วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ส่งท้ายเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว (ดังตฤณ)

ผมเขียนคอลัมน์ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ลงในนิตยสารบางกอกรายสัปดาห์ ตั้งแต่ฉบับที่ ๒๔๑๘ มาจนถึงฉบับที่ ๒๕๓๗ รวมเวลาได้ประมาณ ๓ ปี ก็สมความปราถนาที่ตั้งใจไว้แต่แรก คือได้ใช้เป็นเวทีไขข้อสงสัยเกี่ยวกับกรรมวิบากและทางพ้นทุกข์ให้แก่คนร่วมยุค โดยใช้ภาษาและวิธีอธิบายง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา และวันนี้ก็น่าจะถึงเวลาอำลาคอลัมน์ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เสียทีครับ เพราะควรแก่การเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นไปในทางอื่น สำหรับนิตยสารบางกอกผมจะเขียนคอลัมน์ใหม่คือ ทีเล่นทีจริง ต่อไปในสัปดาห์หน้า ส่วนหนังสือรวมเล่ม เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ก็จะมีเล่ม ๑๒ เป็นเล่มสุดท้าย แล้วขยับขยายเป็นหัวเรื่องอื่นกันใหม่

ถ้าสิ่งที่พุทธศาสนาบอกเป็นความจริง ก็แปลว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่มีใครปลอดภัยเลยสักคน แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าทำบุญมาตลอดชีวิต!

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะสาระของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏคือความไม่แน่นอน ไม่มีใครเที่ยงที่จะทำบุญกันท่าเดียว ในวังวนเวียนว่ายตายเกิดนั้น ฝึกให้เชี่ยวชาญการบุญกันไม่ได้ จะทำบุญหรือทำบาปแต่ละครั้งก็เพราะมีเหตุบันดาลใจเป็นคราวๆไป

แม้ในภพที่มีโอกาสดีที่สุดอย่างขณะเกิดเป็นมนุษย์เช่นเราๆนี้ ธรรมชาติก็แกล้งให้ลืมหมดว่าเคยทำอะไรมา เคยเป็นอะไรมา เราถูกหลอกให้นึกว่าทนๆไปเถอะ ทำๆไปเถอะ ตายเมื่อไหร่สบายเมื่อนั้น เราจะนอนพักยาวในโลงศพแบบหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี ทั้งที่จริงแล้ว ตายเมื่อไหร่รับกรรมเมื่อนั้น เราจะเดินทางอย่างยาวไกลชั่วนิรันดร์ตราบเท่าที่ยังไม่รู้วิธีหยุด

ด้วยความทึบตัน ไม่รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมี กับทั้งยิ่งไม่รู้ว่าวิธีหยุดเวียนว่ายตายเกิดทำอย่างไร เราๆท่านๆจึงได้แต่พากันเอาชีวิตให้รอดไปวันๆ อยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็พยายามเอามาครอง ไม่มีการวางแผนสำหรับทางไกลเบื้องหน้า ไม่มีการหาวิธีย่อทางให้สั้นลง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีการฝันถึงปลายทาง เพื่อยุติความระหกระเหินกันเสียที

พวกเราพากันหลงไม่รู้ ตกอยู่ในห้วงฝันว่าตัวเองเป็นใครคนหนึ่ง มีความเป็นอย่างหนึ่ง เกิดหนเดียวตายหนเดียว หรือเมื่อเริ่มเชื่อว่าตนต้องเกิดต้องตายอีกตามบุญตามบาป ก็พากันประมาทอยู่ นึกว่าทำสังฆทานที่วัดสองสามทีคงได้ขึ้นสวรรค์ เสพสุขไปจนสิ้นกาลปาวสาน

คุณจะนึกว่าตัวเองเป็นใครก็ตามที ตัวที่คุณนึกนั้นคืออุปาทาน แล้วอุปาทานเกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากการสั่งสมนิสัยทางความคิด ทางคำพูด และทางการกระทำ

ไม่ว่าคุณจะคิด พูด ทำอย่างไร รวมแล้วต้องได้ผลลัพธ์อย่างสอดคล้องเสมอ กล่าวคือคุณจะมีกายขึ้นมากายหนึ่ง มีเพศขึ้นมาเพศหนึ่ง มีฐานะขึ้นมาฐานะหนึ่ง มีสติปัญญาความคิดอ่านขึ้นมาระดับหนึ่ง จะหยาบหรือประณีต จะได้ดีหรือตกยาก ล้วนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติของกรรมวิบากตัดสินให้ได้รับทั้งสิ้น

เมื่อเริ่มเป็นอะไรอย่างหนึ่งด้วยกรรมเก่า จิตคุณจะหลงติดความเป็นอย่างนั้นทันที และสำคัญมั่นหมายว่านั่นใช่คุณ นั่นคือตัวคุณแน่ๆ เสร็จแล้วความเป็น ‘ตัวคุณ’ จะหลอกให้คิดไปสารพัด พยายามพูดและพยายามทำไปสารพัด ทั้งหมดก็เพื่อ ‘เอาเข้าตัว’ แทบทั้งสิ้น

อุปาทานเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ นั่นเพราะการสั่งสมนิสัยเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเจอครูแบบไหน คบมิตรเช่นไร และสำคัญที่สุดคือตัดสินใจเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางใด

มาสำรวจกันดีกว่าว่าคุณมีอุปาทานมาถึงไหนแล้ว อุปาทานนั้นกำลังพาคุณไปสู่ที่มืดหรือที่สว่าง ให้ถามตัวเองง่ายๆ และตอบตัวเองซื่อๆว่า คุณมีความพอใจหรือไม่พอใจตัวเอง?

ไม่ว่าคุณจะพอใจหรือไม่พอใจในตนเอง ขอให้รู้ว่ามีกรรมของตนเองนั่นแหละเป็นเหตุ ฉะนั้นหากไม่พอใจตนเองก็อย่าโทษใคร ให้เร่งสำรวจว่ากรรมใดประกอบด้วยโลภะ โทสะ หรือความหลงเข้าข้างตัวเอง เอาแต่ได้เข้าตน หรือสำคัญผิดในตนอย่างแรงกล้า แม้กระทั่งกรรมทางความคิดอ่านก็อย่าตกสำรวจ เพราะวิธีที่คุณหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่เสมอๆนั่นแหละ คือตัวบีบคั้นให้ตกอยู่ในโลกแคบหรือโลกกว้าง ด้านสว่างหรือด้านมืด

โลกที่คุณกำลังเผชิญ ล้วนถูกตกแต่งด้วยกรรมอย่างไม่มีข้อยกเว้น เป็นกรรมเฉพาะตนบ้าง เป็นกรรมของตระกูลบ้าง เป็นกรรมของประชาชนในประเทศบ้าง เป็นกรรมของพลโลกบ้าง

หากกรรมของพลโลกโดยรวมหนักไปทางโลภโมโทสัน โลกย่อมร้อนระอุ หากกรรมของประชาชนในประเทศโดยรวมมีความเสียสละและรักษาศีล ประเทศนั้นย่อมอยู่สงบผาสุกกว่าประเทศที่ขาดศีลธรรม หากกรรมของตระกูลโดยรวมเป็นไปในทางดี ตระกูลนั้นย่อมมั่งคั่งอยู่เย็นเป็นสุข และหากกรรมเฉพาะตนของคุณหนักไปในทางสว่าง ตัวคุณย่อมพ้นจากกรอบจำกัดด้านมืดของตระกูล ของประเทศ และของโลกได้โดยทางใดทางหนึ่งเสมอ อาจด้วยความช่วยเหลืออันลึกลับของกรรมเก่า หรืออาจด้วยกรรมใหม่ช่วยตนเองเห็นอยู่ชัดๆ

กรรมเก่าแก้ไม่ได้แล้ว แต่กรรมใหม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือก!
ก็น่าเห็นใจกันและกันครับ โดยทั่วไปถ้าโลกร้อน ประเทศร้าย หรือตระกูลแร้นแค้น คุณจะถูกผลักไสออกจากทางดีเข้าสู่ทางมืดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้เตรียมกายเตรียมใจให้แข็งแกร่งขนาดไหน บางคาบบางเวลาก็อาจโอนอ่อนผ่อนตามพลังบาปที่บีบคั้นจากทุกด้านเข้าจนได้

เพราะไม่อาจเลือกอยู่คนเดียว คุณจึงต้องถูกกระทบกระทั่งร่ำไป และเพราะต้องถูกกระทบกระทั่งร่ำไป คุณจึงมีความไม่แน่นอน อาจกลับดีเป็นร้าย อาจกลับร้ายเป็นดี ขึ้นอยู่กับว่าศรัทธากุศลผลบุญแค่ไหน และขึ้นอยู่กับว่ามีกำลังใจอดกลั้นเพียงใดด้วย

เมื่อทำเรื่องร้ายย่อมเป็นทุกข์ และทุกข์ก็ไม่ได้มีอยู่แค่ที่ประสบกันในภพมนุษย์ อย่างเช่นสัตว์เดรัจฉานมีจริง คุณเห็นด้วยตาเปล่า แต่ที่ไม่รู้คือคุณก็มีสิทธิ์ไปสู่ความเป็นเช่นนั้นได้ด้วยบาปเช่นกัน และสัตว์นรกกับเหล่าเปรตมีจริง คุณไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า แถมไม่มีทางรู้ว่าบาปที่คุณก่อแล้วอันใดอาจนำไปสู่ความเป็นเช่นนั้นบ้าง

เมื่อสังสารวัฏเต็มไปด้วยเรื่องร้ายและภยันตรายใหญ่หลวง พระพุทธเจ้าจึงไม่สรรเสริญการติดอยู่กับภพใดภพหนึ่ง ซึ่งมีความไม่เที่ยง เกิดขึ้นด้วยเหตุแล้วย่อมเสื่อมไปสู่ความเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา พระองค์เร่งรัดให้พวกเราออกจากสังสารวัฏเสีย โดยก้าวแรกเริ่มจากการพิจารณาเห็นโทษเห็นภัยในธรรมชาติของภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิดด้วยกรรม และภาวะยึดมั่นถือมั่นด้วยความหลงผิดคิดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรา เพราะเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งสิ้น


การทำลายอุปาทานเป็นเรื่องประเสริฐ การหลุดพ้นมีรสอันเยี่ยมทางจิตรออยู่ พระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันตสาวกต่างรู้แล้วว่าความสว่างโพลงไม่ดับไม่สิ้นเป็นเช่นไร ที่เหลือก็สุดแต่ใครในบรรดาหมู่เรา จะรู้ทางที่พวกท่านช่วยกันชี้นำชักจูง และรู้ได้ทันก่อนตายหรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น