ถาม : เทวดาประจำตัวมีจริงหรือเปล่าคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๐
ดังตฤณ:
ถ้านึกถึงเทวดาเดินตามต้อยๆไปคอยเป็นองครักษ์พิทักษ์คุณตลอดเวลาล่ะก็
แบบนั้นไม่มีหรอกครับ ลองคิดดูถ้าใครสักคนสู้อุตส่าห์ทำบุญจนเกินมนุษย์ธรรมดา
ถึงขนาดตายไปเสวยสวรรค์ได้
สุดท้ายเบื้องบนตกรางวัลโดยให้มาเป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองมนุษย์ตลอดเวลา
ค่าจ้างค่าออนก็ไม่ได้รับกับใครเขา อย่างนี้จะเป็นเทวดาไปทำไมล่ะครับ
เป็นคุณจะเอาไหมถ้าทำบุญแทบตาย แล้วต้องไปกินบุญด้วยการเป็นเงาตามสิ่งมีชีวิตที่ศักดิ์ต่ำกว่า
อย่างเช่นลิงค่างบ่างชะนี?
หากตอบว่าไม่เอา
เทวดาก็คงไม่เอาเหมือนกัน และหากบอกว่าไม่เห็นจำเป็น
เทวดาก็บอกว่าไม่เห็นจำเป็นเช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้นเลยครับ
อย่างไรก็ตาม
การช่วยเหลือเกื้อกูลข้ามมิติภพภูมินั้นเป็นไปได้ครับ
ทำนองเดียวกับที่คุณอยู่ในภูมิมนุษย์
สามารถยื่นมือไปช่วยเหลือสัตว์ในภูมิเดรัจฉานได้
ตั้งแต่สัตว์เล็กอย่างมดไปจนกระทั่งสัตว์ใหญ่อย่างปลาวาฬ
โดยที่การช่วยเหลืออาจมาในรูปแบบต่างๆ เช่น
หยิบยื่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการช่วยชีวิตพวกมันราวกับปาฏิหาริย์ หรืออาจมาในรูปของการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่กำลังย่ำแย่
หรืออาจมาในรูปของการนำพวกมันมาผสมพันธุ์กันป้องกันการสูญพันธุ์ ฯลฯ
พวกมันรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นฝีมือของคุณ
พวกเราก็เหมือนกัน
วันๆได้แต่ดุ่มเดิมไปตามยถากรรม รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้า แต่ไม่รู้ว่าเป็นการบันดาลของอะไร
ระหว่างความบังเอิญ กรรมเก่า หรือเทวดา
ว่ากันถึงความบังเอิญ
คุณจะยิ่งทึ่งในโลกและจักรวาลมากขึ้น
ถ้ารู้ว่าความกระทบกระทั่งดีร้ายทั้งหลายไม่เคยบังเอิญเลย สิ่งมีชีวิต วัตถุ อากาศ
และกาลเวลา ต่างร่วมกันถักทอเหตุการณ์ตามจังหวะการให้ผลของกรรมเสมอ ยกตัวอย่างเช่น
คุณเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านว่าง นึกว่าคุณเป็นเอกเทศอยู่ตามลำพัง
อยากก้าวเท้าไปที่จุดไหนในเวลาใดก็ได้
ความจริงคุณอาจทำหน้าที่เหยียบมดชะตาขาดให้ตายดับโดยไม่รู้ตัว
ในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ณ จุดใดจุดหนึ่ง เท้าคุณเป็นวิบากของเหล่ามดกลุ่มดังกล่าว
ทำหน้าที่เครื่องประหาร ส่งไปเกิดใหม่ตามเวลาอันควรของพวกมัน
เมื่อใดคุณเข้าใจความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสิ่งมีชีวิต วัตถุ อากาศ และกาลเวลา
เมื่อนั้นคุณจะทราบว่าแม้ ‘ความบังเอิญ’ ก็มีเหตุผลบางอย่างของมันเสมอ
ว่ากันถึงกรรมวิบาก
แม้หลายคนจะเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เมื่อ ‘ได้ดี’ หรือ ‘ได้ชั่ว’
แต่ละครั้งก็จะงงๆว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
กับทั้งมองออกนอกตัวไปเพ่งโทษว่าเป็นความผิดของมนุษย์ด้วยกันเสมอ
เรียกหาความยุติธรรมเพื่อเอาผิดเอาถูกจากมนุษย์ด้วยกันเสมอ
จะมีสักกี่คนที่พูดออกและบอกถูกว่าเหตุการณ์ไหนไหลมาจากกรรมอันใดของตน
ว่ากันถึงเทวดา
พวกเราในโลกมนุษย์นี้ มีจำนวนไม่น้อยเลยครับที่สัมผัสพลังต่างมิติด้วยจิต
อาจจะได้กลิ่นหอมแปลก อาจจะยินเสียงพิเศษ
หรือบางคนอาจเห็นความผิดปกติของเหตุการณ์บางชนิด
แล้วทราบทันทีว่าเป็นการแสดงนิมิตด้วยฤทธิ์ของเทวดา แต่สัมผัสเทวดานั้น
แม้จริงก็ใกล้เคียงกับอุปาทานมาก เช่น
สายลมโชยกลิ่นหอมรื่นอาจเป็นลมธรรมดาที่หอบกลิ่นดอกไม้มากระทบจมูก
แต่จิตคุณปรุงแต่งไปว่าไม่เคยได้กลิ่นอย่างนี้มาก่อนที่ไหนในโลก
ต้องเป็นกลิ่นทิพย์ของเทวดาแน่ๆ ของแบบนี้ถ้าให้แน่จริงต้องมีตาทิพย์อันคู่ควรกับการเห็นสภาพทิพย์
เมื่อมีตาทิพย์คุณจะพบว่าอากาศว่างหลายๆแห่งไม่ว่างจริง
ต้นไม้ใหญ่หลายๆต้นไม่ได้มีแค่กิ่งใบ โลกทิพย์จะปรากฏต่อหน้าโดยไม่ต้องรอให้ได้ยิน
ได้กลิ่น หรือได้สัมผัสอะไรแปลกๆเสียก่อนเลยด้วยซ้ำ
คนในโลกส่วนใหญ่พร้อมจะเชื่อว่าเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆเกิดขึ้นจากความบังเอิญหรือไม่ก็เทวดาบันดาล
เพราะไม่ต้องมีตนเองเข้าไปรับผิดชอบเหมือนให้เชื่อว่าเป็นผลจากกรรมเก่าของตน แม้คนที่ศรัทธากรรมวิบากก็มักเลือกเชื่อเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องดีๆ
ว่าเป็นเพราะบุญเก่าของตนบันดาล ส่วนเรื่องร้ายๆของตัวนี่จะหาแพะ เพ่งโทษเอาผิดกับมนุษย์ด้วยกัน
หรือไม่ก็โบ้ยให้ความบังเอิญและเทวดาเป็นต้นเหตุไป
ไม่อยากเชื่อว่าตนเคยทำบาปอันใดไว้ จึงต้องมาเผชิญทุกข์อย่างที่กำลังเป็น
เมื่อโทษความบังเอิญหรือเทวดา
อะไรๆจะอธิบายง่าย ไม่ต้องเหนื่อยพิสูจน์ให้ยาก แค่ทำใจเชื่อก็ใช้ได้แล้ว
นึกว่ารู้จริงแล้ว และด้วยความไม่รู้จริง หรือรู้ครึ่งๆกลางๆนี่เอง
เป็นเหตุใกล้ให้คนจำนวนมากเชื่อเรื่องเทวดาประจำตัว
เป็นเทวดาประเภทที่คอยประกบติดคุ้มครอง คอยดลใจ
หรือกระทั่งคอยดลเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆให้เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
มาทำความเข้าใจให้ชัดเจนดีกว่าครับ
เริ่มกันที่ความจริงอันเป็นต้นเค้า
เราต้องทราบว่าเทวดาก็เป็นสัตว์สังคมเช่นเดียวกับมนุษย์ พวกท่านมีเพื่อน มีสามี
มีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวาร ที่รักและผูกพันกัน
แม้เมื่อญาติมิตรจุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในมนุษยโลกแล้ว ก็ยังอาลัยอาวรณ์
อาจคอยสอดส่องดูด้วยความห่วงใย เกรงญาติมิตรของตนจะประสบทุกข์ต่างๆนานา
หรือพลาดท่าเสียทีให้กิเลส ทำบาปทำกรรมอันเป็นเหตุให้ต้องพลัดไปสู่อบายภูมิได้
วิธีสอดส่องของเทวดานั้น
ถ้าเทียบให้ใกล้เคียงก็คงคล้ายมนุษย์อาศัยอินเตอร์คอมในการฟังเสียงลูกน้อยจากอีกห้อง
หรือใช้กล้องวงจรปิดในการสังเกตพฤติกรรมของฝูงสัตว์เลี้ยงจากที่ไกล
ต่างแต่ว่าเหล่าเทวดาส่วนใหญ่มีวิถีการรับรู้อันเป็นทิพย์
รู้เรื่องไกลตัวได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลาย
เพียงด้วยความห่วงใยมีใจผูกพันอาทร
ก็จะรู้ขึ้นเองเมื่อเกิดเรื่องร้ายกับญาติมิตรของตนที่ไปเกิดในมนุษยโลก
เมื่อเกิดเรื่องร้ายกับญาติมิตรในโลก
เทวดาก็หาได้สามารถช่วยเหลือไปหมดทุกเรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการดลใจ
หรือโน้มน้าวจิตของญาติมิตรให้เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศล เช่น
เมื่อญาติมิตรกำลังโมโหโกรธาจัดๆ เทวดาก็อาจแผ่เมตตา
ช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนในจิตใจญาติมิตรให้เยือกเย็นลง ทำนองเดียวกับบรรดาพระภิกษุผู้มีพลังเมตตาสูงๆหลายรูป
สามารถรวมตัวกันแผ่กระแสความสุขให้ญาติโยมที่มาประชุมกัน
ระงับความทุกข์และความฟุ้งซ่านลงได้ชั่วคราว เพียงเข้ามาอยู่ในละแวกใกล้
ตัวแปรในการดลใจมีหลายระดับ
ขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเอง ประกอบกับที่ขณะหนึ่งๆกิเลสหรือวิบากของมนุษย์ห่อหุ้มอยู่หนาแน่นเพียงใดด้วย
หากมนุษย์กำลังโทสะแรงกล้า หรือกำลังมีวิบากมืดคลุมจิตมิดเม้นให้เห็นผิดรุนแรง
แม้เทวดาฤทธิ์มากก็ดลใจไม่ไหว
การดลใจยังมีหลายเหตุผล
และไม่จำเป็นต้องเคยเป็นญาติมิตรกันในชาติใกล้เสมอไป เช่น
ในมหาปรินิพพานสูตรส่วนที่ว่าด้วยการสร้างเมืองที่ปาฏลิคาม
ก็กล่าวไว้โดยใจความสรุปคือพระพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง
ว่าท่านได้เห็นด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
ในการที่เทวดาเป็นอันมากนับเป็นพันๆ หวงแหนพื้นที่เขตต่างๆในปาฏลิคาม
๑)
เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่หวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและมหาอำมาตย์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ก็น้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น
๒)
เทวดาชั้นกลางหวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและมหาอำมาตย์ ชั้นกลาง
ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น
๓)
เทวดาชั้นต่ำหวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและมหาอำมาตย์ชั้นต่ำ ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น
กล่าวสรุปโดยย่นย่อคือพระพุทธเจ้าทรงยืนยัน
ว่าพื้นที่ส่วนต่างๆของโลกไม่เหมือนกัน ถ้าบุญไม่พอก็อยู่ไม่ได้
หรือมีเทวดาดลใจให้ไปอยู่ที่อื่นที่เหมาะกับวาสนาบารมีของแต่ละคน
โดยที่เทวดาไม่จำเป็นต้องเป็นเทวดาประจำตัวแต่อย่างใด
หากคุณมีประสบการณ์ผ่านเข้าไปในหมู่บ้านโจรที่เล่นไสยศาสตร์มืด
ก็คงเคยรู้จักกับกระแสยะเยียบทมิฬชวนขนลุกอย่างประหลาด
อันนั้นอาจเป็นคลื่นจิตของวิญญาณชั้นต่ำปนๆกัน
ทั้งคนทุศีลและเปรตดุที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน
คนดีที่เข้าไปจะเหมือนแกะขาวที่ถูกแกะดำหมั่นไส้ นอนหลับอาจถูกรบกวนด้วยเรื่องน่าขนพองสยองเกล้าเอาได้
ส่วนถ้าคุณมีประสบการณ์ผ่านเข้าไปในเขตวัดที่มีอริยเจ้าพำนัก
ก็คงเคยรู้จักกับกระแสความอบอุ่นสว่างไสว
ปลอดโปร่งราวกับอากาศว่างเบาแผ่ขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต
อันนั้นอาจเป็นคลื่นจิตของวิญญาณชั้นสูงปนๆกัน ทั้งมนุษย์ทรงศีล
ทั้งเทวดาผู้มีพิมานซ้อนกับเขตวัด
ทั้งเทวดาบุญญาธิการสูงเหนือโลกที่หมั่นส่งใจลงมาบูชาพระอรหันต์
คนดีไม่พอที่คิดเข้าไปอาศัยวัดหลับนอนหรือปฏิบัติธรรมชั่วคราว
อาจถูกกระตุกขาหรือได้ยินอะไรแปลกๆเพื่อเตือนสติให้ขยันขึ้นกว่าเดิม
ไม่นอนขี้เซาเหมือนเดิม โดยรูปแบบการเตือนนั้นอาจทำให้เกรง
แต่ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกสยดสยองพองขนเหมือนตอนเจอวิญญาณชั้นต่ำ
สรุปคือนอกจากคำว่า
‘เทวดาประจำตัว’ ซึ่งคุ้นๆกันแล้ว ยังมี ‘เทวดาประจำที่’ อีกด้วย
รูปแบบความเกี่ยวข้องกันระหว่างเทวดากับมนุษย์อาจมาทั้งในรูปของการดลใจ การปกป้อง
ตลอดจนการสะกิดเตือนตรงๆ
หากจู่ๆคุณรู้สึกมึนงง
หรือรู้สึกเหมือนถูกบล็อกความคิดให้ตีบตัน
โดยเฉพาะขณะต้องทำบุญหรือทำบาปอันขัดแย้งกับตัวตนเดิมมากๆ
ก็เป็นไปได้ครับว่ามีความเกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจหรือเทวดานอกตัว
แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุภายใน เช่น ความบกพร่องทางกาย
หรืออาจเป็นความขัดแย้งกับภาวะจิตใจเดิมๆเท่านั้นเอง
และไม่ว่าจะเชื่อเรื่องภายในหรือภายนอก
การฝึกมี ‘สติ’ ให้เข้มแข็ง ต้านทานบาป และหันมาต้อนรับบุญทั้งปวง
นับเป็นนโยบายอันควรยึดถือเป็นที่สุด
แถมอีกหน่อยเป็นการทิ้งท้าย
วิญญาณที่ผูกกรรมสัมพันธ์บางอย่างกับมนุษย์ ต้องคอยติดตามมนุษย์นั้นมีอยู่จริง
แต่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก ระดับหนึ่งในพันหนึ่งในหมื่น
คือต้องเป็นเหตุผลพิเศษจริงๆ เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอธิษฐานผูกติดกับอีกฝ่าย
อำนาจการอธิษฐานที่แรงพอจะทำตัวเป็นเสมือนเชือกโยงให้ต้องติดตามไปทุกหนทุกแห่ง
เมื่อหมดกำลังส่งของแรงอธิษฐาน หรือเมื่อฝ่ายมนุษย์เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนละคน
‘เงาตามตัว’ ก็จะจำไม่ได้ ต้องหายไปตามหนทางของเขาเองครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น