วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทำอย่างไรจะไม่คิดร้ายกับคนไม่ยอมใช้หนี้ (ดังตฤณ)

ถาม : เวลาคนอื่นขอยืมเงินเรา เราให้เขายืม แต่พอเรามีปัญหา แม้เงินเราเองเราขอทวงคืนเขาก็บอกจะผ่อนให้ แต่ผ่อนได้เดือนเดียวก็ยังไม่ให้อีก เลยมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเขา จะมีวิธีทำใจอย่างไรที่จะไม่คิดร้ายกับเขา และยังอยากได้เงินคืน ถ้าไม่ได้คืนจะทำใจอย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒

ดังตฤณ:
 
เพื่อความสบายใจ เวลาผมให้เงินใครผมไม่คิดว่าให้ยืม แต่คิดว่าให้เลย ถ้าไม่ให้ก็แปลว่าไม่มีจะให้ หรือรู้สึกว่าเกินกว่าจะให้ คนเราถ้าเดือดร้อนหน้าแห้ง ขนาดมีประวัติต้องตระเวนขอหยิบขอยืมจากใครๆ ล้วนแล้วแต่ออกแนวนี้แหละครับ พอยืมได้ล่ะก็ แม้จะมีใช้คืนแล้ว แต่ก็นึกเสียดาย กั๊กไว้ในกระเป๋าตัวเองอยู่ดี ด้วยความคิดว่าคนอื่นคงมีพอกินพอใช้ แบ่งๆให้ตนแค่นี้คงไม่เป็นไร

ที่คิดอย่างนั้นได้เพราะอะไร? เพราะความตระหนี่และความโลภลวงใจให้เขาสำคัญผิดรู้สึกว่าเงินในกระเป๋าเขาก็ต้องเป็นเงินของเขา คุณให้เขาแล้วก็ต้องเป็นสิทธิ์ของเขาแล้ว จำเป็นอะไรที่เขาต้องสละเงินตัวเองให้กับคุณ แม้คุณจะอ้างว่าเป็นเจ้าของเก่าก็ตาม กรณีของคุณถือว่าโชคดีแล้วที่เขาใช้คืนมาก้อนหนึ่ง ส่วนใหญ่ไปแล้วไปลับไม่กลับคืนมาทั้งก้อน

บาปกรรมประเภทยืมแล้วไม่คืนนี้ ทุกคนเคยๆทำกันมาทั้งนั้น เพราะธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้เสมอ ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คุณไม่ทำตอนแก่ก็อาจจะเคยทำตอนหนุ่มสาว หรือถ้าไม่ทำตอนหนุ่มสาวก็อาจทำตอนเด็ก หรือถ้าไม่ทำตอนเด็กก็อาจทำตอนเป็นคนแก่ในชาติที่แล้ว ฯลฯ ฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าชั่วชีวิตแต่ละคนต้องโดนกันสักครั้ง

ว่าไปแล้ว โทษอันเกิดจากการชักดาบ ยืมเงินแล้วไม่คืนนั้น อาจหนักหนาเสียยิ่งกว่าการขโมยซึ่งๆหน้า เพราะโจรที่ปล้นเงินตรงไปตรงมา มีจิตคิดเอาของคนอื่นไปเป็นของตนโดยไม่ตั้งใจคืน ส่วนคนยืมเงินเพื่อนนั้น นอกจากคิดเอาไปไม่ใช้คืนแล้ว ยังต้องด้านทนเวลาเขาทวงคืน เท่ากับต้องพอกพูนความตระหนี่ให้ทวียิ่งๆ ขึ้นไปอีก

ความตระหนี่เป็นเหตุให้อัตคัด ส่วนการฉ้อโกงเป็นเหตุให้ทรัพย์พินาศ พวกยืมเงินแล้วไม่คืนทั้งที่มีพอจะคืนนั้น ได้ชื่อว่าทั้งตระหนี่ ทั้งฉ้อโกง ในอนาคต นอกจากยากจนยังโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มีเหตุให้ทรัพย์พินาศเนืองๆ ส่วนในชาติปัจจุบัน บาปอาจพัฒนาตัวเอง ทำให้หน้ามืดตามัว เห็นผิดเป็นชอบ รู้สึกเหมือนตนเองจนตรอกอยู่ตลอดเวลา แรกๆ ก็ตากหน้ายืมญาติด้วยความเขินอาย ต่อมาก็ยืมเพื่อน ยืมแฟน พอทุกคนบอกศาลากันหมด ไม่เหลือใครให้ยืมอีกแล้ว ก็ยกระดับขึ้นสู่วิชาชีพคดโกงขั้นต่อๆ ไป

เมื่อคิดได้อย่างนี้ ก็หันมาเปรียบเทียบกับตัวเอง บอกตัวเองว่ายังดีที่คุณเป็นฝ่ายถูกโกง ไม่ใช่คุณไปโกงเขา คุณไม่ได้สร้างเหตุแห่งความอัตคัด เพราะคุณเป็นฝ่ายสละความตระหนี่ และคุณก็ไม่ได้สร้างเหตุให้ทรัพย์พินาศ เพราะคุณไม่ได้ฉ้อโกงใคร

ส่วนที่ทรัพย์พินาศไปด้วยการโดนยืมแล้วชักดาบ อันนั้นก็ให้ถือเป็นการลงโทษของกรรมเก่าที่เคยไปทำใครเขามา อภัยได้ก็ถือว่าหมดเวรกัน

คนเราถ้าเจ็บแค้นแล้วสามารถอภัย นึกปรารถนาดีกับผู้ทำให้เจ็บแค้นได้ ก็จะลิ้มรสเมตตาที่อร่อยกว่าปกติ แล้วมีกำลังใจที่จะทำดีด้านอื่นๆ ตามมาอีกมาก หากพยายามทำใจแล้วอภัยไม่ได้ ก็ลองทำบุญใหญ่ ถวายสังฆทานหรือเลี้ยงอาหารเด็กหรือคนชราตามสถานสงเคราะห์ดู คำแนะนำนี้เหมือนจะให้จ่ายเพิ่ม ไม่ได้เงินคืนแล้วยังเสียเงินอีก แต่ขอให้ลองเถิด ลองคิดว่าเราบวกเงินเพิ่มเข้าไปจากที่เสีย รวมกันเพื่อเจตนาสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาส เท่านี้คุณจะรู้สึกว่าเงินที่เสียไปทั้งหมดล้วนเพื่อทำทาน อย่างน้อยใจคุณต้องสบายขึ้นเป็นกอง และหากฟลุกๆ ลูกหนี้ยังมีความละอายอยู่บ้าง ก็อาจถูกข่ายคลื่นแห่งมหาทานของคุณเข้าท่วมทับ รุ่งขึ้นกลับใจโทร.มาขอคืนเงินเห็นทันตา


แต่ถ้าเกินจะอภัย ยกเงินให้เฉยๆ ไม่ไหว และทำอย่างไรเขาก็ไม่คืน เช่นนั้นคงต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรมแบบโลกๆ กันต่อไป ซึ่งนั่นก็พ้นขอบเขตที่ผมจะให้คำแนะนำ บอกได้แต่เพียงว่าจะทำอะไร ขอให้มีโทสะเจืออยู่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็แล้วกันครับ




** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น