ผมเขียนคอลัมน์ ‘เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว’ ลงในนิตยสารบางกอกรายสัปดาห์ ตั้งแต่ฉบับที่
๒๔๑๘ มาจนถึงฉบับที่ ๒๕๓๗ รวมเวลาได้ประมาณ ๓ ปี ก็สมความปราถนาที่ตั้งใจไว้แต่แรก
คือได้ใช้เป็นเวทีไขข้อสงสัยเกี่ยวกับกรรมวิบากและทางพ้นทุกข์ให้แก่คนร่วมยุค
โดยใช้ภาษาและวิธีอธิบายง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา
และวันนี้ก็น่าจะถึงเวลาอำลาคอลัมน์ ‘เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว’ เสียทีครับ
เพราะควรแก่การเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นไปในทางอื่น สำหรับนิตยสารบางกอกผมจะเขียนคอลัมน์ใหม่คือ
‘ทีเล่นทีจริง’ ต่อไปในสัปดาห์หน้า
ส่วนหนังสือรวมเล่ม ‘เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว’ ก็จะมีเล่ม ๑๒ เป็นเล่มสุดท้าย แล้วขยับขยายเป็นหัวเรื่องอื่นกันใหม่
ถ้าสิ่งที่พุทธศาสนาบอกเป็นความจริง
ก็แปลว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่มีใครปลอดภัยเลยสักคน
แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าทำบุญมาตลอดชีวิต!
ที่กล่าวเช่นนี้เพราะสาระของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏคือความไม่แน่นอน
ไม่มีใครเที่ยงที่จะทำบุญกันท่าเดียว ในวังวนเวียนว่ายตายเกิดนั้น
ฝึกให้เชี่ยวชาญการบุญกันไม่ได้ จะทำบุญหรือทำบาปแต่ละครั้งก็เพราะมีเหตุบันดาลใจเป็นคราวๆไป
แม้ในภพที่มีโอกาสดีที่สุดอย่างขณะเกิดเป็นมนุษย์เช่นเราๆนี้
ธรรมชาติก็แกล้งให้ลืมหมดว่าเคยทำอะไรมา เคยเป็นอะไรมา
เราถูกหลอกให้นึกว่าทนๆไปเถอะ ทำๆไปเถอะ ตายเมื่อไหร่สบายเมื่อนั้น
เราจะนอนพักยาวในโลงศพแบบหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี ทั้งที่จริงแล้ว
ตายเมื่อไหร่รับกรรมเมื่อนั้น
เราจะเดินทางอย่างยาวไกลชั่วนิรันดร์ตราบเท่าที่ยังไม่รู้วิธีหยุด
ด้วยความทึบตัน
ไม่รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมี
กับทั้งยิ่งไม่รู้ว่าวิธีหยุดเวียนว่ายตายเกิดทำอย่างไร
เราๆท่านๆจึงได้แต่พากันเอาชีวิตให้รอดไปวันๆ อยากทำอะไรก็ทำ
อยากได้อะไรก็พยายามเอามาครอง ไม่มีการวางแผนสำหรับทางไกลเบื้องหน้า
ไม่มีการหาวิธีย่อทางให้สั้นลง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีการฝันถึงปลายทาง
เพื่อยุติความระหกระเหินกันเสียที
พวกเราพากันหลงไม่รู้
ตกอยู่ในห้วงฝันว่าตัวเองเป็นใครคนหนึ่ง มีความเป็นอย่างหนึ่ง
เกิดหนเดียวตายหนเดียว หรือเมื่อเริ่มเชื่อว่าตนต้องเกิดต้องตายอีกตามบุญตามบาป
ก็พากันประมาทอยู่ นึกว่าทำสังฆทานที่วัดสองสามทีคงได้ขึ้นสวรรค์
เสพสุขไปจนสิ้นกาลปาวสาน
คุณจะนึกว่าตัวเองเป็นใครก็ตามที
ตัวที่คุณนึกนั้นคืออุปาทาน แล้วอุปาทานเกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากการสั่งสมนิสัยทางความคิด
ทางคำพูด และทางการกระทำ
ไม่ว่าคุณจะคิด พูด
ทำอย่างไร รวมแล้วต้องได้ผลลัพธ์อย่างสอดคล้องเสมอ
กล่าวคือคุณจะมีกายขึ้นมากายหนึ่ง มีเพศขึ้นมาเพศหนึ่ง มีฐานะขึ้นมาฐานะหนึ่ง
มีสติปัญญาความคิดอ่านขึ้นมาระดับหนึ่ง จะหยาบหรือประณีต จะได้ดีหรือตกยาก
ล้วนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติของกรรมวิบากตัดสินให้ได้รับทั้งสิ้น
เมื่อเริ่มเป็นอะไรอย่างหนึ่งด้วยกรรมเก่า
จิตคุณจะหลงติดความเป็นอย่างนั้นทันที และสำคัญมั่นหมายว่านั่นใช่คุณ
นั่นคือตัวคุณแน่ๆ เสร็จแล้วความเป็น ‘ตัวคุณ’ จะหลอกให้คิดไปสารพัด
พยายามพูดและพยายามทำไปสารพัด ทั้งหมดก็เพื่อ ‘เอาเข้าตัว’ แทบทั้งสิ้น
อุปาทานเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ
นั่นเพราะการสั่งสมนิสัยเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเจอครูแบบไหน
คบมิตรเช่นไร และสำคัญที่สุดคือตัดสินใจเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางใด
มาสำรวจกันดีกว่าว่าคุณมีอุปาทานมาถึงไหนแล้ว
อุปาทานนั้นกำลังพาคุณไปสู่ที่มืดหรือที่สว่าง ให้ถามตัวเองง่ายๆ
และตอบตัวเองซื่อๆว่า คุณมีความพอใจหรือไม่พอใจตัวเอง?
ไม่ว่าคุณจะพอใจหรือไม่พอใจในตนเอง
ขอให้รู้ว่ามีกรรมของตนเองนั่นแหละเป็นเหตุ ฉะนั้นหากไม่พอใจตนเองก็อย่าโทษใคร
ให้เร่งสำรวจว่ากรรมใดประกอบด้วยโลภะ โทสะ หรือความหลงเข้าข้างตัวเอง
เอาแต่ได้เข้าตน หรือสำคัญผิดในตนอย่างแรงกล้า
แม้กระทั่งกรรมทางความคิดอ่านก็อย่าตกสำรวจ
เพราะวิธีที่คุณหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่เสมอๆนั่นแหละ คือตัวบีบคั้นให้ตกอยู่ในโลกแคบหรือโลกกว้าง
ด้านสว่างหรือด้านมืด
โลกที่คุณกำลังเผชิญ
ล้วนถูกตกแต่งด้วยกรรมอย่างไม่มีข้อยกเว้น เป็นกรรมเฉพาะตนบ้าง
เป็นกรรมของตระกูลบ้าง เป็นกรรมของประชาชนในประเทศบ้าง เป็นกรรมของพลโลกบ้าง
หากกรรมของพลโลกโดยรวมหนักไปทางโลภโมโทสัน
โลกย่อมร้อนระอุ หากกรรมของประชาชนในประเทศโดยรวมมีความเสียสละและรักษาศีล
ประเทศนั้นย่อมอยู่สงบผาสุกกว่าประเทศที่ขาดศีลธรรม
หากกรรมของตระกูลโดยรวมเป็นไปในทางดี ตระกูลนั้นย่อมมั่งคั่งอยู่เย็นเป็นสุข
และหากกรรมเฉพาะตนของคุณหนักไปในทางสว่าง ตัวคุณย่อมพ้นจากกรอบจำกัดด้านมืดของตระกูล
ของประเทศ และของโลกได้โดยทางใดทางหนึ่งเสมอ
อาจด้วยความช่วยเหลืออันลึกลับของกรรมเก่า
หรืออาจด้วยกรรมใหม่ช่วยตนเองเห็นอยู่ชัดๆ
กรรมเก่าแก้ไม่ได้แล้ว
แต่กรรมใหม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือก!
ก็น่าเห็นใจกันและกันครับ
โดยทั่วไปถ้าโลกร้อน ประเทศร้าย หรือตระกูลแร้นแค้น
คุณจะถูกผลักไสออกจากทางดีเข้าสู่ทางมืดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แม้เตรียมกายเตรียมใจให้แข็งแกร่งขนาดไหน
บางคาบบางเวลาก็อาจโอนอ่อนผ่อนตามพลังบาปที่บีบคั้นจากทุกด้านเข้าจนได้
เพราะไม่อาจเลือกอยู่คนเดียว
คุณจึงต้องถูกกระทบกระทั่งร่ำไป และเพราะต้องถูกกระทบกระทั่งร่ำไป
คุณจึงมีความไม่แน่นอน อาจกลับดีเป็นร้าย อาจกลับร้ายเป็นดี
ขึ้นอยู่กับว่าศรัทธากุศลผลบุญแค่ไหน
และขึ้นอยู่กับว่ามีกำลังใจอดกลั้นเพียงใดด้วย
เมื่อทำเรื่องร้ายย่อมเป็นทุกข์
และทุกข์ก็ไม่ได้มีอยู่แค่ที่ประสบกันในภพมนุษย์ อย่างเช่นสัตว์เดรัจฉานมีจริง
คุณเห็นด้วยตาเปล่า
แต่ที่ไม่รู้คือคุณก็มีสิทธิ์ไปสู่ความเป็นเช่นนั้นได้ด้วยบาปเช่นกัน
และสัตว์นรกกับเหล่าเปรตมีจริง คุณไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า
แถมไม่มีทางรู้ว่าบาปที่คุณก่อแล้วอันใดอาจนำไปสู่ความเป็นเช่นนั้นบ้าง
เมื่อสังสารวัฏเต็มไปด้วยเรื่องร้ายและภยันตรายใหญ่หลวง
พระพุทธเจ้าจึงไม่สรรเสริญการติดอยู่กับภพใดภพหนึ่ง ซึ่งมีความไม่เที่ยง
เกิดขึ้นด้วยเหตุแล้วย่อมเสื่อมไปสู่ความเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
พระองค์เร่งรัดให้พวกเราออกจากสังสารวัฏเสีย
โดยก้าวแรกเริ่มจากการพิจารณาเห็นโทษเห็นภัยในธรรมชาติของภพภูมิ
การเวียนว่ายตายเกิดด้วยกรรม
และภาวะยึดมั่นถือมั่นด้วยความหลงผิดคิดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรา
เพราะเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งสิ้น
การทำลายอุปาทานเป็นเรื่องประเสริฐ
การหลุดพ้นมีรสอันเยี่ยมทางจิตรออยู่ พระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันตสาวกต่างรู้แล้วว่าความสว่างโพลงไม่ดับไม่สิ้นเป็นเช่นไร
ที่เหลือก็สุดแต่ใครในบรรดาหมู่เรา จะรู้ทางที่พวกท่านช่วยกันชี้นำชักจูง
และรู้ได้ทันก่อนตายหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น