วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

อยากตอบแทนครูผู้ชี้ทางสว่าง (ดังตฤณ)

ถาม : รู้สึกสำนึกคุณครูบาอาจารย์ที่ท่านนำเราเข้ามารู้จักและศรัทธาพุทธศาสนาตอนนี้เห็นชัดว่าพุทธศาสนาเป็นประตูทางออกจากวังวนทุกข์ และรู้สึกว่าชีวิตมีจุดหมาย ไม่เคว้งคว้างอย่างแต่ก่อน อยากทราบว่าแค่ไหนถึงเรียกว่าแสดงความกตัญญูรู้คุณ ตอบแทนครูบาอาจารย์อย่างเหมาะสมแล้วคะ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นได้ชัดว่าตนเองคงฝ่าวงล้อมบรรดาสานุศิษย์เข้าไปถึงตัวท่านไม่ไหวแน่ๆ

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒

ดังตฤณ:
 
กตัญญูคือรู้คุณ กตเวทีคือตอบแทนบุญคุณ เป็นคนละส่วนกัน อาจมาด้วยกันหรือแยกกันมา เช่น บางคนจำได้และระลึกถึงผู้มีพระคุณอยู่เสมอ แต่ไม่เคยตอบแทนใดๆเลย ส่วนบางคนไม่อยากจดจำว่าเป็นหนี้บุญคุณใคร ทว่าพอใครทำอะไรให้ก็ตอบแทนทันทีในทางใดทางหนึ่ง

และจะว่าไปนะครับ บางทีก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน ที่เราจะทำได้ครบทั้งรู้คุณและตอบแทนบุญคุณ อย่างเช่น ถ้าใครไม่ได้ศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎกโดยตรง ก็อาจผูกพันกับพระศาสดาน้อย ไม่ค่อยมีโอกาสรู้สึกถึงมหาคุณแห่งพระองค์สักเท่าไร หลายคนเข้าใจว่าธรรมะอันประเสริฐเกิดจากครูบาอาจารย์ที่ยังมีชีวิต ทั้งที่ครูบาอาจารย์ต่างก็นำคำสอนมาจากพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น

หรือต่อให้ศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎกโดยตรง ผูกพันและซาบซึ้งกับพระมหาคุณแห่งองค์ศาสดา ทุรนทุรายอยากตอบแทนบุญคุณของพระองค์เป็นล้นพ้น ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อพระองค์ท่านดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว ไม่ปรากฏองค์จริงให้กราบไหว้หรือถวายเครื่องบูชาใดๆอีกแล้ว

การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านตรัสไว้เป็นแนวที่ทำได้จริงแม้ในสมัยเราครับ คือท่านทรงให้ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา การปฏิบัติธรรมนั้นก็เริ่มตั้งแต่การทำจิตดีๆให้เกิดขึ้น ด้วยการเปิดใจให้กว้างด้วยทาน รักษาความสะอาดของจิตด้วยศีล และที่สุดคือพรากทุกข์ออกจากจิตด้วยการเพียรเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนเกิดภาวะแจ่มแจ้ง ว่างจากความถือมั่นว่ากายใจเป็นตัวตน หากทำได้แม้วูบๆวาบๆ ก็ให้น้อมเอาจิตดีๆที่เกิดขึ้นนั้นถวายแทนเครื่องบูชา พระศาสดาท่านจะทรงพอพระทัยเหนือกว่าการรับเครื่องบูชาอื่นใดสิ้น เพราะตามมโนปณิธานที่ท่านทรงลำบากเลือดตาแทบกระเด็นนับอสงไขยกัปนั้น หาใช่เพื่อมารับการสรรเสริญหรือการบูชาด้วยเครื่องหอมดอกไม้งามใดๆในชาติสุดท้าย แต่เป็นไปเพื่อขนสัตว์ออกจากวัฏสงสารโดยแท้ การทำให้พระองค์ทรงสมประสงค์ ไม่เหน็ดเหนื่อยเปล่านั่นเอง จึงได้ชื่อว่าตอบแทนสูงสุด

เมื่อพระศาสดาท่านทรงให้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่านเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องสมควรที่คุณจะน้อมรับมาปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ผู้เป็นสาวกของพระองค์เช่นเดียวกัน แต่หากคุณยังปฏิบัติธรรมไม่ได้ถึงไหน ใจยังไม่รู้สึกว่าทำได้ดีพอจะน้อมถวายเป็นเครื่องบูชา ก็อาจทำตามธรรมเนียมนิยม ให้เกิดความสบายใจว่าเราระลึกถึงบุญคุณท่านแล้ว เราตอบแทนบุญคุณท่านแล้ว

การแสดงความกตัญญูที่ง่ายที่สุด ก็อาจแค่หาเครื่องแสดงว่าเราระลึกถึงท่าน เช่นนำรูปมาใส่กรอบกราบไหว้ เป็นต้น จะทำอะไรไม่น่ารังเกียจทั้งนั้น ขอเพียงมีใจคิดจริงๆ และลงมือทำจริงๆเถอะ

ขอยกตัวอย่างพระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครมหาสาวกผู้เลิศทางปัญญา เป็น ‘พระหัตถ์ขวา’ ของพระพุทธองค์ ท่านก็ประกาศแสดงที่มาที่ไปของท่านตลอดชีวิต ว่าเริ่มรู้จักพุทธศาสนา กระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งได้ ก็เพราะอาจารย์นามว่า ‘อัสสชิ’

การกล่าวเสมอๆว่าพระอัสสชิเป็นครูบาอาจารย์ ก็นับว่าแสดงให้เห็นว่าพระสารีบุตรมีความกตัญญูแล้ว จดจำผู้มีพระคุณได้แน่แล้ว แต่ยังไม่พอ ท่านยังมีพฤติกรรมในการตอบแทนที่ชัดเจนขึ้น กล่าวคือก่อนนอนจะกำหนดญาณหยั่งรู้ว่าพระอัสสชิอยู่ในทิศใด พระสารีบุตรก็จะผันศีรษะไปทางทิศนั้น (เจตนาของท่านคือ ‘เพื่อเทิดพระอัสสชิไว้เหนือศีรษะ’)

ตัวอย่างการตอบแทนผู้ชักนำให้เข้าสู่พุทธศาสนาของพระสารีบุตรนี้ ถ้ามองเผินๆอาจดูแปลก และไม่อาจทำกันได้เป็นสากล เนื่องจากคนทั่วไปไม่อาจรู้ได้ว่าครูบาอาจารย์ของตนอยู่ทางทิศใดในแต่ละคืน หรือให้รู้ก็อาจไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมต้องหันหัวไปทางท่าน กรณีของพระสารีบุตรนั้นอยู่ตรงที่ท่านตั้งใจเทิดอาจารย์ไว้บนศีรษะเป็นการตอบแทนบุญคุณ จึงเป็นเรื่องเฉพาะของท่าน สำเร็จประโยชน์แก่ท่านแล้วกับทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากหาทางตอบแทนครูบาอาจารย์ด้วยวิธีเฉพาะตัวบ้าง

ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ที่เผยแผ่พระสัทธรรมด้วยใจที่ไร้มลทิน มักมุ่งหวังให้ลูกศิษย์ช่วยกันแพร่คำสอนของพวกท่านให้กว้างไกลออกไป หรือหวังให้ลูกศิษย์ปฏิบัติธรรมเจริญก้าวหน้าตามแนวทางที่ท่านสอน ฉะนั้นถ้าคุณห้ามใจไม่ทำชั่วด้วยการระลึกว่า ‘เพราะท่านห้ามไว้อย่างนี้’ หรือหากคุณลงมือปฏิบัติธรรมด้วยการระลึกว่า ‘เพราะท่านสอนไว้อย่างนี้’ ก็ถือว่าสำเร็จทั้งรู้คุณและตอบแทนคุณแล้วครับ

ธรรมดามนุษย์เราไม่ค่อยจะมีภูมิคุ้มกันโรคเนรคุณ ส่วนใหญ่เมื่อเดือดร้อนก็ไปขอความช่วยเหลือเขา พอขอได้และเริ่มสบายขึ้นก็ติดใจ คิดอยากเรียกร้องขอโน่นขอนี่ต่ออีก บางคนพอขอไม่ได้ก็พานโกรธเกลียดผู้มีพระคุณไปเลย โทษฐานที่ไม่ทำหน้าที่ดังเคย นี่แหละ ความเห็นแก่ตัวไม่รู้จักคำว่ากตัญญูกตเวทีสักเท่าไร ต่อให้บุญคุณท่วมภูเขาก็เหมือนหายไปไม่เคยมี ฉะนั้นขอให้ถือว่าคุณวาสนาดีแล้ว ที่ตกมาเป็นหนึ่งในกลุ่มชนที่อยากตอบแทนคุณท่าน ไม่ใช่อยากร้องขอจากท่านต่อ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น