ถาม : ตามความเข้าใจ คนที่ฆ่าตัวตายนั้นถือว่าบาปมาก
เกิดมากี่ชาติก็จะทำให้ตนเองคิดฆ่าตัวตายตลอด
แล้วอย่างนี้เขาจะหลุดพ้นจากกรรมนี้ได้อย่างไรคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒
ดังตฤณ:
คนฆ่าตัวตายมีหลายแบบครับ ขอจำแนกตามวิธีคิดแบบคนตั้งใจจะตาย โดยไม่มีโรคหรืออาการประสาทหลอนเข้ามาเกี่ยวข้องดังนี้
๑) คิดดับชีวิตหนีความทุกข์
เป็นการฆ่าตัวตายที่พบเห็นบ่อยสุด
น่าจะกล่าวได้ว่าเกิน ๙๐% ของการฆ่าตัวตายเข้าข่ายหนีทุกข์ทั้งสิ้น
ทุกข์มีหลายแบบ
ทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ ทุกข์เพราะทนภาวะกดดันทางใจไม่ไหว
ทุกข์เพราะความเบื่อกัดกินจนไม่เหลือชีวิตชีวาเลยสักนิด ฯลฯ กล่าวโดยสรุปคือเกลียดทุกข์มาก
ผู้ฆ่าตัวตายด้วยความเกลียดทุกข์ ย่อมได้ชื่อว่าจิตมีมูลเป็นโทสะ
การฆ่าตัวตายหนีทุกข์มักมีจิตที่เศร้าหมองเป็นทุน
และเมื่อถึงเวลาปลิดชีพตนเองก็ต้องอาศัยโทสะขั้นแรงกล้า
เป็นตัวขับดันให้ลงมือกระทำอัตวินิบาตกรรมสำเร็จ
ฉะนั้นคงไม่ต้องเดากันเลยว่าจิตจะเป็นกุศลหรืออกุศล
เพราะแน่นอนว่าต้องเป็นอกุศลเต็มๆ เรียกว่ามืดกันแบบเน้นๆนั่นแหละ
มองเผินๆคุณหลายคนอาจคิดว่าคนฆ่าตัวตายเขาปล่อยวางได้
เขาไม่เสียดายชีวิตและกล้าหาญที่จะเผชิญความตายแล้ว
แต่หากคุณเห็นอาการของจิตคนจริงๆ ก็จะพบว่าเป็นตรงข้ามเลยครับ คนคิดฆ่าตัวตายหนีทุกข์นั้นขาดความกล้าที่จะเอาชนะทุกข์
และจิตเขาก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่นว่าการตายเร็วเป็นของดี
การจบชีวิตเป็นเรื่องต้องเร่งรีบ
ความยึดมั่นถือมั่นอย่างรุนแรงในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มักเป็นนิสัยติดตัวข้ามภพข้ามชาติเสมอ
นั่นเองคนที่เคยฆ่าตัวตายมาก่อนจึงมีแนวโน้มที่จะต้องฆ่าตัวตายอีก การฆ่าตัวตายซ้ำจึงไม่ใช่เพราะเป็นผลกรรมที่เกิดจากการเคยฆ่าตัวตาย
แต่เป็นความยึดมั่นถือมั่นว่าการตัดช่องน้อยแต่พอตัวคือของดีต่างหาก
พวกที่ไม่สู้ชีวิตย่อมได้ชื่อว่าอ่อนแอกับการมีชีวิต
ยอมแพ้ชีวิต เพราะฉะนั้นรูปชีวิตต่อๆไปก็มักมีพื้นนิสัยอ่อนไหวไม่อยากทนอะไร
โดนเหยียบโดนย่ำนิดๆหน่อยๆก็อยากยอมแพ้ชีวิตอีกและอีก
แล้วมีความจริงอยู่อย่างหนึ่งนะครับ
หนี้เงินนั้นหนีได้ แต่หนี้กรรมนั้นไม่มีทางเลย
หากยังใช้หนี้กรรมไม่หมดแล้วคิดหนี ก็ต้องไปใช้หนี้ต่อในอบายภูมิ
ซึ่งจะแย่กว่าเดิมมาก แถมเมื่อบุญเก่าตามมาช้อนทัน
เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ต้องเจอเรื่องน่าท้ออีก อยากฆ่าตัวตายอีก
การเวียนฆ่าตัวตายซ้ำซากประเภทนี้
จะยุติได้ก็ด้วยเหตุปัจจัยอันเป็นตรงข้ามกัน
นั่นคือต้องเกิดเป็นมนุษย์สักชาติหนึ่ง พบกัลยาณมิตรหรือครูผู้ชี้ทางถูกทางตรง
ทำความเข้าใจเรื่องกรรมวิบาก บ่มเพาะความเข้มแข็งให้กับจิตใจ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าการปลิดชีพหนีทุกข์เป็นของดี
มองเห็นการตายแบบเศร้าหมองโดยความเป็นโทษ เป็นภัย เป็นการหาเรื่องลงอบาย
เท่านี้จิตใจก็จะเข้มแข็งขึ้น
เมื่อตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตายทั้งที่สถานการณ์บีบคั้นให้คิดอยากฆ่าตัวตายแล้ว
ก็จะถอนตัวออกมาจากภพของนักฆ่าตัวตายทีละครั้ง ทีละหน จนกระทั่งเข้มแข็งอดทนได้ในทุกสถานการณ์
ภายในชาติเดียวนั้นเองเขาก็มีสิทธิ์หลุดจากภพของนักฆ่าตัวตายได้อย่างเด็ดขาด
แม้เกิดใหม่เผชิญทุกข์ก็จะไม่คิดหาทางออกตื้นๆด้วยการฆ่าตัวตายอีก
๒) คิดหวังภพหน้าตามความเชื่อ
เป็นการฆ่าตัวตายที่ไม่เห็นได้บ่อยนัก
แต่ก็มีอยู่เรื่อยๆ และถ้าความเชื่อแบบใดล้าสมัย
ก็จะมีความเชื่อใหม่ๆที่ทันยุคทันสมัยมาชวนคนไปฆ่าตัวตายได้ตลอด
ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อแบบไหน
ลงถ้าทำให้ตัดสินใจทิ้งชีวิตดีๆได้ ก็แปลว่าต้องมีมูลเหตุล่อใจ ไม่ว่าจะหวังสวรรค์
หวังบูชาซาตาน หรือหวังไปเป็นเพื่อนมนุษย์ต่างดาว กล่าวโดยสรุปคืออยากได้ภาวะหลังความตายตามที่ตนเองเชื่อ
ผู้ฆ่าตัวตายด้วยหวังพบสุข ย่อมได้ชื่อว่าจิตมีมูลเป็นโลภะ
เมื่อยังไม่ถึงเวลาตาย
แต่รีบอยากตายเอาถ้วย จิตย่อมเหนียวเหนอะหนะด้วยยางคือตัณหา
มีโลภะแรงกล้าพอจะตัดชีวิตมนุษย์ทิ้ง ฉะนั้นจึงต้องบอกว่าเขาตายด้วยอกุศลจิตอย่างแน่นอน
ขึ้นชื่อว่าอกุศลย่อมต้องมืด
ส่วนจะมืดมากหรือมืดน้อยก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดความเชื่อของแต่ละเจ้า
เช่นฟังเขามาว่าถ้าเซ่นชีวิตบูชาซาตาน ซาตานจะมอบธิดาให้เชยชมอย่างสนุก
อันนั้นจะมืดกว่าพวกที่ฆ่าตัวตายหวังไปเป็นสหายแห่งเทวดาหรือมนุษย์ต่างดาว
เพราะรู้ทั้งรู้ว่าซาตานเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่ละอายบาป
ความยึดมั่นผิดๆ
มีทิฏฐิผิดๆ ย่อมติดตัวนักฆ่าตัวตายไปแม้กายนี้แตกดับแล้ว
ฉะนั้นจึงมีโอกาสสูงที่เขาจะพบกับครูผู้สอนผิด สอนให้คิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว
แล้วก็หัวอ่อนเชื่อง่ายตามไปโดยไม่นึกอยากคัดค้านอีก
เดรัจฉานก็มีความเชื่อในการดำรงชีวิตของพวกมันอย่างหนึ่ง
เปรตก็มีความเชื่อในการดำรงชีวิตของพวกมันอย่างหนึ่ง
เทวดาก็มีความเชื่อในการดำรงชีวิตของพวกท่านอย่างหนึ่ง
ในภพภูมิเหล่านั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเชื่อได้ เนื่องจากวิบากเก่าบันดาลร่าง
บันดาลสิ่งแวดล้อม และบันดาลจิตสำนึกให้คงเส้นคงวาตั้งแต่เกิดจนตาย
จึงมีความยึดมั่นและความเชื่อที่ยากจะมีอะไรมาปรับเปลี่ยน
แต่สำหรับภพมนุษย์นั้นถือว่าโชคดีกว่าสัตว์เหล่าอื่น
เพราะร่างกายปรวนแปรได้เรื่อยๆ สิ่งแวดล้อมปรวนแปรได้เรื่อยๆ
มีการเรียนรู้เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ กับทั้งจดจำอดีตกรรมในชาติปางก่อนไม่ได้
เสมือนมีชีวิตอยู่แค่ชาติเดียวครั้งเดียว
จิตสำนึกและความคิดอ่านจึงปรวนแปรไปได้เรื่อยๆเช่นกัน ฉะนั้นขอเพียงมีโอกาสเจอครูผู้นำทางถูก
ทางตรง ทางสว่างมาล้างมิจฉาทิฏฐิเก่าๆออกจากใจได้ ก็จะหยุดโลภ
หยุดฆ่าตัวตายหวังภพภูมิกันในทันทีที่เข้าใจถูก เข้าใจตรง
เข้าใจกระจ่างสว่างแจ้งเต็มภูมิ
๓) คิดใช้การตายของตนสงเคราะห์ผู้อื่น
เป็นการฆ่าตัวตายที่มีโอกาสเห็นได้น้อยที่สุด
คุณต้องเกิดเป็นมนุษย์หลายๆชาติจึงอาจเจอคนใกล้ตัวจบชีวิตตนเองเพื่อคนอื่นสักครั้ง
เรื่องตัวอย่างที่มักยกมาอ้างอิงกันมากเห็นจะได้แก่ฤาษีตนหนึ่ง
เห็นจากปากเหวว่าแม่เสือหิวกำลังจะกินลูกของตัวเอง จึงเกิดความเวทนา
โดดเหวด้วยความตั้งใจสละร่างของตนเป็นอาหารให้แม่เสือ
ความจริงฤาษีไม่ได้อยากจะตาย
ชนวนเริ่มต้นมาจากความเมตตาอยากสงเคราะห์ จึงไม่ใช่การ ‘ฆ่าตัวตายเพื่อตนเอง’
ควรเรียกว่าเป็นการ ‘ยอมตายเพื่อผู้อื่น’ มากกว่า กล่าวโดยสรุปคือถ้าสละเลือดเนื้ออันเป็นที่รักของตนเองให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้
ไม่มีความคิดหนีทุกข์หรือหวังภพภูมิอื่นแอบแฝง ย่อมได้ชื่อว่าจิตมีมูลเป็นเมตตา
เมตตาจิตที่ยอมสละชีพเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นได้นั้น
ต้องมีความห้าวหาญ หนักแน่นมั่นคงยิ่งยวด
เมื่อกระแสเมตตาการุณย์บวกเข้ากับความหนักแน่นมั่นคง จึงรวมดวงเด่นเป็นฌาน
หลังกายดับจึงเข้าสู่ความเป็นสหายแห่งพรหม ซึ่งอยู่เหนือกามภูมิ
สูงส่งประณีตกว่าเทวดานางฟ้ามากมาย
ผู้ที่สละชีพเพื่อคนอื่นได้นั้น
เกิดใหม่จะมีใจใหญ่ สามารถทำอะไรเพื่อคนอื่นโดยไม่เห็นแก่ตนเอง ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องติดนิสัยสละชีพซ้ำๆทุกชาติ
เนื่องจากแต่ละสถานการณ์เลวร้ายมีหนทางช่วยได้หลากหลาย
ไม่จำเป็นต้องทิ้งชีวิตพลีชีพเป็นทานเสมอไป
อย่างเช่นท่านฤาษีในตัวอย่างข้างต้นนั้น
ท่านก็เห็นว่าตนเองมีอายุพอสมควร สั่งสอนสานุศิษย์มานานพอ
ไม่มีอะไรข้างหลังให้เป็นห่วง
ท่านจึงไม่อาลัยไยดีในโครงกระดูกฉาบเนื้อที่รอวันผุพังในเร็ววันนั้น
แต่หากท่านยังหนุ่มแน่น ยังไม่บำเพ็ญตบะจนบรรลุฌานตามจุดมุ่งหมายใหญ่ของชีวิต
ท่านก็อาจข่มความสงสารไว้ รักษาเลือดเนื้อไว้ทำประโยชน์ให้ถึงที่สุดเสียก่อน
ความจริงยังมีวิธีสละชีพอีกหลายแบบ
ขอกล่าวเปรียบเทียบไว้ด้วยว่า
การสละชีพเพื่อคนอื่นไม่จำเป็นต้องมีมหากุศลจิตเป็นจิตสุดท้ายเสมอไป
อย่างเช่นบางท่านรู้ตัวว่าเป็นคนดัง
ถ้าฆ่าตัวตายจะเป็นข่าวใหญ่เรียกร้องความสนใจจากประชาชน
สามารถกดดันให้แก้กฎหมายผิดๆได้ ถ้าหากจิตยังเคลือบอยู่ด้วยความเศร้าหมอง
มีความท้อใจกับกระบวนการยุติธรรมอยู่
อันนี้ก็ตั้งมั่นเป็นฌานแบบท่านฤาษีไม่ได้นะครับ
ให้เป็นกุศลที่สุดก็ได้แค่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
ต่อสู้เรียกร้องความถูกต้องกันใหม่อีก
สรุปโดยรวมแล้ว
การฆ่าตัวตายหรือการยอมตายเริ่มมาจากวิธีคิดที่แตกต่าง มีความเป็นไปได้หลากหลาย
ไม่ใช่อะไรที่ตายตัว
คุณอาจเคยได้ยินมาว่าถ้าฆ่าตัวตายครั้งหนึ่ง
จะต้องฆ่าตัวตายซ้ำอีก ๕๐๐ ชาตินั้น เป็นเพียงความเชื่อที่สืบๆกันมานะครับ
ไม่ใช่ความจริงอันเป็นสากล
โบราณาจารย์ท่านเพียงระบุไว้คร่าวๆเพื่อให้เห็นความน่ากลัวของการฆ่าตัวตาย
ว่ามีผลให้จิตใจอ่อนแอและต้องปลิดชีพตนเองอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าเป็นกฎตายตัวว่าฆ่าตัวตายหนึ่งครั้งต้องฆ่าตัวตายซ้ำอีก ๕๐๐ หน
อย่างนี้มิแปลว่าต้องเอา ๕๐๐
คูณเข้าไปในการฆ่าตัวตายแต่ละครั้งไม่มีที่สิ้นสุดหรอกหรือ?
ชีวิตเป็นของมีค่า ได้มาโดยยาก
หากคุณไม่เห็นค่า ชีวิตก็ไม่ง้อและยินยอมให้ทำลายได้ง่ายๆ
แค่เอามืออุดปากอุดจมูกเดี๋ยวเดียวก็ม่องเท่งแล้ว
แต่การพยายามเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดานี่สิ
คุณต้องสั่งสมบุญกุศลกันเหงื่อไหลไคลย้อยแรมปีเลยล่ะกว่าจะได้มา
** IG **
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น