< อ่านบทความที่แล้ว
เกาทัณฑ์และเรือนแก้วกำลังท้องร้องจ๊อกๆอยู่พอดี
เมื่อเชิงไทชวนทานข้าวจึงตกลงตามกัน
“กินไหนดี?”
เรือนแก้วถามด้วยเสียงติดเบื่อหน่อยๆเมื่อคิดถึงร้านใกล้ละแวก
ช่วงค่ำคืนเช่นนี้เหลือตัวเลือกน้อยเต็มที
เชิงไทเอ่ยชื่อร้านสเต๊กแห่งหนึ่ง เพิ่งเปิดใหม่และเนื้ออร่อยนุ่ม
เรียกน้ำลายชุ่มลิ้นชะงัด เสิร์ฟพร้อมไวน์แดง ช่วงแนะนำตัวราคาถูกอีกต่างหาก
เพื่อนทั้งสองฟังเขาพรรณนาแล้วเกิดอยากลองทันใด เผื่อวันหลังจะได้พาใครไปร่วมอร่อยบ้าง
เชิงไทบอกคร่าวๆว่าร้านตั้งอยู่ตรงไหน
แต่อันเนื่องจากเป็นกลางซอยไม่คุ้นถิ่นไกลออกไป จำเป็นต้องเขียนแผนที่
ชายหนุ่มขี้เกียจขึ้นมา เลยชวนขึ้นรถตนเองคันเดียวสิ้นเรื่องสิ้นราว
จะได้ถึงพร้อมกัน ไม่ต้องมีใครนั่งแกร่วรอด้วย
สองหนุ่มและหนึ่งสาวมานั่งรับประทานมื้อเย็นด้วยกัน ท่ามกลางแสงเทียนและเสียงดนตรีละเมียด
สนทนาเรื่องเบาหัว เรือนแก้วเป็นสีสันสดใสและความน่ารักน่าใคร่ของโต๊ะ
ทำให้เวลาชั่วโมงครึ่งผ่านไปด้วยความเพลิดเพลินเจริญอาหาร
เกาทัณฑ์ดื่มไวน์ทั้งรู้ว่าเป็นของมึนเมา ผิดศีล
ขณะนี้เขาไม่นับตนเองเป็นคนถือศีล แต่ตระหนักว่าเมื่อละเมิดข้อใดข้อหนึ่งแล้วเป็นภัย
จึงตั้งสติรู้ตัวว่าดื่มเพราะอยากในรสนุ่มลิ้นทว่าบาดคอนั้น แต่ไม่ปล่อยให้มึนเมา
เอาพอกำซาบร่วมหมู่กับเพื่อนได้ตามปกติ
กับทั้งกำหนดใจว่าจะพิจารณาให้เห็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ปรุงขึ้นโดยปราศจากเจตนาใช้เป็นตัวยานั้น
บ่อนทำลายสติ ฉุดวิญญาณให้ตกต่ำลง เพื่อว่าวันหนึ่งจิตจะเห็นจริง
และคิดผละจากไปเองโดยปราศจากการบังคับ
จวนห้าทุ่ม เป็นเวลาร้านใกล้ปิด สามหนุ่มสาวเดินออกมาตามทาง
บรรยากาศสรวลเสเฮฮาประสาเพื่อนสนิทยังกระจายรอบ
เชิงไทกดรีโมตคอนโทรลปลดล็อกประตูแต่ไกล เรือนแก้วได้ยินเสียงสัญญาณแล้วหัวเราะออกมาเอิ๊กอ๊ากตามอารมณ์ไวน์
"ตุ๋ย...ตุ๋ย"
หญิงสาวร้องเลียนรีโมตฯ เกาทัณฑ์กับเชิงไทหัวเราะตาม
เมื่อเกาทัณฑ์มาที่ประตูหน้าด้านข้างคนขับขยับจะเปิด
เรือนแก้วก็ชิงเบียดเขี่ยเขาออกนอกทางด้วยสะโพกกลมมนเสียก่อน
“ให้แอ้เป็นตุ๊กตาหน้ารถของเชิงมั่งซิ”
หล่อนเอ่ยเสียงปกติ แต่ตาฉ่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
เกาทัณฑ์ผายมือสองข้างออกอย่างเชื้อเชิญตามอัธยาศัย
ความจริงเรือนแก้วอยากเอนเบาะนอนพักตานั่นเอง
เมื่อรถเคลื่อนจากที่และเชิงไทจะเบนทิศกลับบริษัทเพื่อให้เพื่อนหญิงชายไปเอารถของแต่ละคน
เรือนแก้วก็ห้ามไว้และขอว่า
“ตรงนี้อยู่ครึ่งทางระหว่างออฟฟิศกับห้องพักแอ้แถวพัฒนาการ
เชิงช่วยส่งหน่อยได้ไหม อยากงีบน่ะ ขี้เกียจกลับไปเอาแล้ว
พรุ่งนี้เช้ามาแท็กซี่ดีกว่า”
เชิงไทพยักหน้าด้วยความเต็มใจ
“ได้ซี่”
หญิงสาวบอกที่หมายว่าถึงศูนย์การค้าใหญ่แห่งหนึ่งให้ปลุก
หล่อนจะลุกขึ้นมาบอกทางต่อ เกาทัณฑ์อยู่ในเงามืดตอนหลัง รู้สึกนุ่มสบาย
อากาศเย็นฉ่ำ ก็เอนตามยาวเหมือนกัน แต่ไม่หลับ
ยังคงส่งเสียงคุยเป็นเพื่อนเชิงไทเรื่อยๆ
ทีแรกก็คุยกันเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องทิศทางของนโยบายบริษัท
ซึ่งมีเนื้อหาใหญ่น้อยกินเวลานานเอาการ แต่พอถึงจุดหนึ่งเมื่อต่างเงียบกันเป็นครู่
เชิงไทซึ่งยังคาใจกับเรื่องที่เหมือนค้างๆไว้ในห้องประชุมเล็ก ก็เอ่ยขึ้นมา
“ตอนนี้มึงเป็นพุทธเต็มตัว เต็มใจแล้วสิ”
ช่วงทานข้าวเย็นและบทสนทนาเรื่องทั่วไปที่พักคั่นมาระยะหนึ่งทำให้กลับมาคุยประเด็นธรรมะต่อได้ราบรื่นขึ้น
สุ้มเสียงเชิงไทฟังลดความตั้งแง่ยียวนลงกว่าเดิมเยอะ
“ก็คงงั้น”
“เล่าให้ฟังหน่อยซิเป็นไงมาไง
จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันเกี่ยวกับอะไรเทือกนี้เมื่อหลายปีก่อน
มึงยังออกท่าแอนตี้อยู่เลย”
“หรี่แอร์หน่อยดิ๊เฮ้ย เร่งเข้าไปได้เกือบสุด หนาวจะตายชัก”
“ยายแอ้เป็นคนเร่งนี่หว่า”
เชิงไทหรี่ให้ตามคำขอ แล้วถามซ้ำ
“เล่าให้ฟังหน่อยสิ เป็นไงมาไงถึงเจอพระดีได้
อยู่ๆมึงคงไม่ขับรถเข้าไปฟังเทศน์ในกุฏิเองแน่”
เกาทัณฑ์เอาสองมือหนุนศีรษะ ขี้เกียจเล่า แต่ก็รวบรัดอย่างเสียไม่ได้
“เมื่อเดือนก่อนไปเยี่ยมปู่ คุยไปคุยมาเกี่ยวกับธรรมะแล้วติดลมน่ะ
เผอิญวัดใกล้บ้านปู่มีพระดี ทำให้กูเข้าใจและรู้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง
ความศรัทธาเลยมาเอง”
“น้องแพเป็นคนพาไปล่ะสิ?”
เชิงไทดักคอ เกาทัณฑ์เงียบ
“กูฟังมึงพูดก็ชักสนใจเหมือนกันโว้ย วันหลังพาไปหาพระอาจารย์ของมึงหน่อยสิ
ท่านต้องมีดีอะไรสักอย่างทำให้เห็นจริงเห็นจังได้ ลำพังข้อธรรมะอย่างเดียวคงไม่ทำให้มึงเลื่อมใสศรัทธาเร็วอย่างนี้”
เกาทัณฑ์มองเพดานรถนิ่ง
จับน้ำเสียงแล้วพอเดาถูกว่าเพื่อนอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอย่างอื่น
ก็คล้ายตนเองตอนเริ่มแรกนั่นแหละ
แต่ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในพระอาจารย์ คิดว่าถ้าบุญพาวาสนาส่ง
เชิงไทเคยมีนิสัยกับท่านมาก่อน อาจเกิดโอกาสได้ดี ก็ตกปากรับคำเบาๆ ทว่าหนักแน่น
“โอเคเลยเชิง”
“พาแอ้ไปด้วยนะ”
เรือนแก้วพึมพำ
“อ้าว ไหนว่าหลับไงล่ะนี่”
เชิงไทหันมองข้างกาย ทักยิ้มๆ
“กำลังละเมอมั้ง”
หล่อนตอบทั้งยังปิดตา
“ใกล้ถึงตรงที่แอ้ให้ปลุกพอดีแหละ”
เมื่อคนขับบอกเช่นนั้น หญิงสาวจึงเปิดเปลือกตาขึ้นมา รถกำลังเร่งความเร็ว
จังหวะเดียวกับที่หล่อนเห็นเงาคนวูบไหวจะข้ามถนน จึงยกมือชี้เตือนดังๆ
“คน…คน!”
เชิงไทยิ้มเย็น
“ก็คนน่ะสิ กลัวผมเห็นเป็นลิงเหรอะ”
แล้วก็หักเบี่ยงขวาอย่างรู้ว่าคนข้ามถนนคงไม่เสียสติกระโจนตามหัวรถมาแน่ๆ
เกาทัณฑ์หัวเราะมาจากด้านหลัง ถนนว่างโล่งและติดไฟแดงแต่ละจุดครู่เดียว
สองอึดใจต่อมาเรือนแก้วก็บอกให้เชิงไทเข้าซอยหนึ่งทางซ้ายมือ
ลัดเลาะตามทางได้เกือบสามร้อยเมตรก็ถึงอาคารสูงหลายสิบชั้นอันเป็นที่พักอาศัยของหล่อน
หญิงสาวบอกตำแหน่งจอด เชิงไททำตามบัญชา แต่ขยับหลุกหลิกเหลียวล่อกแล่ก
“ชั้นล่างมีห้องน้ำให้เข้าไหม?”
เรือนแก้วหันมองท่าทีรุ่มร่ามของเพื่อนหนุ่ม
ทีแรกจะบอกทางไปห้องน้ำของยามและคนเฝ้าเคาน์เตอร์
แต่เปลี่ยนใจคิดให้ความเอื้อเฟื้อ ไหนๆเขาก็อุตส่าห์มาส่ง
และตึกนี้ก็ต่างคนต่างอยู่ ใครคิดไม่ดีเห็นหล่อนหิ้วหนุ่มติดมาเข้าห้องสองคนก็ช่างหัว
“เข้าในห้องแอ้แล้วกัน”
เชิงไทยิ้มออก เปลี่ยนกิริยาเป็นนิ่งตามปกติ
หญิงสาวชี้ทางลงที่จอดรถชั้นใต้ดินซึ่งมีช่องจอดเฉพาะของห้องหล่อนอยู่
ยามเห็นหน้าจำได้ก็ปล่อยรถผ่านไปโดยดี
ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นยี่สิบสาม สภาพภายในอาคารใกล้เคียงกับโรงแรมหรู
พื้นปูหินอ่อนแล่นรอบตลอดชั้น ผนังและเพดานเรียบกริบดูแข็งแรง
กันเสียงรบกวนข้ามห้องอย่างเด็ดขาด ระบบป้องกันอัคคีภัยวางไว้ถูกตำแหน่งตามเกณฑ์
รวมแล้วรู้ว่าเป็นหลักแหล่งอาศัยของคนรายได้สูงลิ่วแน่นอน
เรือนแก้วนำสองสหายมาถึงประตูห้อง 2307 ไขกุญแจสองระดับ
เปิดออกกว้างแทนคำกล่าวเชื้อเชิญ พอหล่อนกดปุ่มบนแผงควบคุมที่ผนังด้านหน้า
ทั่วทั้งห้องก็สว่างโร่ด้วยแสงไฟหลากชนิด
ไอเย็นตามมาในเวลาไม่ช้านานโดยปราศจากเสียงหึ่งรำคาญหูของเครื่องปรับอากาศ
“ไม่เลวแฮะ”
เกาทัณฑ์เปรย ขณะที่เชิงไทปราดไปเข้าห้องน้ำ
ซึ่งเรือนแก้วให้ไปเข้าห้องชั้นใน เนื่องจากประปาของห้องน้ำชั้นนอกชำรุด
ความจริงเขาไม่ถึงขนาดเดือดร้อนหนักหนาสาหัส
ที่แท้แค่อยากยลรังนอนของเรือนแก้วเท่านั้น
พื้นห้องปูพรมน้ำตาลอ่อน เข้ากับผนังสีเหลืองอมขาว
ที่ประดับประดาด้วยภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่สองสามกรอบ
สะท้อนสายตาที่มีให้กับงานศิลป์อันลุ่มลึกของผู้เป็นเจ้าของ
ทว่าบางมุมก็ประดับประดาด้วยตุ๊กตาการ์ตูนหลากหลาย
แสดงให้เห็นว่าเรือนแก้วยังคงไว้ซึ่งจินตนาการและอารมณ์แบบเด็กซุกซ่อนอยู่
เหมือนกับหญิงสาวหลายคนที่โตมากับครอบครัวอบอุ่น มีความสุขในช่วงต้นชีวิต
นึกแล้วเกาทัณฑ์ก็สะท้อนใจอีกครั้ง ความน่าสงสารของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป
อย่างเรือนแก้วที่ปรากฏในวันนี้ด้วยลีลาของสาวเก่ง เชื่อมั่น และงดงามในทุกทาง
น่าอิจฉาสำหรับหญิงอื่น
ดูไม่ออกเลยว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กสาวตัวคนเดียวที่ผ่านความเจ็บ
ต้องทนปวดแสบปวดร้อนอย่างสาหัสมาก่อน นั่นทำให้เขานึกเวทนาย้อนหลัง
และอยากมีส่วนช่วยเหลือบ้างในทางใดทางหนึ่ง
“ห้องสวยกว่าของผมเยอะเลย”
ยืนใกล้แค่เอื้อม เรือนแก้วเพียงกระซิบตอบก็ได้ยินชัด
“ห้องเต้คงจะรกน่าดูสิท่า หนุ่มโสดก็หยั่งงี้แหละ”
เกาทัณฑ์สั่นศีรษะ และเป็นฝ่ายขยับตัวหลีกห่างออกมาหน่อย แต่ตาเหลียวจับดวงหน้าคมคายนิ่งอย่างอดพิศวาสไม่ได้
“ผมจัดข้าวของเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเสมอ
แต่ขาดหัวคิดซื้อเครื่องตกแต่งจัดวางให้ดูเข้าท่า เตะตาน่ารักอย่างนี้”
เขาชมการแต่งห้อง แต่หล่อนกลับถามมาอีกทาง
“แอ้น่ารักเหรอ?”
ลีลากระดกอวดปลายลิ้นแตะฟันหน้าในการสะกดบางคำนั้น
ทำเอาเกาทัณฑ์กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ดวงหน้าเนียนแฉล้มดูเย้ายวนรัญจวนใจราวกับมายาฝัน
กลิ่นไวน์ในลมหายใจของตนและหล่อนระคนกับกลิ่นน้ำหอมบาดฆานประสาทที่ยังค้างจางในเรือนร่างสาว
ก่อให้เกิดความปรารถนาล้ำลึกขึ้นมาฉับพลันทันใด
เรือนแก้วเอนหลังพิงผนังอย่างต้องการพักเข่า
แต่ดูทีปรือตายิ้มเยื้อนมองลึกเข้ามาในตาเขาแล้วคล้ายหล่อนกำลังเชิญชวนให้เสี่ยงเดาใจว่าคิดอะไรอยู่
จังหวะนั้นหากเขาก้มลงเอาจมูกแตะปลายคางหล่อนสักหน่อย คงไม่ถูกต่อว่าต่อขานกระมัง...
กลิ่นอายน้ำเมายวนใจให้ม้วนดิ่งไหลหลงลงสู่อิฏฐารมณ์
มองตาหล่อนด้วยความลังเลสองจิตสองใจ ทางเปิด โอกาสอำนวยอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ร่ำๆจะทำตามบงการแห่งดำฤษณา ทว่าสติของผู้ผ่านการอบรมมาแล้ว
ยับยั้งไว้และให้คิดถึงสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น
หากทำอย่างที่กำลังอยากทำ เรือนแก้วจะเปลี่ยนฐานะจากเพื่อนเป็นอื่นทันที
อุตส่าห์เฝ้าง้อแพตรี
งัดสารพัดกลเม็ดเด็ดพรายมาใช้จนหล่อนตกปากรับคำแล้วว่าสุดสัปดาห์นี้จะไปหาฤกษ์หมั้นด้วยกัน
รวมทั้งเดินทางไปบอกกล่าวลุงคามภีร์ของเขา ผู้มีศักดิ์ตามกฎหมายเป็นพ่อของหล่อน
ให้รับรู้ถึงสัมพันธภาพและเจตจำนงที่มี
ถ้าว่าตามกฎหมาย หรือกติกาจารีตประเพณี เขายังเป็นโสด อิสระเสรีบริบูรณ์
อยากบุกฮาเร็มไหน วิมานฉิมพลีใด ก็คงไม่มีใครว่า แต่ใจนั้น ตอนนี้ไม่โสดแล้ว
เขานั่นแหละที่จะเป็นคนว่าตัวเองถ้าทำเรื่องนอกลู่นอกทาง
ตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยการกลืนก้อนฝืดแห่งความฝืนใจลงคอ
ดึงสายตาออกจากร่างงามตรงหน้า ยากราวกับถอนเสาหนักที่ปักลึกในดินเหนียว
เหทิศกวาดสำรวจทั่วๆ
หันหลังกลับไปพบเป้าโฟมซ้อมยิงที่มีรูเล็กๆพรุนบนผนังด้านหน้าห้อง
หากระยะยืนเล็งห่างพอประมาณก็ต้องนับว่าแม่นเอาเรื่อง เนื่องจากรอยกระสุนเกาะกลุ่มกลางหนาแน่นเป็นพิเศษราวกับมีแม่เหล็กดูดขี้เหล็กอยู่ตรงนั้น
แลหาโดยรอบก็พบทั้งปืนอัดลมและคันธนูบนชั้นวางใกล้เตาอบไมโครเวฟ
เพียงเข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัวของเรือนแก้วก้าวแรก
ก็เห็นแล้วว่าหล่อนหลากหลายขนาดไหน
กำลังจะชมความแม่นที่ปรากฏหลักฐานบนเป้า เชิงไทซึ่งคงทำธุระด่วนเรียบร้อย
ก็ล้งเล้งมาจากด้านใน
“แอ้เล่นเปียโนด้วยเหรอะ?”
เรือนแก้วดีดรองเท้าส้นสูงทิ้ง
ก้าวเท้าเข้าสู่บริเวณที่กั้นไว้เป็นครัวย่อมๆเพื่อล้างหน้าล้างตาและจัดหาน้ำท่าให้เพื่อนฝูง
ไม่โต้ตอบคำของเชิงไทผู้เห็นเปียโนอยู่ทนโท่ในห้องนอนหล่อน
ยังอุตส่าห์ถามอีกว่าเล่นเปียโนหรือเปล่า
เกาทัณฑ์เดินตามเพื่อนเข้าไป
ซึ่งเป็นจังหวะที่เสียงเปียโนแนวแร็กไทม์กำลังเริ่มกระโดดโลดเต้น
เชิงไทนั่งคร่อมม้านั่ง อวดลีลาทะมัดทะแมง แต่ดูๆแล้วขัดตาพิกล
“เคาะผิดเคาะถูกแสดงว่าเรื้อไปนานแล้วซี”
มายืนทักอยู่เกือบชิดหลังนักเปียโนสมัครเล่น
เห็นมือเพื่อนออกเกร็งชอบกลเมื่อตะปบไปตามกลุ่มคีย์ขาวดำ
“เออ ไม่มีเวลาซ้อมนี่หว่า”
เชิงไทตอบกลับมาทั้งยังลงนิ้วบรรเลงเพลง The Entertainer อย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่ำคืนดูรื่นเริงมีชีวิตชีวา
คึกคักสำเริงสำราญราวกับอยู่ในงานสังสรรค์ยามเที่ยงวัน
เมื่อเริ่มคุ้นกับกลุ่มคีย์ของเปียโนจากเยอรมันหลังนั้น
เชิงไทก็ใส่สีสันระบายอารมณ์สนุกได้คล่องแคล่วกว่าเมื่อแรก
นิ้วยาวและแข็งแรงของเขาทำให้การเติมลูกเล่นเกินโน้ตเดิมสะดวกดายและพลิ้วลื่นเป็นธรรมชาติขึ้นเรื่อยๆ
เกาทัณฑ์เหลียวไปเห็นชั้นตั้งเสียบซีดีเพลงสูงปรี๊ดวางเป็นตับอยู่ไม่ห่าง
ก็ออกสำรวจเพื่อให้รู้แนวฟังเพลงของเรือนแก้ว เขามีโอกาสนั่งรถหล่อนน้อยครั้ง
แต่ละครั้งคุยกันโขมงโฉงเฉงกับเพื่อนในกลุ่มเกินกว่าจะใส่ใจรับรู้ประเภทเพลงที่ติดรถ
ท่าทางหล่อนจะเป็นนักฟังตัวยง ทั้งแถบนั้นเรียงรายด้วยชั้นซีดีถึงห้าตั้ง
แต่ละตั้งอัดแน่นไร้ช่องว่างด้วยสันซีดีกว่าสองร้อยแผ่น
เมื่อไล่ดูก็พบว่าถูกเรียงเข้าหมวดหมู่เป็นระเบียบ นั่นคือนิสัยของเรือนแก้ว
ทุกอย่างถูกจัดวางระเบียบเป็นหมวดหมู่เสมอ
หล่อนฟังแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไทยเดิม ไทยสากลเก่า-ใหม่
ไล่ไปถึงเพลงนิวเอจ คลาสสิค และป๊อบ-ร็อค
แต่ละประเภทสะท้อนให้เห็นความชอบใจด้านนั้นๆผ่านศิลปินโปรด อย่างเช่นถ้าเป็นร็อค
จะเห็นดนตรีดุอย่างมีรสนิยมของ โรเบิร์ต พาล์มเมอร์ เกือบทุกอัลบั้ม หรืออย่างถ้าเป็นคลาสสิค
ก็จะเห็นงานของราชาไวโอลินเช่นวิวาลดี้เต็มเอี้ยด
มองมุมห้องด้านบนเห็นเป็นลำโพงชุด
ยี่ห้อที่เลื่องชื่อลือชาว่าขับเสียงได้ยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง
ท่าทางหล่อนจะมีความสุขกับการลงนั่งฟังเพลงอย่างจริงจังตรงกึ่งกลางห้องซึ่งมีโซฟาหนังแท้วางอยู่โดยเฉพาะ
เมื่อว่างคงชอบถูกห่อหุ้มด้วยสนามพลังคลื่นเสียงทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่
จินตนาการถึงความเป็นเรือนแก้วอยู่ในใจ
จำนวนแผ่นของเพลงแต่ละประเภทบอกอยู่ในตัวว่าหล่อนไม่ผิวเผินกับอะไรสักอย่าง
จังหวะการเปลี่ยนอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้คงเดายากเอาเรื่อง ในเมื่อมีพื้นจิตใจที่สามารถจมจ่อมอยู่กับทุกแบบการปรุงอารมณ์
ไม่ว่าจะเป็นการขับขานตามแนวไทยเดิมเช่นลาวเทียน
ที่ลากช้าเยือกเย็นขนาดกล่อมให้เกิดสมาธิได้ หรือการบรรเลงอันอลังการเบิกชัยเช่น La Primavera ของวิวาลดี้
ที่อาจบันดาลความรู้สึกสง่างามสมบูรณ์แบบแก่ผู้สดับอย่างละเอียด
ไปจนกระทั่งการกระชากกระชั้นเผ็ดมันสุดเดชเช่นในเพลง Simply
Irresistible ของ โรเบิร์ต พาล์มเมอร์
ที่เตะอารมณ์คนฟังให้พุ่งโด่งได้ถึงสุดโต่งความคะนองใจ
ยิ่งหยิบค้นเห็นแนวหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ
ก็ยิ่งประหลาดใจกับความเป็นหล่อนขึ้นทุกที บางครั้งถึงกับอุทานกับตนเองว่าอะไรวะเนี่ย
เพราะแม้แต่เพลงนิทานกล่อมเด็กยังฟัง!
เหมือนเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง ซึ่งจัดงานพบปะมิตรสหาย
ปรากฏว่าเจอคนแรกเป็นชายชราในชุดราตรีท่าทางสุขุมสง่างาม
เดินไปอีกหน่อยเจอสาวเปรี้ยวออกท่าดิบๆกระโดกกระเดก เหลียวซ้ายเจอหนุ่มน้อยในชุดลำลองพร้อมท่องทะเลด้วยเรือยอร์ช
เหลียวขวาอีกทีดันเจอเด็กผู้หญิงน่าเอ็นดูอายุแค่เก้าขวบมายืนอยู่กลางงานกับเขาด้วย
เล่นเอางงงวยพิศวงว่ามันงานอะไรกันแน่ล่ะนี่
เกาทัณฑ์กะพริบตาปริบๆ
โล่งใจอยู่หรอกที่หาทั่วแล้วไม่เจอสมุนซาตานปนอยู่ด้วย
เรือนแก้วปรากฏกายตามเข้ามา บัดนี้ถอดเสื้อนอกออก
เหลือเสื้อแขนยาวสีชมพูเข้มที่ม้วนปลายไว้เหนือศอก หน้าตาดูสดใส
ท่าทางกระฉับกระเฉงขึ้นกว่าเดิม สองมือกำกระป๋องน้ำผลไม้
นำไปวางบนหลังเปียโนให้เชิงไทหนึ่ง แล้วที่เหลือมายื่นให้เกาทัณฑ์
จากนั้นมาหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้อง มองเชิงไทเล่นเปียโนสร้างบรรยากาศครึกครื้นยิ้มๆ
เกาทัณฑ์ดูดน้ำผลไม้กระป๋องรวดเดียวเกลี้ยง หาถังผงทิ้ง
แล้วจึงเดินมานั่งข้างเพื่อนสาว โซฟานั้นพอจุสองคนกำลังสบาย
“พาเพื่อนมาที่นี่บ่อยไหม?”
“ก็เป็นครั้งคราว”
เกือบบอกว่าต้องสนิทกันจริงๆ
และเพิ่งเขากับเชิงไทนี่แหละเป็นเพศชายสองรายแรกที่มีโอกาสมาเยือนถิ่น
แต่กลัวรู้แล้วเหลิง เลยเก็บไว้
“ดูแอ้ฝักใฝ่ทางดนตรีเอามากเลยนะ นี่ผมมองหากล่องไวโอลินอยู่
เอาไปซ่อนไว้ที่ไหนล่ะ?”
“รู้ด้วยเหรอว่าแอ้เล่น ใครบอกน่ะ?”
“ก็สะสมวิวาลดี้ยังกับสะสมแสตมป์อย่างนั้น เปียโนของโชแปงกับฟรังก์
ลิสต์รวมกันยังน้อยกว่าอีก ต้องให้ใครบอกล่ะ”
“อ้อ ช่างสังเกตจริงนะ”
“ไปกว้านซื้อมาจากหลายประเทศเลยซี เฉพาะเดอะแพลเน็ตส์ของ กุสตาฟ โฮลต์
ชุดเดียวก็ปาเข้าไปสี่วง”
เรือนแก้วแค่ยักคิ้วรับเนิบๆ ตบมือเปาะแปะให้เชิงไทเมื่อเล่น The Entertainer
จบลง และเริ่มโหมเพลงอื่น
ซึ่งยังคงเป็นแนวแร็กไทม์มันๆเช่นเคย
“ถามหน่อยเถอะ ช่วงที่เพิ่งออกจากบ้านพ่อ หาลำไพ่ทางดนตรีบ้างไหม?”
หญิงสาวสั่นศีรษะ
“ช่วงนั้นยังอ่อนหัด เพิ่งมาจริงจังก็หลังจากแม่เสีย
แม่ของแอ้เล่นดนตรีเก่ง พยายามหัดให้ตั้งแต่เด็ก แต่แอ้ขี้เกียจ
เพิ่งขยันก็เพราะคิดถึงแม่...”
ได้ยินคำตอบดังว่า เกาทัณฑ์ก็ชักอยากฟังเรือนแก้วเล่นเปียโนเป็นกำลัง
จึงตะโกนดังๆใส่หลังเพื่อนหนุ่มเบื้องหน้า
“เบื่อฟังดนตรีกระป๋องแล้วโว้ย กระแทกตุ้งๆยังกับจิงโจ้”
เชิงไทชะงักกึก ความบันเทิงในอากาศดับวูบ
“โธ่...มึงมีปัญญาเล่นหยั่งงี้รึเปล่า? ถ้าตกงานกูไปเล่นตามบาร์เลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้แล้วกันวะ หน็อย!
ทำเป็นด่าคนอื่นเขา”
พอเพื่อนหันมาสบตาด้วย เกาทัณฑ์ก็ขยิบเหล่ไปทางเรือนแก้ว เชิงไทจึงเข้าใจ
“แอ้เล่นแทนแล้วกัน”
ขอแล้วลุกจากม้านั่ง คว้ากระป๋องน้ำผลไม้อัดลมติดมือมาด้วย
“เชิงก็เล่นไปดิ้ แอ้กำลังฟังเพลินๆ”
“หน่อยน่า เจ้าเต้มันรำคาญ ผมไม่ใช่สก๊อต จอปพลิน ผมมันสก๊อตไบร๊ท์”
เรือนแก้วยิ้มขัน
เชิงไทเดินเข้ามานั่งบนเท้าแขนโซฟาขนาบหล่อนอีกข้างแบบดาวล้อมเดือน
“เจ้าของห้องปล่อยให้แขกเป็นฝ่ายจัดหาความสำราญได้ไง...ไป๊”
ว่าแล้วก็ใช้มือรุนหลังหน่อยๆ พอเพื่อนถูกเนื้อต้องตัวในที่รโหฐาน
หญิงสาวก็ลุกพรวด
“อยากฟังเพลงอะไรล่ะ”
“เอาแบบร้องด้วยเล่นด้วยน่ะ อะไรก็เอา เคยได้ยินแต่เสียงผ่านไมค์คาราโอเกะ
วันนี้ฟังเสียงแท้ซะมั่ง
ดูซิไม่มีเครื่องช่วยแล้วจะยังไพเราะเพราะพริ้งอยู่อีกหรือเปล่า”
“ไม่มีเนื้อแล้วนึกไม่ค่อยออกนี่”
“เหอะ! เล่นเปียโนแล้วร้องลิเกคลอก็ได้เอ้า
เดี๋ยวจะช่วยโก่งคอเป็นลูกคู่ถ้าหลง”
เชิงไทบอกส่งๆ อยากฟังการลงลูกคอนุ่มหูของเรือนแก้วเต็มแก่
อันเนื่องจากเคยร่วมร้องรำทำเพลงกันมาจนชิน หญิงสาวจึงไม่อิดเอื้อนนานนัก
ก้าวไปหย่อนตัวบนม้านั่ง ตั้งหลังตรง วางมือเข้าตำแหน่ง ทีแรกคิดตามใจเพื่อน
นึกถึงเพลงฮิตที่ร้องกันบ่อยจนจำขึ้นใจ แต่แล้วก็กลับลำ เลือกอวดฤทธิ์เดชเต็มกำลังศักยภาพของตนแทน
ลงนิ้ว ขยับพลิกมือซ้ายเดินคู่เบส
ขณะที่มือขวาเลื่อนพลิ้วจากช่วงกลางไปหาสูง
กระจายคอร์ดซีชาร์ปไมเนอร์ดุจการกวดไล่กันของฝีเท้าขบวนม้าเร็ว ปรากฏเป็น Moonlight
Sonata มูฟเมนต์ที่สามของบีโธเฟ่น
อัตราเร็วเม็ดเสียงแต่ละโน้ตสม่ำเสมอ ไต่จากเบาขึ้นไปกระแทกหนักปึงปังตามลำนำของคีตกวีอารมณ์แรงในยุคระบายฝันตามใจ
แต่เล่นไปได้เพียง 8 ห้อง พอตบห้าโน้ตแรกของห้องที่ 9 ก็หยุดกึกกลางคัน
สะบัดหน้าเหลียวหลังมาแจกยิ้มใส เชิงไทซึ่งเข้าใจเปียโนดีถึงกับอ้าปากหวอ
สำเนียงที่มากับต้นมูฟเมนต์ที่สามของ Moonlight นั้น ทรงพลังเข้มขลังอลังการ ยิ่งใหญ่ราวกับบีโธเฟ่นมาเอง หล่อนเลือกที่จะ
‘เล่าเรื่อง’ แบบเร็วจัด คือเล่น 8 ห้องแรกใช้เวลาเพียงสิบวินาทีเศษ
ลงนิ้วไม่ผิดเลยแม่แต่โน้ตเดียว
“แม่เจ้าโว้ย!”
เชิงไทอุทานแผ่วๆ หูตาเปิดค้าง สำหรับเกาทัณฑ์
แม้ไม่เข้าใจความยากง่ายของเปียโน แต่แค่เห็นลีลากระแทกโน้ตสูงปังๆแล้วย้ายไปไล่เสียงกลางใหม่อย่างรวดเร็วไหลรื่น
โดยที่ตัวคนเล่นยังนิ่ง ก็ทราบได้ว่าฝีมือเรือนแก้วนั้นต้องจัดเข้าชั้นครูทีเดียว
“ต่อให้จบสิ”
เชิงไทขอร้อง
“ไม่หรอกค่ะ เล่นเพลงนี้ต้องออกแรงเยอะ แอ้ยอมเหนื่อยให้คนที่แอ้รักเท่านั้น”
ท้ายประโยคหรี่ตายั่วเล็กๆ เล่นเอาเชิงไทจุ๊ปากจิกจัก
วางกระป๋องน้ำลงกับโต๊ะข้าง ลุกขึ้นมายืนประกบหลัง ขอซ้ำด้วยท่าทีจริงจัง
“เล่นให้ฟังหน่อยสิแอ้”
หญิงสาวเหยียดยิ้มเมื่อเพื่อนหนุ่มทำท่าราวกับจะเข้ามาเค้นคอ
“ก็ได้ กลับไปนั่งห่างๆเด้ะ มายืนจ่องี้ใครจะเล่นออกล่ะ”
เมื่อเชิงไทถอยกลับไปนั่งที่เดิม เรือนแก้วก็นึกเห็นใบหน้าอันหักงอของ
ลุดวิก ฟาน บีโธเฟ่น เข้ามาแทรกแทนมโนภาพใบหน้าตน
กำหนดใจให้ดุดันเป็นพายุร้ายในคืนอาบแสงจันทร์สีเลือด
แล้วเริ่มร่ายเสียงใหม่ตั้งแต่ต้นด้วยเรียวมืออิ่มพลัง เร้าทุกอณูในห้องให้เริงโรจน์ด้วยความรวดเร็วและรุนแรงแห่งลำนำขลังของคีตกวีอัจฉริยะ
เชิงไทฟังได้เดี๋ยวเดียวก็นั่งไม่ติด
ต้องขยับลุกขึ้นยืนในมุมที่สามารถเห็นการเริงรำอันเร็วรี่ของนิ้วมือเรือนแก้วถนัด
กอดอกจ้องตะลึง รู้จักหล่อนมาก็นานโข เพิ่งวันนี้ที่เห็นความสามารถอีกด้านนอกเหนือจากการงาน
หล่อนต้องร่ำเรียนกับครูเปียโนระดับประเทศ
และต้องซ้อมวันละไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงทีเดียว กำลังมือจึงอยู่ตัว
กับทั้งเกิดทักษะและสัมผัสภายใน
ควบคุมให้สิบนิ้วไหลเลื่อนประสานความคิดถ่ายทอดได้น้ำหนักและจังหวะจะโคนชั้นนี้
เกาทัณฑ์ก็นั่งมองค้าง
จรดใจฟังความวิจิตรอึงอลในบทเพลงที่บรรยายอิทธิพลแห่งแสงจันทร์ด้วยลักษณาการเดียวกับเชิงไท
เพิ่งตระหนักว่าเพื่อนสาวเป็นผู้สำเร็จฤทธิ์ขั้นสูงทางดนตรีคนหนึ่ง
ส่ำเสียงอันยุ่งยากซับซ้อนขนาดฟังแล้วขนลุกเยี่ยงนี้ ต้องใช้กำลังภายใน ทั้งสติและสมาธิผลักดันในระดับ
‘เนรมิต’ แล้ว
หล่อนเป็นบุคคลพิเศษที่รักและเข้าถึงเป็นอันเดียวกับเปียโนจนบันดาลเสียงชวนอัศจรรย์
เหมือนกับที่ฤาษีเข้าถึงดิน น้ำ ลม ไฟจนอาจก่อมายาการได้ตามปรารถนานั่นเอง
เรือนแก้วเก่งขนาดถ่ายทอดให้เขาเข้าใจอารมณ์เกรี้ยวของบีโธเฟ่น
ที่แสดงออกด้วยลวดลายรูปเสียงอันเพริดแพร้ว
บางจังหวะเห็นร่างแบบบางตรงหน้าปรากฏเป็นเครื่องจักรที่ไล่คีย์เปียโนได้คงเส้นคงวาไม่หยุดหย่อน
ไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ทว่าเป็นเครื่องจักรที่วิเศษกว่าทุกชิ้น
ตรงที่มีหัวใจและอารมณ์ มีความหฤหรรษ์ที่จะระบายสีสันพันลึก
ลากพาคนสดับฟังให้ดิ่งจมลงสู่ข่ายคลื่นมหรรณพแห่งดนตรีการไปจนสุดสาย
บุคลิกภาพของเรือนแก้วเองเป็นเสมือนท่วงทำนองอันเป็นสุดยอดของเพลง
ดีกว่าตรงที่หล่อนคงรูปอยู่เนิ่นนาน พร้อมให้จับต้องเรื่อยไป
ไม่สลายง่ายเพียงวูบผ่านเหมือนดนตรีการ ขอเพียงมีสิทธิ์จองเป็นเจ้าของหล่อนเท่านั้น...
จับมองแผ่นหลังของร่างเปรียวแล้วนึกเสียดายที่เส้นผมถูกซอยสั้น
ถ้าไว้ยาวคงดูเป็นนักเปียโนได้เด่นกว่านี้เยอะ แต่เคยเห็นตอนผมยาวอยู่ช่วงหนึ่ง
ก็ยอมรับว่าบุคลิกเช่นเรือนแก้วต้องส่งด้วยผมสั้นอย่างนี้เอง
ตลอดเวลาประมาณเจ็ดนาทีเศษที่เล่น
มีเพียงสองสามจุดเท่านั้นที่เรือนแก้วพลาด คลาดเคลื่อนหรือสะดุด
แต่โดยรวมแล้วเมื่อฟาดมือซ้ายขวากระหน่ำสองกลุ่มโน้ตสุดท้ายสุดแรงเกิดราวกับจะพังเปียโนทั้งหลัง
ก็รวบยอดเป็นความโอฬารเกินภาพปรากฏและสิ่งแวดล้อม
อันได้แก่หญิงสาวร่างแน่งน้อยที่อาศัยอัพไรท์เปียโนธรรมดาเป็นเครื่องมือ
โดยที่แท้ความยิ่งใหญ่เยี่ยงนั้นควรเกิดขึ้นพร้อมกับภาพนักดนตรีใส่ทักซีโด้หรูหน้าแกรนด์เปียโนบนเวทีของสเตเดี้ยมขนาดยักษ์ที่มีผู้ชมนับพันเสียมากกว่า
สองหนุ่มปรบมือดังๆพร้อมกันเป็นเวลานาน เต็มแรง เต็มใจ เรือนแก้วเชิดคาง
เบนหน้าชำเลืองแลมาทางเชิงไทซึ่งอยู่ใกล้ ยิ้มดุ ตาดุตามอารมณ์เพลง
ชายหนุ่มเห็นเข้าถึงกับเข่าอ่อนกับอำนาจสายตาเจ้าแม่
แต่พอรู้ตัวว่าเผลอระย่อไปชั่ววูบ
ก็แก้เกี้ยวด้วยการทำทีถลาเป็นนกปีกหักเข้าไปทรุดตัวคุกเข่าข้างม้านั่ง
“โปรดรับผมเป็นศิษย์ด้วยเถิด”
ไม่พูดเปล่า สองมือเกาะเอวกิ่วอย่างแสนพิศวาส เรือนแก้วตีมือเผียะ ตวาดเบาๆ
“เดี๋ยวเถอะ!”
ความสามารถเชิงดนตรีคือเสน่ห์อันทรงพลังให้ติดหลงได้รวดเร็ว
สำหรับเชิงไทนั้นเป็นคนเดียวที่ขณะนี้ ‘ยังมีสิทธิ์’
จึงแทนที่จะนึกคร้ามแววคมกล้าด้วยแรงฤทธีในตาสาว
ก็กลับย่ามใจตวัดเหนี่ยวเกี่ยวเอวคอดคล้ายคอแจกันนั้น
และเอนศีรษะแนบแขนหล่อนนิ่งอย่างถือสนิทจนเลยเถิด
“มากไปแล้วพ่อ!”
เรือนแก้วลุกขึ้นอย่างไว้ตัว เสียงชักเข้ม แต่ไม่ถึงกับแข็ง
เกาทัณฑ์เห็นอาการหมาหยอกไก่ที่ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแล้วหัวเราะเย้ยเพื่อนอยู่ในใจ
ครั้งหนึ่งเร็วๆนี้เมื่อส่งเรือนแก้วตรงที่จอดรถยามวิกาล
เขาเคยดึงเอวหล่อนเข้ามากอดแบบหยอกๆ เรือนแก้วแค่ดันด้วยศอกหน่อยเดียว
และเอ่ยราตรีสวัสดิ์ทั้งยังอยู่ในอ้อมแขนเขา
“เก่งสุดเดชเลยแอ้”
เกาทัณฑ์ชมด้วยปาก และต้องชมซ้ำในใจเมื่อเห็นปลายเสียงของตนติดสั่นเล็กน้อย
แสดงให้เห็นอิทธิพลของฝีมือหล่อนที่กระทบใจเขาจนแกว่งได้อย่างนี้
“แอ้คงต้องรับสอนเปียโนอยู่แน่ๆ”
หญิงสาวยักไหล่
“เปล่า”
“ผมเรียนกับแอ้ได้ไหม คิดชั่วโมงเท่าไหร่ว่ามา”
เรือนแก้วปรายตามองเกาทัณฑ์ ดูไม่ออกว่าเขามีความตั้งใจตามพูดหรือเปล่า
จึงโปรยยิ้มแฝงเลศนัย
“อย่าเลยค่ะ เดี๋ยวนางฟ้าของเต้รู้เข้าเขาจะว่าแอ้”
เชิงไทลุกขึ้นยืน โพล่งทันที
“คนมันหลายใจ ไม่ค่อยกลัวถูกว่าหรอก”
เกาทัณฑ์หัวเราะเอื่อย เงียบเสียงไป
กะจะปล่อยให้เชิงไทแสดงบทอี๋อ๋อคนเดียวตามสถานภาพชายโสด
ส่วนตนพักตาตามประสาคนหัวใจไร้ห้องว่างเสียแล้ว
พอเชิงไททำแต้มด้วยการโจมตีเพื่อนแล้วก็เกิดเมื่อยหลังและสองขาขึ้นมาเพราะยืนเกร็งอยู่นาน
ประกอบกับเริ่มเพลียเนื่องจากได้เวลานอน แต่เห็นโซฟากลางห้องถูกเกาทัณฑ์ยึดครอง
จึงเดินเลยไปล้มตัวนอนบนฟูกนิ่มของหญิงสาวหน้าตาเฉย
“นี่! พระคุณท่านเจ้าขา ลุกค่ะลุก ใครใช้ให้นอนเจ้าคะนั่น?”
“อะไร แค่นี้หวงด้วย มีผ้าคลุมเตียงอยู่ตั้งชั้น”
เชิงไทพึมพำกลั้วหัวเราะ ยังทำดื้อนอนต่อ เรือนแก้วชักฉิว ปราดมายืนเท้าเอวแหว
“กลับได้แล้ว ทั้งสองคนเลย!”
เชิงไทยกต้นคอหรี่ตาเหลือบลงต่ำ เห็นคนสวยทำหน้ามุ่ยก็หัวเราะขบขัน
“แอ้นี่ยิ่งดูยิ่งน่ารักแฮะ”
ว่าแล้วก็ปิดเปลือกตาอย่างสุโขสโมสร
แถมแกล้งยั่วด้วยการพลิกหน้าสูดกลิ่นหอมจากเตียงอย่างชื่นใจ
เรือนแก้วต้องขบริมฝีปากสงบสติเป็นครู่ ก่อนใช้ไม้อ่อน
“เชิง...ถ้าจะพักตาก็นอนโซฟาห้องนั่งเล่นค่ะ ไม่เอา”
เชิงไทซึ่งย่างเข้านิทราไปแล้ววูบหนึ่งปรือตาถามงัวเงีย
“ขอค้างได้หรือเปล่าคนสวย? ขี้เกียจกลับแล้วจริงๆ
ตีหนึ่งกว่าอย่างนี้”
ความจริงอยากอยู่ใกล้ชิดหล่อนให้นานที่สุด
ด้วยความถือสนิทบวกกับความเห็นว่าเรือนแก้วเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว จึงไม่น่าเกรงใจ
เรือนแก้วทำหน้าเคร่ง กอดอก
“เมื่อกี้จะให้ขึ้นมาเข้าห้องน้ำเดี๋ยวเดียวนะ
นี่ตอนเช้าหอบกันลงไปทั้งหมดอย่างนี้จะให้คนเห็นเขาคิดว่าแอ้เป็นผู้หญิงยังไงไม่ทราบ?”
“เขาก็คิดว่าแอ้มีอำนาจวาสนา เปี่ยมด้วยบุญญาบารมี
จิกลูกสมุนมาดูดฝุ่นและขัดส้วมทั้งคืนได้ถึงสองหน่อ”
“ไม่ขำหรอก” หล่อนเอ็ด แล้วก็หันมาพึ่งเพื่อนหนุ่มอีกนาย “เต้!
ดูเพื่อนเธอสิ”
เกาทัณฑ์ลืมตา เกาต้นคอแกร็กๆที่ต้องกลายเป็นตัวกลาง
รู้ว่าที่จริงเชิงไทแค่แหย่เล่น
แต่การเย้าแหย่ผิดจังหวะก็น่ารำคาญชวนขี้เกียจทนได้เหมือนกัน
ท่าทางเรือนแก้วคงถือสาที่เชิงไทนอนเตียงหล่อนมากพอดู
“ไปเหอะ เชิง”
พยายามชวนด้วยเสียงเรียบธรรมดาเหมือนมีเจตนาอยู่เอง
มิใช่เพราะรับการร้องขอมาจากเรือนแก้ว แต่เชิงไทฟังแล้วแปลความหมายไปอีกอย่าง
คือเกาทัณฑ์จะทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกจากการถูกคุกคามรังแก
หมั่นไส้จนหัวเราะ ดึงตัวขึ้นนั่งที่ปลายเตียงพักหนึ่ง ก่อนหยัดกายลุกยืน
ล้วงกระเป๋าส่งกุญแจรถให้
“กูขับไม่ไหวว่ะ ตอนค่ำคุยธรรมะกับมึงเสียกำลังงานเยอะ ขับให้หน่อย”
เกาทัณฑ์รับมาโดยดี เรือนแก้วเห็นท่าเพลียจริงของเชิงไท
ก็สอบเกาทัณฑ์อย่างมีแก่ใจ
“เต้เหนื่อยด้วยหรือเปล่า?”
“ยังไหว อย่าห่วง”
เขาทำตาแจ่ม ทว่าเรือนแก้วรู้สึกได้ถึงความซึมที่แฝงอยู่ จึงอึกอักเป็นครู่
ก่อนลังเลถามเสียงอ่อนลง
“จะนอนนี่ไหม?”
เกาทัณฑ์เลิกคิ้วสูง เขาเองก็เพลียไม่น้อย
เพราะนอกจากทำงานเต็มอัตรามาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงทุ่มครึ่ง
ยังต้องทุ่มเทสมาธิแก้ปัญหาธรรมกับเพื่อนหนุ่มสาวต่ออีกเป็นชั่วโมง
เหลียวไปทางเชิงไท เห็นหมอทำตาเขียวเอานิ้วชี้หน้า
เป็นทำนองบอกในทีว่าถ้าปฏิเสธจะถูกเตะ เลยผายมือกว้าง
“ถ้าแอ้ไม่ถึงกับหนักใจนะ”
เรือนแก้วยักคิ้วตอบเย็นชา
“ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีใครมาฉีกอกแอ้ก็คงไม่หนักใจมั้ง”
เกาทัณฑ์ส่ายหน้ายิ้ม ผู้หญิงก็คือผู้หญิง
“ไม่หรอก”
“แอ้จะอาบน้ำนอนล่ะ มีแปรงสำรองอยู่อันเดียว เดี๋ยวแบ่งใช้กันเอง
ถ้าทำใจรับความน่าพะอืดพะอมไม่ไหวก็เป่ายิ้งฉุบแย่งเอานะ ใครดีใครได้
ใช้อ่างในครัวละกัน แล้วก็ขอเชิญคุณสุภาพบุรุษทั้งสองเสด็จเลยเจ้าค่ะ
ห้องนี้ไม่ต้อนรับแล้ว”
ประโยคหลังสั่งพลางเดินไปดึงลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง
หยิบแปรงในกล่องใหม่เอี่ยมพร้อมยาสีฟันหลอดเล็ก แล้วมามองสองหนุ่ม สลับซ้ายทีขวาที
ชั่งใจเป็นครู่ ก่อนกระดกแขนเหมือนท่อนไม้ที่ถูกสปริงดีดดึ๋งขึ้นมา
ยื่นของในมือให้เกาทัณฑ์
“อึ้!”
ชายหนุ่มผู้ถูกเลือกกล่าวขอบใจและรับมาโดยดี เรือนแก้วทิ้งค้อนให้วงหนึ่ง
ก่อนหมุนตัวเดินไปฉวยผ้าเช็ดตัวจากราว
แล้วหันกลับมาส่งตาสำทับหนุ่มๆให้ออกพ้นเขตของหล่อนได้
ซึ่งครั้งนี้เกาทัณฑ์กับเชิงไทยอมปฏิบัติตามโดยดี พอคล้อยหลังทั้งสอง
ประตูห้องหญิงสาวก็ถูกปิดปัง ได้ยินเสียงลงกลอนแน่นหนา
เมื่ออยู่ตามลำพังประสาหนุ่ม
เกาทัณฑ์กับเชิงไทก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะขึ้นมาเฉยๆ
“มึงเอาไป!”
เกาทัณฑ์ส่งแปรงให้เพื่อน เชิงไทรับมา แต่วางไว้แถวนั้น
“ช่างเหอะ แฟร์ๆโว้ย แค่คืนเดียวฟันไม่ผุ ปากไม่บูดหรอก ยังไงตอนนี้ยังไม่มีสิทธิ์จูบสาวที่ไหนอยู่แล้ว”
พูดเสร็จก็เกาหัว
“ยายแอ้ปิดห้องอย่างนี้กูปวดอึขึ้นมาจะทำยังไงวะ? ถ้าเคาะเรียกมีหวังหาว่าแกล้ง”
เกาทัณฑ์หัวเราะหึๆ
“มึงก็แกล้งแต่แรกจริงๆนี่”
ชวนกันมาหย่อนตัวนั่งบนโซฟาซึ่งแต่ละคนหมายตาใช้เป็นที่หลับนอน
หันหน้าคุยกันก่อนเอน
“เด็ดดวงเลยว่ะเฮ้ย เก็บเม็ดโน้ตได้อร่อยเหาะแท้”
เชิงไทเอ่ย ซึ่งฝ่ายฟังรู้แน่นอนว่าเขากำลังชมใคร
นั่นเป็นการเริ่มมีมุมมองให้เรือนแก้วแปลกไปกว่าเคย ปกติเมื่อคุยกันเองเช่นนี้
มักเป็นการแวะเวียนวิพากษ์วิจารณ์ความน่ากินของหล่อน
หรือไม่ก็เถียงกันอย่างออกรสว่าหวงตัวได้เสมอต้นเสมอปลายอย่างนี้ที่แท้ยังบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า
“ถ้าเป็นนักดนตรีอาชีพหรือจบโททางเปียโนโดยเฉพาะก็ว่าไปอย่าง
นี่มีงานประจำต้องทำงกๆ สงสัยจริงเอาเวลาที่ไหนซ้อม”
ชมเปาะด้วยสีหน้าสีตาตื่นเต้นบอกความเห่อ ออกท่าคลั่งไคล้เต็มที่
ด้วยรู้ดีว่าเล่นได้ขนาดให้อารมณ์ตัวเองพาเพลง
ไม่ใช่ให้โน้ตพามือไปอย่างนี้หายากนัก ถ้าได้เป็นแฟนเต็มตัว
มีโอกาสนั่งฟังทุกวันคงเพลินแท้
เกาทัณฑ์พยักหน้า แม้เล่นดนตรีได้เพียงผิวเผิน หรืออาจกล่าวว่าฟังเป็นอย่างเดียว
ก็พอทราบว่าเรือนแก้วมิได้ใช้เพียงสัญชาตญาณที่เกิดจากความเคยชินในการฝึกซ้อม
ทว่ามีความคิดเพ่งลงไปในโน้ตทุกกลุ่มอย่างเข้าใจความสัมพันธ์ขึ้นลงลึกซึ้งตลอดสาย
เช่นเดียวกับคนเล่านิทานกล่อมเด็กที่ทราบจังหวะการให้เสียงหนักเบาเร้าใจอย่างเหมาะเจาะทุกถ้อยประโยค
ก็ขนาดคนฟังยังเกิดโสมนัสเริงแรงขึ้นได้ แล้วคนเล่นล่ะจะไปไกลเกินนั้นสักขนาดไหน
“อือ นึกว่าร้องเพลงเก่งอย่างเดียว”
ออกความเห็นแกนๆ เนื่องจากไม่สันทัดพอจะวิจารณ์ถึงแก่นอย่างเชิงไท
“อ๋อ ฝีมือร้องเพลงน่ะเหรอ ยายแอ้ใช้ได้อยู่หรอก เสียงใส ลูกคงลูกคอพลิ้ว
แต่โหนสูงแล้วยังเพี้ยน น้ำหนักกับสำเนียงยังไม่เป็นเอกลักษณ์เด่นจนน่าจะดัง
ต้องฝึกอีกยาวถ้าคิดเอาดีทางร้อง แต่ฝีมือเปียโนนี่มึงเอ๊ย
ขึ้นเวทีเก็บตังค์หัวละสี่หลักได้เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องซ้อมเพิ่มกันเลย”
เกาทัณฑ์เพลียจะหลับมิหลับแหล่ แต่ก็ต้องทนฟังหมอจ้อ ท่าทางจะหยุดยาก
จำต้องรับไปตามเรื่อง
“อือ รู้เลยว่าที่ผ่านมาเขาใช้อะไรเป็นเพื่อนเมื่อต้องอยู่ตัวคนเดียว...”
เชิงไทไม่มีแก่ใจสัมผัสความเหงาของมนุษย์เท่าไหร่นัก
ก็ว่าตามความคิดอยากพูดของตนไปเรื่อย
“เมื่อกี้มึงสังเกตหรือเปล่า บนโต๊ะหัวเตียงมีกล่องฟลุตด้วย
ท่าทางจะเหมาเล่นแหลกเลย เก่งดนตรีอย่างนี้เอง ถึงดูมีอารมณ์แบบติสต์ๆแรงนัก
ผู้หญิงเล่นดนตรีเก่งจัดเนี่ย มึงเอ๊ย...”
ขาดคำก็ทำปากซี้ดแผ่วอย่างคนมีประสบการณ์ เกาทัณฑ์รู้ความหมาย
แต่ขณะนี้นึกอยากมองเรือนแก้วสูงกว่าที่ตรงนั้น จึงพยายามเบี่ยงเบน
“ท่าทางยิงปืนแม่นด้วยนะมึง เป้ากระดาษพรุน จับกลุ่มใจกลางแน่นเชียว”
เกาทัณฑ์บุ้ยปากไปทางผนังหน้าห้อง เชิงไทมองตามแล้วส่ายหน้าอย่างเห็นกระจอก
“อีคงยืนห่างแค่ห้าคืบม้าง อีกอย่างวิถีกระสุนปืนลมจะวัดแน่วัดนอนอะไรได้
ยายแอ้คงไม่กล้ายิงปืนไอ้ที่ดังปั้งๆแบบพวกเราหรอก”
“กูเคยเห็นซิกซาวเออร์ในกระเป๋าถือแอ้นะ”
เชิงไทเบิกตาหน่อยๆ
“เหรอะ?”
“อือ...เห็นแค่ปากกระบอก แต่รับรองไม่ผิดแน่ คงเอาไว้ยิงคนคิดจะปล้ำน่ะ”
คราวนี้เชิงไทยิ้มเลี่ยน เพิ่งเข้าใจว่าเพื่อนเริ่มออกลายหวงก้าง
“เฮ่ย...”
ครางลากแล้วหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาเคาะ คีบส่งให้มวนหนึ่ง เกาทัณฑ์เหลือบมอง
ใจไม่นึกอยากเลยสั่นหน้า ปล่อยให้เพื่อนจุดสูบ อัดควันเข้าปอดคนเดียว
“เต้...มึงอยู่นอกวงแล้วนา”
เชิงไทใช้เสียงต่ำ ยื่นคางคายควันขาวทึบให้ลอยจากร่องปากขึ้นข้างบน
จ้องเกาทัณฑ์ด้วยดวงตาดำลึกเบื้องหลังม่านควัน
เกาทัณฑ์สบตากับผู้นั่งตรงข้าม คงรู้สึกผิดบาป หากทำเป็นไขสือ
ไม่รับรู้นัยของเพื่อน หรือกระทั่งแสร้งส่อแววดื้อดึงดันทุรังจะแย่งกันต่อ เขามีพันธะแล้ว
และเพิ่งฉายบทฝ่ายธรรมะไปเมื่อช่วงค่ำ
หากไร้ความสัตย์ซื่อถือมั่นกระทั่งรักเดียวใจเดียว ก็คงน่าเกลียด
น่าหัวร่อเยาะพิลึก
“เออวะ กูเลิกแย่งแล้ว ต่อไปนี้แอ้คือเพื่อนคนหนึ่งเท่ากับที่มึงเป็น”
เกาทัณฑ์ใช้เสียงเป็นมิตรและเปิดเผย เชิงไทหัวเราะฮ่า
ชะโงกหน้ายื่นมือให้เพื่อนจับ เกาทัณฑ์เม้มปาก
ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะยื่นมือไปบีบกระชับ
จับมือกับเชิงไทมาไม่รู้กี่ครั้ง ด้วยความหมายของการร่วมแสดงความยินดีบ้าง
นึกซึ้งใจในมิตรภาพยามจากลาบ้าง ขอบอกขอบใจที่ช่วยเหลือกันบ้าง
ประสพความสำเร็จร่วมกันบ้าง ทุกครั้งเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ปราศจากความเคลือบแคลงคาใจอันใดสิ้น
แต่ครั้งนี้เกาทัณฑ์รู้สึกแปลกมาก สัมผัสฝ่ามือเพื่อนที่สื่ออารมณ์แรง
ยินดีปรีดา ขณะที่ฝ่ามือตนชื้นเหงื่อแห่งความอสัตย์ที่แฝงเร้น
แม้เป็นฝ่ายเริ่มบีบกระชับก่อน ก็ปราศจากพลังมั่นคง ผิดกับแรงตอบกลับของเชิงไทลิบลับ
คงเป็นเพราะก่อนเกิดสัมผัสเพียงพริบตา เกิดสะดุดเข้ากับคำถามในหัวเข้าข้อหนึ่ง
ทำไมเขานึกเสียดาย และเป็นกังวลละล้าละลังขึ้นมาอย่างนี้?
เรือนแก้วอาบน้ำเสร็จก็เข้านอนด้วยความเพลียกาย
แต่สบายใจจนนึกสงสัยว่าวันนี้มีสิ่งใดพิเศษไปกว่าคืนก่อนๆนักหนา
ปกติก่อนปิดตาหลับ
หล่อนจะหยิบรีโมทคอนโทรลจากโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมาชี้ไปที่เครื่องเล่นสเตอริโอเพื่อเลือกเปิดเพลงนุ่มเย็น
คุ้นเคยกับการเงี่ยหูสดับเสียงดนตรีไปจนกว่าจะเคลิ้มหลับอย่างเป็นสุข
ทว่าคืนนี้แปลกกว่าเคย หล่อนอยากนอนเงียบๆ ไม่นึกต้องการสรรพเสียงอันใดเอาเลย
สำรวจใจ ตั้งคำถามกับตนเองว่ามีสิ่งใดน่าสบายใจนักหรือ?
จับความรู้สึกโดยรวม ผุดความคิดขึ้นมาจากการจับสังเกตนั้นว่าคล้ายบางสิ่งที่เป็นมลทิน
บางสิ่งที่บดบังใจให้มืดคลุ้มมาเนิ่นนาน ได้ถูกถอดถอน โยกย้ายออกไป
ตัวตนบางส่วนในอดีตคืนกลับมา คือใจที่ยิ้มเอง
และฉายใสได้คล้ายแสงจันทร์ที่ไขแขเต็มดวง ปราศจากเมฆหมอกปกคลุม
อะไรที่ถูกโยกย้ายออกไป?
ทบทวนอย่างเป็นกลางคล้ายมองด้วยสายตาบุคคลที่สองเข้ามา
ก็ได้คำตอบว่าเป็นความคิดอาฆาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความคิดน้อยเนื้อต่ำใจ
ความคิดในทางลบสารพันที่มีต่อพระศาสนาและกองบุญแห่งตน เคยเสื่อมศรัทธา
บัดนี้กลับใจบูชาได้ใหม่อีกครั้งแล้ว
โล่งเหมือนออกจากถ้ำทึบ เบาอกเหมือนพ้นจากการทับของหินหนัก หล่อนเคยกระทั่งกล่าวผรุสวาท
กล่าวประณามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไร้ตนคล้ายคนคลุ้มคลั่ง
นึกย้อนทบทวนแล้วเกิดความเห็นชัดว่าเคยปักใจผิดลู่ผิดทางมาอย่างไร
ระบายยิ้มนิดหนึ่งเมื่อคิดทำในสิ่งที่ว่างเว้นมาหลายปีดีดัก...สวดมนต์ก่อนนอน
อบอุ่นใจอย่างประหลาด เมื่อเข้านั่งพับเพียบหน้าหมอนแล้วรู้สึกเหมือนแม่มายืนที่ข้างเตียง
ดูหล่อนสวดมนต์เช่นสมัยอายุ 7-8 ขวบ พริ้มตาปิดลง
พนมมือเป็นพุ่มด้วยใจคิดว่าจะใช้แทนดอกบัวบริสุทธิ์ถวายพระ แล้วท่องนะโมฯสามจบ
ออกเสียงแผ่วชัด
นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
น้ำตาแห่งความปีติเอ่อซึมขึ้นมาจนรู้สึกได้ถึงความชื้นของขนตา
มีความโยงใยระหว่างใจที่เป็นบุญกับมโนภาพอันงดงามของแม่เสมอ
พอว่านะโมฯจบก็นึกอะไรต่อไม่ได้
ปีติสุขอันคุ้นเดิมแต่วัยเยาว์แล่นจับใจจนแทบสะอื้น โลกในวันวานอ่อนอุ่น
จำได้ถึงความรัก ความผูกพันที่ทำให้ทุกซอกมุมในบ้านดูสว่างไสว
หล่อนเคยเป็นคุณหนูที่แจกยิ้มใสกระจ่างได้อย่างรู้ว่าทุกคนรักเอ็นดู
เป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อแม่โอ๋ราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย ครั้งนั้นมีกำลังใจทำความดี
อยู่ใต้โอวาทของพ่อแม่ทุกอย่าง ขยันเรียน พูดจาสุภาพอ่อนหวาน
และมีใจเจือจานไม่เลือกหน้า
น้ำตาคลอขอบ ทำไมโลกถึงต้องมีเรื่องน่าร้องไห้มากมายนัก คิดถึงแม่
คิดถึงพ่อเมื่อครั้งยังเป็นคนเก่า คิดถึงความรู้สึกว่าตนเป็นผีเสื้อในบ้าน
บินว่อนไปจับทุกหนแห่งที่เรียงรายด้วยของเล่นแปลกตา
พ่อแม่หาให้ใหม่แทบไม่เว้นแต่ละอาทิตย์
เคยนอนพังพาบจ้องมองพ่อประกอบเมืองตุ๊กตาเป็นชั่วโมงด้วยความอบอุ่นที่ประทับลงล้ำลึกสุดใจ
ปรารถนาให้ภาพเหล่านั้นย้อนคืนมาเป็นความจริงอีกครั้ง หล่อนจะยอมถูกสาปเป็นเด็กหญิงตลอดไป
หากนั่นคือข้อแลกเปลี่ยนที่สมกัน
พ่อยังรักและเป็นห่วงหล่อนอยู่เสมอ
ตัวหล่อนเองนั่นแหละที่ยอมรับไม่ได้แม้กระทั่งเรียกท่านว่า ‘พ่อ’
เรื่องราวหนหลังที่เล่าให้เพื่อนชายฟังเมื่อหัวค่ำนั้น
เป็นเพียงเสี้ยวของเสี้ยว หล่อนวาดภาพพ่อให้เป็นผู้ร้าย
เป็นปีศาจที่นำความพินาศมาสู่ครอบครัว
ความจริงมีเรื่องสลับซับซ้อนระหว่างพ่อกับแม่มากมายที่หล่อนร่วมรู้เห็น
แต่ละไว้ไม่กล่าวถึง
พ่อไม่เคยคิดทอดทิ้งหล่อน เมื่อก่อนหย่าก็วิงวอนให้หล่อนอยู่ด้วย
รวมทั้งเกือบใช้ไม้ตายทางศาลมาบังคับแม่ แต่หล่อนเองที่ทำให้พ่อถึงกับหน้ามืด
จุกแน่นคับอก ยังไม่ลืมแววปวดร้าวสาหัสในดวงตาพ่อ เมื่อหล่อนทำทีก้มลงกราบแทบเท้า
แล้วเงยขึ้นจ้องหน้า พูดชัดถ้อยชัดคำตอบคำอ้อนวอนขอให้อยู่กับท่าน
“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะแสดงความเคารพพ่อ กายหนูต้องเป็นลูกพ่อ
เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งชาติ แต่ใจขอตัดขาดกัน
ถ้าชาติหน้ามีจริงและพ่อมีบุญได้เป็นคน
หนูจะขอยอมเป็นลูกสัตว์แทนมาเกิดเป็นลูกพ่ออีก!”
เสียใจตลอดมาที่พูดหยาบช้าออกไปเช่นนั้น แต่ภาพที่พ่อนอนบนเตียงคนไข้
เคียงข้างด้วยเมียใหม่ ตะโกนไล่แม่เหมือนหมูเหมือนหมา ดึงดันจะเอาแม่เข้าคุกท่าเดียว
ทั้งที่แม่ฟูมฟายขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ทำให้หล่อนบันดาลโทสะ
และนึกเกลียดพ่อเข้ากระดูกดำ อยากคืนแค้นของแม่ให้บ้าง
คนเรามีเรื่องให้สำนึกผิดมากมาย แต่สำหรับหล่อนแล้ว
เรื่องนี้ใหญ่หลวงจนแม้พยายามลืมและคิดว่าสมควรแก่เหตุ ก็ยังคงเป็นจุดด่างพร้อยกลางใจ
สลัดล้างไม่หลุด จะด้วยลูกไม้ตั้งแง่คิดเกลื่อนกลบลบลืมใดๆก็ตาม
คืนนี้ เดี๋ยวนี้ มีเหตุให้ใจอันเป็นกุศลเดิมๆหวนคืนมา
ดลให้เกิดความคิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตลอดเวลาอันเลวร้ายยาวนานหลายขวบปี
คือขอโทษพ่อ...
ทำงานมานานนมจนหยิบโทรศัพท์พูดกับคนระดับรัฐมนตรีได้ด้วยท่าทีเชื่อมั่น
บัดนี้เพื่อต่อสายถึงพ่อตนเอง กลับสั่นไหวอย่างน่าอาย
กดเบอร์บ้านเก่า เป็นชุดตัวเลขที่เหมือนฝังลืม ไม่เคยคิดขุดขึ้นมาอีก
บัดนี้ก่อความรู้สึกอ่อนโยนขึ้นมากลางใจเมื่อเลขเหล่านั้นปรากฏในหัว
“ฮัลโหล...”
จำเสียงเมียใหม่ของพ่อได้ เกือบตัดสายแล้วรอโทร.ใหม่วันหลัง
แต่แล้วก็เกิดความเด็ดเดี่ยวที่จะรักษาความตั้งใจเดิม
คืนนี้หล่อนต้องขอโทษพ่อให้ได้
“เรียนสายคุณจอมภพค่ะ”
ฝ่ายโน้นเหมือนอึ้งไป ก่อนถามเสียงกระชาก
“นั่นใครไม่ทราบยะ? โทร.มาดึกดื่นป่านนี้”
เรือนแก้วหรี่ตาลง คงนึกว่าสาวที่ไหนโทร.มาตามพ่อถึงบ้านล่ะซี
เกือบแกล้งมารยาสาไถยสวมรอยเป็น ‘หญิงอื่น’
ของพ่อให้นังหน้าด้านอกไหม้ไส้ขมเสียบ้าง แต่แล้วก็ระงับไว้ หล่อนจะโทร.มาล้างบาป
ไม่ใช่ก่อความเดือดร้อนรำคาญใจให้ใครอีก
“น้าสาย...นี่แอ้ลูกพ่อจอมนะคะ”
เกือบต้องกัดลิ้น เมื่อฝืนเรียกฝ่ายนั้นว่า ‘น้าสาย’ เป็นครั้งแรก
“อ้อ...”
สายชลเสียงอ่อนลง เงียบพักใหญ่คล้ายแปลกใจ แต่แล้วก็ตอบจนได้
“เขาไม่อยู่หรอก ไปพัทยา พรุ่งนี้ถึงจะกลับ”
เรือนแก้วเม้มปากด้วยความผิดหวัง เกือบถอยฉากโดยดี แต่แล้วก็ถาม
“ขอเบอร์มือถือพ่อจอมหน่อยเถอะค่ะ แอ้มีเรื่องด่วน”
คราวนี้สายชลเงียบไปนานมาก คงระแวงอยู่กระมังว่าหล่อนจะรบกวนทางใดทางหนึ่ง
ได้แต่หวังว่าฝ่ายนั้นคงรู้ความเคลื่อนไหวในชีวิตหล่อนบ้าง
จะได้ทราบว่าทุกวันนี้คนอย่างเรือนแก้วไม่อยู่ในภาวะต้องพึ่งพาใครเลย
เมียพ่อไม่ใช่คนใจดำอะไร พักเดียวก็ตัดสินใจบอก
เรือนแก้วกล่าวขอบคุณและกดปุ่มตัดสาย มิได้รีรอตอแยอันใดอีก
ถือกระบอกโทรศัพท์ค้าง ชั่งใจหน่อยหนึ่ง
ทำไมต้องรีบร้อนเอาดึกดื่นค่อนคืนอย่างนี้? พ่อคงหลับไปแล้ว และอาจปิดโทรศัพท์ไว้ด้วย
ส่ายหน้ากับตนเอง ตอนนี้ใจร้อนเหมือนไฟเผา ยังไงก็ขอลองสักครั้ง
หล่อนกดตามเบอร์ที่รับรู้มา ค่อยๆกดทีละปุ่มอย่างจะให้แน่ใจว่าต้องใช่
พร้อมทั้งภาวนาให้พ่อเปิดเครื่องไว้
“สวัสดีครับ!”
เสียงห้าวของพ่อดังมาตั้งแต่สัญญาณเรียกที่สองไม่ทันขาด เรือนแก้วใจเต้นถี่
เอาเข้าจริงกลับส่งเสียงให้ผ่านริมฝีปากยาก ไม่สมความมุ่งมาดเดิม
“ฮัลโหล! ได้ยินไหมครับ?”
พ่อคงอยู่ในสถานบันเทิงที่ไหนสักแห่ง
เพราะเสียงอึกทึกของเครื่องดนตรีและผู้คนสรวลเสรอบข้างแทบกลบมิด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เสียงแทรกก็ซาลง แสดงว่าปลีกตัวห่างออกมา
“พ่อคะ นี่แอ้นะ”
เรือนแก้วพยายามสะกดเสียงให้เรียบ ความเงียบเกิดขึ้นที่ปลายสายไปชั่วขณะ
คล้ายฝ่ายนั้นตกตะลึงจังงัง ก่อนตามมาด้วยเสียงละล่ำละลัก
“นั่นแอ้เหรอลูก?”
“ค่ะ แอ้เอง”
ต่างเงียบงันกันไปอย่างไม่รู้จะเริ่มสานต่อประโยคทายทักอย่างไร
ในเมื่อห่างเหินกันจนกลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว เรือนแก้วไม่ได้เตรียมคำพูดไว้
เมื่อครู่หล่อนเพียงเกิดความปรารถนารุนแรงที่จะโทร.หาพ่อ ขอโทษพ่อ แต่บัดนี้เมื่อถึงเวลาเผชิญกันจริงๆ
ทุกอย่างกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น
ทิฐิและความโกรธเกลียดคล้ายหวนกลับมาตั้งมั่นในอกอีก
“ลูกอยู่ที่ไหน? ตอนนี้ยังอยู่กับน้าจี๊ดหรือเปล่า? พ่อเคยไปหา ก็เห็นย้ายจากบ้านเดิมกันหมดแล้ว
เจ้าของใหม่ไม่ยอมให้ที่อยู่เสียด้วย”
“เปล่าค่ะ แอ้อยู่คนเดียวมาตลอด อาศัยน้าจี๊ดแค่สองสามเดือนเท่านั้น”
หล่อนตอบสั้น และไม่พยายามที่จะเค้นคำให้ต่อเนื่อง
กลายเป็นว่าจอมภพต้องสืบสานเสียเอง
“ดีใจเหลือเกินที่ได้ยินแอ้เรียกพ่ออีก พ่อรอมานานแล้วนะ”
ได้ยินเพียงนั้นเรือนแก้วก็รู้ตัวว่ายังรักพ่อมากแค่ไหน ต้องฝืนกลืนก้อนสะอึกลงคออย่างยากเย็น
“ว่าแต่ลูกมีปัญหาเดือดร้อนรอให้พ่อช่วยเหลือหรือเปล่า? บอกมาว่าอยู่ไหน พ่อจะไปหาเดี๋ยวนี้”
เรือนแก้วกะพริบตาถี่ๆ
“หนูสบายดี ไม่มีปัญหาหรอก ถ้ามีก็จะไม่รบกวนพ่อเด็ดขาด!”
ปลายสายปลอดเสียงไปอีกครั้ง
ความเงียบของพ่อทำให้คำขอโทษและความคิดจะพูดดีของหล่อนสะดุดชะงักลงชั่วขณะ
“ทำไมพ่อไม่ไปงานศพแม่?”
ถามห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำอย่างหาเรื่อง ไอร้อนเริ่มไต่ขึ้นมาเป็นริ้ว
จอมภพอึกอัก ผ่านโลก ผ่านสถานการณ์ฉับพลันกะทันหันมาร้อยแปด กระทั่งตั้งสติ
คิดรู้ได้เร็วว่าจู่ๆลูกสาวคงไม่โทร.มากลางดึกเพื่อทวงถามเรื่องเก่าแค่นี้
จึงตอบอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“แอ้...พ่อเคยมีความโกรธ เคยมีทิฐิมานะ
แต่ทุกวันนี้คิดถึงสิ่งที่ผ่านมาและเริ่มสำนึก ถ้าหากลูกยังเกลียด ยังอยากด่าว่าพ่อก็ไม่เป็นไรนะ
ขอบอกเท่านั้นว่าพ่อเสียใจที่ทำให้ลูกรักและเข้าใจไม่ได้เท่าแม่ พ่อผิดที่นอกใจ
แต่แม่ของลูกก็โมโหร้าย และเล่นกันถึงโคตรเหง้าเทือกเถาเหล่ากอ เป็นสิ่งที่...”
“พ่อไม่ต้องแก้ตัวหรอก หนูไม่ได้โทร.มาฟังพ่อพูดถึงความผิดของคนตาย
แล้วเรื่องเทือกเถาเหล่ากอน่ะ ถ้าใครมายืนชี้หน้าด่าพ่อของหนู หนูจะไม่ตบเขาหรอก
จะไม่โกรธตอบด้วย!”
จอมภพระบายลมหายใจยาว
“เอาล่ะ แอ้เข้าข้างแม่ก็ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้ลูกโตแล้ว
เห็นแก่ความรักและความดีที่พ่อให้กับลูกมาตลอด
บอกสักคำเถอะว่าจะให้พ่อเห็นหน้าอีกสักครั้งได้ไหม? พ่อจะนอนตายตาไม่หลับถ้ายังติดค้างว่าลูกอยู่ไหน อยู่กับใคร
ทำอะไรเลี้ยงตัว...”
ไม่แน่ใจนักว่าโทรศัพท์เบอร์ที่ขึ้นอยู่ที่หน้าปัดเครื่องมือถือของเขาจะเป็นหลักแหล่งอาศัยของลูกหรือเปล่า
แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเริ่มสืบหาจากเบอร์นี้ หากเรือนแก้วปฏิเสธที่จะเปิดเผย
“อย่าห่วงเลยค่ะ” ทำเสียงเยาะ ปั้นหน้าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำ กระแทกเสียง
“หนูขายตัวมานานแล้ว! สุขสบายดี พ่อจะแนะนำใครมาซื้อหนูไปค้างคืนด้วยก็ได้นะ”
จอมภพตระหนกจนแทบปล่อยโทรศัพท์ร่วงลงพื้น
เสียงขื่นเขียวกร้านกระด้างของลูกสาวทำให้เชื่อทันทีว่าเป็นเรื่องจริง
“แอ้...” เสียงสั่นอย่างระงับไม่อยู่ “หนูพูดจริงหรือเปล่าลูก?”
เรือนแก้วกระตุกยิ้มหยัน สะใจที่ทำให้อีกฝ่ายเสียงรัวเป็นเจ๊กตื่นไฟ
“ไม่เชื่อก็มาดูเอาเองสิ”
“โธ่!...ลูก”
“โธ่ทำไมคะ นี่แหละผลผลิตของบ้านแตกสาแหรกขาด! ใครล่ะเป็นคนทำ? เคยคิดบ้างไหมว่าไล่แม่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับแอ้? เงินที่พ่อเจียดให้มาน่ะ ปีเดียวก็หมดเกลี้ยง
รู้ไหมแม่เอาไปลงทุนแล้วขาดทุนป่นปี้ ที่เป็นลมตกบันไดตายก็เพราะหมกมุ่นคิดมาก
ต้องใช้หนี้เขานั่นแหละ แม่ตายแล้วจะให้แอ้เอาเงินจากไหนซื้อข้าวกรอกปากล่ะ
ถ้าไม่ใช่สมบัติเก่าที่แม่ให้ไว้!”
พ่นพิษเสร็จก็กรีดหัวเราะแหลม จอมภพนิ่งไป ก่อนเอ่ยเสียงเครือ
“เลิกเถอะลูก มาอยู่กับพ่อนะ”
หญิงสาวยิ้มเกรียม
“หนูจะวางล่ะ”
“เดี๋ยว...เดี๋ยว”
พ่อรีบห้าม เสียงอ่อนล้าเหมือนใจจะขาด
“แอ้จะให้พ่อทำยังไงก็บอกมานะ พ่อยอมทุกอย่าง พ่อขอโทษ
อย่าปล่อยให้ตัวเองเหลวแหลก พ่อทนไม่ได้”
เรือนแก้วหรี่ตา ปลายนิ้วโป้งรออยู่ที่ปุ่มปิด
“หนูโทร.มาบอกพ่อแค่นี้แหละ จะไม่กวนอีกแล้วตลอดไป ขอให้อยู่เป็นสุข
ไม่ต้องโทร.มาเบอร์นี้นะ ห้องเสี่ยหน้าโง่มันซื้อทิ้งไว้
เดี๋ยวเสี่ยอยู่เห็นเป็นเสียงผู้ชายจะเข้าใจผิด หรืออยากให้หนูถูกตบก็ตามใจ”
“แอ้...”
หญิงสาวขยับนิ้ว แต่แล้วเสี้ยววินาทีเดียวก่อนลงแรงกด สำนึกฝ่ายดีก็รั้งไว้ทัน
ระลอกขมพลุ่งผ่านลำคอขึ้นโจมจับจมูก ไม่อาจเก็บเสียงสะอื้นฮักได้อีกต่อไป
ที่สุดก็ปล่อยโฮให้ผู้บังเกิดเกล้าได้ยินเยิ่นยาว
จอมภพแทบเป็นบ้าเป็นหลังเดี๋ยวนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกกันแน่
“แอ้...คนดีนะลูกนะ ลูกเป็นอะไร ถูกใครทำร้ายหรือเปล่า?”
“พ่อขา...”
น้ำตาไหลเป็นสาย มือที่ถือกระบอกโทรศัพท์สั่นระริก ทิฐิมานะพังทลายลงสิ้น
“แอ้ขอโทษที่ทำให้พ่อเสียใจค่ะ”
จอมภพสะกดอารมณ์ไว้อย่างยากเย็นเพราะตามอารมณ์ลูกสาวไม่ทัน
“ครั้งไหนล่ะที่แอ้ทำให้พ่อเสียใจ? เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่พ่อจะอกแตกเพราะรู้ว่าลูกทำตัวตกต่ำ
บอกพ่อซิว่าจะมาอยู่ด้วยกัน พ่อจะไปรับ”
“เปล่าค่ะ เรื่องนั้นแอ้โกหก อย่าห่วงเลย
แอ้มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งอย่างผู้หญิงดีๆคนหนึ่ง”
บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปทันที
“พูดจริงหรือลูก แน่นะ?”
น้ำเสียงฝ่ายนั้นแช่มชื่นขึ้น
“ค่ะ”
จอมภพหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะปรีดาของผู้เป็นพ่อ
“บอกซิว่าลูกอยู่ที่ไหน พ่อจะไปหาเดี๋ยวนี้เลย”
เรือนแก้วข่มสะอื้น ก่อนตอบว่า
“แล้วหนูจะติดต่อไปนะคะ และจะไปหาพ่อเอง”
“แอ้ พ่อฝันเสมอนะว่าวันหนึ่งเราจะกลับมาดีกัน ได้มาอยู่ด้วยกันอีก”
“ค่ะพ่อ ที่ผ่านมาหนูเลวมาก พ่ออโหสิให้หนูนะคะ
ทั้งที่พูดชั่วๆกับพ่อไปเมื่อหลายปีก่อน และที่เพิ่งพล่อยเหมือนผีสิงเมื่อกี๊อีก”
“ลูกรัก พ่ออโหสิ”
ถ้อยคำอันหนักแน่นนั้นทรงความหมายยิ่งนัก
ได้ยินแล้วอกใจคล้ายเปิดโล่งออกกว้าง สบายถึงที่สุด
ใครว่าสายสัมพันธ์อันร้าวฉานนั้นเหมือนแก้วแตก ที่แท้ไม่จริงเลย
สายใยระหว่างใจสมานคืนได้เสมอเมื่อแหว่งวิ่นไปบ้าง
ดีใจที่พ่อยังอยู่และเอ่ยคำอโหสิเข้าหู คงสายไปหากหล่อนสำนึกได้เมื่อแก่
“ถ้าบาปกรรมมีจริง แอ้ก็คงไปเกิดเป็นสัตว์ชดใช้คำพูดของตัวเอง
แต่อย่างน้อยเดี๋ยวนี้แอ้ก็สบายใจขึ้น ขอบคุณนะคะพ่อ”
“ไม่เลย พ่ออโหสิแล้ว ลูกไม่ต้องไปชดใช้ ไม่ต้องเป็นสัตว์ที่ไหนทั้งนั้น”
เรื่องบุญกรรมที่ถูกปลูกฝังมาตลอด ทำให้คิดขึ้นมาว่าถ้าหล่อนจะไปเกิดในที่ต่ำ
ก็ด้วยคำพูดของตนเองส่งไป ไม่อาจถูกผลักไสหรือยับยั้งไว้ด้วยคำพูดเข้าข้างของพ่อ
หญิงสาวปลงใจก้มหน้ารับอยู่ในที ทว่ามิได้โต้ที่จุดนั้นอีก
“พ่อกลับไปสนุกต่อเถอะค่ะ แอ้จะเข้านอนแล้ว”
“คืนนี้พ่อมีความสุขที่สุด ขอบใจนะลูก” จอมภพกล่าวด้วยความเบิกบาน
“ก่อนวางหูจะไม่บอกให้พ่อรู้หรือว่าชีวิตลูกเป็นยังไงบ้าง
ยังอยู่ตัวคนเดียวหรือเปล่า? คงมีแฟนแล้วสินะ”
แวบหนึ่งที่ฟังคำถามพ่อ เรือนแก้วเกิดประหวัดถึงใบหน้าของเกาทัณฑ์ขึ้นมา
แต่ก็แวบเดียวเท่านั้น…
“ยังค่ะ แอ้ยังเป็นโสด แล้วก็ค่อนข้างจะบ้างาน ไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้
ราตรีสวัสดิ์นะคะ” แล้วก็ทิ้งท้ายแผ่วหวานเหมือนเด็กๆ “หนูรักพ่อค่ะ”
นั่นคือถ้อยคำที่รู้ว่าจะทำให้พ่อดีใจกว่าอะไรทั้งหมด เรือนแก้วหมดห่วง
หมดพะวง วางโทรศัพท์คืนแป้น ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาอีกครั้ง
ก่อนกลับขึ้นที่นอน ซึ่งคราวนี้เมื่อเอนกายกอดหมอนข้าง
ก็ถึงกับยิ้มกว้างอย่างสุขสม เพราะปลดเปลื้องมลทินจากใจได้ราบคาบสนิทแล้ว
ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น