วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๑๔ ร่วมทาง

บทที่ ๑๔  ร่วมทาง


ตื่นนอนขึ้นมาในเช้าตรู่ของวันนั้น สิ่งแรกที่เกาทัณฑ์ต้องการคือนั่งลงทำสมาธิ ด้วยคิดถึงปีติ สุข และความเงียบเย็นละเมียดละไม อันเป็นรสสมาธิระดับที่ตนเข้าได้ถึง นั่นทำให้ทราบว่าเขาเริ่มติดสมาธิแล้ว อยากทำเองโดยปราศจากจุดหมายล่อใจอันใดนอกเหนือจากรสสงบวิเวกอันเยี่ยม

การเสพปีติ สุข และความสว่างอันเกิดจากการรวมจิตนิ่งนั้น ใครทำได้สม่ำเสมอทุกวันสักช่วงหนึ่งแล้วละเว้นสักหน่อย จะรู้สึกเหมือนขาดบางอย่างไป คล้ายพลังงานบางส่วนแห้งหายและไม่ถูกนำมาเติมให้เต็ม

และนั่นเป็นอีกเช้าหนึ่งที่เขาทำสมาธิได้แนบนิ่ง เนิ่นนาน เมื่อลืมตาขึ้นแล้วก็มีกำลังวังชา เดินเหินได้คล่องแคล่วสบายตัวสบายใจหน่อย กับทั้งจิตมีสภาพพร้อมจะขึงนิ่ง เข้าล็อกขณิกสมาธิอยู่ตลอดเวลา ขอเพียงนึกเท่านั้น ทำให้เกาทัณฑ์คิดว่าการฝึกจิตช่างคุ้มค่าเหลือหลาย ลงทุนแค่ความเพียรในช่วงต้นนิดเดียว แต่ชีวิตที่เหลือทั้งหมดสามารถเสพสุขอันประณีตได้ดังใจนึก จิตโปร่งโล่งเหมือนไม่อาจถูกกระทบจากสิ่งใด อะไรก็ตามผ่านเข้ามาจะแล่นล่องเลยไป เช่นเดียวกับที่ฝุ่นทรายไม่อาจซัดเข้ากระทบอากาศว่างและแสงสว่างอาภา

ใจคอของเขาเยือกเย็นลง คล้ายปลีกตัวไปอยู่อย่างสงบผาสุกตามลำพังในที่ห่างไกลความวุ่นวาย ถึงแม้ความเป็นจริงยังขยับกายอยู่ท่ามกลางส่ำเสียงความเคลื่อนไหวรอบตัว และนั่นคงมิใช่การทึกทักตามอัตโนมัติของตนเองคนเดียว เพราะระหว่างร่วมโต๊ะทานข้าว แม่ทักขึ้นว่า

“ดูเต้หน้าตามีสง่าราศีแปลกไปนะ ยังกับเพิ่งออกมาจากวัด”

ชายหนุ่มยิ้มหน่อยๆ ทำสมาธิบ่อยจนจิตใจผ่องแผ้วนั้นเป็นเช่นนี้เอง

“พักนี้เต้มันไปเยี่ยมคุณพ่อบ่อยน่ะ”

อารามหันไปให้ความรู้แก่ผู้เป็นภรรยา ธารีเลิกคิ้วนิดหนึ่ง

“จริงเหรอ?”

ฝ่ายสามีพยักหน้าและเสริมมาอีก

“คงไปติดพันบรรยากาศดีๆในบ้านคุณพ่อมานั่นเอง มีของหวานเย็นดึงดูดก็งี้แหละ”

ธารีเริ่มรู้ เพราะทราบดีว่าบิดาของสามีเลี้ยงหลานสาวแสนสวยไว้คนหนึ่ง

“อ้อ อย่างนี้เอง”

“แกอย่าทำเล่นไปนาเต้ หนูแพเขาเหมือนน้อง และถ้านับกันก็มีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ด้วย”

อารามสำทับลูกชายซ้ำจากครั้งสุดท้ายที่เคยคุยกันหนหนึ่งทางโทรศัพท์ เกาทัณฑ์หัวเราะนิ่มๆ

“อะไรกันฮะ ไม่ให้ผมพูดสักคำ ถูกพ่อตักเตือนแล้ว”

“เอาน่า แกเป็นลูกฉัน อ้าปากหรือหุบปากก็เห็นลิ้นไก่อยู่ดี”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างแสดงในทีว่ายอมรับการรู้ทันของพ่อ อารามผ่านสายตาดูหน้าลูกแวบหนึ่งแล้วว่า

“ก็ดีเหมือนกัน เข้าออกบ้านธรรมะเลยท่าทางจะติดธรรมะมาด้วย”

“ทำไมฮะ หน้าตาท่าทางของผมเปลี่ยนไปจริงๆเหรอ?”

“ถามแม่เขาสิ”

เกาทัณฑ์หันมองผู้เป็นมารดา ธารีขี้เกียจวิจารณ์ก็ก้มหน้าตักแกงในชามขึ้นจิบ ชายหนุ่มปลื้มใจนิดหนึ่ง ค่าที่เขาพารังสีธรรมมาเผื่อแผ่พ่อแม่ในเช้านี้ได้ คนอิ่มธรรมนั้น แค่ปรากฏตัวก็เป็นความสบายตา หรือกระทั่งบันดาลกุศลจิตให้เกิดแก่ผู้พบเห็นได้แล้ว เรียกว่าสำเร็จทั้งประโยชน์เราและประโยชน์เขาด้วยประการฉะนี้

เสียงสัญญาณโทรศัพท์บนโต๊ะมุมห้องดังขึ้น เกาทัณฑ์เป็นฝ่ายลุกเดินไปรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

“สวัสดีครับ”

“ฮัลโหล…” เสียงจากต้นสายดังแว่วมา “ขอสายจุกหน่อยครับ”

“เดี๋ยวนะครับ”

เขาหันมาถามพ่อแม่ให้แน่ใจว่ารับคนชื่อจุกเข้ามาทำงานบ้างหรือเปล่า เมื่อพ่อสั่นหน้าก็กลับมาตอบว่า

“สงสัยต่อเบอร์ผิดนะครับ บ้านนี้ไม่มีคนชื่อจุกหรอก”

“เอ๊ะ ไม่มีหรือครับ? ที่นั่นเบอร์ 519-….”

ฝ่ายนั้นระบุหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งตรงกับของบ้านเขา เกาทัณฑ์ฟังแล้วรู้ว่ามีการให้เบอร์ผิดหรือจดเบอร์ผิด ก็กล่าวอย่างใจเย็น

“ครับ เขาคงให้เบอร์มาผิดแล้ว บ้านนี้ไม่มีคนชื่อจุก”

ฝ่ายเรียกสายเงียบไป ชายหนุ่มเกือบวางหู แต่ก็ถูกทักขึ้นมาอีก

“ต้องเป็นเบอร์นี้แน่ๆครับพี่”

เสียงออกเหน่อแบบเพิ่งเดินทางมาถึงท่ารถหมอชิตนั้นทำให้เกาทัณฑ์ชักรำคาญ

“ใช่ เบอร์ที่น้องบอกน่ะถูก แต่ผิดบ้าน ลองดูดีๆเถอะ บางเลขอย่าง 3 กับ 9 นี่คล้ายกัน น้องอาจดูผิดไป นะ”

เขาลงเสียงแบบตั้งท่าชวนเลิกสาย ฝ่ายนั้นคงรับรู้ จึงอ้อมแอ้มตอบ

“อ้อ ครับๆ”

เมื่อวางหูลงได้ค่อยโล่งหน่อย ย่างเท้าพาร่างสูงกลับมาที่โต๊ะอาหาร สีหน้าสีตายังคงบ่มยิ้มเย็นเช่นเดิม

“แล้วนี่วันนี้จะไปไหนหรือเปล่า เห็นแต่งตัวหล่อเหลือเกิน”

อารามถาม เกาทัณฑ์เลือกเสื้อผ้าที่ดูสุภาพเรียบร้อย แต่เป็นของดีมีราคา ส่งบุคลิกให้ดูเฉียบและเนี้ยบตามสไตล์หนุ่มมีเกรด

“จะพาแพไปกราบหลวงพ่อพุธที่โคราชน่ะฮะ”

พูดแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้น นึกดีใจที่ทำให้พ่อแม่หันมาเบิกตาจ้องได้พร้อมๆกัน

“อือ สนิทกันแล้วรึนี่?”

อารามทำท่าแปลกใจ

“ก็คงเริ่มสนิทมั้งฮะ ผมควรจะพามาหาพ่อแม่ที่นี่บ้างนะ”

“แล้วลูกเข้าหาพระหาเจ้านี่ก็เพราะหนูแพเขาชวนหรือ?”

ธารีถามสวนมา ซึ่งนั่นทำให้เกาทัณฑ์สำรวจความสงบสุขในใจตน ยอมรับโดยดุษณีว่าหล่อนเป็นแรงจูงใจสำคัญ ลำพังเขาเองหรืออยู่ดีๆจะอยากหาพระหาเจ้า

“แม่ว่าแพเขาเป็นยังไงฮะ?”

ยิ่งคุยถึงแพตรีก็ยิ่งรู้สึกรื่นรมย์ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน เกาทัณฑ์เป็นฝ่ายเดินไปรับอีกตามเคย ทั้งเพิ่งเริ่มเรื่องที่อยากคุยมาก

“สวัสดีครับ”

เขาทักเป็นปกติ

“ฮัลโหล…ขอสายจุกหน่อยครับ”

เป็นเสียงไม่ประสีประสาของเด็กต่างจังหวัดคนเดิมที่ทำให้เกาทัณฑ์ยิ้มหุบและขมวดคิ้วย่น

“น้อง…” เขาลากเสียงอย่างพยายามลดความคุกรุ่นในใจตนเอง “น้องโทร.ผิดอีกแล้วนะ นี่เป็นเบอร์ที่น้องโทร.มาเมื่อกี้ เบอร์นี้ไม่มีคนชื่อจุก”

ต้นสายเงียบไป ท่าทางกำลังขมวดคิ้วกังขาอยู่เหมือนกัน

“ผมล่ะแปลกใจจริงๆนะพี่ ทำไมเบอร์นี้ไม่ใช่ล่ะครับ”

คำว่า ‘แปลกใจ’ ที่ถูกเน้นแบบตุ่นๆตึ๋งๆของฝ่ายนั้นทำให้เกาทัณฑ์ชักยัวะถึงขีด เพราะคล้ายถูกปรักปรำจากเด็กเมื่อวานซืนว่าโกหก เกือบตวาดแว้ดว่า ‘กูจะไปรู้มึงเหรอะ…เอ๊!’

อย่างไรก็ตาม สติที่ถูกอบรมมาในช่วงหลังทำให้ทราบว่าถ้าหลุดขึ้นมึงขึ้นกูออกไปในขณะเกิดโทสะ ก็จะส่งผลเป็นอกุศลทั้งแก่ตัวผู้พูด ผู้เป็นเป้าหมาย และแม้กระทั่งผู้ได้ยินได้ฟังเช่นพ่อแม่ของเขาในบัดนี้ เมื่อกี้พวกท่านเพิ่งชื่นชมว่าเขาดูธรรมะธัมโม พลอยสบายใจกับสีหน้าสีตาสงบเย็นของเขา ถ้าหากหลุดวจีทุจริตอันเผ็ดร้อนด้วยเรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ ก็แปลว่าที่เห็นเมื่อครู่คือพยับแดดลวงตาแท้ๆ

ข่มโทสะไว้ได้ เม้มปากแน่น นับหนึ่งถึงห้าเพื่อทอดระยะดูใจตัวเองว่าเป็นปกติพอจะพูดเสียงเรียบหรือยัง

“เอางี้นะน้อง ถ้าน้องโทร.หาจุกไม่ได้ น้องกลับบ้านแล้วพยายามหาทางอื่นติดต่อดูใหม่ โทร.สาธารณะแบบนี้เสียตังค์ฟรีหลายบาทเปล่า พี่รับรองว่าบ้านนี้ไม่มีคนชื่อจุกแน่ๆ ให้น้องโทร.อีกกี่ทีก็ไม่มี เข้าใจนะ?”

แว่วเสียงพ่อแม่หัวเราะขบขันคำพูดกลั้นโทสะของเขาจากเบื้องหลัง ทำให้เกาทัณฑ์ยิ่งโมโหจี๊ดขึ้นมาอีก ถ้าหนุ่มบื้อคนนั้นอยู่ตรงหน้าคงถูกดีดกระเด้งกระดอนเป็นกระป๋องนมไปแล้ว

“ครับๆ ขอโทษครับพี่”

ฝ่ายนั้นล่าถอยไป เกาทัณฑ์ขบริมฝีปาก วางโทรศัพท์อย่างพยายามให้เบาที่สุด ก่อนเดินกลับมานั่งกับพ่อแม่ ฝืนปั้นสีหน้าเรียกความผ่องใสกลับคืนมา แต่ก็ยากเต็มทน รู้จากตัวเองในบัดนั้นว่า ‘ตะกอนกิเลส’ มีหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อถูกข่มทับด้วยดวงสมาธิแล้วเหมือนหายหนไปอย่างไร ถูกกวนให้ขึ้นขุ่นอีกได้ท่าไหน เขาเป็นคนโกรธง่ายและหายยาก นั่นเป็นข้อเสียที่ยังคงอยู่ครบถ้วน เหตุการณ์เล็กน้อยนั้นช่วยพิสูจน์แล้ว

จิตที่ดูโปร่งว่างไม่ใช่จิตสิ้นกิเลส…

อย่างไรก็ตาม ความรู้บางอย่างเกิดขึ้นในใจบัดนั้น ชนิดของอกุศลจิตวัดได้จากการปรุงแต่งหลายระดับ ถ้าปรุงแต่งแค่ระดับความคิดก้องอยู่ในหัวตัวคนเดียว อกุศลก็แรงระดับต้น หากระงับไม่อยู่ปรุงแต่งเป็นระดับพ่นคำผรุสวาทให้คนอื่นได้ยิน อกุศลก็แรงระดับกลาง และหากหลุดต่อไปอีกเป็นความปรุงแต่งระดับลงมือตุ้บตั้บอย่างที่นึกอยากถองหนุ่มบ้องตื้นในโทรศัพท์สักที อกุศลก็แรงระดับปลาย

ต้นแหล่งคือจิตดวงเดียว…

เคยอ่านผ่านตาว่าถ้าโกรธแล้วรู้ตัว ระงับได้ ผลที่เกิดจะเป็นมหากุศลจิต สำรวจใจตนยามนี้ท่าทางไม่ใช่มหากุศลแน่ เพราะขาดความชื่นบานอันเป็นสามัญลักษณ์ของกุศลจิต ถ้าเช่นนั้นนี่ก็เป็นแค่เพียงการระงับมิให้มโนทุจริตบานปลายเป็นวจีทุจริต ยังจัดเป็นอกุศล เนื่องจากแรงเฉื่อยของโทสะยังตามมารังควานได้ เรียกว่ายังผูกใจเจ็บ เห็นชัดว่ายังอ่อนอภัยทาน ไม่เคยฝึกให้ทานเป็นการอภัยเสียบ้าง จึงปล่อยข้าศึกสมาธิคือโทสะครอบงำง่ายอย่างนี้

ต้นทางปฏิบัติธรรมต้องมาจากการฝึกใจให้ทานจริงๆ

“ถ้ามีพวกนี้โทร.มาสักสิบหน วันๆคงไม่ต้องทำอะไร”

พ่อช่วยบ่นให้ เกาทัณฑ์ฝืนแค่นหัวเราะ แม่เป็นฝ่ายชวนกลับเข้าเรื่องเดิมที่ค้างไว้

“หนูแพก็ดีนะ เท่าที่เคยคุยกับเขายาวๆสองสามหน แม่รู้ว่าเป็นคนหนึ่งที่เรียนครูเพื่อเป็นครูจริงๆ อ่อนหวานเพราะจิตใจอ่อนโยนจริงๆ ข้างนอกกับข้างในเขาตรงกันทุกอย่าง”

นั่นส่งผลทันตากับเกาทัณฑ์ คือเหมือนหัวเปิดโล่ง ลืมความขุ่นใจไร้สาระทันที

“ผมก็ดีใจที่ทั้งพ่อและแม่ถูกใจ งั้นผมแต่งกับคนนี้นะฮะ”

กระโจนผลุบตรงเข้าเป้าแบบที่ทำให้พ่อแม่เงยหน้ามองมาเป็นตาเดียว เพราะเป็นครั้งแรกสำหรับการปริปากเกี่ยวกับการแต่งงานของเขา

“พูดเล่นหรือพูดจริง”

ธารีเป็นคนซักลูก

“จริงครับ”

ผู้เป็นบุพการีทั้งสองอึ้งกันเป็นครู่ ก่อนธารีจะเอ่ยถาม

“ไปทำความสนิทกับหนูแพมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาตกลงปลงใจด้วยแล้วหรือ?”

“คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรฮะ แต่บอกพ่อแม่ไว้ก่อน ผมคงพาเขามาที่นี่บ้าง แล้วถ้ายังไง…เกิดโอเคปุ๊บปั๊บ ถ้าขอให้พ่อแม่ไปหมั้นหมาย จะได้ไม่แปลกใจกัน”

อารามกะพริบตามองลูกชาย

“โทร.คุยกันวันก่อนนึกว่าแค่ครึ้มๆสักอาทิตย์-สองอาทิตย์เสียอีก”

“คิดว่าผมเป็นเพลย์บอยหรือไงฮะ เปลี่ยนใจเป็นรายอาทิตย์ รายปักษ์”

“ไม่ได้คิดว่าแกเป็นเพลย์บอย แต่รู้ดีว่าแกเป็นเพลย์บอย”

เกาทัณฑ์หัวเราะออกมาได้

“เจอแพก็เลิกแล้วฮะ”

ผู้เป็นบิดาหรี่ตาลงนิดหนึ่ง เล็งลูกชายด้วยแววมองคนลึก

“เคยสำรวจดูบ้างหรือเปล่าว่ามีความไม่ลงตัว หรือว่าช่องว่างอะไรบ้างระหว่างแกกับหนูแพเขา?”

“ก็มีฮะ แต่ไม่ใช่ชนิดที่จะทำให้มีความสุขน้อยลงตอนอยู่ใกล้กัน”

ฟังคำตอบแล้วผู้นั่งหัวโต๊ะก็ปรือตายิ้มอย่างเข้าใจ ความเชื่อในรักทำให้ทุกอย่างถูกต้องไปหมด จึงได้แต่ทักเอื่อยๆว่า

“นิสัยแกเป็นคนโลดโผนโจนทะยานนะเต้ ในขณะที่หนูแพเขาเรียบมาก และเรียบจริงอย่างที่เห็นข้างนอก เหมือนแม่แกเขาว่านั่นแหละ เห็นข้างนอกเป็นยังไง ข้างในก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีลับไม่มีเหลี่ยมกลับไปกลับมายอกย้อนอย่างคนอื่น อย่างแกชอบแบบเขาแน่หรือ?”

เกาทัณฑ์ทำหน้าแปลกใจทั้งยิ้ม

“เอ นี่พ่อกำลังบอกว่าผมไม่คู่ควรกับแพหรือฮะ?”

“เปล๊า ฉันแค่ว่าโดยพื้นแล้วแกกับหนูแพแตกต่างกัน คู่ควรหรือเปล่าเป็นคนละเรื่อง ฉันนึกว่าแกชอบสาวที่สวยเฉี่ยว ประเปรียว ทันๆกันหน่อย เลยสงสัยว่าแกติดเนื้อต้องใจแพเขาจริงจังจากตรงไหน”

ชายหนุ่มชะงักไปครู่ใหญ่ นึกถึงดวงหน้างามละมุนของแพตรี ก่อนตอบออกมาด้วยหัวใจอ่อนโยนแท้จริง

“เขาทำให้ผมคิดถึงบ้านที่ร่มเย็นเป็นสุข และอยากกลับไปหาเสมอ”

เป็นคำพูดจริงใจที่ก่อให้เกิดความเงียบขึ้นมาขณะหนึ่ง กระทั่งอารามกระแอมเอ่ย

“ฟังดูดีนี่”

“ผมรู้ว่าพ่อก็เอ็นดูแพ เหมือนอย่างที่ทุกคนเอ็นดูเขา และผมก็รักเขา ถึงผิวนอกจะต่างกัน แต่ความสุขภายในน่าจะเป็นเครื่องชี้ว่าควรคู่หรือเปล่าใช่ไหมฮะ?”

พ่อถอนใจ พูดทั้งไม่อยากขัดคอลูกนัก

“เท่าที่ฉันรู้จัก คู่ที่แตกต่างกันมากอาจมีความสุข มีแรงดึงดูดเข้าหากันในช่วงแรก แต่ไม่ใช่อย่างที่แม่เหล็กรักความเป็นขั้วตรงข้ามได้ตลอดเวลานะ อยู่กินร่วมกันในระยะยาวต้องการอะไรบางอย่างชวนใจให้อยู่ใกล้กันทุกวันได้โดยไม่อึดอัด ถ้าต่างคนต่างอยากทำสิ่งที่ตัวเองพอใจแล้วลืมเลยว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน หรือมุมไหนของบ้าน วันหนึ่งก็กลายเป็นความห่างเหินโดยปริยาย”

เกาทัณฑ์รับฟังโดยดี

“แล้วถ้าสามารถคุยกันอย่างมีความสุข อยู่ใกล้กันแล้วไม่เป็นอื่น ข้ามพ้นไปจากเรื่องของเสน่ห์ภายนอกและความขัดแย้งภายใน เหลือแต่ความผูกพันที่แน่นแฟ้น ผูกพันกันโดยปราศจากเหตุผล อย่างนี้พอไหวไหมฮะ?”

“หญิงชายมาเข้าคู่กันช่วงแรกด้วยความถูกใจก็รู้สึกชมพูๆหวานแหววอย่างนี้แหละ แบบโรมิโอกับจูเลียตน่ะ ใครจะรู้ว่าถ้าโรมิโอกับจูเลียตแต่งงานอยู่กินกันเหมือนคู่ผัวตัวเมียอื่น อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง อาจตีกันหัวหูฉีกในปีแรกก็ได้”

ถึงจังหวะที่เกาทัณฑ์คิดว่าตนควรสงบปากสงบคำ เพราะไม่อยากโต้แย้งกับพ่อ ทราบดีว่าพ่อเห็นเขาตื่นเต้นชั่ววูบชั่ววาบกับเสน่ห์และความสวยหวานของแพตรี มีแต่เขาเองที่เข้าใจดีว่าประสบการณ์ทางความรู้สึกของตนแสนพิเศษเพียงใด

ใกล้หล่อนทำให้เข้าใจซึ้งสนิทว่า ‘เหมือนอยู่ร่วมกันมาก่อน’ นั้นเป็นอย่างไร แม้เคยคบหากับผู้หญิงมากมาย เคยนึกรัก นึกเสน่หา ก็ไม่เคยเลยสักครั้งเดียวที่ทำให้สัมผัสอะไรบางอย่างในอากาศระหว่างกายเมื่ออยู่ใกล้กันเช่นที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่กับแพตรี

อะไรบางอย่างระหว่างกันที่เรียก…สายใย เป็นสายใยไร้ตน สัมผัสได้ทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ จนเลิกสงสัยแล้วว่าเป็นแค่อุปาทานหรือของจริง

“ฉันเปล่าว่านะ แกเป็นตัวของตัวเอง รู้จักตัวเอง ตัดสินความชอบใจของตัวเองได้ว่าถูกผิดแค่ไหน และส่วนลึกก็ดีใจถ้าแกจะอยู่กินกับน้องเขา”

อารามแก้เมื่อเห็นลูกชายเงียบนาน

“ชีวิตคู่จะประสพความสำเร็จหรือล้มเหลวใช่ว่าเกิดจากการสำคัญถูกหรือสำคัญผิดในเบื้องต้น ที่ว่าใช่แน่เหมือนกิ่งทองใบหยก วันหนึ่งกลายเป็นใบข่อย ใบมะกรูดไปก็มาก หรือที่ว่าเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัด วันหนึ่งหมาวัดกลายเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองก็มีให้เห็น หรืออีกทางหนึ่ง ดูตอนเริ่มต้นว่ารักกันมาก นานไปก็อาจรักกันน้อยลง ดูตอนเริ่มต้นว่ารักกันน้อย นานไปก็อาจรักกันมากขึ้น ของแบบนี้เอาพฤติกรรมปัจจุบันมาเป็นแนวโน้มพอได้ แต่ไม่แน่นอนเท่าไหร่นัก”

เมื่อดูว่าผู้เป็นลูกยังฟังดีอยู่ ก็เคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างชั่งใจ ก่อนกล่าวตามที่คิดหลังจากอ้อมค้อมมานาน

“ฉันนึกห่วงยายแพเสียยิ่งกว่าแกอีกนะ เพราะเทียบแล้ว แกมีพื้นยืนที่แข็งแกร่ง มั่นคงทางความคิดและอารมณ์ ในขณะที่พื้นยืนของแพเขาเปราะบาง ถึงดูผิวเผินเหมือนเขามีทัศนคติเป็นบวก มีบุคลิกภาพเป็นผู้ใหญ่ รู้คิดอ่าน แต่พ่อเห็นตอนเผลอตัวบางทีก็เหมือน…นกที่พร้อมจะหลงฝูง ถึงพวกเรายอมรับออกหน้าออกตายังไง เขาก็ดูเจียมเนื้อเจียมตัว ทำท่าคล้ายเด็กรับใช้อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมนับตัวเองถือสนิทรวมญาติกับใครเลย แบบนี้ถ้าเจ็บจากชีวิตคู่ ก็เดายากว่าจะหาทางออกในรูปไหน หันหน้าไปพึ่งใคร อือ…แกพอจะเข้าใจที่ฉันพูดไหม?”

เกาทัณฑ์หัวเราะเฉื่อย

“เข้าใจฮะ พ่อรักและเป็นห่วงแพยิ่งกว่าผมอีก กลัวว่าวันหนึ่งผมจะทำให้เขาเสียใจ เบื่อแล้วนึกอยากทิ้งขว้างง่ายๆ”

“อือม์…” อารามรับ “แกเหมือนเหล็กนะ ต้องใช้ความร้อนสูงมากๆ ถึงจะตีให้งอได้ แต่แพเขาเหมือนไม้ ถึงดูภายนอกแข็งแรงดี แค่ตีนิดเดียวก็จะรู้ว่าหักพังง่ายนัก”

ชายหนุ่มฟังแล้วนิ่งไป ตลอดมาเขาตามใจตัวเองจนลืมคิดถึงคนอื่นเสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่สัญญากับตัวเองเงียบๆว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นในวันหน้า เขาจะคิดถึงความรู้สึกของแพตรีก่อน

ธารีเห็นลูกชายนิ่งก็นึกว่าไม่พอใจที่พ่อพูดคล้ายคาดคั้น และเข้าฝ่ายหลานสาวเกินลูกตัวเอง จึงเปรยเพื่อสับหลีกแนวเสียบ้าง

“อย่างนี้หนูแพก็โชคดีกว่าสาวอื่นนะ ถ้าแต่งกับเต้ เขาก็เป็น แพตรี พีรนัยน์ เหมือนเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนนามสกุล”



ในห้องครัวของบ้านปู่ชนะ แพตรีกำลังจัดอาหารใส่สำรับไว้ให้ปู่เป็นมื้อกลางวันและเผื่อถึงมื้อเย็น แล้วเอาเข้าชั้นวางในตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ ปู่บอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าเช้านี้จะเข้าสมาธินาน ซึ่งหล่อนคุ้นแล้วกับการที่ท่านจะอยู่ในห้องพระยาวๆแบบนั้นในบางวัน และจนป่านนี้ปู่ก็ยังปิดห้องเงียบเชียบ หากไม่บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าก็คงทำให้หล่อนเป็นห่วงเป็นใยเอาการสำหรับคนวัยท่าน

เสียงกริ่งเรียกจากหน้าบ้านดังขึ้น เงยมองนาฬิกาบนผนังก็เห็นตรงเวลานัดเป๊ะ เขามารับแล้ว…

กำลังดึงแผ่นฟิล์มใสจากม้วนมาห่อสำรับเพื่อถนอมอาหารและกันกลิ่น ใจที่เต้นผิดจังหวะขึ้นมานิดหนึ่งทำให้นึกอยากถ่วงเวลาออกไปหน่อย โดยห่อสำรับต่อจนกว่าจะเสร็จ ซึ่งก็เหลืออีกแค่สองจาน แต่ครึ่งนาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงกริ่งเรียกซ้ำ คราวนี้ยาวกว่าเมื่อครู่ ทำให้เกิดความพะวงขึ้นมาว่าอาจเป็นคนอื่น อีกทั้งเสียงกริ่งอาจรบกวนสมาธิปู่ได้ จึงวางจานที่เหลือ และก้าวเท้าออกจากครัว

ร่างสูงยืนอมยิ้มอยู่หน้าประตูรั้ว แพตรีทอดจังหวะเดินเป็นปกติ เมื่อมาหยุดยืนห่างแค่รั้วคั่น แทนที่จะไขกุญแจเปิดรับ กลับกอดอกถามเสียงขุ่นหน่อยๆ

"กดทำไมตั้งสองครั้งคะ รอหน่อยไม่ได้หรือไง?"

เกาทัณฑ์เลิกคิ้วหัวเราะ แพตรีปั้นหน้าเฉยเมยอย่างนี้แล้วดูเหมือนคุณครูที่กำลังมีหน้าที่คุมแถวเด็กนักเรียนตอนเคารพธงชาติ

“เปล่าเร่งนะฮะ กดครั้งแรกสั้นไปหน่อย แพอาจนึกว่าตุ๊กแกร้อง”

“ตุ๊กแกที่ไหนคะร้องเหมือนออด คราวหลังถ้ากดมากกว่าหนึ่งครั้งดิฉันจะนึกว่าเป็นพวกขายประกัน และทำเหมือนไม่มีคนอยู่”

ชายหนุ่มหันหน้าไปทางปุ่มกดบนเสา แล้วหันกลับมาเสนอความเห็นว่า

“ผมแกล้งทำไฟรั่วให้เอาไหม ต่อไปใครกดหนึ่งครั้ง ก็จะโดนไฟช็อตจนอ้าปากตาเหลือกหนึ่งครั้ง เป็นการทำโทษฐานรบกวนความสงบของแพ รับรองสะดุ้งกันเฮือกเดียวเข็ดหลาบ ไม่อยากกดซ้ำอีก”

แพตรีพยายามกลั้นหัวเราะไว้

“ทำไว้รับแขกของคุณสิคะ ช่างแนะดีนัก”

“นี่ปู่สั่งห้ามแพเปิดประตูรับผมหรือ?”

“จะเข้ามาทำไมคะ?”

“อ้าว…” คราวนี้เขาอ้าปากหวอ “ผมจะได้เข้าไปไหว้ปู่ ขอรับแพไงฮะ”

“อ้อ…”

ทำเสียงรับรู้แค่นั้นก็ยืนมองเขาเฉย เล่นเอาเกาทัณฑ์ชักใจตุ๊มๆต่อมๆด้วยนึกหวาดว่าหล่อนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมานาทีสุดท้ายหรือเปล่า

แต่แล้วก็โล่งอก เมื่อได้ยินหล่อนแถลง

“ปู่อยู่ในห้องพระ ไม่ต้องเข้ามาไหว้หรอกค่ะ ความจริงดิฉันสะสางงานจวนเสร็จแล้ว คุณเร่งให้ออกมาเลยช้าลงหน่อย รอเดี๋ยวนะคะ”

โทษฐานกดกริ่งสองหนทำให้เกาทัณฑ์ต้องนั่งแกร่วรอในรถอยู่พักใหญ่ ก่อนหญิงสาวปรากฏตัวอีกครั้ง ก้มหน้าเดินมาคล้ายจำใจอยู่ในที เห็นแล้วถึงกับต้องช่วยภาวนาให้เดินถึงรั้วโดยไม่เปลี่ยนใจหันหลังกลับไปเสียก่อน

เมื่อแพตรีไขกุญแจก้าวออกมา เกาทัณฑ์รีบอ้อมรถไปเปิดประตูด้านตรงข้ามซึ่งเขาหันรอรับหล่อนไว้แล้ว ใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับเพิ่งรู้ว่าเงินเดือนขึ้น

"ไม่ต้องบริการมากหรอกค่ะ เกรงใจ"

หล่อนบอกขณะมายืนข้างๆ

"เกรงใจทำไมฮะ ทีผมยังไม่เห็นเคยบอกเลยว่าเกรงใจแพ"

แพตรีผ่านสายตามองเขาหน่อยหนึ่ง ก่อนย่อกายลงเข้านั่งประจำที่ เกาทัณฑ์ปิดประตูตามแล้วผิวปากหวือ เดินอ้อมมานั่งด้านคนขับ

“คาดเข็มขัดหน่อยนะ ทางไกล มีช่วงวิ่งเร็วยาว”

เขาบอกเมื่อเห็นหล่อนนั่งเฉย แพตรีหันมามองหน้า พบยิ้มวอนอย่างแสดงความห่วงใยก็ยอมทำตามเนือยๆ

“รู้ไหม ความเร็วแค่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนี่ ทำผู้หญิงเสียโฉมมากี่รายแล้วตอนเบรกหรือชนกะทันหัน”

พูดอย่างแสดงเหตุผลแกมขู่ โดยคาดไม่ถึงว่านั่นทำให้แสงตาหล่อนเรืองขึ้นมาได้

“เสียโฉมก็ดีนี่คะ จะได้ดูว่ามีใคร หรืออะไรเปลี่ยนไปจากที่กำลังเป็นอยู่บ้าง”

เกาทัณฑ์บิดกุญแจเดินเครื่องแล้วออกรถอย่างนิ่มนวล ทำเป็นหูทวนลม

“แพชอบเพลงประเภทไหน จะได้เลือกเปิดให้ฟัง ผมเตรียมมาเยอะ”

หญิงสาวนิ่งไปอึดใจก่อนตอบ

“ตามสบายเถอะค่ะ อย่าถามคนชอบความเงียบอย่างดิฉันเลย”

“ดีนะ นึกว่าผมกำลังอยากฟังความเงียบอยู่คนเดียวเสียอีก”

พยายามพูดให้รับกับหล่อนเป็นปี่เป็นขลุ่ย เปล่งเสียงทุ้มแน่นเป็นกังวานสดใสชวนฟังพอจะดึงหล่อนเข้าสู่บรรยากาศการสนทนาในทางไกลนี้

ชุดขาวและความเป็นสุขุมาลชาติแท้ของหล่อนทำให้เกาทัณฑ์เห็นทางหางตาคล้ายอากาศข้างกายสว่างเรืองกว่าปกติ กระแสวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนมีอิทธิพลกับความรู้สึกของผู้ใกล้ชิดเสมอ จะอ่อนหรือแรงก็ขึ้นอยู่กับพลังที่สั่งสมจากเอกลักษณ์ประจำตน

อย่างแพตรีเข้าที่ไหนก็สว่างที่นั่น ใครเห็นเมื่อไหร่ก็รักเมื่อนั้น แม้แต่ปู่กับพ่อแท้ๆยังรักและห่วงใยยิ่งกว่าเขาอีก วันหน้าถ้าพลาดพลั้งทำน้ำตาหล่อนหล่นลงมาหยดเดียว ก็เตรียมตัวโดนประชาทัณฑ์ได้กระมัง

 ระบายลมหายใจยาวด้วยความชื่นมื่นในอารมณ์ นั่งกับหล่อนใกล้แค่นี้รู้สึกคุ้นสนิทจนเชื่อเลยว่าวันหนึ่งต้องได้เคียงกันตลอดไป

“จะเปิดเพลงก็ตามสบายนะคะ”

พอรู้ตัวว่าเสียงคล้ายถอนใจทำให้หล่อนเข้าใจผิด เกาทัณฑ์ก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน

“ผมเบื่อฟังเพลงแล้วจริงๆ ว่าจะเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงให้ธรรมดาหน่อยด้วยซ้ำ เพราะกำลังอัดของชุดนี้หนักจนบางทีชักปวดจี๊ดๆขึ้นมาแถวกกหู กลัวแก่ลงกว่านี้แล้วมีปัญหา ให้เปิดเบาก็เสียดายของแพง”

พูดด้วยความรื่นรมย์โดยมิได้เสแสร้ง อาจเป็นเพราะแพตรีแสดงทีมีแก่ใจห่วง เกรงเขาอยู่กับหล่อนแล้วอึดอัด สะท้อนให้เห็นความมีไยดีและเต็มใจเป็นเพื่อนร่วมทางไปด้วยกัน

“แพทานข้าวเช้าหรือยังนี่?”

“ทานแล้วค่ะ คุณล่ะคะ?”

“เรียบร้อย เพิ่งไปทานกับพ่อแม่ เผื่อท้องมาด้วย นึกว่าจะได้ทานกับแพอีก…ออกมาเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยไหม?”

“ก็…นานทีค่ะ”

“ถ้าให้เลือก อยากเที่ยวภูเขาหรือทะเลมากกว่ากัน?”

“พอกันมั้งคะ”

หล่อนตอบแบบขอไปที เพราะทราบว่านั่นเป็นคำถามกรุยทางสู่การชักชวนตระเวนเที่ยวครั้งหน้า

“ผมชอบภูเขานะ ชอบขึ้นที่สูง ชอบดูทะเลหมอก ชอบดูพระอาทิตย์ตกด้วยมุมมองระดับเดียวกับนก วันหนึ่งอยากให้เรานั่งจับมือมองพระอาทิตย์เลื่อนหายจากเหลี่ยมโลกด้วยกัน…ถึงเวลานั้นผมคงรู้ว่าเทวดาอยู่กันยังไง”

เกาทัณฑ์ทำตาใสกับการวาดวิมานอากาศอย่างเปิดเผย แพตรีฟังแล้วเงียบพักหนึ่ง ก่อนเขาจะได้ยินเสียงพึมพำเหมือนหูแว่ว

“ฝันไปเถอะ”

ชายหนุ่มเม้มปากกลั้นยิ้ม ที่หล่อนนั่งอยู่ข้างเขาตอนนี้ก็ฝันหวานกระมัง?

“สมัยยังเรียนผมมีเวลาเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยนะ แต่พอทำงานแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป บางทีเสาร์-อาทิตย์อยากออกไปดูทะเลหมอกแถวภูเรือบ้าง ก็ติดโน่นขัดนี่อยู่เรื่อย มาช่วงนี้ค่อยดีหน่อย เสาร์และอาทิตย์เป็นสุดสัปดาห์เปิดหูเปิดตาได้จริงๆ ทำให้คิดถึงอดีต สมัยเที่ยวไปไหนกับเพื่อนฝูงตามใจนึกตลอดปี”

“ทุกคนสูญเสียอดีตให้กับวันเวลาเสมอแหละค่ะ”

เสียงหล่อนฟังเหม่อจนเขาต้องหันดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า แพตรีผินหน้าออกข้างทาง บางมุมมองหล่อนดูคล้ายภาพวาดที่ถูกวาดระบายให้งามอย่างมีปริศนาแห่งความเศร้าแฝงเร้นอันยากจะเข้าถึง อย่างนี้เองกระมังที่ชวนให้ใครต่อใครนึกเวทนาและเป็นห่วงเป็นใยได้มากมาย

“ถึงวันนี้ผมเข้าใจอยู่อย่างว่าการสูญเสียเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักร ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป ไม่มีอะไรจากเราไปตลอดกาล ถ้าคลี่เวลาออกเป็นเส้นตรงและสามารถเห็นได้จริงทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตพร้อมกัน เราคงเห็นตัวเองได้ของรักแล้วเสียของรัก หัวเราะแล้วร้องไห้ พบแล้วพลัดพราก ย้อนเวียนกลับไปกลับมา สลับกันเป็นสายโซ่ยืดยาว”

แพตรีหรี่ตาลงจนเกือบชิด

“ค่ะ ตัดสายโซ่เสียได้ก็ดีหรอก”

คำรำพึงนั้นปราศจากความหนักแน่นอย่างสิ้นเชิง คล้ายนักโทษในเรือนจำบ่นกับเพื่อนร่วมห้องว่าถ้าแหกกรงขังได้เดี๋ยวนี้คงจะดีแท้ บ่นโดยปราศจากเจตนาและแผนการลงมือกระทำจริง

“บอกได้ไหมคะว่าถึงวันนี้คุณรู้เห็น หรือคิดปลงไปแค่ไหนแล้ว”

“ปลงหรือฮะ?” เกาทัณฑ์หัวเราะคล้ายขันตนเอง “ผมมันคนกิเลสหนา เท่าที่มีโอกาสแตะๆต้องๆอรรถธรรมนิดหน่อยก็เป็นบุญเหลือจะกล่าวแล้ว”

กล่าวอย่างตระหนักในสถานภาพตามจริงของตนเอง มิใช่เสแสร้งถ่อมตัวหรือยกตน

“ระหว่างเรา ผมควรเป็นฝ่ายฟังแพมากกว่า ว่าช่วงหลายปีที่ใกล้วัดทางนฤพาน ได้รับประสบการณ์รู้เห็นชนิดไหนควรถ่ายทอดให้รุ่นหลังฟังบ้าง”

“คงมีเรื่องน่าฟังอยู่น้อยเต็มทีค่ะ ถ้าคิดว่าแกล้งถ่อมตัวก็ขอยืนยันว่าดิฉันเป็นคนมีวาสนาด้านนี้เพียงปานกลาง รักชอบสภาพจิตที่เป็นกุศล ใส่บาตร ฟังธรรมตามโอกาส แต่พูดถึงการพัฒนาจิตให้เต็มรูปด้วยสมาธิและปัญญาพิจารณาธรรม ต้องยอมรับว่ามีพื้นกำลังค่อนข้างอ่อน ก้าวหน้าแล้วถอยกลับสลับกัน เมื่อถึงเพดานระดับหนึ่งก็เหมือนหยุดอยู่แค่นั้น ถ้าจะไปต่อคือต้องตัดใจเปลี่ยนวิถีทางอย่างสิ้นเชิง”

“เท่าที่ผมเห็น วิถีทางของแพทุกวันนี้แทบเหมือนคนในวัดอยู่แล้วนี่ฮะ เพลงไม่ฟัง เนื้อสัตว์ไม่ทาน มีความสุขกับต้นไม้ แยกตัวเองจากความวุ่นวายได้หมด”

“คำว่า ‘วิถีทาง’ น่าจะหมายรวมทั้งภายนอกและภายในนี่คะ ภายนอกดูว่าใช่อาจหลอกตาคนเห็น แต่ภายในที่ไม่ใช่นี่เจ้าตัวรู้เองกับใจดีกว่าคนอื่น ดิฉันจำคำหลวงตาท่านได้ขึ้นใจอยู่คำหนึ่ง คือเป็นชาวพุทธชั้นเลิศนั้น ใช่ว่าวัดกันที่ความผ่องใสของหน้าตา ทำบุญมากน้อย นั่งสมาธิสำเร็จฌาน หรือกระทั่งเข้าถึงวิปัสสนาญาณรู้เห็นธาตุธรรมสูงส่งเท่าไหร่ แต่วัดกันง่ายๆว่าทำใจตัด ทำใจละวางได้แค่ไหน เสมอต้นเสมอปลายเพียงใด”

เกาทัณฑ์คิดตาม ขณะนี้เขาเป็นพุทธที่เข้าใจเนื้อหาและแก่นสารของพุทธ ทว่าใจมิได้คิดตัด คิดวางอย่างเด็ดขาดเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ทันตา เพราะมีเป้าหมายอื่นที่ต้องรอเกิด รอตายอีกเป็นอนันตชาติกว่าจะถึงเวลาวางจริง…

จุดยืนนี้อาจทำให้เกิดความได้ใจ คิดอยาก คิดเอา โดยไม่ต้องพะวงฝึกละวางหรือตัดอาลัย เพราะรู้ว่าพยายามจนตายก็หมดสิทธิ์ไปถึงที่สุดเช่นสาวกธรรมดา

ถ้าเช่นนั้นผู้ปรารถนาโพธิญาณก็ไม่อาจเป็นชาวพุทธชั้นเลิศในพุทธกาลใดๆอย่างนั้นหรือ?

แล้วก็ระลึกขึ้นได้ถึงวาทะของพระสารีบุตร อัครสาวกฝ่ายปัญญาของพระพุทธโคดม ผู้กล่าวว่าการเสพโลกียสุขอย่างเลวคือเสพโดยคิดว่าสุขนี้คือยอดสุด ส่วนการเสพโลกียสุขอย่างเลิศคือเสพทั้งอนุสติรู้ดีว่ามีสุขอื่นที่เหนือกว่า ได้แก่วิมุตติสุข คือฌานและสภาวะไร้อุปาทานของจิต

คิดได้ก็สบายใจขึ้นมาว่าแม้ความปรารถนาในพุทธภูมิจะปิดกั้นมิให้ตัดห่วงโซ่สัญโยชน์ขาดสิ้นในชาตินี้ เขาก็สามารถเป็นผู้เสพสุขในโลกียวิสัยได้อย่างรู้เท่าทัน ว่ามีสุขอื่นพึงปรารถนายิ่งกว่านั้น เหตุที่รู้เท่าทันได้เพราะเคยอบรมจิตจนเข้าถึงมาแล้ว ทั้งสมาธิและวิถีญาณปล่อยวางเบื้องต้น

อีกข้อหนึ่งคือเล็งเห็นคุณค่าของพระสูตร เมื่อเกิดปัญหาคาใจแล้วทบทวนสิ่งที่พระตถาคตหรือพระเถระผู้เป็นอรหันต์กล่าวไว้ ก็สามารถปัดตกไปได้เช่นนี้

“ตอนแรกที่ไปกราบหลวงตาแขวนขอเป็นศิษย์ ในใจมีแต่นึกอย่างเดียวว่าอยากร่ำเรียนวิชา แสดงฤทธิ์เดชได้เหมือนอย่างท่าน ต่อเมื่อท่านทำให้มองเห็นว่ากายนี้เป็นเพียงภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง และจำอดีตของตัวเองได้แบบ เออ…มีเราในร่างอื่นมาก่อนจริงๆด้วย ก็เกิดความเข้าใจขึ้นมาอีกอย่างว่าเรากำลังดิ้นรนเอาตัวรอดให้พ้นๆไปคราวหนึ่ง เพื่อไปต่อเอาคราวหน้า เกิดทีก็ลืมที

ผมกลับมานอนคิด แต่ละชีวิตมีชัยภูมิประจำตัว จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทุกคนกำลังเดินทางไกล และใช้ชัยภูมินั้นสั่งสมเสบียงเพิ่ม หรือตัดทอนเสบียงทิ้งอยู่ทุกวัน ผมเห็นตัวเองเคยเป็นฤาษีชีไพร เคยเป็นผู้วิเศษมาก่อน และเดาว่าในชาตินั้นคงบำเพ็ญบุญบารมีตามทางของผู้ถือพรหมจรรย์ไว้พอควร แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผ่านมา ชัยภูมิที่เหมาะกับการเป็นฤาษีได้จบลงไปแล้ว

ชีวิตนี้ได้ชัยภูมิคนละแบบ จะเพราะวิบากกรรมไหนแต่งสร้างกำหนดไว้ก็เถอะ ผมเห็นว่าฐานที่มั่นนี้เหมาะกับการใช้กำลังสมองมากกว่ากำลังจิต และตลอดมาก็อยู่ในทางของตัวเองอยู่แล้ว เลยเลิกใส่ใจกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เสีย เพราะรู้ว่าถึงได้มีได้เป็นก็คงลุ่มๆดอนๆ หลงตัวชั่ววูบชั่ววาบก็ขาดสายหายหนแบบเดียวกับพวกพ่อมดหมอผีกระจอก มากกว่าจะเป็นผู้วิเศษที่มีอภิญญาชั้นสูง ฉะนั้นเสบียงที่ได้จากชาตินี้ควรเป็นการสั่งสมปัญญาและความคิดอ่านจะเหมาะที่สุด”

เกาทัณฑ์ลังเลอยู่ครู่ ก่อนกล่าวต่อตามตั้งใจแต่แรก

“เมื่อพบพระพุทธศาสนา ทุกคนควรฉกฉวยโอกาสตัดสายโซ่เสียอย่างที่แพพูดนั่นแหละ แต่ผมก็รู้ตัวว่ายัง…ผมยังขาดชัยภูมิที่จะตัด เพราะมีความปรารถนาอื่นยิ่งกว่าการเข้าให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้”

แพตรีฟังรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร เส้นทางไปนิพพานของเขาคือสายไหน ก็ไม่เลวนักที่เขาพูดให้หล่อนคิดตามได้ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่คิดถึงชัยภูมิในชาติปัจจุบันของตนเอง

คิดถึงความตั้งใจจะเป็นครู คิดถึงความสับสนลังเลในการรอคอยรักแท้ นั่นหรือคือทั้งหมดในการใช้ชัยภูมิปัจจุบัน?

คำอธิษฐานที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำชัดเด่นราวกับชโลมอาบด้วยน้ำอมฤต จนมีความเป็นอมตะ ตัดไม่ตายขายไม่ขาด

ขอตามกันไปทุกภพ จดจำกันได้ทุกชาติ…

กะพริบตาถี่ๆอย่างจะสกัดกั้นกลุ่มน้ำที่เริ่มรื้นนัยน์ตาขึ้นมาไม่รู้เหนือรู้ใต้ เหมือนมีหล่อนคนเดียวที่ยังไม่ตาย หล่อนคนเดียวที่ยังยึดมั่นถือมั่น คนอื่นตายหมดแล้ว ต่อให้นั่งอยู่ข้างๆเดี๋ยวนี้ก็แค่ชายแปลกหน้าที่เข้ามาติดพันรูปโฉมภายนอก หาใช่ชายคนเดิมผู้น่าศรัทธาเชื่อมั่นพอจะทำให้ยิ้มกล้าแม้กำลังเผชิญกับความตายไม่

หวังให้หล่อนเล่าเพื่อรื้อฟื้นความหลังน่ะหรือ เพื่ออะไร? เท่าที่เขาเป็นเขายามนี้ ก็คงไม่แคล้วเพื่อครอบครอง เป็นเจ้าของหล่อนโดยง่าย ไม่ต้องเหนื่อยแรงนั่นเอง คุณค่าที่เกิดจากความทรงจำอันแสนดีอย่างแท้จริงนั้น จะหาจากไหนได้เล่า

เกาทัณฑ์เหลียวมองหญิงสาวข้างกายเมื่อสัมผัสกระแสความเศร้าสร้อยประหลาดที่กระจายมาจากหล่อน

“แพกำลังคิดอะไรหรือฮะ?”

เขาถามนุ่มนวลแสดงความอาทร ฟังอบอุ่นจนแพตรีรู้สึกดีพอจะเปิดใจรับกระแสชนิดนั้น หล่อนฝืนยิ้มและพยายามออกเสียงใสขึ้น เป็นกันเองมากกว่าเดิม

“คุณเรียนรู้เร็วดีนะคะ แค่ชั่วเวลาสั้นก็มองเกมสังสารวัฏออก ขนาดรู้ตัว แบ่งแยกได้เป็นชาติๆเลยว่าเมื่อไหร่เป็นใคร ควรทำอะไรกับครั้งหนึ่งๆ”

เกาทัณฑ์ส่ายหน้า

“เป็นทางลัดที่หลวงตาแขวนท่านปูให้ทั้งนั้น ขาดท่านผมก็เห็นได้แต่สิ่งที่อยู่ในกะลาของตัวเองเรื่อยไป ว่าตามจริง…ผมคบสนิทกับคนมากมาย และยิ่งคบมากเท่าไหร่ วิถีทางยิ่งหลากหลายซับซ้อนเท่านั้น วันหนึ่งอาจหลงเป็นมิจฉาชีพไปกับเพื่อนบางกลุ่ม ถ้าไม่รู้จักความจริงเกี่ยวกับกรรมวิบากและการวนเวียนเกิด แก่ เจ็บ ตายเสียก่อน ตอนนี้รู้แล้ว ก็คงต้องก้มหน้าก้มตาปิดกั้นตัวเองจากทางอบายให้มากที่สุด ต่อให้ล่อใจว่าเป็นทางลัดรวยเร็วยั่วยวนแค่ไหนก็ตาม”

เหมือนแพตรีถูกสะกดให้ซึมลงอีก เกาทัณฑ์ได้ยินหล่อนรำพึงแผ่ว

“มีสติพิจารณาโดยแยบคายอย่างนี้หายากนะคะ ถ้ารู้แล้วเป็นคุณ ก็นับว่าดีที่ได้ความรู้นั้นมา ต่างกับหลายคนที่รู้แล้วเป็นโทษ ระลึกชาติได้แล้วหลงยึด หลงท่องอยู่แต่ว่าเคยเป็นนั่นเป็นนี่ และกระทั่งเผลอคิดว่ายังเป็นอยู่”

ชายหนุ่มปรายตามาทางด้านข้างหน่อยหนึ่ง ก่อนเลียบเคียง

“คงเป็นเพราะมีสิ่งอ้างอิงติดตามมาด้วยมั้งฮะ ถึงยังเผลอคิดอย่างนั้น?”

แพตรีเงียบกริบ เกาทัณฑ์ส่งใจหยั่งใจ ก็ทราบว่าหล่อนจะปิดกั้นตลอดไป ไม่มีวันเปิดเผยความหลังระหว่างกันด้วยการใช้ปากเล่า จึงเลิกคิดพยายาม และพูดตัดว่า

“ความจริงการเข้าถึงแก่นธรรม สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลนี่ไม่จำเป็นต้องเห็นอดีต อนาคต นรก และสวรรค์เสียก่อนเลย เห็นแค่กายมนุษย์ของตัวเองในปัจจุบันก็พอแล้ว ขอเพียงมีพุทธิปัญญาขึ้นมาสักวาบหนึ่ง เช่นที่เณรน้อยบางองค์สำเร็จอรหัตตผลได้เพียงเมื่อถูกจดมีดโกนปลงผมจากหนังศีรษะขณะเตรียมบวช เพราะพิจารณาเห็นจริงว่าสิ่งที่หลุดจากกายเป็นอนัตตา เดิมเมื่ออยู่ติดกายก็ย่อมเป็นอนัตตาเช่นกัน ท่านสำเร็จได้โดยไม่ทันต้องคิดด้วยซ้ำว่ามิติภพภูมิที่ยิ่งไปกว่าปัจจุบันขณะมีอยู่หรือเปล่า

เสียดายคนส่วนใหญ่ไม่มีแรงจูงใจพอจะพิจารณาให้เห็นธรรม จะเห็นทุกข์ขึ้นมาทีก็ตอนซมไข้หนัก พลัดพรากของรัก หรือใกล้สิ้นเนื้อประดาตัวเท่านั้น โดยทั่วไปคนเราอยู่เป็นสุขตามอัตภาพ เพราะมีเนื้อหนังมังสาหุ้มห่อสบายตัว ถึงจะถูกพยาธิเบียดเบียนก็ซ่อนจากสายตา รบกวนอยู่ข้างใน ไม่ทันรู้สึกเท่าไหร่ ถ้าทุกคนมีสิทธิ์เห็นนรกสักครั้ง ได้เปรียบเทียบว่าทุกข์ในโลกชนิดที่สาหัสสากรรจ์เหลือประมาณนั้น เทียบแล้วก็แค่ขี้ผง…เห็นทุกข์จังๆคงทำให้ขยาดและอยากหนีสังสารวัฏกันบ้าง”

หยีตานิดหนึ่งเมื่อนึกถึงหนอนตัวเท่าปลายก้อยนับหมื่นรุมเร้าเข้าออกสัตว์นรกที่หลวงตาแขวนพาไปดู คิดถึงแวบเดียวก็ชวนขยักขย้อนจะแย่แล้ว

“เคยนึกเหมือนกันค่ะว่าเราโชคดีได้แค่พบพุทธศาสนา พ้นจากนั้นเป็นอันหมดเรื่องโชค ต้องใช้ความเพียรและปัญญาของแต่ละคนกันแล้ว ใครไปไกลแค่ไหนก็สุดแท้แต่กำลัง”

“ใช่…น่าท้อด้วยที่กำแพงขังพวกเราถูกออกแบบมาไว้ดีเกินเหตุ ล้อมหน้าล้อมหลังไว้หลายชั้น คิดจะปีนป่ายต้องมีอัตภาพชั้นสูงอย่างมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ก็น่าอนาถเหลือเกิน เกิดมาลืมหมด เติบโตแบบถูกบังคับให้เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองรู้ ตัวเองเชื่อ แถมถูกจำกัดเวลาให้ต้องดิ้นรนเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ว่างขึ้นมาก็อยากโน่นอยากนี่ จะฟังเรื่องสวรรค์ นิพพานสะดุดพอให้เงี่ยหูฟังก็ต้องอาศัยบุญเก่านำร่อง และถ้าเชื่อขึ้นมา ปรารถนานิพพานกันที ก็ยากอีกที่จะไปให้ถึงจุดสรุปทางจิตว่าด้วยการเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน สลัดคืนอุปาทานเห็นนั่นเห็นนี่เป็นตัวตนอย่างเด็ดขาด”

แพตรีส่ายหน้า

“มรรคแปดที่พระพุทธองค์ประทานไว้เป็นบันได เป็นขั้นเป็นตอนปีนกำแพงนั้นมีอยู่แล้ว ยากก็แค่หาคนตัดใจจากคุก คิดอยากปีนกำแพงมั้งคะ”

เกาทัณฑ์ผงกศีรษะ ยิ่งฟังเสียงหล่อนนาน ก็ยิ่งเป็นสุขขึ้นเรื่อยๆ จะให้ตัดใจอย่างไรไหวเล่า

“เพราะในคุกมีสุขเวทนา มีเสน่ห์ดึงดูดที่รุนแรงอยู่จริง คนคุกถึงยังติดยังหลง อยากวนเวียนหาความสุข ความเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น”

“ค่ะ ถ้าสังสารวัฏมีแต่ทุกข์ ไม่มีสุขเลย ทุกรูปนามคงใคร่พ้น ต้องการปีนกำแพงหนีกันหมด”

“ตอนเด็กผมมีเพื่อนในหมู่บ้านเยอะ เข้านอกออกในบ้านคนโน้นทีคนนี้ทีทุกวัน ก็ได้รับรู้ว่าแม้อยู่หมู่บ้านเดียวกัน แต่ละครอบครัวก็ช่างดูแตกต่างราวฟ้ากับดิน สภาพที่เรียกว่า ‘บ้าน’ ไม่ใช่มีแต่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และบรรยากาศอบอุ่นเหมือนที่พ่อกับแม่ของผมปลูกสร้างไว้ บางบ้านรกรุงรังยังกับอู่ซ่อมรถข้างทาง บางบ้านประดับประดาเครื่องแต่งยิ่งกว่าวังเจ้า บางบ้านเอะอะตึงตัง บางบ้านสงบร่มรื่น ทั้งกลิ่นอายและความเป็นอยู่อาจผิดเพี้ยนไปหมดเพียงช่วงห่างแค่รั้วกั้น ขนาดที่อาจทำให้งงเคว้งและถามตัวเองว่านี่มันโลกเดียวกันหรือเปล่า

โตขึ้นผมยิ่งคบหาคนมากขึ้น เห็นรูปชีวิตหลากหลายซับซ้อนกว่าเดิม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โลกมนุษย์ในความรับรู้ก็ยิ่งดูกว้างขวางและมีความพิสดารน่าตื่นตาขึ้นอีกหลายร้อยเท่า ผมเคยนั่งรถคาดิแลคของเพื่อนเข้าคฤหาสน์ที่ฟลอริดาด้วยความรู้สึกว่าความโอ่อ่าอลังการแบบนี้เองคือสวรรค์ในแบบที่คนโบราณวาดไว้ แล้วก็เคยตามเพื่อนที่มีพ่อเป็นพัสดีเรือนจำไปดูความเป็นอยู่ในคุกของอินเดียด้วยความรู้สึกว่าความสกปรกโสโครกและเครื่องทัณฑกรรม กลิ่นเหม็นฉุนเฉียวเหล่านั้นเองคือนรกที่ใครๆเล่าขานกันมา…”

เกาทัณฑ์เว้นจังหวะ ตรึกนึกถึงประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวาน

“เมื่อวานนี้ประสบการณ์และความเชื่อทั้งหมดของผมถูกปรับเปลี่ยนไปอย่างถาวร หลวงตาแขวนท่านสะกดให้เห็นนรกภูมิ ไม่รู้หรอกว่าขุมที่เท่าไหร่ ตั้งอยู่ที่ไหน รู้แต่คำว่า ‘อีกโลก’ หนึ่งนั้น เป็นคนละครอบฟ้ากับโลกใบนี้ ภาพของจักรวาลที่กว้างใหญ่และมิติของภพภูมิที่ซ่อนซ้อนได้ปรากฏกับใจของผมเป็นคนละเรื่องกับที่เคยจินตนาการเอาไว้

ผมยังไม่เคยเห็นสวรรค์ แต่จากการเห็นนรกบวกกับอนุมานตามสัจจะเกี่ยวกับขั้วตรงข้าม ก็ทำให้เชื่อแล้วว่าสวรรค์คงมีอยู่ และทำให้เห็นด้วยว่าเมื่อนรกทุกข์ร้อนสาหัสได้ปานนั้น สวรรค์ก็ต้องร่มเย็นเป็นสุขได้ที่สุดขั้วตรงข้ามปานกัน

มองรอบตัวที่เราเห็นได้แต่โลกใบเดียวนี้ จินตนาการยากนะว่าที่แท้เป็นการล่องลอยอยู่ในท่ามกลางไตรภูมิอันกว้างใหญ่มโหฬาร มีเงื่อนกรรม เงื่อนเวลามาผูกมัดให้เห็นสิ่งหนึ่งๆ รับรู้สิ่งหนึ่งๆเป็นขณะ เชื่อได้เฉพาะสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าเท่านั้น”

เกาทัณฑ์พยายามสูดลมหายใจให้รู้กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนกายแพตรี เมื่อวานมีโอกาสเข้าใกล้จนรู้ชัดและจำได้ดี เสียดายตอนนี้อยู่ห่างไปหน่อย กลิ่นกายที่ระเหยมากับไอฉ่ำเย็นของเครื่องปรับอากาศจึงเข้ากระทบจมูกได้เพียงครึ่งหนึ่งของความน่าชื่นใจทั้งหมด

“มีแพ…ผมกำลังอยู่ในสวรรค์บนดิน”

เขาลงเสียงนุ่มมาก แพตรีเผลอยิ้มหน่อยหนึ่งอย่างคาดไม่ถึงว่าที่พูดยืดยาวก็เพื่อสรุปลงเกี้ยวหล่อน

รถแล่นเรื่อยกระทั่งเลยรังสิตมาระยะหนึ่ง เมื่อเห็นถนนหนทางโล่งกว้างขาวสว่างและมองไกลได้สุดโค้งฟ้า ใจพลอยปลอดโปร่งกว่าเดิม ขนาดที่ทำให้แพตรีเอ่ยขึ้นได้ลอยๆ

“เมฆเรียงสวยดีนะคะ”

เกาทัณฑ์เหลือบตามองตาม เห็นคล้อยตามหล่อนจนอมยิ้มปลื้ม โดยไม่สังเกตสังกาว่าปุยเมฆที่เรียงสวยนั้น อาจเปลี่ยนรูปเป็นอื่น แยกแฉกสลายตัวลงได้เพียงคลาดสายตาแค่อึดใจเดียว

ทางเบื้องหน้าปรากฏเหยียดยาว เขากับหล่อนกำลังนั่งมอง และร่วมเคียงกันพุ่งตรงไปคล้ายเลื่อนลิ่วบนรางเมฆ…


ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น