยากแบบนี้ ไม่นอกเหนือไปจากนี้ แม้เมื่อมีการบอกกล่าวว่าชาติก่อนมี คุณก็ไม่ทราบจะเอาความสามารถใดไปเชื่อ หรือแม้อยากปักใจเชื่อ ก็ไม่ทราบจะเอาความสามารถใดไปรู้แจ้งเห็นจริง นอกจากดันทุรังถกเถียงกันแบบยืนกระต่ายขาเดียวอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง นี่นับเป็นอวิชชาได้อย่างหนึ่ง

ตรองดูจะเห็นว่าการเชื่อเรื่องชาติก่อนด้วยศรัทธา ยังไม่จัดเป็นวิชชาที่ทำลายอวิชชาข้อนี้ แต่การเห็นแจ้งด้วยสมาธิขั้นสูง ย้อนถอยความจำไปได้เป็นลำดับ ในวันที่ผ่านมา ในเดือนที่ผ่านมา ในปีที่ผ่านมา ในหลายสิบปีที่ผ่านมา กระทั่งทะลุช่วงคาบเกี่ยวแห่งมิติก่อนลืมตาดูโลกในชาติปัจจุบัน เห็นแจ้งว่าก่อนเกิดชาตินี้คุณเคยมีชีวิตอื่น ซึ่งนับแต่เห็นแจ้งนั้นเอง ศรัทธาว่าอดีตชาติมีจริงย่อมตั้งมั่นไม่กลับไม่เปลี่ยน การรู้แจ้งเห็นจริงได้เช่นนี้เรียกว่าเกิดวิชชาคือ ‘ปุพเพนิวาสานุสติญาณ’

อย่างไรก็ตาม วิชชาว่าด้วยการระลึกชาตินี้ เอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปไม่ได้ ตายไปก็อาจกลับกลอก เปลี่ยนไปเป็นพวกไม่เชื่อ ไม่รู้ไม่เห็นอดีตชาติได้ใหม่ เผลอๆเข้ากลุ่มต่อต้านความเชื่อเรื่องอดีตชาติ กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ตั้งเข็มพิสูจน์ความไม่มีของอดีตชาติก็ยังได้ วิชชาว่าด้วยการระลึกชาติจึงไม่ได้ชื่อว่าทำลายอวิชชาลงจริงๆ แค่กดหัวอวิชชาได้บางส่วนในชาติที่สำเร็จปุพเพนิวาสานุสติญาณเท่านั้น

ในทางกลับกัน แม้เป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ใช่พระอรหันต์ทุกองค์ที่รู้เรื่องอดีตชาติของตนเอง หรือถึงรู้ก็รู้ได้ละเอียดแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีทางอภิญญาอ่อนแก่ของแต่ละท่าน

๒) หากชาตินี้คุณได้ดี แล้วสำคัญแต่ว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูง โดยไม่รู้ว่าเคยทำทานกับใคร เคยรักษาศีลสำเร็จกี่ข้อ หรือหากชาตินี้คุณตกยาก แล้วสำคัญแต่ว่าตัวเองเป็นชนชั้นต่ำ โดยไม่รู้ว่าเคยตระหนี่อย่างไร เคยผิดศีลมาโชกโชนขนาดไหน พูดง่ายๆโดยรวบรัดว่าไม่รู้จักกรรม ไม่รู้จักวิบากของตนเอง ซึ่งก็ย่อมไม่อาจรู้จักกรรมวิบากของผู้อื่นด้วย อดีตอนาคตเป็นมาเป็นไปอย่างไรและจะเป็นไปท่าไหนไม่รู้เลย นี่นับเป็นอวิชชาได้อีกอย่างหนึ่ง

เพื่อที่จะรู้เรื่องกรรมวิบากของตนเองและผู้อื่น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์ แค่ตั้งความเห็นให้ถูก เชื่อว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุ รูปชีวิตทั้งหมดคือผลของกรรม ทำดีต้องได้ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำชั่วต้องได้ชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเจริญอยู่ด้วยความเห็นชอบเช่นนั้นก่อน แล้วสำเร็จสมาธิชั้นสูงอันผ่องแผ้วในภายหลัง ก็เป็นไปได้ที่จะสำรวจตรวจดูตามจริง ว่ารูปนามของคุณเองและผู้อื่นไหลมาแต่บุญบาปอันใด และที่กำลังทำๆอยู่จะนำไปสู่สุคติหรือทุคติ รู้ได้เช่นนี้เรียกว่าเกิดวิชชาคือ ‘จุตูปปาตญาณ’

อย่างไรก็ตาม วิชชาว่าด้วยการรู้แจ้งกรรมวิบากนี้ เอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปไม่ได้ ตายไปก็อาจกลับกลอก เปลี่ยนไปเป็นพวกไม่เชื่อ ไม่รู้ไม่เห็นกรรมวิบากได้ใหม่ เผลอๆเข้ากลุ่มต่อต้านความเชื่อเรื่องกรรมวิบาก อาจกลายเป็นเจ้าลัทธิเผยแพร่ความเชื่อทำนองทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป วิชชาว่าด้วยการรู้กรรมวิบากจึงไม่ได้ชื่อว่าทำลายอวิชชาลงจริงๆ แค่กดหัวอวิชชาได้บางส่วนในชาติที่สำเร็จจุตูปปาตญาณเท่านั้น

ในทางกลับกัน แม้เป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ใช่พระอรหันต์ทุกองค์ที่รู้เรื่องกรรมวิบากอย่างละเอียดลออ ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีทางอภิญญาอ่อนแก่ของแต่ละท่านเช่นกัน

๓) ชาตินี้คุณเกิดมา ก็มีความรู้สึกว่าเป็นตัวคุณตั้งแต่นาทีแรกที่เริ่มรู้ความ ธรรมชาติจัดสรรให้คุณตกอยู่ในภาวะพึ่งพา เป็นฝ่ายเอาจากคนอื่นมาให้ตัวเองก่อน ความรู้สึกเห็นแก่ตัวจึงเพิ่มพูนขึ้นหล่อเลี้ยงความรู้สึก ‘เป็นคุณ’ มากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปักใจเชื่ออย่างตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ว่ารูปนามนี้ กายใจนี้เป็นตัวคุณ เป็นของคุณแน่ๆ แม้ว่าเห็นอยู่โต้งๆว่าแต่ละช่วงเวลาไม่เคยมีกายไหนใจไหนที่เที่ยง กายใจล้วนแล้วแต่แปรปรวนจากอย่างหนึ่งไปเป็นอย่างอื่นอยู่ตลอดเวลา การหลงยึดสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน นี้นับเป็นอวิชชาของแท้

เพื่อที่จะรู้ว่ากายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา คุณต้องมีจิตใสใจเบา คือมีชีวิตขาวสะอาด ไม่สกปรกมอมแมมด้วยความตระหนี่และการผิดศีล จากนั้นจึงฝึกสติรู้ไปทั่วทั้งหมดของความเป็นกายใจ ทั้งใหญ่และน้อย นับแต่ลมหายใจ อิริยาบถ ความรู้สึกสุขทุกข์ สภาวะต่างๆของจิต ตลอดจนความจำได้หมายรู้ ความตั้งใจดีร้าย เห็นตามจริงว่าไม่มีสักอย่างที่เที่ยง ไม่มีสักอย่างที่เป็นตัวตนให้บัญชาเพื่อเป็นนั่นเป็นนี่ได้อย่างใจ

กระทั่งจิตสงบลงด้วยความเห็นเช่นนั้น เลิกอยากเอาอะไรจากเครื่องหลอกตาหลอกใจ ไม่มีที่ตั้งของความยึดถือ เอาแต่เฝ้ามองกายอย่างรู้ กระทั่งกายไม่ใช่ที่ตั้งของตัวตน และเอาแต่เฝ้ามองใจอย่างรู้ ใจจึงปรากฏเป็นความว่างเปล่าจากตัวตน ถึงจุดหนึ่งจึงแจ่มแจ้งเด็ดขาด ไม่สำคัญมั่นหมายว่ากายใจเป็นสุข ไม่สำคัญมั่นหมายว่ากายใจเป็นตัวตน เห็นแต่ว่ากายใจเป็นทุกข์ กายใจไม่ใช่ตัวตน นั่นเองจึงเกิดวิชชาเรียก ‘อาสวักขยญาณ’ เป็นดวงไฟที่จุดสว่างครั้งเดียวชำแรกทำลายอวิชชาได้ตลอดกาล

วิชชาว่าด้วยการรู้แจ้งความไม่ใช่ตัวตนของกายใจนี้ เป็นการจบภพจบชาติ เพราะฉะนั้นใครสำเร็จวิชชานี้ครั้งเดียว ก็ไม่ต้องเหนื่อยเรียนอีกในภพหน้าไหนๆ จบแล้วจบเลย ไม่มีการกลับกลอกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีก


สรุปแล้วอวิชชาก็คือความไม่รู้ แต่มิใช่การ ‘ไม่รู้ไม่เห็น’ หรือ ‘ไม่เข้าใจ’ แบบโลกๆ เช่น ถ้าไม่รู้ว่าศัพท์คำไหนแปลว่าอะไร อย่างนี้ไม่เรียกอวิชชา จำหน้าคนไม่ได้ทักชื่อผิดก็ไม่ใช่อวิชชา แท้จริงอวิชชาคือการไม่รู้ว่ากายใจอันเป็นทุกข์เกิดจากอะไร และไม่รู้ว่าจะดับทุกข์แห่งการเวียนเกิดเวียนตายได้อย่างไรต่างหากครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น