ถาม : ผมเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและมีคนนับหน้าถือตามากพอสมควร
หลังๆรู้สึกแปลกใจ ที่เมื่อเข้าไปเป็นประธานงานบุญใหญ่ๆแล้วรู้สึกเฉยๆ
แต่กลับปลื้มปีติอยู่นานกับการได้ทำประโยชน์เล็กๆน้อยๆ เช่น
เมื่อบุรุษไปรษณีย์ส่งจดหมายผิดบ้าน ผมก็เดินเอาไปส่งให้ถูกบ้านด้วยมือตนเอง
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๑
ดังตฤณ:
นั่นแสดงให้เห็นว่า
‘กำลังใจ’ ในการทำบุญ เป็นส่วนสำคัญที่สุด ที่ก่อให้เกิด ‘โสมนัส’ ครับ
หากกำลังใจอ่อนโสมนัสก็เกิดเพียงน้อย หากกำลังใจแรงโสมนัสก็เบ่งบานมาก
การก่อกรรมหนึ่งๆนั้น
การตัดสินว่าได้บุญหรือบาปเพียงใด โสมนัสเป็นตัวแปรที่สำคัญมากๆ
แม้ว่าจะรู้สึกชื่นใจเหมือนกัน ก็ใช่ว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น
คุณเกลียดขี้หน้าใครคนหนึ่งเข้าไส้ วันหนึ่งคุณได้ข่าวว่าเขาถูกยิงตายอย่างโหดเหี้ยม
แล้วคุณยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ แถมเอามาเล่าต่อให้ใครต่อใครฟังด้วยความสะใจ
ยิ้มไม่เหือดจากใบหน้าเป็นชั่วโมง นั่นแหละส่องสะท้อนว่าจิตของคุณเป็นอกุศลอย่างหนัก
เพราะจิตเกิดความยินดีปรีดาในความตายอย่างสยดสยองของผู้อื่นเป็นเวลานาน
กรณีนี้แม้คุณไม่ได้ทำปาณาติบาต
คือไม่ได้ลงมือฆ่าด้วยตนเอง แต่เมื่อยินดีในปาณาติบาตของผู้อื่น
ก็เหมือนเฉียดปาณาติบาตไปด้วยแล้ว เพราะกำลังใจที่จะคิดต่อ
กำลังใจที่จะเอามาเล่าต่อนั้น มีมากพอจะก่อให้เกิดโสมนัส
และตราบใดโสมนัสยังไม่เหือดแห้งไป ใจคุณก็จะผูกแน่นอยู่กับบาปในการฆ่าด้วยความยินดีไม่เลิก
เปรียบเหมือนคนยังไม่ลงน้ำ
แต่ก็สามารถรู้ได้ว่ามันเยียบเย็นเพียงใดจากการยื่นเท้าลงไปแตะๆผิวน้ำ
หรือเปรียบเหมือนคนยังไม่ได้กินเหล้าล่วงลำคอ
แต่ก็สามารถรู้ว่ามันทำให้สมองชาจากการเอาลิ้นไปลิ้มเหล้า แม้คุณไม่มีเจตนาฆ่า
ไม่มีการพยายามลงมือฆ่า แต่จิตของคุณก็แปดเปื้อนบาปของการฆ่าไปแล้ว
หรือกระทั่งรู้รสของความสะใจในการเป็นฆาตกรไปแล้ว
ตัวความยินดีปรีดาหรือโสมนัสนั้น
ยิ่งเกิดนานขึ้นเท่าไร
ก็เท่ากับได้เครื่องบำรุงบุญบำรุงบาปให้เจริญงอกงามขึ้นเท่านั้น ซึ่งในกรณีของคุณ
ถ้าหากอธิบายได้ว่าทำไมโสมนัสจึงเกิดมากหรือเกิดน้อย
ก็เป็นอันจบข้อสงสัยได้ว่าเป็นประธานงานบุญใหญ่กลับไม่เกิดรู้สึกได้บุญเท่าไร
แต่แค่เดินเอาจดหมายไปส่งให้เพื่อนบ้านกลับเหมือนได้บุญมาก
ลองคิดดู
ตอนยังไม่เป็นคนใหญ่คนโต การเดินเอาจดหมายไปส่งให้ถูกบ้านอาจเหมือนงานต่ำต้อย
ไม่มีค่า ไม่มีความหมาย ไม่น่าทำ ทำแล้วเหมือนเป็นคนใช้
ทำแล้วไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทน แต่เมื่อคุณกลายเป็นคนสำคัญ
ความรู้สึกทางใจจะกลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง คือต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน
กับทั้งต้องอาศัยกำลังใจเป็นอันมาก ขาจึงจะยอมก้าวเดินไปหลายๆก้าวเพื่อทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น
โดยที่ตัวเองไม่คิดว่าจะได้รับผลตอบแทน
ยิ่งเพื่อนบ้านอยู่ห่างจากบ้านคุณเท่าไร
กำลังใจที่ใช้ก้าวเดินก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
และอย่างที่กล่าวแต่ต้นว่ากำลังใจยิ่งมาก โสมนัสก็ยิ่งแรง
แถมนี่เป็นการให้พลังกายเป็นทานโดยไม่หวังผลตอบแทน ปราศจากโลภะเจืออยู่
จิตมีแต่อาการเล็งไปว่าถ้าเขาได้รับจดหมายก็ไม่ต้องพลาดสารจากผู้ส่ง จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดคุณจึงปลาบปลื้มยินดีได้นาน
เพราะนั่นเป็นวีรกรรมน้อยๆ กุศลเกิดขึ้นอย่างใหญ่จนเกิดความรู้สึกอิ่มใจ
ต่างจากการเป็นประธานพิธีบุญใหญ่
หากมีคนอื่นตระเตรียมทุกสิ่งไว้ให้คุณแล้ว คุณแค่เอาตัวไปเป็นหุ่น
เอาหน้าไปแสดงตามธรรมเนียม
แถมมองไม่เห็นด้วยใจตนเองว่างานบุญนั้นจะได้ประโยชน์อย่างไร
จิตเล็งแต่ว่าเอาเกียรติของตนไปช่วยให้ความตั้งใจผู้อื่นสำเร็จเสร็จๆไป
เช่นนี้กำลังใจก็เกิดน้อย โสมนัสจึงอ่อนหรือแทบไม่มีเลย ความปลาบปลื้มหรือความอิ่มใจว่าเราทำบุญจะได้มาแต่ไหน
อย่างไรก็ตาม
อย่าเข้าใจว่าเป็นประธานงานบุญแล้วไม่ได้บุญนะครับ
อย่างไรบุญก็คือบุญโดยเนื้อหาของตัวเอง แค่คุณ ‘ตกลงใจไปเป็นประธานงานบุญ’
เท่านั้นก็ได้บุญในฐานะประธานงานบุญแล้ว ผลย่อมเกิดขึ้นมากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว
เช่น ถ้าทำบ่อยๆแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ในชาติถัดไปคุณจะมีรูปร่างหน้าตาดูสมเป็นผู้นำ
ในวัยเด็กครูหรือเพื่อนร่วมชั้นเห็นเข้าก็เชื่อว่าหุ่นแบบนี้น่าจะเป็นหัวหน้าห้อง
อะไรทำนองนั้น แม้เอาเข้าจริงคุณจะไม่ค่อยมีอัธยาศัยใคร่เป็นหัวหน้าสักเท่าไร
ส่วนการเอาจดหมายไปส่งให้ถูกบ้าน เป็นกรรมดีที่นำของไปสู่มือเจ้าของ
ผลย่อมช่วยให้คุณของหายยาก เช่น กระเป๋าสตางค์ตกจะมีคนช่วยหยิบหรือร้องเตือนทันที
คุณจะนึกขอบคุณเขาและเกิดแรงบันดาลใจ อยากช่วยให้คนอื่นไม่ต้องประสบภาวะของหายบ้าง
วนเวียนเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่อยู่อย่างนี้ ทดลองได้เลยนะครับ ถ้าปลูกฝังนิสัยตัวเองไว้
ให้ไม่ยอมดูดายหรือละเลยเมื่อพบสมบัติพลัดจากมือใคร
เมื่อใดสมบัติของคุณจะพลัดจากมือ ก็ต้องมีคนช่วยให้สมบัติกลับมาสู่มือคุณเสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น