วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๒๒ คราวเคราะห์




 อ่านบทความที่แล้ว
บทที่ ๒๒  คราวเคราะห์


    ขณะแห่งความหน้าสิ่วหน้าขวาน มึนมืดอึมครึมด้วยคลื่นความชั่วช้าที่กระจายมาจากสองคนร้าย เกาทัณฑ์สามารถข่มความหวาดผวาเยี่ยงปุถุชนลงได้เกือบราบคาบ เปิดทางให้เกิดสติวิเคราะห์สถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างถ้วนถี่ในเวลาเพียงสองสามพริบตา

    คนยืนเอาปืนขย่มขวัญเขาอยู่บัดนี้ ต่างจากลูกจีนสิงคโปร์ ดูออกไปทางชาวอาทิตย์อุทัยชัด ท่วงทีราศีฉายเหนือกว่าโจรกระจอก ออกเค้าว่าเป็นชั้นลูกพี่ในแก๊งยากูซ่าสักกลุ่ม ชุดสูทที่สวมอยู่นั้น ทำให้รูปหน้าเหี้ยมเกรียมดูทรงภูมิ หากใส่แว่นดำปิดบังดวงตากร้าวผิดสุจริตชนสามัญ ก็พอหลอกว่าเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆกับเขาได้อยู่ หมอนี่คงอายุมากแล้ว เกือบครึ่งศตวรรษเห็นจะได้ แต่ร่างกายยังดูบึกบึนแข็งแกร่งเป็นแรดแบบนักมวยปล้ำ ถ้าไม่ใช่ทีเผลอคงโค่นลำบาก

    ส่วนคนยืนคุมเชิงที่ประตูนั้น สูงโย่งและท่าทางหนังเหนียว อาจทนมือทนเท้าได้แบบนักรบกระดูกเหล็ก มองผาดหรือมองจ้องก็สังหรณ์ได้ทันทีว่าผ่านการฆ่ามือเปล่ามาแล้วอย่างโชกโชน แค่นัยน์ตาที่เขม็งจ้องมาทางเขานั้น ก็ซ่านเลือดและแข็งค้างราวกับวิญญาณอาฆาตมาขอชำระหนี้แล้ว หลบห่างได้เป็นดีที่สุด

    ทั้งลูกพี่ลูกน้องเหงื่อกาฬแตกพลั่กราวกับวิ่งหนีเสือมา ฉะนั้นการจู่โจมยึดห้องครั้งนี้ น่าจะไม่ใช่เพื่อเข้ามาฆ่า ไม่ใช่เพื่อรื้อค้นปล้นทรัพย์ แต่เพื่อขู่เจ้าของห้องพักไว้เป็นตัวประกัน เกาทัณฑ์สันนิษฐานว่าคงหนีตำรวจมาด้วยพฤติกรรมสามานย์ชนิดหนักแผ่นดินสักคดีนั่นเอง สีหน้าสีตาจึงเครียดเคร่งอย่างผู้อยู่ในฐานะครึ่งเป็นครึ่งตายดังฟ้องชัด

    สิ่งน่าประหวั่นคือทั้งสองอาจเผื่อแผ่ฐานะครึ่งเป็นครึ่งตายมาให้เขากับเรือนแก้วไปด้วย ดูประกายตาร้อนรนถึงขีดแล้วเดาว่านี่คงเป็นเรื่องใหญ่ระดับนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า หรือฝ่ายนี้ยอมสู้ถวายหัวดีกว่าถูกจับ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น คงหวังการลงเอยด้วยดีไม่มีริ้วรอยขีดข่วนยากยิ่ง

    และต้องยอมรับอย่างไม่น่าอับอายนักว่าปืนพกที่ชี้เล็งแสกหน้าอยู่ในขณะนี้ ทำให้เขาเกิดความเสียวหน้าผากยิ่งกว่าใครเอาแหลนเหล็กแหลมมาจี้จ่อ เพราะพิษสงของลูกปืนขนาด .38 นั้น แม้ไม่เคยโดนก็รู้ว่าเจ็บถึงใจแน่ ให้เจาะเนื้อลงตรงจุดไหนก็เถอะ โดยเฉพาะถ้าเข้าแสกหน้าเขาตามวิถีเล็งในบัดนี้ รับรองกลายเป็นศพสวัสดีทันที

    เขาหวังจะตายแบบท้ายทอยปิดๆ อย่าต้องเปิดเว่อแบบเจ้าพ่อในรถเบนซ์หลายๆคันเลย ขยาดกับจินตนาการเห็นภาพตนอ้าปากหวอเลือดโทรมในหนังสือประเภทเจาะข่าวอาชญากรรม มันคงทุเรศน่าอ้วกไม่ต่างจากมาเฟียทั้งหลายนั่นเอง

    สรุปคือตอนนี้ต้องห้ามมือห้ามเท้าตนว่าอย่าบุ่มบ่ามฮึดสู้แบบโง่ๆ

    ยุ่นร่างบึกจ้องอย่างชั่งใจเป็นครู่ เห็นเขาสงบพอดีๆ ไม่ถึงกับแหยแฝ่น ขณะเดียวกันก็ไร้วี่แววหือสู้จากดวงตาและแข้งขา จึงหย่อนน้ำหนักตะคอกขู่ขวัญลงหน่อยหนึ่ง

    “บอกเมียมึงให้สงบซะ อย่าหวีดร้อง อย่าทำตัวรุ่มร่ามเป็นปัญหา ให้เข้าใจว่ากูรักษาอาการขวัญกระเจิงเป็นอยู่วิธีเดียว คือยิงทิ้ง!”

    ยังคงลงเสียงสรรพนามยูไอแบบกระแทก สื่อความหมายสำรากกูมึงไม่สร่าง ที่บอกผ่านเขาเพราะคิดเผื่อว่าเรือนแก้วจะฟังอังกฤษไม่ถนัด

    “ตกลง พวกเราจะอยู่เฉย ผมจะบอกเธอว่าคุณจะไม่ทำร้าย”

    คำสั่งของผู้รุกรานเปิดโอกาสให้เขาได้พูดคุยกับเรือนแก้วถนัด เกาทัณฑ์เอี้ยวตัวยกมือตบปลอบเบาๆลงบริเวณขมับเพื่อนสาวผู้ถูกมองว่าเป็นเมีย

    “มันคงหนีตำรวจมาน่ะแอ้ เฉยไว้ก่อน ตอนนี้ยังไม่มีเหตุผลให้มันทำร้ายพวกเราหรอก แค่อาจยึดห้องเป็นที่หลบชั่วคราว เดี๋ยวคงไป”

    ปลอบให้สถานการณ์ดูเบาลง ทั้งที่ใจคิดอีกอย่าง

    “แอ้กลัว...”

    “ผมก็เหมือนกัน”

    เขายอมรับ ใครเอาปืนมาจ่อหน้าใกล้แค่นี้แล้วทำเก่ง ยืดอกคุยโตว่าไม่กลัวเลยน่ะโม้แน่ แต่ร่างสั่นเป็นลูกนกของเพื่อนสาวที่เบียดชิดหลัง และช่วงแขนที่คล้องรัดเอาเขาเป็นโล่บังนั้น ก็ปลุกสัญชาตญาณปกป้องของชายให้เขารำงับความตระหนกประหม่าลงมาก อีกทั้งคิดคำปลอบได้เรื่อยๆ

    “แต่ตอนนี้ถ้าเราใจฝ่อ คุมสติไม่อยู่ หากคับขันจะคิดอ่านนัดแนะรับมือพวกมันลำบาก”

    ความเย็นทั้งกิริยาและวาจาของเขาช่วยบรรเทาความกระสับกระส่ายของเรือนแก้วได้นิดหน่อย อย่างน้อยเขาก็ปักหลักบังกระสุนให้หล่อนเฉย ไม่ส่อเค้าขอผลัดมาอยู่ข้างหลังบ้าง พอเป็นความอุ่นใจในคราววิกฤตขีดสุด รวมทั้งสร้างจิตวิทยาให้โน้มเอียงที่จะเชื่อว่าสถานการณ์คงคลี่คลายไปในทางดีในบั้นปลาย

    โคเฮจิเริ่มประเมินสถานการณ์ของฝ่ายตนเองเช่นกัน แม่สาวหน้าสวยนั่นท่าทางดีดพลั่กเดียวปลิว ไร้พิษสงอย่างสิ้นเชิง ส่วนหนุ่มที่นั่งเฉยเป็นรูปปั้นนั้น แม้มีสัดส่วนและกล้ามเนื้อสมบูรณ์อย่างคนเล่นกีฬาเป็นกิจวัตร ทว่าหน้าตาคมสันสะอาดสะอ้านอย่างนายแบบเจ้าสำอาง ก็ไม่เรียกศรัทธาให้เชื่อว่ากระดูกจะแข็งสักเท่าไหร่ ทิ้งหมัดเดียวคงกองนิ่งกับพื้น ไม่ควรวิตกให้กลุ้มเปล่าเช่นกัน

    สบายใจขึ้นเมื่อแน่แล้วว่าเจอหมู เขากับลูกน้องใช้ลิฟต์หนีตายจากชั้นที่พัก และวิ่งขึ้นบันไดเพื่อลวงตำรวจอีกสามชั้น กะหลอกแขกเปิดประตูรับเพื่อยึดห้องและจับไว้เป็นตัวประกัน หรือถ้าเห็นจวนตัวจวนเวลาหาหมูหลอกไม่เจอ ผิดนักก็ยอมสร้างพิรุธยิงลูกบิดเปิดเข้าไปเอง นึกไม่ถึงว่าจะโชคดี เสี่ยงหมุนห้องแรกก็เข้ามาได้สะดวกดายแบบโชคช่วย แถมเจอผัวหนุ่มเมียสาวที่ดูรักกันปานจะกลืน ท่าทางละอ่อนและขยาดความรุนแรงทุกชนิด เพียงจิกหัวใครไว้จ่อปืนขู่ อีกคนคงยอมถวายชีพ ยินยอมปฏิบัติตามทุกคำสั่งเพื่อรักษาลมหายใจคนรักไว้แน่ๆ

    คู่นี้เป็นคนไทย เขาหมายตาหญิงสาวที่ถ้ายึดไว้ก็เปรียบเสมือนลูกไก่ในมือ จึงตะแคงหน้าเล็กน้อยสั่งความกับคนของตนเป็นภาษาญี่ปุ่น

    “ไซ! เดี๋ยวเราหลบกันในห้องน้ำ ยึดตัวนังคนสวยนี่ไว้เป็นประกัน จับแก้ผ้าเสียด้วยเผื่อโดนขอค้น อาจหลุดตรวจ”

    โคเฮจิไม่ทันเฉลียวใจว่าหญิงไทยผู้กำลังงันงกจะรู้ญี่ปุ่นทะลุปรุโปร่งแทบเทียบเท่าภาษาแม่ อีกทั้งชะล่าว่าสองหนุ่มสาวนี่ขยำทีก็บี้แบน ต่อให้ฟังออกก็หือไม่ขึ้นอยู่แล้ว

    เรือนแก้วแทบน้ำลายติดคอ อกสั่นขวัญแขวนเพราะได้ยินถนัด กระซิบบอกเกาทัณฑ์อย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

    “เต้ มันว่าจะเอาแอ้เป็นตัวประกัน ซ่อนตัวในห้องน้ำ แล้วจะ...จะแก้ผ้าแอ้ด้วย”

    คำหลังแผ่วระโหย มือไม้อ่อนเปียกไปหมด เกาทัณฑ์รับทราบแล้วสามารถวาดภาพได้เป็นฉากๆ วายร้ายหน้าหักคงกะลวงตำรวจโดยให้เรือนแก้วนุ่งผ้าเช็ดตัวเปิดประตูห้องน้ำยื่นหน้าแบบเปียกๆ โดยเอาปืนจี้หัวไว้ข้างหลัง ถึงแม้ตำรวจพบพิรุธก็เปลี่ยนแผนเป็นขู่ฆ่าได้ทันควัน เหตุการณ์ถัดจากนั้นยากจะเดา ตำรวจจะเลือกสวัสดิภาพของแขกบ้านแขกเมืองหรือมรณกรรมของคนร้ายเป็นหลักก็ไม่ทราบ และฝ่ายคนร้ายที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาติดตันในโรงแรมจะใช้ตัวประกันแหวกผ่านวงล้อมสันติบาลแบบไหน ล้วนเกินความหยั่งรู้

    แต่ที่แน่คือตราบใดที่พวกมันยังไม่ถึงถิ่นตัวเองหรือเขตปลอดภัย เรือนแก้วก็จะยังคงถูกยึดตัวไว้อย่างเหนียวแน่นแทนโล่ป้อง เพราะนี่คือจุดประสงค์ของการบุกห้องพักแขกอยู่แล้ว

    เรือนแก้วคงหมดประโยชน์เมื่อถึงรัง เพราะพวกนี้ไม่ใช่โจรลักตัวเรียกค่าไถ่ รูปร่างหน้าตาอย่างหล่อนคงกลายเป็นของแถมจากการฉุดคร่าที่น่าปู้ยี่ปู้ยำอีกโสด ถ้าไม่โดนข่มขืนฆ่าก็ถูกจับขายอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นแหละ ที่จะทิ้งไว้ตามโคนต้นไม้ให้หาทางกลับเองโดยไม่ตะกุยข่วนเลยสักรอยนั้นอย่าหวัง

    สำหรับเขาเองคงอยู่ในข่ายปลอดภัย เพราะมีหน้าที่เปิดประตูรับตำรวจ และเสแสร้งแกล้งทำว่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์เลวร้ายอันใด กับทั้งเมื่อถูกขอค้น ก็ต้องอ้างว่ามีเมียอีกเพียงคนเดียวอยู่ในห้องน้ำ ประกอบธุระส่วนตัวของหล่อน ตำรวจจะได้กระอักกระอ่วนในการขอตรวจอย่างละเอียดทุกซอกมุม

    หนังตาขยิบแปล๊บ เขาจะปลอดภัยอย่างลอยลำเพียงเมื่อตำรวจมาถึง...

    ประสาทเกาทัณฑ์ชักเครียดเขม็ง ฝ่ายลูกน้องร่างโย่งคล้ายออกความเห็นแย้งความคิดลูกพี่ ซึ่งลูกพี่ก็ดูท่าวางตำแหน่งอีกฝ่ายไว้ในฐานะกุนซือ ไม่ใช่แค่ลิ่วล้อไว้เป็นมือเท้าอย่างเดียว ยังรับฟังและโต้ตอบเป็นเรื่องเป็นราวยาวอยู่

    นั่นเองเกาทัณฑ์จึงมีโอกาสสั่งเสียกับเรือนแก้ว

    “เราต้องชิงเล่นงานมันก่อน ให้แอ้อยู่ในมือพวกนี้เท่ากับกระโจนลงนรกดีๆนี่เอง แอ้เลือกเอานะ จะเสี่ยงตายกับผมหรือยอมรอเสี่ยงตายในมือพวกมัน”

    เขาถามความสมัครใจและบอกความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ถึงแม้เรือนแก้วจะกลัวจนขึ้นสมองจี๊ด ก็หลับตากัดฟันตอบอย่างรู้ว่าถึงนาทีจวนตัวเข้าด้ายเข้าเข็ม ตัดสินใจช้าไม่ได้แล้ว

    “แอ้จะตายกับเต้”

    ควานหามือเขา เมื่อพบก็ยึดไว้มั่น

    “ขอบใจนะที่ไม่คิดทิ้งกัน”

    เกาทัณฑ์กระชับมือตอบ

    “ผมไม่ให้แอ้อยู่ในมือคนอื่นหรอกน่า”

    เสียงปรานีจริงใจนั้นมีผลให้เรือนแก้วค่อยๆลืมตาขึ้น ลำคอตีบตัน ไออุ่นจากเขาช่วยให้จิตใจมั่นคงขึ้นทีละน้อย

    “เต้...”

    “หือม์?”

    “อยากด่าว่าหน้าไม่อายก็ตามใจนะ ฉัน...ฉันรักเธอ”

    สารภาพปลายเสียงสั่นพลิ้วอย่างตระหนักว่าอาจไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว เกาทัณฑ์อึ้งไปชั่วขณะ ในโลกใกล้ดับที่มีเขากับหล่อนตามลำพัง ทุกสิ่งถูกลืมหมดสิ้น เหลือไว้แต่อารมณ์จากแก่นแท้ภายในที่ถูกเร่งให้แสดงโดยปราศจากมารยาแสร้งเส

    “ผมก็รักแอ้...”

    เหมือนกระแสน้ำอุ่นหลามไหลเข้าสู่หัวใจเยียบเย็นของคนที่ยืนอยู่หว่างรอยต่อความเป็นกับความตาย ความซ่านระทึกในวิกฤตถูกท่วมทับจนมิดด้วยรสสงบสุขในรัก เรือนแก้วบีบมือแน่นขึ้น อย่างจะขอรับการถ่ายทอดกระแสใจจากเขาเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับตน

    “โลกหน้าจะเป็นสวรรค์หรืออะไรก็ช่าง ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันก็แล้วกัน”

    หล่อนกระซิบ เกาทัณฑ์ยกมือของหญิงอันเป็นที่รักขึ้นจุมพิตแผ่ว

    “อย่าให้ผมสับสน และเพิ่งได้รู้ใจแอ้เอานาทีสุดท้ายเหมือนชาตินี้อีกล่ะ”

    เรือนแก้วตอบด้วยรอยยิ้มเงียบเชียบที่เบื้องหลัง บังเกิดความตื้นตันใจจนวูบคิดอธิษฐานอย่างแรงกล้าว่าตนจะยากกับชายทั้งโลก แต่ง่ายกับเขาเพียงคนเดียวไปทุกภพทุกชาติ!

    การเกิดใหม่มีกระบวนการซับซ้อนอย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าขอเพียงมีใจกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวเสมอกัน หมดวาระจากฉากนี้เมื่อไหร่ ก็ได้ผจญภัยในฉากใหม่ร่วมกันแน่แล้ว

    “จะให้แอ้ทำยังไงบ้าง?”

    น้ำเสียงหล่อนสะท้อนใจที่นิ่งเหมือนน้ำ กายที่เคยสั่นบัดนี้สงบลง เหลือเพียงความเย็นใจในรักแท้

    “ยิงปืนที่เห็นในมือไอ้เบื๊อกข้างหน้านี่ไหวไหม?”

    “ไหว”

    “งั้นคอยตะครุบให้ดีแล้วกัน”

    เรือนแก้วพอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่วายห่วง

    “แล้วอีกคนล่ะ?”

    “เถอะน่า...”

    ลอบอัดลมหายใจยาวลึกรวดเร็วสองสามครั้งราวกับกระบอกสูบลมขนาดยักษ์ เก็บเกี่ยวพลกำลังจนเต็มแน่น เริ่มจับจังหวะนับแต่นั้น ขอทีเผลอเพียงพริบตาเดียวเถอะ

    เกาทัณฑ์เป็นผู้ที่เกิดมามีสัดส่วนและสรีระเป็นอาวุธร้ายคนหนึ่ง ทั้งข้อลำ ทั้งน้ำหนักหมัดเท้า ทั้งสปริงตามจุดส่งแรงต่างๆ จัดว่าถูกสร้างไว้เพื่อให้พร้อมระดมหมัด เท้า เข่า ศอกแจกได้ดุดันเป็นฟ้าแลบ ช่วงวัยรุ่นเคยมันเขี้ยวคะนองกำลังวังชาแห่งตน ตระเวนลองของมาเยอะ ถึงเรื้อไปบ้างก็ซ้อมชกกระสอบทรายในห้องพักเกือบทุกวัน รักษาน้ำหนักไว้ได้คงเส้นคงวา ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาใช้ประโยชน์รักษาสวัสดิภาพของตนและหญิงสาวในคราวนี้ เขามั่นใจว่าถ้ารีบก็อาจเผด็จศึกโดยเร็ว ฉวยความได้เปรียบที่ศัตรูประมาท หย่อนความระวังเปิดช่องให้เข้าทำก่อน

    และแล้ววินาทีที่รอคอยก็มาถึง ดูเหมือนนายบ่าวคู่นั้นจะตกลงกันได้ว่าจะเอาไงแน่ ฝ่ายยืนคุมประตูห้องจึงหันไปยื่นหน้าจ่อตากับรูแก้วเพื่อสอดส่องความเป็นไปภายนอก ส่วนตัวหัวหน้าก็พะวงใช้มือซ้ายล้วงท่อเก็บเสียงจากชายเสื้อนอกด้านใน ลดความเกร็งข้อแขนและข้อมือข้างที่จับปืนลงแบบการ์ดตก เนื่องจากตายใจแล้วว่าสองหนุ่มสาวเป็นเด็กหัวอ่อนในความควบคุมโดยดี

    เกาทัณฑ์ทะลึ่งพรวดขึ้นดีดปลายเท้าซ้ายเตะข้อมือเจ้าตัวร้ายเต็มเหนี่ยว ปืนกระเด็นหลุดผลัวะ จากนั้นไม่รอช้า หมายตาไปยังลูกสมุนหน้าห้อง มือขวาเอื้อมไปทางด้านหลัง คว้าจานเขี่ยบุหรี่เหล็กจากโต๊ะหัวเตียง วาดแขนสะบัดมือเขวี้ยงใส่กบาลหมอนั่นกะตำแหน่งท้ายทอย อาศัยเชื่อความแม่นยำของตนที่สั่งสมจากการเล่นกีฬาขว้างๆเหวี่ยงๆมาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเปตอง ขว้างจักร หรือปาลูกดอก ผสมผเสกันแล้วหวังผลพอได้ว่าระยะครึ่งห้องพักแค่นี้ถ้าเข้าเป้าจังๆคงสลบเหมือดคาที่

    ยินเสียงเหล็กกระทบกะโหลกมนุษย์โป๊กใหญ่คล้ายกระหน่ำทุบค้อนปอนด์ ตามด้วยเสียงร้องอุ๊บหนึ่งแอะ เกาทัณฑ์ไม่มีเวลาชมผลงาน เพราะต้องหันกลับมาทางชายร่างป้อมใกล้ตัวทันที ร่างบึ้กตั้งหลักได้เร็วและกำลังสวิงหมัดซ้ายใส่แบบโต้ตอบก่อนสมองสั่ง หมายตะบันหน้าหล่อให้หงายเก๋ง เกาทัณฑ์เพียงค้อมร่างหลบหน่อยเดียว กะให้หมัดเฉี่ยวถากวืดคร่อมศีรษะ เพื่อไม่ให้เสียหลักเข้าจู่โจมมากนัก

    พอหมัดข้าศึกวืดและเปิดช่องท้อง เกาทัณฑ์ก็ฉวยโอกาสสะอึกตวงซ้ายสั้นเข้าลิ้นปี่สองหมัดซ้อนจนคู่อริตัวงอลงหน่อย แล้วซ้ำด้วยการย่อขวาง้างหมัดยิงปัง หมายเสยเข้ากระโดงคางสุดแรงเกิดแบบไม่ออมแรงไว้ เพราะแม้ดูท่าว่าเจ้านั่นแก่เกินสี่สิบ ก็ยังแกร่งขนาดมีสิทธิ์ฟาดเขาหมอบ หรือยิงเขาตายได้ชนิดตาไม่กะพริบ อย่างนี้คงไม่เจอข้อหารังแกคนแก่อย่างน่าเกลียดกันล่ะ

    อย่างไรก็ตาม หมัดตันๆเป็นตุ้มเหล็กที่เคยต่อยคู่ต่อสู้กร้วมเดียวล้มตึงนั้น บัดนี้สยบยุ่นร่างบึ้กไม่ลง แม้อายุมากก็ยังแกร่งกล้าทายาด เพียงโซเซแกว่งไปแกว่งมาแบบตาพร่าพรายเห็นดาว ทั้งที่ควรหงายหลังแผ่หราได้แล้ว

    เห็นจะเป็นเพราะเขาจับเป้าน็อคไม่ถนัด กะคางแต่เป้าไหวเสียก่อน น้ำหนักหมัดเพียงเฉี่ยวกรามจึงอ่อนไปสำหรับผู้โชกโชนศึกที่ร่างหนาปึกราวกับนักมวยปล้ำเก่า ทำเอาหนุ่มไทยชักหนักใจ เนื่องจากยังมีเจ้าโย่งตาอำมหิตที่หน้าประตูอีกรายให้ติดตามผล แค่ด่านแรกยังคว่ำช้าอย่างนี้ ขืนปล่อยไว้ เกิดลุกขึ้นตั้งหลักได้พร้อมกันสองคน เขาคงโดนลงแขกแจกหมากน่วมก่อนยิงทิ้งทารุณ หรือใช้วิธีห้ำหั่นสยดสยองตามตำนานยากูซ่าที่เคยแว่วมา

    ใช้เวลาเสี้ยววินาทีเดียวตัดสินใจเลือกเผด็จศึกหัวมังกรใกล้ตัวให้สิ้นเรื่องสิ้นราวก่อน ค่อยตามเช็กบิลหางมังกรในภายหลัง ถ้าหางมังกรสะบัดลายขึ้นมาตอนนี้ก็ต่อโลงรอเถอะ ใครไปจับศึกสองด้านพร้อมกันไหว พยายามดีที่สุดได้แค่นี้

    ย่างเท้าเข้าหาสิงห์เฒ่า กำสองหมัดแน่น ยกสองแขนเอี้ยวตัวอย่างกับจะหวดกอล์ฟ ก่อนประเคนฟาดต้นคอของผู้เป็นเป้าหมายอย่างจังด้วยหมัดคู่และสองข้อมือคมที่ประสานลงพร้อมเพรียง ส่งเสียงตึ้บหนักๆเป็นมะพร้าวตกจากต้น ยังผลให้ร่างบึกทรุดฮวบคลานสี่ตีนทันใด

    เมื่อทรุดลงดังใจนึกแล้ว เกาทัณฑ์จึงดับเครื่องฝ่ายนั้นด้วยการถอยเท้าออกไปสองจังหวะ แล้วสืบซ้ายปักหลัก หวดแข้งขวาช้อนเข้าใต้ท้องแบบอัดฟุตบอลจากจุดโทษโหดเหี้ยม เรียกว่าถ้าเป็นบอลก็กะตูมเดียวตุงตาข่ายเกือบฉีกชนิดผู้รักษาประตูไม่กล้ารับ เล่นเอาร่างบึกเด้งเยือกขึ้นตามแรง แล้วพับฐานพังพาบยุติการเคลื่อนไหวลงสนิท

    อย่าเพิ่งฟื้นนะไอ้แก่...เกาทัณฑ์คิด ต่อให้สมัยหนุ่มเคยเป็นนักมวยปล้ำจริงก็คงจุกลำแข้งเขาไปหลายนาทีล่ะคราวนี้

    อย่างไหลลื่นต่อเนื่อง กระทิงหนุ่มหันตัวปราดเข้าชาร์จเจ้าโย่งที่โดนอาวุธลับลงไปกองเค้เก้กราบประตูหน้าห้อง แง่หรือสันจานบินเหล็กคงไม่เข้าเป้าท้ายทอยถนัดนัก เพราะยังอุตส่าห์หยัดกายขึ้นยืนอย่างทรหด เดชะบุญหมอนั่นมืออ่อนทำปืนร่วงกับพื้น และเพิ่งกลับหลังหันโงนเงนงงงวยขึ้นมา ท่าทางกำลังพยายามนึกให้ออกว่าชาตินี้กูคือใคร พอเขาไปถึงจึงเลือกเล่นงานได้ตามสะดวก งัดหัวเกือกซ้ายเข้าผ่าหมากเต็มตีนชนิดขอเก็บคุณธรรมเข้ากระเป๋าเพื่อความสะดวกและปลอดภัยของข้าพเจ้าไว้ก่อน

    แต่สัญชาตินักสู้ของจอมทรหดนั้นทำให้ยากจะเคี้ยวง่าย เจ้านั่นคืนสติเห็นขีปนาวุธจับเป้าตนได้อย่างว่องไว สมอาชีพคนบาปที่ต้องมีตาประดุจเหยี่ยวไว้ระวังภัยเสมอ สองมือปามจับข้อเท้าเขาได้ทัน กับรีบเลื่อนมือซ้ายตะปบปลายเท้าปับ ออกแรงบิดหักสุดฤทธิ์ หวังให้เขาเสียหลักล้มลงกับพื้น และกะตามกระทืบซ้ำฉับพลันทั้งที่ตนยังไม่สร่างงงดี

    เกาทัณฑ์ใจหายวาบ แต่เมื่อรู้ตัวว่าจะถูกบิดให้คว่ำก็ตั้งสติ สปริงเท้าขวาลอยขึ้นสูง นอนตัวขนานกับพื้น ใช้สะโพกเป็นศูนย์ ออกแรงบิดเหวี่ยงเพื่อตามข้อเท้าตัวเองที่กำลังถูกบิดหมุน แถมตวัดซ่นเกือกขวาหมายก้านคอที่เปิดหรา มฤตยูโย่งมัวยึดเท้าเขาไว้เหมือนของรักของหวงจึงหมดสิทธิ์ปกป้อง

    แรงเหวี่ยงจากการหมุนตัวกลางอากาศไม่ได้มีผลช่วยเท่าไหร่นัก เพราะเป็นกึ่งจระเข้ฟาดหางเท่านั้น แต่การส่งแรงจากข้อพับขาซัดซ่นเท้าลงตรงเป้าหมายอย่างทรงกำลังแม่นยำนั่นเองที่ทำเอาจอมอึดคอพับคออ่อนอย่างกับดวดเหล้าสาเกไปสองไห เกาทัณฑ์รู้สึกว่าข้อเท้าซ้ายหลุดเป็นอิสระทันที

    หนุ่มไทยล้มคว่ำลงพื้นด้วยสองมือยันโดยสวัสดิภาพ ก่อนดีดตัวขึ้นราวกับตุ๊กตาล้มลุก จิกหัวคู่เวรขึ้นกระแทกประตูโครมสนั่น แล้วงอศอกขวาคมกริบวัดเข้าขมับฉัวะ ย่อซ้ายอีกนิดเพื่อใช้ท่างอศอกให้เป็นประโยชน์ต่อเนื่อง คือเกร็งสันมือแบบคาราเต้ฟันฉับเข้าคอหอยเต็มแรง หมอนั่นร้องอึ๊กไอโขลก โซซัดโซเซมือตะกายอากาศจะร่วงลงพื้น

    เกาทัณฑ์ยังไม่หายมันในอารมณ์ดิบที่ถูกปลุกให้โลดเร่า เห็นท่าเจ้าโย่งกำลังงอได้ที่เหมาะ ก็แทงเข่าเข้าปักลิ้นปี่สองทีซ้อน จนผู้รับเกิดอาการสะอึกกิน ลูกตาเหลือกถลนแทบพลัดเบ้า ไม่หนำใจกดหัวโน้มใบหน้าฝ่ายนั้นลงรับเข่าเสยอีกคำรบ เข้าดั้งจมูกเต็มๆ เห็นเลือดกำเดาทะลักพลั่กทันตา

    กระทิงหนุ่มเริ่มเหนื่อย หวังจะเห็นคู่เวรป้อแป้แพ้แรงอัด แต่ก็เพิ่งประจักษ์ว่าตนผ่านสังเวียนมาน้อยไป ประเมินผู้มีชั้นเชิงและน้ำอดน้ำทนเหนือตนไม่ถูก ศัตรูผู้เกิดใต้ฤกษ์เพชฌฆาตนั้น แม้คะมำลงกับพื้นเหมือนหมอบกระแตแน่แล้ว ยังอุตส่าห์ยื่นมือกระชากข้อเท้าเขาหงายตึงลงได้ด้วยกำลังราวช้างสาร เล่นเอาเกาทัณฑ์เย็นสันหลังยะเยือก เพราะรู้แต่ต้นว่าถ้าเปิดโอกาสให้เจ้านี่ตอบโต้ได้แม้เพียงแอะเดียว เขาจะเป็นฝ่ายถูกฆ่าด้วยมือเปล่าอย่างง่ายดาย วิญญาณนักฆ่าที่ปะทุจากทุกขุมขนของมันฟ้องให้ตระหนักเช่นนั้น

    อาจเพราะดวงยังไม่ถึงฆาต หางตาเห็นโต๊ะกลมเล็กขาเดี่ยวติดผนังข้างตัว เสี้ยววินาทีเดียวโดยไม่ต้องคิดก็คว้าขาโต๊ะยกขึ้นประเคนสันกลมเข้ากลางกระหม่อมซึ่งอยู่ในจังหวะโงหัวขึ้นรับพอดี เขาอยู่ในท่าไม่ถนัดนักจึงรู้ว่าคงแรงไม่ถึงขนาดกะโหลกชำรุดจนวายชีวาตม์ กะแค่ให้มฤตยูโย่งรู้สึกคล้ายฟ้าผ่าหัว มึนงงมะงุมมะงาหราให้เขาตั้งตัวสักอึดใจหนึ่ง อย่างมากหัวเจาะเลือดท่วมหน้าเท่านั้น

    มือพระกาฬจากแดนซามูไรทรงกายขึ้นคุกเข่าและพยายามปรับสายตาให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เกาทัณฑ์ลนลานลุกขึ้นหลับหูหลับตาเหวี่ยงเท้าตูมเข้ากกหูศัตรูถนัดถนี่ ภาวนาว่าครั้งนี้ขอให้จอด เพราะถ้ามันยังหยัดกายอยู่ได้อีก ฝ่ายเขาอาจเริ่มลดน้อยถอยกำลังลงเรื่อยๆ เผลอๆอาจเพลี่ยงพล้ำถลำคว่ำเอง เนื่องจากหวดแขนขาสุดตัวแบบไม่ได้พักหายใจมานาน ชักออกอาการเหนื่อยล้าสายตัวจะขาด แข้งขาสั่นพั่บๆแล้ว

    สมคำภาวนาของเกาทัณฑ์ โย่งกระดูกเหล็กจากถิ่นซากุระบานเอียงกระเท่เร่ลงคว่ำราวกับต้นไม้โค่น เพราะจุดที่หลังเท้าเข้าเมื่อครู่คือตำบลทัดดอกไม้เต็มๆ ขนาดตัวเกาทัณฑ์เองต้องเขย่งยกเท้ากุมด้วยความเจ็บราวกับเตะเสา

    ตลอดเวลาระทึกยิ่งกว่าดูฉากบู๊ในหนัง เรือนแก้วเอาแต่เบิกตาตะลึง นึกไม่ถึงว่าเพื่อนชายจะร่ายรำหมัดเท้าได้ราวลูกหลานเทพสงครามเช่นนี้ ลืมหมดที่เขาสั่งให้ตะครุบ .38 ของคนร้าย อันเป็นที่รู้ว่าเอาไว้ขู่คุมเชิงระวังหลัง แบ่งเบาภาระให้กับเขา

    โคเฮจิสมควรได้สมญามหาอึดเช่นเดียวกับลูกน้อง เพราะแม้อายุเกือบเข้าไปครึ่งศตวรรษแล้ว ก็ยังรวบรวมสติสัมปชัญญะได้ทีละน้อย กระทั่งหยัดกายลุกขึ้นได้ใหม่ สลับฉากพอดีกับจังหวะที่สมุนคู่ใจของตนนอนลงให้กรรมการนับสิบนั่นเอง

    สิงห์เฒ่าโผเผกระชากปืนพกสำรองจากชายเสื้อนอกขึ้นมาเล็งหนุ่มไทยทั้งตาพร่า สติเลือนไม่เข้าที่เข้าทางดีด้วยความจุกเสียดท้องแน่นตึ๊บ เรือนแก้วซึ่งเห็นตลอดทุกจุดของเขตทำศึก ถึงกับเย็นวาบตะโกนเสียงหลง

    “เต้! ระวัง!!”

    เกาทัณฑ์ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกเขย่งเก็งก็อยหอบตัวโยน สะบัดหน้ามาทางจงอางที่เขาหวดหลังไว้ไม่หัก ตกตะลึงตาเบิกโพลง ความรู้สึกบอกว่านั่นคือวาระสุดท้ายของตน

    ใจหล่นวูบกับคำรามปืน ขนหัวลุกทั้งแผง หนุ่มไทยวิ่งหลบกระหืดกระหอบ สองมือแบยื่นออกมาปิดป้องด้วยความกลัวตาย คนเราถ้าวิ่งหนีขณะกลัวตายเตลิดเพริดล่ะก็ ร้อยทั้งร้อยท่าไม่สวย ต่อให้ฝึกคอมมานโดมาก็เถอะ ที่จะให้ม้วนตัวสวยเก๋แบบในหนังนั้น อาจมีได้ก็ต่อเมื่อสติสตังยังอยู่กับเนื้อกับตัวครบถ้วนเท่านั้น

    กระโจนผลุบเข้าแอบหลังโซฟาตัวหนึ่ง ทั้งสำนึกเดี๋ยวนั้นเลยว่าหัวกระสุนคงสามารถตัดชำแรกแทรกผ่านพนักมาเข้าร่างตนได้ราวกับผ่านอากาศธรรมดา แม้ถูกหักเหบ้างก็คงไม่พ้นตัว ต้องดิ้นพราดกับที่ให้โจรโหดตามมากระหน่ำซ้ำอย่างสะดวกดาย

    ฝ่ายเรือนแก้วเห็นการณ์วิกฤตของเกาทัณฑ์ก็เพิ่งได้สติ ผุดความจำว่าตนก็ใช้อาวุธปืนเป็น แถมยิงแม่นแบบพร้อมจะทำบาปขึ้นเสียด้วย จึงกลิ้งตัวกับฟูกเข้าเอื้อมคว้าปืนกระบอกที่เห็นแต่แรกว่าตกอยู่แทบปลายเตียงทันที

    เมื่อคว้าได้ก็ดึงกายขึ้นชันเข่าตั้งหลัก หางตาเห็นเซฟถูกปลดไว้แล้ว สองมือจึงกุมด้ามแน่น ยกเหยียดขึ้นเล็งตรงด้วยมาดของผู้ช่ำชองการใช้อาวุธ สายตาพุ่งตรงจับเป้าหมายไปทางเดียวกับลำกล้อง สอดนิ้วเข้าโกร่งไกพร้อมกระดิก พิชานในการเล็งเกิดขึ้นในคราวคับขันกับผู้ฝึกยิงมาก่อน ทีแรกเป็นศีรษะโจรร้ายที่ยังสะโหลสะเหลมือสั่นตั้งศูนย์ไม่เสร็จ ก้าวสะเงาะสะแงะไปทางโซฟาซึ่งเกาทัณฑ์ใช้เป็นที่กำบังตน แต่เปลี่ยนใจชั่วพริบตา เบนปับทั้งตาและมือพร้อมกันไปจับลำปืนของฝ่ายนั้น แล้วเหนี่ยวไกยิงเปรี้ยง

    โคเฮจิสะดุ้งเฮือก แทบหายมึนเมื่อเห็นปืนกระเด็นหลุดจากมือวับไปกับตาจากแรงปะทะมหาศาลไร้ตน แถมได้ยินเสียงตวาดเฉียบขาดราวกับประกาศิตเกรี้ยวจากนางพญาตามมาว่า

    “อย่าขยับ!”

    หมดข้ออ้างฟังไม่ออก ปฏิบัติตามไม่ถูก เพราะคำบัญชานั้นเป็นภาษาญี่ปุ่นสำเนียงแท้ เล่นเอาพ่อยุ่นตะลึงอ้าปากหวอ หันมองอย่างงงงัน สาวสวยที่นึกประมาทไว้แต่แรกว่าเป็นนางสมัน บัดนี้โผนขึ้นยืนผงาดบนเตียงราวกับนางเสือดาว ชี้ปืนของตนมายังตน นัยน์ตาเปล่งประกายลุกวาวสีน้ำตาลไหม้จัดจ้า คล้ายจะแผดเผาสิ่งถูกเพ่งให้เป็นจุณได้เดี๋ยวนั้น

    ดูรู้ว่าตั้งใจยิงจริงถ้าเขาอยากลองดี และลงถ้าแม่นขนาดดีดปืนจากมือเขาทิ้งได้ ก็คงเล็งกะโหลกโตๆได้ไม่พลาดเช่นกัน โคเฮจิจึงยกสองมือแสดงการยินยอมปราชัย รู้จักประกายกระหายเลือดของมนุษย์ดีเกินกว่าคิดเสี่ยงขัดขืน

    เมื่อยิงปืนเข้าเป้าสำเร็จไปครั้งหนึ่ง กับทั้งขณะนี้สติยังรวมศูนย์กับสองมือที่จับด้ามและสายตาที่เล็งตรง เรือนแก้วรู้สึกว่าจิตใจตนเปลี่ยนรูปไป ในความสงบอย่างเอกอุนั้น มีความกระเหี้ยนกระหือรือพลุ่งพล่านมาจากหัวใจ จิตที่จับเครื่องมือประหัตประหารย่อมถูกจูงให้คิดอยากฆ่า โดยเฉพาะคนมีนิสัยเดิมติดตัวมาก่อนอย่างหล่อน

    นั่นเป็นสิ่งที่มือปืนสาวยังไม่เข้าใจตนเอง หล่อนอยากฆ่าคนแทบทุกครั้งที่จับอาวุธ เมื่อรู้ตัวก็ข่มใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสมอมา กระทั่งความคิดร้ายกาจจางตัวลงบ้างตามเวลาที่อบรมตนเองทีละน้อย ทว่าเพิ่งมาถูกกวนตะกอนให้กลับขุ่นขึ้นอีกในบัดนี้

    “เต้! ออกมาได้แล้ว!”

    เมื่อคิดว่าคุมสถานการณ์ได้ หญิงสาวก็ส่งเสียงเรียกเกาทัณฑ์ก้อง อย่างต้องการให้เขามาคุมเกมแทน แต่นัยน์ตายังจับนิ่งอยู่กับชายหน้าหัก พร้อมกันก็ระแวดระวังผ่านหางตา สังเกตความเคลื่อนไหวของมฤตยูโย่งที่นอนหมอบอยู่อีกทางไปด้วย

    เรือนแก้วรู้สึกหนาวๆร้อนๆเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากหลังโซฟา ต้องตะโกนเรียกซ้ำอีกครั้ง

    “เต้! เป็นอะไรรึเปล่า?”

    หวิวคล้ายจะเป็นลมขึ้นมาทันใดเมื่อคำตอบยังคงเป็นความเงียบ ไร้เงาเกาทัณฑ์โผล่ขึ้นมาให้เห็น คิดในแง่ดีว่าเพื่อนชายอาจแกล้งเงียบให้หล่อนใจแป้วเล่น แต่พอเรียกซ้ำถี่ๆอย่างคาดคั้นเสียงเขียว ก็รู้แน่ว่าผิดปกติแล้ว

    เหงื่อผุดซึมตามไรผมทั้งที่หนาวสะท้าน ริมฝีปากสั่นระริก นัยน์ตาที่เล็งจับลูกหลานซามูไรเริ่มชาด้านคล้ายฆาตกรโรคจิตขึ้นทุกขณะ ราวกับมีใครอีกคนมาสวมร่าง แทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าหลุดคำญี่ปุ่นออกไปเช่นใด

    “ถ้าผัวกูมีอันเป็นไป มึงจะตายทรมาน!!”

    อึดใจหนึ่งก็เสี่ยงเรียกเกาทัณฑ์ซ้ำอีก สองจิตสองใจไม่กล้าขยับตัว กลัวฉลาดน้อยกว่ามารเฒ่าตรงหน้าในชั่วพริบตาที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

    ปะทุโทสะถึงขีดหนึ่ง ความโกรธเกลียดโจมจับใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คำว่า ‘เจ้ากรรมนายเวร’ ผ่านเข้ามาในหัวอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ สิ่งหนึ่งในอากาศกระซิบสั่งว่าฆ่า...ฆ่า!!

    ภาพที่ปรากฏต่อโคเฮจิคือนัยน์ตาลุกโพลงดุจมีเพลิงร้อนถูกรุนอยู่เบื้องหลัง กระแสวิญญาณนางเสือร้ายดูทะมึนครึ้มหลอกตาเหมือนร่างหล่อนสูงเงื้อมจรดเพดาน ชวนให้นึกถึงพญามัจจุราชผู้ทรงมหิทธิอำนาจในการลงทัณฑ์ส่ำสัตว์ ลูกซามูไรถึงกับคร้ามระย่ออยากหลบเพราะนึกรู้ท่านี้ว่าคงโดนแน่แล้ว

    เรือนแก้วกระดิกนิ้ว ลูกปืนแลบผ่านกระบอกเข้าเป้าดังลั่นราวเสียงเดือดจากอเวจีมหานรก

    จอมทรชนแหกปากอย่างขวัญกระเจิงกระจุย หมดลายสิงห์ลงสิ้น ก้มหัวยกมือไม้ป่ายซ้ายขวาอุตลุดอย่างสุดจะกลั้นความผวาประสามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

    แต่เมื่อรู้สึกตัวว่านอกจากความกลัวแทบเยี่ยวแตกเยี่ยวแตนแล้ว ส่วนหัวอันน่าจะเป็นจุดเล็งของมือพิฆาตสาวยังอยู่ดี ลูบคลำเปะปะแล้วไม่แหว่งหายหรือเกิดรูเล็กขาเข้า รูใหญ่ขาออก ก็บังเกิดความโล่งอกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หล่อนแกล้งยิงเฉียดกบาลให้ขี้ขึ้นหัวเท่านั้น

    “ไปเปิดประตู!”

    เสียงตวาดสั่งจากเบื้องบนทำให้สะดุ้งแทบลอยทั้งตัว รู้ว่าทำให้หล่อนโกรธและอาจบ้าดีเดือดคิดลงทัณฑ์กับเขาด้วยวิธีที่เลือดเย็นผิดมนุษย์ ตากลับๆแบบนั้นเขาซึ้งแก่ใจดีว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเฉียดใกล้ระหว่างสติกับวิปลาส นังนี่ต้องคุ้มดีคุ้มร้ายผิดธรรมดาแน่

    เดินเก้ๆกังๆไปทางหน้าห้องเพื่อเปิดประตูตามโองการพญายม คิดอยู่ในหัวตลอดเวลาว่าจะแก้ลำพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร แต่ก็นึกไม่ออกเอาแต่กลอกหน้า ด้วยความตระหนักว่าแม่นั่นจะยิงเข้าจุดตายอย่างโหดเหี้ยม ขอเพียงเขาตุกติกกระดิกกระเดี้ยไปในทางแว้งกัดแม้แต่น้อย ในเวลานี้รู้สึกไม่ต่างอะไรกับมีอสรพิษตัวเมียจ่อหลังพร้อมฉก ขนลุกซ่าจากตีนผมแล่นไปตลอดแผ่นหลังทุกขณะจิต

    หมุนลูกบิดประตู อ้าออก สัญชาตญาณสั่งว่าเป็นโอกาสรอดสุดท้าย คิดพุ่งตัวหนีให้ลับมุม แต่ยังไม่ทันอ้าบานประตูกว้างพอจะเล็ดรอดออกไปได้ ก็ได้ยินกัมปนาทปืนของตนเองดังจากเบื้องหลัง กระสุนเข้าเจาะขาทั้งสองบริเวณเหนือข้อพับอย่างแม่นยำ ซ้ายแล้วตามด้วยขวาห่างกันเพียงสองพริบตาก่อนคะมำ แสดงให้เห็นความสามารถของนักแม่นปืนที่ควบคุมแรงสะบัดและเบนทิศเล็งเป้าเหลื่อมระยะได้เหนือชั้น

    โคเฮจิแหกปากโหยหวนครวญคราง มือที่คาลูกบิดอยู่ในจังหวะกระชากเตรียมหนีพอดี ประตูจึงเปิดออกให้ล้มป้าบลงดิ้นเลือดสาดคาธรณี ส่วนบนของลำตัวโผล่ออกไปข้างนอก กระเสือกกระสนทุลักทุเลราวกับปลาช่อนถูกทุบหัวบนเขียง ก่นด่านังคนใจร้ายด้วยสุ้มเสียงสำเนียงคล้ายสัตว์ป่ายาวยืด นึกไม่ถึงว่าจะถูกสั่งเปิดประตูเพื่อให้หล่อนเจาะยางล้มคาที่ไปไหนไม่รอดเช่นนั้น

    เสียงกลุ่มคนวิ่งใกล้เข้ามา เรือนแก้วตะโกนขอความช่วยเหลือเป็นภาษาอังกฤษด้วยความคาดหมายว่าคงใช่กลุ่มตำรวจที่ไล่ล่าสองเดนคนนี่อยู่ แต่แล้วก็หันเล็งจังหวะเดียว ยิงอีกเปรี้ยงฉีกพื้นพรมขู่ เมื่อเห็นเจ้าโย่งสะลึมสะลือยื่นมือจะคว้าด้ามปืนที่ตกอยู่ไม่ห่าง เป้าหมายของหญิงสาวคือทำลายปืนกระบอกนั้นทิ้งให้สิ้นเรื่อง

    จอมอึดมหากาฬถึงกับมือหด เงยหน้าประสานตาจ้องกับนางเสือร้ายอย่างผูกอาฆาต ซึ่งเจ้าหล่อนก็สานตอบไม่หลบและส่งแรงตาควบคู่แรงเล็งของวิถีปืนเข้าแสกหน้าคู่พยาบาท อย่างจะให้มันรู้สึกถึงน้ำหนักมหาหายนะแห่งชีวิต รับทราบได้ว่าฝ่ายนั้นกำลังเสียวสยองทั้งแผงหน้าผากราวกับถูกจี้ด้วยเข็มแหลม แม้ฝืนเปิดตาค้าง จดจ้องหล่อนดุดันเป็นงูพิษสะกดเหยื่ออยู่ก็ตาม

    ต่อเมื่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มายืนแอบข้างประตูและส่งเสียงถามความเป็นไปภายในห้อง เรือนแก้วจึงร้องตอบไปว่าโจรอีกนายล้มลุกคลุกคลานแอบซอกประตูอยู่ ไม่มีอาวุธแล้ว และหล่อนจะคุมเชิงให้ นั่นเองสันติบาลหนุ่มนายแรกจึงถีบประตูผลัวะไปอัดกระทบเป้าหมายเป็นการชิมลาง ก่อนย้ายร่างข้ามตัวโคเฮจิเข้ามาสะบัดสองมือจ่อปืนเล็งหัวไอ้ก้านยาว พลางกระดืบถอยไปยืนพ้นระยะปะทะ

    มารก้านยาวเห็นตนตกอยู่ในมือตำรวจแน่แล้วก็ชูสองมือขึ้นสูง มีตำรวจกรูตามเข้ามาอีกหลายนาย พอเรือนแก้วแน่ใจว่าบัดนี้หมดห่วงจากทุจริตชนผู้นิยมวิธีโสมมในการเอาตัวรอด ก็ตาลีตาเหลือกถลันจากเตียงไปที่หลังโซฟาซึ่งเกาทัณฑ์นอนหมอบเงียบเชียบอยู่

    “เต้!!”

    ส่งเสียงนำตั้งแต่แล่นจากแหล่ง กระทั่งมายืนในตำแหน่งที่เห็นภาพนอนคว่ำคุดคู้ของเพื่อนชายปรากฏต่อสายตา เลือดเข้มหย่อมใหญ่ที่แฉะโชกหลังของชายหนุ่มคล้ายสายฟ้าฟาดใกล้ตัวให้สะเทือนทั้งกระหม่อม หญิงสาวกรีดเสียงดังที่สุดในชีวิต โจนพรวดเดียวถึงตัว พลิกร่างเขา ประคองช้อนขึ้นวางบนตัก กลิ่นคาวเค็มจากหย่อมของเหลวที่คลุ้งเข้าจมูกทำให้มือสั่น ตัวสั่นเหมือนเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่เขย่าทุกสิ่งให้วูบไหวอลหม่านไม่รู้ขวารู้ซ้าย...

    

    ชีวิตเป็นของแตกพังง่ายจริงหนอ ในวัยหนุ่มแน่น ไม่มีชายใดคิดว่าจะได้นอนเป็นคืนสุดท้าย ไม่เคยคิดว่าออกจากบ้านแล้วจะหมดโอกาสกลับ ไม่เคยคิดว่าระหว่างเดินทางไปทำงานจะประสบอุบัติเหตุถึงแก่กรรม

    โดยเฉพาะไม่เคยคิดว่าจะเจอเจ้ากรรมนายเวรบุกเข้ามาฆ่าในห้องพักโรงแรมที่ดูปลอดภัยไร้กังวล...

    เคยเล่นเกมชีวิตมาซับซ้อนซ่อนเงื่อนปานใด กำหัวใจใครเขามากมายกี่คน ครองชัยชนะยิ่งใหญ่มาแค่ไหน สุดท้ายก็พ่ายให้แก่ความตาย กระเด็นหลุดออกนอกทางโคจรเดิมกันหมด ทิ้งให้คนข้างหลังเห็นแต่ความว่างเปล่าหลังเลิกเล่น และร่องรอยที่มีเหมือนไม่มีในความทรงจำอันเปรียบได้กับเมฆหมอกลวงใจ

    บันทึกแพ้ชนะ ความสมหวังผิดหวัง เหตุการณ์อันทรงความหมายระหว่างมีชีวิต ไม่ได้ตามตัวไปด้วยเลย ดีชั่วเท่านั้นที่อยู่ในกระแสวิญญาณ ก่อภพก่อภูมิหน้าให้เหมาะแก่อัตภาพใหม่ได้

    ชีวิตกับความตายอาจเฉียดใกล้กันแค่กระสุนนัดเดียวคั่นบางๆนี่เอง ความรู้ ความสามารถ ความทะนงภาคภูมิ ความสุข ความสมหวังในรักที่สั่งสมมา ล้วนมลายหายให้ต้องไขว่คว้าแสวงหาเอาใหม่ในฉากหน้า เพียงเมื่อกายหมดสภาพให้วิญญาณถือครองต่อ

    พบเพื่อไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจาก พรากเพื่อไม่รู้ว่าจะเจออีกที่ไหน

    วิสัยปุถุชนผู้ไม่ฝึกมองมรณภัย มีแต่คนตายจริงเท่านั้นที่เลิกประมาทในชีวิต เมื่อดำรงอยู่ด้วยความประมาท ไม่พิจารณาสังขาร มองไม่เห็นอุปาทาน ไม่พยายามกำจัดอุปาทาน ก็ยังมีเชื้อต่อให้ต้องตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเรื่อย หาภพชาติสิ้นสุดมิได้ สมกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าความประมาทเป็นทางแห่งความตาย

    ปุถุชนผู้เห็นโลกแค่ด้วยตาเปล่าย่อมถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่าชาติหน้ามี ชาติหน้าไม่มี คนตายเท่านั้นที่เลิกเถียง และหมดทางหันกลับมาบอกพรรคพวกที่ยังเดากันส่งเดชอยู่เบื้องหลัง

    กระแสทุกข์ของสังสารวัฏเชี่ยวกรากนัก เหมือนมีแรงปรารถนาให้ส่ำสัตว์เวียนว่ายไปชั่วอนันตกาล เห็นแล้วลืม ลืมก็คือไม่รู้ ไม่รู้แล้วก่อร่างสร้างชาติ แต่ละชาติก็รู้คิดแค่เท่าที่ตาเห็น เป็นอยู่ได้แค่เท่าที่กำเนิดอำนวย ฉวยได้แค่ความสุขเท่าไอน้ำที่มากับลมแล้ง เกาะมือแล้วระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว ย่ำลุยขี้เยี่ยวของตนเองในบั้นปลายจึงค่อยสำนึกว่าในวัยต้นชีวิตถูกหลอกให้หลงรูป หลงเสียง ปิดบังความแก่ ความเจ็บ ความตายที่ปรากฏทนโท่รอบตัว ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะมาถึงตน

    

    เมื่อเกาทัณฑ์ได้ยินเสียงปืนลั่นในขณะวิ่งหนีวิถีส่องของยมทูตนั้น เขารู้สึกชาหนึบที่สีข้างด้านขวา คล้ายอุปาทาน ทว่าคล้อยเวลาน้อยกว่าครึ่งนาทีที่หลบสวบหัวซุกหัวซุนหลังโซฟา ชายหนุ่มก็บอกตัวเองว่าเขาถูกยิงเข้าให้แล้ว เมื่อความเจ็บปวดประดังขึ้นมาราวกับเสียงตะโกนเรียกกึกก้องจากขุมนรก และก้มหน้าเห็นเลือดทะลักพลั่กเป็นลิ่มๆขณะขยับตัวให้ถนัด เลือดที่ปนกับเหงื่อแห่งความเหนื่อยหอบทำเอาหน้ามืดวูบวาบอย่างคนช็อก

    หัวใจที่สูบฉีดแรง ขับให้เลือดทะลักออกมาก โดยเฉพาะส่วนหลังที่เปิดโหว่ เขากลืนน้ำลายแห่งความตระหนกสุดขีดอันหนืดเหนียวติดๆกัน ส่ายหน้าหายใจทางปากขาดห้วงอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ปรารถนาให้เวลาย้อนคืน อำนวยโอกาสหลบกระสุนใหม่อีกครั้ง เขาจะพุ่งสุดตัวกว่านี้โดยไม่กลัวหัวร้างข้างแตก

    ขบกรามแน่น ได้ยินตลอดนับแต่เสียงปืนนัดที่สอง ซึ่งนึกว่าจะส่งมาถึงร่างตน ไล่ไปจนกระทั่งเสียงเรือนแก้วตวาดขู่โจรและพยายามเรียกชื่อเขา ทว่าขากรรไกรขัดค้างเมื่อคิดตะเบ็งตอบจนสุดหลอดลม เขาอยากขอความช่วยเหลือ เขายังไม่อยากตาย เขายังน่าจะมีเวลาสร้างสมกรรมดีไว้เป็นเสบียงเดินทางอีกยาวนาน จิตซึ่งอาศัยกายอันใกล้แตกดับบอกตนเองว่าโอกาสเกิดแล้วพบพุทธศาสนานั้นหายาก โอกาสพบพุทธศาสนาแล้วเข้าใจเนื้อหาธรรมจนเกิดศรัทธาปสาทะท่วมท้นล้นใจยิ่งยากกว่านั้น

    เขาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เกิดศรัทธาปสาทะแล้ว เหตุใดไม่เฉลียวรู้เอาเลยว่าเวลาในชีวิตหดสั้นลง เหลือเพียงเดือนเศษให้ตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเสบียงเดินทางไกลไปมากสุดเท่าที่จะมากได้ บัดนี้สายเสียแล้ว หมดเวลาแล้ว

    ชาตินี้ตักบุญไปแค่ช้อนเดียว กระจอกเหลือเกิน...

    กัดฟันน้ำตาคลอเบ้าเมื่อความวิงเวียนเกิดขึ้นอย่างพ้นวิสัยข่ม แขนขากระตุกเยือกเมื่อความเย็นชนิดหนึ่งลามจากเท้าขึ้นมาหาหัวใจ เป็นประสบการณ์ใหม่เอี่ยม เหงื่อเม็ดโป้งผุดพรายโซมร่าง บังเกิดความสยองเกล้าคล้ายหมาวิ่งหางจุกตูดรู้ตัวว่าถูกไล่ฆ่าไปจนตรอก

    สติขาดหายเป็นห้วงๆอย่างเห็นกายกำลังโบกมือลา มีความเคลื่อนไหวโกลาหลเกิดขึ้นรอบด้าน มีการเคลื่อนย้ายร่างเขา แต่ทุกอย่างแผ่วเลือนในสัมผัส เหลือเพียงความคิดอันเกิดจากความตระหนกอกสั่นที่ยังคงพล่านวนทุรนทุรายในหัว

    ภาพเหตุการณ์ใกล้ไล่เรียงเข้ามาก่อน เห็นตนเองทำร้ายคู่ต่อสู้ ถูกล่ะว่านั่นเป็นการป้องกันตัว แต่เจตนาทุบตีให้ผู้อื่นได้รับความเจ็บปวดนั้น เจือด้วยโทสะอย่างยากจะแยก เมื่อภาพย้อนมาหา จิตย่อมเป็นอกุศล เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอยู่กับความมืดที่คืบคลานจากหัวใจมาปกคลุมการรับรู้ทางประสาทตา ถ้าสลัดนิมิตเหนี่ยวจิตเป็นอกุศลไม่หลุด เขาจะต้องไปนรกล่ะซีนี่?

    หนาวสะท้านเมื่อนึกถึงภาพร้อนร้ายในนรก ไม่...ต้องไม่ไปนรก เขาทำดีมาตั้งมาก ใครจะยอมหล่นลงไปง่ายๆ

    จริงซี…เกาทัณฑ์นึกขึ้นได้ ก่อนหน้าอาชญากรร้ายจะพรวดพราดเข้าห้อง เขาสะกดจิตเรือนแก้วให้เป็นสุข เขามีกุศลเจตนาที่จะทำให้หล่อนเห็นธรรมในตนเอง เขาจะยึดความแช่มชื่นที่เกิดจากผลกรรมดีนี้ไว้ เพ่งจิตคิดถึงกุศลกรรมเข้าไว้

    นั่นดีไม่พอหรืออย่างไร นิมิตจึงหลุดลื่นราวกับปลาไหลดิ้นจากมือ คราวนี้เกิดภาพมากมายเรียงราย คล้ายในหัวเป็นที่ว่างสามมิติกว้าง ยาว ลึกใหญ่โตเท่ากระบุง และมีใครเอาแผ่นภาพใสวางแถวเป็นตับเป็นตั้งในกะโหลกจากส่วนหน้ามาถึงส่วนหลัง หรืออีกทีเป็นกลุ่มความคิดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาถึงปัจจุบัน ผุดขึ้นพลัวะๆแบบควันไฟที่ยังไม่ทันจางก็มีสายใหม่เข้าแทรก ระลึกได้ว่าเหล่านั้นตนเคยคิดไว้ทั้งสิ้น บางกลุ่มความคิดดูเลอะเทอะน่าอดสูนัก

    คนไม่เคยคำนึงระลึกถึงความตายเป็นอย่างนี้หรือ? หากมีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งเขาจะฝึกจินตนาการเห็นลมหายใจแต่ละเฮือกเป็นลมสุดท้าย หมั่นระลึกถึงกุศลอยู่เนืองๆ เพื่อซ้อมให้ชินก่อนเจอของจริงไว้ก่อน จะได้ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง ใจสามารถตั้งสติระลึกถึงกุศลที่ทำมาทั้งชีวิต บัดนี้ภาพเหตุการณ์และบุคคลอันเป็นที่รัก ที่ห่วงหา แถทับโถมใส่จนสับสนงุนงง เลือกไม่ถูกว่าจะให้ใจดิ่งจับสิ่งไหนไว้เป็นยานไปสู่ปรโลก

    อดีตนับแต่ปฐมวัยที่ยังเป็นเด็กชายฮ่องเต้ของคุณพ่อคุณแม่ย้อนเข้าสู่หัวโดยไม่ต้องเค้นระลึก เคยดีเด่ เคยร้ายกาจ เกลียดการข่มเหงแต่ก็หมั่นข่มเหงคนอื่น นิยมความยุติธรรมแต่ก็หมั่นทำลายความยุติธรรมด้วยกลเล่ห์เพทุบาย รักพ่อแม่แต่ก็หมั่นออกลายดื้อให้พ่อแม่เสียใจ

    ทำไมถึงนึกได้แต่เรื่องชั่วๆ จิตพิพากษาว่าโดยรวมแล้วชีวิตนี้ชั่วร้ายนักหรือ? หรือว่าความทรมานกระสับกระส่ายทางกายมีส่วนกวนให้จิตกระเจิงฟุ้งซ่าน? หรือว่าเขาเคราะห์ร้ายที่ก่อนตายอยู่ใกล้เหตุการณ์เหนี่ยวนำอกุศลจิตมากเกินไป? หรือว่า ฯลฯ

    หายใจไม่ออก...

    กำลังจมน้ำอย่างทารุณทรมาน...

    แพตรี...

    เรือนแก้ว...

    วางพวกหล่อนชั่งบนมือซ้ายขวา จะไม่มีใครน้ำหนักเกินกันเลย เขาได้ใจทั้งคู่มาเป็นของตนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องทั้งส่วนตื้นและส่วนลึก แต่เอาใครไปด้วยไม่ได้สักคน เจออีกทีก็ต้องทำความรู้จักกันใหม่ เล่นบทพ่อแง่แม่งอนกันอีก

    สำคัญคือที่ไหน นานเพียงใดก็ไม่รู้...

    เหมือนหายใจเฮือกใหม่ในอีกมิติ อีกรูปแบบที่ซ้อนลึกลงไป เกิดภาพหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตปัจจุบัน เห็นกำมือตนเองโปรยทรายเป็นสาย คิดอธิษฐานรู้อยู่แก่ตนคนเดียวว่า ‘เมื่อนางไม่ทิ้งเรา เราก็จะไม่ทิ้งนางเป็นจำนวนชาติเท่าเม็ดทรายในมือนี้’

    จิตใช้ทรายเป็นสื่อยึดเหนี่ยวอารมณ์ หมายรู้ว่าทรายในมือนั้นมากจนไม่อาจนับได้ จึงหมายความว่าจะไม่ทอดทิ้งกันจนสิ้นอนันตชาติ!

    เพียงหนึ่งภาพนิมิตเท่านั้น ก็เป็นรหัสบอกเรื่องราวแก่จิตอย่างรวดเร็วคล้ายหยิบรูปถ่ายเก่าแก่ที่หลงลืมมาดู ก็รู้หมดว่าบุคคลในภาพเป็นใคร มีเหตุการณ์ก่อนหลังถ่ายภาพอย่างไร เขาเคยเป็นเศรษฐีใหญ่ ไถ่หนี้แก่เพื่อนบ้านด้วยใจกรุณา เพื่อนบ้านนั้นสำนึกบุญคุณ มอบธิดาเป็นเครื่องตอบแทน

    เมื่อได้นางมาก็นึกเอ็นดู ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเสน่หาในความงามกิริยา แม้หน้าตาเพียงสวยเรียบ ก็เปรียบได้กับแก้วน้ำดีไร้ตำหนิ คิดตกแต่งแทนภรรยาเก่าที่ถึงแก่กรรมไปแล้วหลายปี

    แต่ระหว่างชั่งใจประกาศเจตนาให้นางรู้ ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน มีศัตรูใส่ไคล้ให้เสียหาย เขากลายเป็นบุคคลต้องโทษของทางการ ต้องหลบหนีข้ามทุ่งข้ามนาทั้งกลางวันกลางคืน มีคนเดียวที่กล้าติดตาม กล้าร่วมลำบากนอนกลางดินกินกลางทรายกับเขา...

    คือแพตรีในฉากชีวิตหนนี้!

    จิตบอกตนเองว่านั่นมิใช่ชาติใกล้ เป็นบุพกาลนานเนไกลห่าง แต่แรงอธิษฐานโปรยทรายนั้นเองปฏิรูปเป็นสัญญาณติดจิตติดใจที่ทำให้ตนไม่อาจคิดทอดทิ้งหล่อนได้ตลอดกาล โดยเฉพาะเมื่อสอดรับซับซ้อน ผูกพันแน่นหนาด้วยเงื่อนปมจากการร่วมภพร่วมชาติ อธิษฐานย้ำมากรูปแบบขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในรูปความคิดส่วนตัวและออกปากร่วมกับหล่อนระหว่างการเดินทางบนเส้นทางพุทธภูมิของเขา

    จากความเป็นชาติใหญ่หนึ่งโยงไปสู่ความเป็นอีกชาติใหญ่หนึ่ง จำได้แบบหมายรู้ลอยๆว่าเคยผ่านงานบุญยิ่งใหญ่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมานับครั้งไม่ถ้วน เคยกระทั่งเป็นมหาราช คุกเข่าต่อพระพักตร์ หลั่งน้ำทักษิโณทกเปล่งประกาศถวายแผ่นดินไพศาลให้เป็นพุทธเขต ขอเพียงเป็นพุทธบัญชา แม้เศียรแห่งราชาก็สั่งตัดถวายได้เดี๋ยวนั้น อย่าพักต้องกล่าวถึงพระพุทธประสงค์ใหญ่น้อยอื่นใดที่มีต่อสรรพสิ่งในมหาอาณาจักรอันเกรียงไกรแห่งตน

    ชื่นใจเมื่อนึกได้ ชาตินั้นเองที่ได้รับลัทธยาเทศ พุทธพยากรณ์เป็นนิยตโพธิสัตว์เต็มภูมิ!

    สะอึกเฮือก ความชื่นใจและความระลึกได้ดับหาย

    เจ็บ...

    ซ่าไปทุกหย่อมเนื้อ เหมือนกายจะปริแตกอยู่เดี๋ยวนี้

    อยากครวญครางระบายความเจ็บ แต่ไร้เสียงเล็ดรอดจากลำคอ มีแต่น้ำตาที่พรั่งพรูราวกับท่อแตกทะลักหลั่งออกจากเบ้ากลวง ที่ปรากฏคล้ายสองหลุมศพฝังก้อนเนื้อลูกตาทรงกลมอันตายแล้วจากแสงสี

    มีหลายสิ่งให้เสียดาย มีเรื่องมากมายยังสะสางไม่เสร็จ

    เหมือนมีเขาหลายคนพร้อมกัน เพราะขณะแห่งความสับสนเลอะเลือนขึ้นทุกที อีกชั้นของภาครู้กลับเกิดสติชัดเจน เห็นอะไรเป็นของเก๊ ของลวงตาชั่ววูบชั่ววาบไปหมด แม้แต่ความทรงจำในปัจจุบันชาติที่เริ่มทยอยผุดพรายขึ้นมาอีกรอบ จิตก็หยั่งรู้ว่าเป็นเหตุการณ์เคยเกิดขึ้นจริง แต่ไม่มีอะไรเป็นของจริงสักอย่าง เพราะสาบสูญไปหมด ทิ้งหายไว้เบื้องหลังทั้งหมด จะเป็นรูปร่างหน้าตา สมบัติเก่า ความสัมพันธ์ หรือกระทั่งการกำหนดหมายว่าข้านี้เป็นนั่นเป็นนี่

    มองมาที่กายอันใกล้แตกดับ จึงรู้ว่ากูในกายไม่มี

    มองย้อนไปที่ความคิด ความหมายรู้อันดับสูญเบื้องหลัง จึงรู้ว่ากูในใจก็ไม่มีอีก

    ท่ามกลางกระแสภาพอดีตที่ทยอยฉายไม่หยุดยั้ง ตัวรู้ที่กำลังจะหมดขาดจากความเป็นเกาทัณฑ์เริ่มเห็นแสงรำไร จิตกำลังยึดจับวิปัสสนาญาณที่เคยอบรมมาแล้วกระมัง? จิตช่างไม่ใช่เขาที่เป็นตัวคิดนึกในบัดนี้เลย จิตเป็นแค่กระแสอะไรชนิดหนึ่ง สั่งสมมาอย่างไรก็ทำงานตามนั้น

    เร่งข่มสติคิดเผชิญหน้าความตายอย่างคนกล้า และอย่างไม่เสียทีได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ถึงตายโหงอย่างน่าทุเรศก็เรียกความตายเหมือนกัน เหมือนเฒ่าชะแรแก่ชราตายนั่นแล เสียใจอยู่ทำไม จะกลัวไปใยเล่า?

    พุทโธ พุทโธ พุทโธ...

    ยึดพระพุทธเจ้าไว้เหมือนก้มกอดพระบาทไม่ให้หลุดมือ ตายแล้วไปไหนก็ไปกัน เสียดายที่ไม่ท่องให้ติดหัวไว้เป็นอัตโนมัติ ต้องมานอนเค้นเมื่อร่อแร่ใกล้หมดสภาพเอาตอนนี้...

    

    เข็มวินาทีของนาฬิกาในโลกเคลื่อนไปตามจังหวะเดิม ส่วนธรรมชาติก็ดำเนินความว่างเปล่าปราศจากผู้ครอบครองเรื่อยเฉื่อย ไร้ความผูกพันกับเข็มวินาทีของมนุษย์ บันดาลความเกิดขึ้นให้ตั้งอยู่ บันดาลความตั้งอยู่ให้ดับลง

    ที่อยู่ก็อยู่ไป ที่ดับก็ดับไป

    ลืมตาขึ้นในแสงสว่างยามสาย ปวดเสียวทั้งแถบชายโครงด้านขวา

    สำนึกแรกบอกตนเองว่ายังไม่ตาย

    เขาผ่านประตูมรณะ ผ่านภวังค์ ผ่านภาพหลอนสารพัน

    คุณพระคุณเจ้า กลิ่นคนไข้หลังผ่าตัด ผ้าพันแผลหนาเตอะรอบเอว และสภาพห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลบอกได้นับแต่ขณะจิตแรกว่าเขารอดพ้นจากหัตถ์มัจจุราช มีชีวิตต่อ…

    น้ำตาคลอ ขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะมีชีวิตที่เหลือทดแทนความปรานีทุกวิถีทาง

    ใบหน้าอันเป็นที่รักปรากฏให้เห็นราวกับเทพธิดามาโปรด

    “ตื่นแล้วเหรอ?”

    เรือนแก้วยิ้มใส ดูสวยกว่าครั้งใดๆ อบอุ่นใจกับภาพปรากฏนั้น เกาทัณฑ์ขยับปากจะโต้ตอบ แต่คอแห้งเป็นผง ต้องไอค่อกไอแค่กเค้นกว่าจะหลุดรอดคำแรกออกไป

    “แอ้…”

    ยังดีชื่อเล่นเรียกง่ายหน่อย อ้อแอ้ยังไงก็เรียกถูก เจ้าของชื่อยกมือเขาขึ้นกุมอย่างแผ่วเบา ขานเสียงหวานรื่นหู

    “ขา…”

    “ขอน้ำ”

    หล่อนปล่อยมือและรีบไปรินน้ำจากเหยือกใส่แก้วมายื่นตรงหน้า กับทั้งช่วยประคองช้อนต้นคอเขาขึ้นอย่างรู้ว่าคงไม่มีแรง

    เมื่อน้ำสองสามอึกผ่านลำคอได้ เกาทัณฑ์ก็ละริมฝีปากจากแก้ว นอนลงมองสายและขวดน้ำเกลือ ไถ่ถามเพื่อนสาว

    “เพิ่งสายหรือนี่? ผมรู้สึกเหมือนหมดสติไปนานจัง”

    “ก็นานน่ะสิ นี่มันใกล้เที่ยงวันจันทร์นะจ๊ะ อย่าเข้าใจผิด แค่เข้าห้องผ่าตัดห้ามเลือดก็เกือบถึงเช้าวันอาทิตย์แล้ว”

    เกาทัณฑ์สะดุ้ง แต่แล้วก็สงบสติ

    “ผมรอดมาได้ยังไงนะ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกลับบ้านเก่าแน่ จิตเริ่มทบทวนอดีตแล้วด้วย”

    เรือนแก้วเลิกคิ้วสูง เกือบถามว่าทบทวนอย่างไร แต่ก็ละความสนใจไปตอบข้อข้องใจแรก

    “โชคดีเข้าเส้นเลือดเล็กน่ะ หัวกระสุนทะลุผ่านไปเฉยๆ ไม่โดนอวัยวะสำคัญ แต่เสียเลือดมากหน่อย ถ้าถึงมือหมอช้ากว่านั้นก็...”

    หล่อนละไว้ อาศัยกิริยายักไหล่เป็นตัวเติมช่องว่าง

    “แอ้ปลอดภัยดีหรือเปล่า?”

    หญิงสาวยิ้มแต้ ผายมือกว้าง หมุนตัวให้เห็นโดยรอบ อวดร่างในชุดกระโปรงเสื้อแขนกุดที่เปลือยตลอดลำแขนเรียวกลมกลึงยวนตายวนใจ

    “อาการครบสามสิบสอง อยากตรวจให้ชัดกว่านี้ไหม?”

    คนไข้กลืนน้ำลายลงคอ ทำหูทวนลมกับถ้อยคำยั่วกิเลสชนิดนั้น เพลียง่วงและอยากนอนจัด แต่พะวงกังวลหนักจนไม่อาจรอหลับแล้วตื่นขึ้นเสียก่อนค่อยสะสาง

    หรี่ตาขมวดคิ้วยุ่ง ครุ่นคิดอยู่นานก่อนถามหาโทรศัพท์มือถือ เรือนแก้วชะงักนิดหนึ่ง ก่อนสะบัดหน้าค้อน เดินไปรื้อหยิบจากกระเป๋าถือของตนมาส่งให้โดยดี เขาส่งตาขอร้อง สื่อความหมายได้ว่าต้องการเขตส่วนตัวชั่วคราว

    เรือนแก้วเข้าใจ หล่อนเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม ก้มลงไล้ใบหน้าเขาด้วยสัมผัสละมุนและแววพิศวาสในตา

    “แอ้จะลงไปหาข้าวเที่ยงทานสักครึ่งชั่วโมงนะคะ…ที่รัก”

    ท่วงทำนองสูงต่ำและถ้อยคำดูอ่อนหวานนุ่มหู หากแต่ทว่ามีกังวานดุเร้นฝากแฝงอยู่ในที โดยเฉพาะคำลงท้าย

    เอวองค์งามตาของหญิงสาวผ่านประตูออกไปแล้ว เกาทัณฑ์ยังอึ้งสนิท นี่มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาพูดหรือทำสิ่งใดลงไปบ้าง?

    กางโทรศัพท์ กดปุ่มเปิดเครื่อง ก่อนอื่นโทร.เช็กว่ามีข้อความจากใครฝากถึงตนหรือเปล่า เมื่อพบแค่ข้อความไร้สาระจากเพื่อนสองสามคนก็เปลี่ยนทิศทาง กดเบอร์ข้ามประเทศเข้าบ้านปู่ชนะ

    “สวัสดีค่ะ”

    เสียงเบานุ่มที่ทำให้เขาใจเต้นได้ทุกครั้งดังขึ้นที่ปลายทาง เกาทัณฑ์เบิกตาโตอย่างยินดี ทั้งที่สติสตังชักเลือน ด้วยเพราะร่างกายเริ่มหนักอึ้งจากพิษแผลบอบช้ำและการอดอาหารเกือบสองวัน

    “แพ…นี่พี่เต้นะ”

    หล่อนเงียบ ซึ่งไม่ยากที่จะคาดหมาย เขาผิดนัดเช้าวันอาทิตย์

    “พี่ขอโทษ คือเกิดเรื่องขึ้นที่นี่…”

    “ทราบจากหนังสือพิมพ์แล้วค่ะ”

    หล่อนชิงบอกก่อนเขาพูดจบ เล่นเอาเกาทัณฑ์ชะงักเหมือนแท่งโทรศัพท์หลุดเข้าปาก หล่อนพูดอะไร? ทราบจากหนังสือพิมพ์?

    “ยินดีด้วยนะคะที่มีส่วนช่วยตำรวจจับคนร้ายค้ายาเสพย์ติดข้ามชาติ กลายเป็นวีรกรรมหน้าหนึ่งโด่งดังไปทั่วประเทศ ถูกยิงก็พ้นขีดอันตรายอย่างรวดเร็ว”

    เกาทัณฑ์ผงะหน่อยๆ

    “แพ…”

    “ขอให้มีความสุขกับคู่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพี่นะคะ”

    จบเสียงเศร้าลึกอย่างน่าใจหายนั้น สัญญาณก็ตัดไป เกาทัณฑ์ตัวชาเห่อ มึนเคว้งเหมือนเจอฟาดด้วยซุง ทะลึ่งพรวดขึ้นร้องเรียกแพตรีหน่อยเดียวก็เจ็บบาดแผลจี๊ดจนต้องแยกเขี้ยวกระแทกท้ายทอยลงกับหมอนอย่างแรง

    เวรแล้วไหมล่ะ ประจักษ์ฤทธิ์ของสื่อมวลชนกับตนเอง คนมาทำงานด้วยกันแท้ๆ เสือกหาว่ามาฮันนีมูน สู่รู้อย่างบัดซบ!

    แต่เมื่อคิดทบทวนก็เดาได้รางๆ เรือนแก้วอาจถูกสอบปากคำ อาจถูกนักข่าวถาม อาจจะอะไรต่ออะไรร้อยแปด สรุปแล้วน่าจะหลุดบางคำเพื่อชี้ให้เห็นว่าที่อยู่กับเขาสองต่อสองในยามวิกาลนั้น ไม่ใช่ด้วยฐานะที่เสียหาย โดยเฉพาะบัดนี้ เรือนแก้วมีสิทธิ์อ้างได้เต็มปากเต็มคำว่าเขาเป็นคนรัก จะนับกันที่ความรู้สึกทางใจหรือถ้อยคำที่เปล่งประกาศแก่กันในขณะแห่งความเป็นความตายก็ใช่ทั้งนั้น

    ถ้าเรือนแก้วบอกตำรวจหรือนักข่าวว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน คงงามหน้าฝ่ายหล่อนดีแท้

    นึกเห็นใจและไม่โทษหล่อน คนมันพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็อย่างนี้แหละ

    พยายามต่อสัญญาณหาแพตรีอีก แต่สายไม่ว่าง หล่อนคงจงใจยกหูโทรศัพท์ขึ้น

    ยุติความพยายาม เหนื่อยล้าอยากพักผ่อนเต็มที เพราะขับเคี่ยวกับความบาดเจ็บมานานเกินพอ แต่ก็คิดอะไรขึ้นได้ เขาควรรีบโทร.ขอโทษลุงคามภีร์ และถือโอกาสให้ท่านช่วยปรับความเข้าใจกับแพตรีล่วงหน้า

    ขณะจะลงมือกดปุ่ม เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นเสียก่อน เขายิ้มดีใจนึกว่าเป็นแพตรี แต่พอเห็นหมายเลขบนหน้าปัดก็หุบยิ้มสนิท

    “กูเอง”

    เกาทัณฑ์ส่งเสียงทักก่อนแบบคนจะหลับมิหลับแหล่

    “ไงพระเอก ฟื้นแล้ว?”

    เชิงไททักอย่างร่าเริง

    “อือ…กำลังจะต้องนอนต่อพอดี”

    “อะไรวะ ได้ยินเสียงกูจะลาหลับเลย คุยก่อนซีโว้ย”

    เกาทัณฑ์หัวเราะแค่นๆ

    “คิดถึงกูมากหรือไง?”

    “เออ โคตรคิดเลยล่ะ”

    “เหนื่อยจริงๆว่ะเชิง ขอพักเหอะ”

    เขาหมายความตามนั้น งงเคว้งจะร่วงอยู่แล้ว และอยากใช้กำลังเฮือกสุดท้ายก่อนหลับโทร.หาญาติผู้ใหญ่ของตนมากกว่า

    “เหม่...รอดตายก็คิดฉลองด้วยการตื่นซะให้คุ้มหน่อยซีเพื่อน น่าจะค้นพบแล้วว่าชีวิตตอนลืมตาดูและเปิดหูฟังมีค่าขนาดไหน หลับกับตายน่ะคล้ายกันมาก อย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง เสียเวลาในชีวิตเปล่าเลยสหาย”

    เกาทัณฑ์เบือนหน้าจุ๊ปาก

    “แกล้งคนป่วยบาปกรรมนาเฮ้ย”

    “เล่าให้ฟังหน่อยสิ อยากรู้ข่าววงในก่อนใครน่ะ”

    คนไข้ถอนใจเบาๆ

    “ให้หลับอีกตื่นนะ สัญญาจะโทร.ไปเล่าให้หมดเปลือก”

    “กูคุยกับแอ้ก็ได้วะ ถ้าเกร่อยู่แถวนั้นเรียกให้หน่อย”

    “ลงไปทานข้าวข้างล่าง”

    เชิงไทเงียบไปอึดใจจนเกาทัณฑ์นึกว่าเพื่อนจะเลิกกวนแล้ว แต่หมอก็สืบความมาอีกจนได้

    “งั้นถามนิดเถอะ ตอบสั้นๆคำเดียวไม่เหนื่อยมาก”

    “ก็ถามซี ตอบเสร็จกูวางเลยนะบอกไว้ก่อน”

    “อือ ได้ จะถามแค่ว่าคืนนั้น ‘มัน’ ไหมวะ?”

    เกาทัณฑ์ส่ายหน้าอย่างระอิดระอากับการล้อเล่นของเพื่อนซี้

    “มันบ้ามันบออะไรล่ะ เกือบไปเมืองผีน่ะ โจรจริง ปืนจริง ไม่ใช่ฉากหนังเฉินหลง”

    “อ๋อ เปล่า กูถามถึงฉากเด็ดที่มาก่อนฉากบู๊น่ะ”

    ตาขวาของเกาทัณฑ์ขยิบ นึกรู้แล้วว่าเพื่อนหมายถึงอะไร

    “เชิง…ไม่ใช่อย่างนั้น”

    “คนเรานี่ก็แปลก…”

    เสียงของเชิงไทยังเรื่อยเฉื่อย

    “เอะอะอะไรปฏิเสธไม่ๆๆไว้ก่อน ทั้งที่ควรจะรับว่าใช่ๆๆ กูว่าจะหัดเป็นคนตรงไปตรงมาเสียที มึงเอามั่งซี น่าจะถือเป็นความดีชนิดหนึ่งนะเต้ เช่นเดี๋ยวนี้จะบอกมึงตามตรง กูรักยายแอ้ว่ะ รักชิบหายเลย ตั้งแต่เดือนแรกที่รู้จักแล้ว ที่เห็นจีบเหมือนเล่นนั่น ข้างในไม่เล่นหรอก แย่งๆกับมึงเหมือนเอาสนุก แต่ความจริงทุ่มสุดตัว และเห็นมึงเป็นคู่ต่อสู้ที่ต้องฟาดฟันให้ตายไปข้าง...”

    เชิงไทพักเค้นหัวเราะ

    “เพื่อนส่วนเพื่อน แฟนส่วนแฟน พอบังเอิญมาเป็นเรื่องเดียวกันก็กระอักกระอ่วนนักล่ะ วันก่อนกูเห็นมึงสัญญาจะเลิกยุ่ง ก็สบายใจและรักมึงเพิ่มขึ้นเป็นกอง เห็นมีน้องแพมาใหม่ก็ยินดีปรีดาไปด้วย เชื่อนะโว้ย กูหลงเชื่อว่ามึงพูดจากใจจริง ฮ่ะๆ นึกไม่ถึงว่าแค่ข้ามคืนมึงก็ฟันซะแล้ว โธ่เอ๊ย! คิดว่าเป็นพ่อพระ หันมาศึกษาธรรมะแล้วจะพูดจริงทำจริง ที่ไหนได้ จอมปลอม มือถือสากปากถือศีลทั้งเพ ไอ้ระยำ!”

    จบคำด่าก็ตัดสาย เกาทัณฑ์สะอึก ตาตื่นหายเพลีย เลิกเมามึนไปชั่วขณะ ขบกรามแน่น นึกชังน้ำหน้าเชิงไทขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลายสิ่งประดังเข้าสมอง ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผลแย้งคำเพื่อน และทั้งความเข้าข้างตัวเองตามวิสัยปุถุชน แต่เชิงไทไม่เปิดโอกาสให้เขาโต้ตอบ ชิงวางหูอย่างนี้ สมควรถูกตั๊นหน้านัก!

    เสียเพื่อนเพราะผู้หญิง…

    ส่ายหน้าระโหย เพลียกายไม่พอ ต้องมาละเหี่ยใจเข้าอีก ดวงมันถึงคราวตก เรื่องเลวร้ายทุกชนิดทำท่าจะเรียงคิวเข้ามาตุ๊ยแล้วตุ๊ยเล่าไม่รามือง่ายๆ

    ผิดใจกับเชิงไทไม่ใช่เรื่องเล็ก ทั้งนับที่ความเป็นเพื่อนรัก รู้ใจกันมานาน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมามาก และทั้งนับที่ความเป็นเพื่อนร่วมงาน ต้องพึ่งพาอาศัยกันให้เกิดความราบรื่น หากมองหน้ากันไม่ติดหรือคิดแกล้งประสาคนเกลียดขี้หน้า ระยะยาวคงหมดความสุขด้วยกันทุกฝ่าย

    พยายามเอาใจเพื่อนมาใส่ใจตน เชิงไทอาจพูดจาก้าวร้าวรุนแรงด้วยความเจ็บใจประสาคนถูกหลอก ความรู้สึกของคนชนะที่ถูกถีบโครมลงไปอยู่ในตำแหน่งแพ้ แกล้งให้ดีใจแล้วเผยความจริงอันน่าขมขื่นทีหลังนั้น พอเป็นที่เข้าใจได้ว่าน่าจะเดือดดาลสักขนาดไหน

    โดยเฉพาะถ้าเชิงไทรักและหมายปองเรือนแก้วจริงจัง ที่เคยเผื่อใจไว้ครึ่งเดียวเพราะต้องช่วงชิงกับเขา บัดนี้คงเปลี่ยนเป็นทุ่มเต็มร้อยเพราะหลงนึกว่าเขาสละสิทธิ์ พอพบว่าธงขาวเป็นแค่กลลวงก่อนชักธงรบขึ้นสุดเสาเมื่อเอาจริง เชิงไทจึงหมดความยับยั้งชั่งใจ ประกาศความเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยเข้าบ้าง

    ต่อเมื่อนานไปหลังจากนี้ เกาทัณฑ์ย้อนมองกลับมาจึงได้เข้าใจ และเห็นโดยปราศจากการเข้าข้างตนเอง ว่าการรักษาสัจจะมีความสำคัญเพียงใด บางครั้งแม้ถูกอารมณ์เหนี่ยวโน้มรุนแรง ก็สมควรรั้งดึงไว้ด้วยความพยายามทั้งหมด ถ้าการคล้อยตามแรงจูงใจมันขัดกับสัจจะที่เคยลั่นไว้กับคนอื่นหรือแม้ตนเอง

    หากไม่มั่นใจว่าจะทำได้ ก็ไม่ควรลั่นสัจจะ!

    ถ้าเขารักแพตรี ให้ใจกับหล่อนเพียงคนเดียวดังควร และดังที่เคยจับมือรับรองไว้กับเชิงไท ทั้งหมดทั้งปวงจะไม่นำมาสู่จุดตัดในปัจจุบันเลย รสแห่งการรักษาสัจจวาจามีค่ากว่ารสแห่งหญิง และให้ผลเป็นความราบรื่นชื่นใจ ถ้าเขาไม่เข้าหาเรือนแก้ว ก็จะไม่พบโจร ไม่บาดเจ็บแทบล้มตาย และที่สำคัญไม่ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนยากคายยากอย่างนี้

    ยังดีหรอกที่ความอ่อนล้าของร่างกายมากพอจะท่วมทับความวุ่นวายใจ เหมือนคลื่นยักษ์โถมถาเข้ากลบความระเกะระกะบนภาคพื้นมิดเม้น เกาทัณฑ์หลับไปทั้งยังกำโทรศัพท์มือถือด้วยความตั้งใจว่าจะติดต่อหาลุงคามภีร์อย่างนั้น

    

    เรือนแก้วอาสาป้อนข้าวต้มมื้อเย็นให้อย่างเอาอกเอาใจ ดูแสนดีและภักดีเกินกว่าจะแข็งใจปฏิเสธ ทั้งที่เขาสามารถเคลื่อนไหว หยิบจับช้อนส้อมได้เองถนัดในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหมอนอิงพนักหัวเตียง ตื่นคราวนี้เขามีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก

    ระหว่างทานก็ฟังหล่อนจาระไนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเขาสิ้นท่า รวมทั้งการบอกเล่าจากตำรวจเกี่ยวกับความเป็นมาของโคเฮจิและไซ สำหรับโคเฮจินั้นเป็นกัปตันเรือสินค้า ขนยาบ้า เฮโรอีน และโคเคนซ่อนใต้ตู้คอนเทนเนอร์เข้าสิงคโปร์มานานนับปีแล้ว ตำรวจหวังจับกุมพร้อมของกลางโดยละม่อมขณะกำลังเจรจาซื้อขายครั้งใหญ่ในห้องพักโรงแรม แต่เผอิญความแตก โคเฮจิและพวกช่วยกันฆ่าหน่วยทะลวงฟันแล้วหนีขึ้นลิฟต์เสียก่อน เนื่องจากรู้แกวว่าตำรวจแห่มาดักล้อมปิดทางหนีด้านล่างสิ้น

    “หนังสือพิมพ์ไทยลงข่าวของเราแอ้รู้หรือเปล่า?”

    หญิงสาวซ่อนยิ้ม

    “อ๋อ แค่บางฉบับมั้ง ไม่ถึงขนาดเกรียวกราวพาดหัวข่าวถ้วนหน้าหรอก ยาเสพย์ติดข้ามชาติมูลค่านับร้อยล้านน่ะ เรื่องคอขาดบาดตายของที่นี่ แต่เมืองไทยแค่หนึ่งในข่าวใหญ่ที่จะถูกลืมภายในสองวัน เด่นหน่อยตรงรูปหนุ่มไทยอาการสาหัส กับสาวไทยหน้าตาสวยๆอย่างแอ้เป็นภาพข่าวเท่านั้นแหละ”

    เกาทัณฑ์กระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

    “เจอนักข่าวด้วยเหรอะ?”

    “เจอ เป็นนักข่าวไทยด้วยสิ”

    ชายหนุ่มเกือบถามว่าให้สัมภาษณ์อย่างไรบ้าง แต่เปลี่ยนใจ รับข้าวต้มที่หล่อนป้อนจนหมดสำรับโดยสงบคำ ข้างในชักกลัดกลุ้มเจียนโอ๊ย

    แล้วนี่จะทำอย่างไรต่อไปดี?

    บอกรักเรือนแก้วไปแล้วด้วยปาก ฝากใจจริงกันแล้วด้วยชีวิตทั้งชีวิต ที่แย่คือถ้าให้เขาพูดถึงความรู้สึกจากใจจริงกันใหม่เดี๋ยวนี้ ก็คงต้องพูดเหมือนเดิมเสียด้วย

    เขารักหล่อน...

    เรือนแก้วเห็นเกาทัณฑ์ทำหน้าอมทุกข์ ก็พอเดาทางถูก ได้แต่แบะปากยิ้มเย้ยลมแล้ง หล่อนยืนแอบฟังเขาคุยโทรศัพท์ แม้จับความยากมาก แต่เสียงร้องเรียกชื่อเป็นคำสุดท้ายดังๆนั้นเข้าหูที่แนบบานประตูชัดเจนดี เดาว่าป่านนี้แม่นั่นคงนั่งน้ำตาตกในอยู่บนเตียงนอน ทราบจากการคุยโทรศัพท์กับพิจัยว่าหนังสือพิมพ์ระดับชาวบ้านทุกฉบับลงข่าวประกอบรูปหราทีเดียว เพราะได้แหล่งกระจายข่าวประเทศเพื่อนบ้านรายเดียวกัน

    ที่บอกทั้งตำรวจและนักข่าวคือหล่อนกับเกาทัณฑ์เป็นคนรักมาเที่ยวกัน แต่วิธีคัดเลือกถ้อยคำพาดหัวข่าวถูกดัดแปลงเสริมแต่งไปตามถนัด ซึ่งเรือนแก้วก็ไม่อินังขังขอบนัก เนื่องจากอยากให้ ‘ใครคนหนึ่ง’ อ่านพบทำนองนั้นอยู่แล้ว

    เกิดมาไม่เคยแข่ง ไม่เคยแย่งผู้ชายกับใคร ชีวิตสาวเหมือนมีขบวนกระจิบกระจอกเรียงสลอนเข้ามาให้เลือกและปฏิเสธ รู้ตัวตั้งแต่เพิ่งเริ่มรุ่นว่านัยน์ตาหล่อนมีอำนาจสะกดใครให้หลงรักก็ได้ ขอเพียงเล็งนิ่งๆตอนสบกันอย่างจังด้วยความรู้สึกเหนือกว่าทีเดียวเท่านั้น สำเหนียกเลยว่ามโนภาพหล่อนก่อเป็นรูปกระแสพลังเร้าส่งเข้าประทับกลางใจฝ่ายตรงข้ามชนิดลบไม่ออก ต้องกลับไปนอนทรมานทุกราย

    ครั้งนี้ก็ไม่คิดว่าไปแก่งแย่งหรือต้องออกกำลังแข่งขันกับแม่คนนั้น เกาทัณฑ์ตามจีบหล่อนต้อยๆ ถึงกับเข่นเพื่อนรักเพื่อแย่งหล่อนด้วยซ้ำ หล่อนต่างหากเพิ่งรู้ตัวว่าต้องการตอบตกลงกับเขา และเขาก็ยังคงอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ไม่ได้ห่างหายไปไหนเลย

    เชิดหน้านิดๆ ถ้าบังคับให้ยอมรับ ก็จะยอมรับว่ามีครั้งเดียวที่รู้สึกเหมือนถูกกดค่าให้ต้อยต่ำลง เมื่อรู้ชัดและเห็นกับตาว่าเกาทัณฑ์ทำทีห่างเหิน เหตุเพราะติดเนื้อต้องใจสาวงามที่ดูดีไปทุกกระเบียดอีกคน รุ่มร้อนราวกับสวมวิญญาณนางอิจฉาเมื่อเห็นความสวยหวานปานหยาดฟ้าของแม่นั่น ท่วงทีสงบกิริยาเป็นกุลสตรีแท้ที่หายากทำให้ย้อนกลับมาเปรียบเทียบกับตนเอง และรู้ว่าแตกต่างกันราวกับสีอ่อนตัดสีเข้ม

    เกาทัณฑ์เลือกไปอยู่ทางโน้น จึงคันคะยิกในอกว่าหล่อนแรงไม่พอจะยื้อเขาไว้ หรืออีกทีก็เพราะไม่น่าถูกใจอย่างแม่สีอ่อน

    พอนอนไม่หลับหลายคืนติดกันนั่นแหละ หล่อนจึงรู้ว่าเกาทัณฑ์มีอิทธิพลกับตนเพียงใด

    เขากินข้าวต้มอิ่ม เรือนแก้วใช้ทิชชูเช็ดมุมปากให้ เกาทัณฑ์รู้สึกแปลกๆ คล้ายเห็นประธานาธิบดีถูบ้าน อย่างเรือนแก้วไม่ใช่คนที่จะบริการเอาอกเอาใจคนอื่นถึงขนาดนี้

    “เราผ่านคืนนั้นมาได้ยังไงนะ นึกว่าเสร็จเสียแล้ว”

    เกาทัณฑ์พึมพำ เรือนแก้วเบื่อพูดถึงเรื่องร้าย จึงหันเหไปอีกทาง

    “คืนนั้นกำลังจะถามเลยว่าที่แอ้รู้สึกเหมือนเตียงหมุนเกิดจากอะไร”

    ชายหนุ่มกะพริบตาสองสามที

    “ร่างกายคงเสียดุล หรือจิตใจอาจเคลื่อนไหวในทิศทางที่พ้นภูมิรู้ของผม ถ้าผมมีกุญแจ ก็อาจไขประตูเปิดขุมทรัพย์มีค่าในตัวแอ้ออกมาก็ได้นะ ในจังหวะนั้น”

    “เช่นเห็นตัวเองในอดีตก่อนมาเป็นอย่างนี้?”

    เพื่อนชายสั่นศีรษะ

    “ไม่รู้”

    เรือนแก้วยื่นฝ่ามือมาลูบหนามเคราแหลมที่คางเขาให้ตัวเองจั๊กจี้เล่น

    “โกนหนวดให้เอาไหม?”

    เกาทัณฑ์ปิดตา ผงกศีรษะนิดหนึ่ง กายเป็นทุกข์ ปวดเสียวบาดแผลเกือบตลอดเวลา แต่ตาเริ่มเป็นสุข เมื่อเห็นภาพเอื้ออาทรของเรือนแก้วอย่างต่อเนื่อง นับเป็นการผสมผัสสะที่ก่อให้เกิดความผูกพันแน่นหนาเข้าทุกที

    ยังคงปิดตาอยู่เช่นนั้น เมื่อหญิงสาวผู้เป็นหนึ่งในสองของดวงใจผูกผ้าขนหนูคล้องคอให้หลวมๆ ไอร่างสาวที่ส่งถึงฆานประสาทยวนใจให้ใฝ่นึกถึงเนียนเนื้ออุ่นและรูปริมฝีปากอิ่มน่าจูบ นี่เองเครื่องร้อยรัด นี่เองสิ่งตรึงยึดผู้คนไว้กับเรื่องวุ่นวายร้อยแปด แก้ไม่ตก

    เรือนแก้วเอามือยีครีมโกนหนวดป้ายทีละนิดจนกลบครึ่งหน้า แล้วบรรจงลากมีดโกนจากบนลงล่างทีละจุดด้วยฝ่ามือเบานุ่ม ไม่ระคายสัมผัสแม้แต่น้อย ทว่าก็มีน้ำหนักพอจะกดคมใบมีดกวาดเส้นขนน้อยใหญ่ออกจนเกลี้ยงเกลาทุกแถบพื้นที่ที่ปาดผ่าน ทำให้ผ่อนคลายลงราวกับเปลื้องทุกข์จากใบหน้าและจิตใจพร้อมกัน

    ยามหล่อนใช้มือข้างที่ว่างจากมีดโกนจับใบหน้าเขาพลิกหัน และค้างแนบประคองแก้มไว้เพื่อโกนด้านตรงข้ามให้ถนัด เป็นนาทีที่รู้สึกสุขสบาย สว่างรอบ เพลิดเพลินอย่างยากจะหาอะไรเทียบ

    อยากให้หนวดเคราของตนยาวกว่านี้สักสามเท่า เพราะได้เวลาเสร็จสิ้น หล่อนใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดผิวหน้ากับซอกคาง และผละออกห่างเร็วเกินไป เขายังเสพสุขไม่อิ่มพอ

    เรือนแก้วหายเข้าห้องน้ำไปพักหนึ่ง เกาทัณฑ์เปิดตารอ ต้องลดตัวเลื่อนลงนอนด้วยความปวดสีข้างในท่านั่งนานๆ พักหนึ่งก็เห็นหล่อนกลับออกมาด้วยท่าทีของนกน้อยในกรงทอง

    “แอ้ออกไปเที่ยวนะ ดึกๆกลับ”

    ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

    “เที่ยวไหนค่ำๆมืดๆ”

    “เก๊าะ...ไปนั่งดริ๊งก์มั่งฮี่ อุดอู้เฝ้าเธออยู่แต่ในห้องสองวันแล้ว เห็นใจกันมั่ง”

    “เที่ยวยังไง ผู้หญิงตัวคนเดียวเนี่ยนะ?”

    เรือนแก้วยักคิ้ว ลดราวกั้นข้างเตียงลง ก่อนขึ้นนั่งเบียดสะโพกชิดร่างเขา

    “นึกว่าในตัวแอ้มีผู้หญิงกี่คนล่ะ ไม่ใช่ผู้สำเร็จฤทธิ์แยกกายได้นี่คะท่านพี่ จะได้เที่ยวแบบคนเดียวหลายตัว”

    เกาทัณฑ์ชักหงุดหงิด

    “ต้องมีคนไปด้วย”

    “ช่วยไม่ได้ค่ะ เห็นจะต้องเดินต๊อกๆไปนั่งฟังเพลงคนเดียวอย่างนี้แหละ บอดี้การ์ดวิ่งหนีลูกปืนไม่ทัน โป้งเดียวนอนเป็นอึ่งอ่างหงายท้องเลย”

    คนเจ็บนึกถึงสภาพนอนมองเพดานของตนแล้วหัวเราะ แต่แล้วก็รีบทำขรึมเอ็ด

    “ออกไปได้ยังไงเล่า อันตราย เพิ่งเจอเรื่องมาแท้ๆ ยังมีกะจิตกะใจกล้าฉายเดี่ยวอีก”

    “สิงคโปร์ปลอดภัยออก คืนก่อนมันวันซวยน่ะ เจอแจ๊คพ็อตชนิดหนึ่งในแสนเข้าให้ ปกติคงไม่มีเสือ สิงห์ กระทิง แรดคอยขย้ำแอ้หรอก ขอรับรองความปลอดภัยให้ตัวเองค่ะ”

    ว่าแล้วก็ขยับลุกไปหยิบกระเป๋าสะพาย หันมายิ้มหวาน โบกมือบ๊ายบายด้วยท่าทีที่สะกิดให้นึกถึงการจากไกลแสนนาน

    “ไปนะ”

    “แอ้น่า...ขอร้องเถอะ”

    “ก็ร้องสิคะ ทำไมต้องขอแอ้ด้วย เอ๊อ! หาว่าอุดปากไว้รึ?”

    “อย่าออกไปเลยนะ”

    “ยังไงกันล่ะนี่ ห้ามๆๆ...หวงเหรอ?”

    “ห่วง!”

    “ตัวเองเป็นใครคะ คุณพ่อเค้าเหรอ? พูดว่าห่วงแล้วฟังแปลกๆ เออถ้าบอกหวงค่อยน่าอยู่ในโอวาทหน่อย”

    เห็นท่าลอยหน้าฉอดๆเช่นนั้นแล้วเกาทัณฑ์เฉลียวรู้ว่าตนถูกต้ม ค่อยเบาใจลง หล่อนคงอยากฟังบางคำนั่นเอง เลยแกล้งยั่วให้ว้าวุ่นไปอย่างนั้นแหละ อาจมีวงเล็บนิดๆว่าถ้าเขาขัดขืน ไม่ยอมกล่าวตามใจ หล่อนก็จะออกไปเที่ยวจริงด้วยมานะประจำตัว

    “ผมหวง...”

    พูดอ้อมแอ้ม

    “หวงใครไม่ทราบ?”

    “หวงแอ้ เดี๋ยวหนุ่มๆเข้ามาล้อม”

    กลั้นใจเอ่ย เสร็จแล้วก็มือสั่น เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกไม่ควร

    เรือนแก้วทิ้งกระเป๋าลงแถวนั้นอย่างไม่แยแส เดินเข้าหาเขา ยิ้มเยื้อนอย่างผู้กำชัย แม้ริมฝีปากหล่อนยังระบายยิ้มงาม แต่ประกายตากลับระยับเลศนัยประหลาด

    “ก็ได้ จะให้หวงนะ”

    มาถึงเตียงและเสปัดผงข้างหมอนเขา ก่อนขมวดปมทิ้งท้าย


    “แต่ต่อไปนี้แอ้ก็มีสิทธิ์หวงเต้เหมือนกัน!”



ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น