วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๒๔ งานศพ

บทที่ ๒๔  งานศพ

 อ่านบทความที่แล้ว



    เป็นเช้าที่อากาศสดชื่น เย็นสบาย รอบละแวกทางเดินชะอุ่มงามด้วยหญ้าขจีและพฤกษายืนต้น สมควรที่จะบันดาลความสุขสงบให้แก่ผู้ตัดผ่านทุกๆคน

    แต่สำหรับเรือนแก้วแล้ว ทั้งหมดคืออีกฉากหนึ่งของความเงียบเหงา

    เดินถือคันธนูขนาดห้าฟุตครึ่งพร้อมกระบอกลูกศรมาที่สนามซ้อมในอาณาบริเวณคอนโดมิเนียมซึ่งหล่อนพักอาศัยอยู่ ธนูเป็นหนึ่งในกีฬาโปรดของหล่อน นอกจากทำให้ใจสงบ ได้ออกแรง และสั่งสมความเชื่อมั่นอย่างดีแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดความรู้ภายใน หรือสัญชาตญาณพิเศษในการเข้าสู่เป้าหมายที่อธิบายยาก ทุกครั้งยามเกิดความสับสนฟุ้งซ่าน หรือแก้ปัญหาใดไม่ตก เรือนแก้วจะลงมายิงธนูต่างระยะเป็นการปลดปล่อยเรื่องหนักอึ้งทิ้ง และก็มักจะทำสำเร็จเสมอ

    ภาพสลักตามผนังถ้ำเป็นหลักฐานที่ดีว่ามนุษย์รู้จักยิงธนูล่าสัตว์แทนการพุ่งหอกพุ่งหลาวมาไม่น้อยกว่าสองหมื่นห้าพันปี และมีวิชายิงธนู หรือที่เรียก ‘จาปเวท’ สืบทอดกันอย่างเป็นศิลปศาสตร์นับพันปีแล้ว หล่อนทราบด้วยว่าพระเซนจำนวนมากนิยมการยิงธนูเป็นอย่างยิ่ง ขนาดมีตำรายิงธนูตามหลักเซนออกมามิใช่น้อย นัยว่าเป็นอีกอุปเท่ห์หนึ่งของการฝึกสมาธิ

    บางคนทุ่มเวลาทั้งชีวิตกับการฝึกแผลงศรให้ได้ไกล ให้ได้เข้าเป้า และให้ได้ความเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ พวกที่สำเร็จจาปเวทขั้นสูงอาจเห็นเป้าจากระยะไกลขยายใหญ่เกินขอบเขตของประสาทตามนุษย์ธรรมดา ว่ากันว่าเพราะเล็งเป้าจนเกิด ‘ปฏิภาคนิมิต’ หดขยายได้ตามต้องการทั้งยังลืมตา

    ชมรมยิงธนูในปัจจุบันโดยมากมักมีเรื่องการล่าสัตว์เข้าไปแทรกแซม แต่สำหรับเรือนแก้วแล้ว จะเห็นเป็นเครื่องมือคลายทุกข์ ขจัดเหงามาตลอด หล่อนยิ้มออก ผ่อนคลายความตึงเครียดได้ทุกครั้งที่สามารถส่งศรเข้าเป้าคะแนนสูงติดๆกัน

    ยืนห่างเป้าประมาณเดียวกับความยาวสนามเทนนิส อันเป็นระยะหวังผลสำหรับหล่อน ปลีขาสลักเสลาเกลากลึงแยกจากกันในท่าเตรียม ชุดดำเสื้อคอกลมและกางเกงยีนรัดรูปช่วยให้รู้สึกกระชับเมื่อเริ่มตั้งท่ายิง คันธนูของหล่อนติดรอกทุ่นแรงน้าว แม้จิตใจยังอ่อนปวกเปียก อันมีผลกระทบให้แรงกายถดถอย ก็สามารถเหนี่ยวสายได้ค่อนข้างง่าย

    ศรดอกแรกพุ่งหวือแบบเหินๆคล้ายไม่ค่อยเต็มใจวิ่งเข้าปักเป้าเท่าไหร่ วัตถุที่ไร้เจตจำนงมุ่งมั่นกำกับการเคลื่อนไหวย่อมปรากฏความอ่อนแอ ดูออกในสายตาผู้เคยฝึกควบคุมตนเองและวัตถุในมือมาแล้ว

    เรือนแก้วเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเนือยนาย กำลังใจและแรงกายถอยน้อยลงอีก เพราะการปักเด่เฉเกของลูกธนูดอกแรกนั้น อยู่เกือบวงนอกสุดของเป้า ฟ้องชัดถึงความไม่เอาไหน

    จับดอกสองวางขึ้นสายอย่างตั้งใจกว่าเดิม หน้าเท้าซ้ายชี้ตรง มือซ้ายกำคันจับแน่นยื่นไปทางเดียวกับปลายเท้า มือขวารวบหางศรพร้อมน้าวสายจนสุด ประสานเป็นจังหวะเดียวกับการสูดลมหายใจอัดเต็มปอด เพ่งใจกลางเป้า หางตาสัมผัสรู้เรียวแท่งธนูตลอดลำที่ขนานกับพื้นและชี้ตรงเข้าจุดหมาย ขณะเดียวกันก็รู้พร้อมในองค์ประกอบอื่น ไม่ว่าจะเป็นกำลังที่ใช้น้าว ความนิ่งได้ดุลตลอดร่าง ไปจนถึงสัมผัสทิศทางลมอันแสนอ่อนทว่ามีผลกับการวิ่งของศร

    ผสานความรู้พร้อมทั้งหมดแล้ว กลายเป็นนิมิตเส้นทางธนูในคลองตา เห็นเป็นท่อไร้ตนจากปลายศรถึงเป้าหมายแจ่มชัด อย่างที่เรียกพิชาน หรือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในการเล็งส่งเข้าเป้าด้วยใจ ความมั่นคงและอาการทั้งหมดในกายเป็นไปเพื่อสร้างนิมิตเส้นทางให้เที่ยงตรงเข้าฝักทั้งสิ้น ขยับเปลี่ยนนิดเดียวแม้คลายกล้ามเนื้อหัวไหล่ คันธนูไหวติงเพียงน้อย ก็มีผลรบกวนวิถีรู้ในใจได้แล้ว พูดง่ายๆว่าเพื่อส่งลูกธนูเข้าเป้า อวัยวะใหญ่น้อยทั่วทั้งกายภายนอก รวมทั้งจิตใจภายในต้องช่วยกันส่งเสริมเป็นหนึ่งเดียว

    ปล่อยมือด้วยความรู้สึกดิ่งสงบเข้าฝักถึงที่สุด ลำลูกศรแล่นด้วยแรงดีดผึงอันสะสมอยู่ในการงอคันธนู ลัดลิ่วเป็นเส้นตรงแหวกอากาศด้วยพลังเจตจำนงอันคมกริบ หัวศรปักฉึกเข้าวงดำชั้นในสุด ส่งแรงสะท้อนฉับพลันกลับมากระทบใจเป็นฤทธิ์อันหนักแน่นเฉียบขาด เร้าอัตตาให้เติบกล้าขึ้นข่มความเงียบเหงาวังเวงสนิทชั่วขณะหนึ่ง

    รอบด้านยังร้างผู้คน มีเพียงหมู่ไม้และใบหญ้าที่ประจักษ์ในความขมังแม่นของมือธนูสาว คลื่นลมในหัวสงบลง เกิดสติรู้ความปรากฏอยู่ของกาย เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกายกับเป้าเบื้องหน้า รวมทั้งธรรมชาติรอบตัว ทั้งที่ปรากฏต่อประสาทตาและประสาทหูอันกว้างขวางเป็นพิเศษ ศรเข้าเป้าดอกเดียวเปลี่ยนแปลงหล่อนได้ไวเท่ากับความเร็วของมัน

    เรือนแก้วดึงศรดอกต่อไปออกจากกระบอกบนพื้นด้วยจิตใจที่สงัดนิ่งเหมือนแผ่นน้ำ สูดลมหายใจยาวขณะออกแรงน้าวอีกครั้ง หยุดสงบเป็นดุษณีในอาการเกร็งเหนี่ยวสุดสายครู่หนึ่ง หยาดน้ำใสค่อยๆรินจากปลายหางตาทั้งสอง แต่ไม่นานจนเอ่อเป็นม่านน้ำพร่าพราย หล่อนปล่อยใจ ปล่อยมือด้วยสติอันมั่นคง ส่งลำธนูอันล้นไปด้วยพลังเหลือเฟือในการแหวกอากาศพุ่งเข้าเป้า

    เกาทัณฑ์...ธนู

    จิตดิ่งอยู่กับฤทธิ์ของการส่งศรเข้าเป้า รู้พร้อมไปทั่วทุกองค์ประกอบการยิง เห็นความเป็นเกาทัณฑ์แช่มชัด...

    แล่นจากแล่ง ตัดตรงเข้าเป้าไม่อ้อมค้อม กำกับด้วยจิตใจที่คมกล้า ราวกับหัวศรมีวิญญาณแสวงจุดปักของตนเอง เมื่อส่งออกไปแล้ว ยากที่จะมีอะไรมาดักขวางได้ทัน

    อุตส่าห์หาเครื่องยึดจิตให้เลิกประหวัดคิดถึงเขาเป็นการพักอารมณ์ ดันกลายเป็นเครื่องเตือนให้ยิ่งย้ำคิดหนักเข้าไปอีก เกือบเหวี่ยงคันธนูทิ้ง ทว่าสติอันหนักแน่นในขณะนั้นห้ามไว้ เพราะหยั่งรู้ว่าเหมือนทุบแก้วเนื้อดีที่เพียรสร้างอย่างยากลำบากให้แตกละเอียดลงอย่างน่าเสียดายเพียงชั่ววูบโทสะ

    ใจเป็นหนึ่งกับการยิงธนูเนิ่นนาน เดินไปถอนกลับมาเปลี่ยนระยะหลายรอบ พอแขนล้าจึงวางมือ เก็บอุปกรณ์เดินเข้าตึก

    กายและใจที่รวมเป็นหนึ่งเพื่อก่อนิมิตเส้นทางวิ่งของธนู กับกล้ามเนื้อที่กระชับแน่นทั่วร่าง ช่วยให้ความรับรู้ทั่วไปหลังเลิกเล่นคมใสกว่าปกติเป็นสองเท่า ราวกับข้างในมีใบมีดขนาดใหญ่วางตั้งตลอดแนวหน้าผากถึงกลางอก หันด้านคมชี้ไปข้างหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนพร้อมจะเปล่งประกาศิตที่เฉียบขาดหรือออกฤทธิ์ออกเดชได้สารพัน

    คนทั่วไปแม้เคลื่อนไหวอวัยวะน้อยใหญ่หลายส่วนพร้อมกัน อย่างมากจะรับรู้เพียงจุดใดจุดหนึ่ง เช่นอาการเบนหน้ากลอกตาอย่างเดียว ส่วนอื่นถูกเพิกเมินไปหมด หรือที่หนักกว่านั้นคือไม่รู้ตัวเอาเลยด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่ในท่วงทีกิริยาใด ปล่อยให้สติขาดหาย เหม่อลอยทั้งวัน

    แต่ในบัดนี้ เมื่อทรงนิ่งด้วยภาวะจิตอันคมคาย เรือนแก้วแยกรู้ได้พร้อมกันเกือบทั่วพร้อม เมื่อเดินสวนกับผู้จัดการทั่วไปของคอนโด หมอนั่นทักทายหล่อนด้วยท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ย ดวงตาหล่อนสามารถมองเห็นอาการผงกหัว ยิ้มกว้างเห็นฟันทั้งปากของเขา ขณะเดียวกันใจก็ทราบอาการเยื้องกรายสลับคู่เรียวขาระเหิดระหงของตน พร้อมทั้งรู้ชัดว่าตนเบนหน้านิดหนึ่ง ชายตาแลหมอนั่นคล้ายเจอชะนีแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกที่ข้างทาง ในหัวผุดคำสั้นๆว่า ‘ชิ!’

    หล่อนยังไม่ตระหนักว่าสติรู้พร้อมชนิดนั้น เพียงพลิกกลับนิดเดียว คือแทนที่จะหันออกข้างนอก แต่ส่งกลับเข้ามาดูข้างใน คล้ายเข้าไปนั่งในใจคนอื่น ไม่ให้เหลืออุปาทานว่ากายใจเป็นตน ก็จะปฏิรูปเป็นรุ่งอรุณแห่งการปฏิบัติธรรมทันที ลักษณะความรู้ชัดคมคายจะแปรเป็นรู้ชัดอ่อนโยนลง ด้วยเพราะพลังอัตตาอันเข้มข้นปฏิรูปเป็นพลังรู้บริสุทธิ์ไป

    ระหว่างอยู่กับเกาทัณฑ์ที่สิงคโปร์ มีเรื่องพูดคุยแลกเปลี่ยนเยอะมาก เพลินที่จะคุยกันตลอดวันด้วยเรื่องหลากหลายไหลลื่นไปเรื่อย หนึ่งในข้อสนทนาคือการทำสมาธิ เขาพูดให้ฟังค่อนข้างละเอียด รวมทั้งฝึกการนั่งเบื้องต้นให้เกือบทุกวัน เรือนแก้วจึงแยกแยะถูกว่าภาวะน่าพอใจอันเป็นผลจากการซ้อมยิงธนูในบัดนี้ นับเข้าเป็นสมาธิแบบสงบได้เหมือนกัน

    เมื่อก่อนจะนึกว่าสมาธิคือความสามารถเอาใจจดจ่อกับงานได้ ซึ่งก็ถูก แต่ตอนนี้เข้าใจเพิ่มขึ้นมาคือสมาธิจิตนั้นมีหลายประเภท ทั้งแบบที่เป็นสมาธิแล้วยังวุ่น กับแบบที่เป็นสมาธิแล้วสงบลงบ้าง กับแบบที่เป็นสมาธิแล้วราบคาบสนิท

    ตอนทำงานเอกสาร งานติดต่อผู้คน หากจิตรวมลงเป็นสมาธิ จะมีลักษณะคมกริบ มีฤทธิ์ทางโลก คุมเกมการเจรจาได้ คุมงานให้สำเร็จลุล่วงตามลู่ตามแนวที่ตั้งใจได้ รู้สึกตลอดกายดีว่ากำลังขยับไหวหรือนิ่งทรงอยู่ตรงไหน อยู่กับใคร เพื่ออะไร หล่อนจะมุ่งมั่นเพ่งแน่วตลอดเวลาว่ามาถึงไหน ได้สิ่งที่ต้องการหรือยัง รวมทั้งหยั่งทราบว่าเจออุปสรรคจะต้องแก้เป็นเปลาะๆท่าใด

    สมาธิแบบนั้นทำให้หล่อนมีอำนาจและรอบรู้ ทั้งที่เกี่ยวกับคน ข้อมูล และวิธีเลือกตัดสินใจของตนเอง ในทางปฏิบัติหล่อนมีสติและสมาธิพร้อมจะเป็นผู้บริหารคนหนึ่ง และเป็นผู้บริหารที่ดีด้วย รอเพียงอายุและชั่วโมงบินสูงพอจะไปนั่งเสนอนโยบายโดยไม่ถูกผู้ใหญ่เขม่นว่าเจ๋อเท่านั้นแหละ

    สมาธิที่พาไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่นายสั่งหรือตัวเองริเริ่ม จะย้อนกลับมาอัดฐานกำลังใจให้แน่นขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกชัดขึ้นทุกทีในตบะบารมีแห่งตน รวมแล้วได้เป็นกิเลสให้ฟุ้ง ให้คิดไต่เต้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆไม่หยุด นี่เองจิตเป็นสมาธิแล้วยังวุ่นวาย

    เมื่อเล่นกีฬาหล่อนก็ได้สมาธิเหมือนกัน แต่ยังมีความฟุ้งบางชนิดติดตามมาด้วย เช่นเล่นกีฬาหลายคนแล้วเอาแพ้ชนะกัน หรือเล่นคนเดียวพยายามเอาชนะตัวเองด้วยการทำแต้มต่างๆนานา ชนะหรือสำเร็จก็จิตฟู แพ้หรือล้มเหลวก็จิตตก ประเภทรักษาความเป็นกลาง หมายตาจดจ่อกับวัตถุในเกมกีฬาอย่างเดียวตลอดเวลานั้น ยากยิ่ง

    และแม้เป็นสมาธิในระหว่างเล่นกีฬา ตาหูก็เปิดกว้างให้ใจโบยบินได้ง่ายเกินไป อย่างเช่นเมื่อครู่ ทั้งที่หล่อนรู้สึกสงบดิ่งเยือกเย็นแท้ๆ อยู่ไม่อยู่น้ำตาก็ไหลออกมา แค่ไพล่คิดถึงเกาทัณฑ์นิดเดียว

    เมื่อหัดสมาธิแบบนิ่งว่าง เรือนแก้วก็ได้ความชอบใจ และเห็นกว้างไปอีกแบบ คือพบว่ามันใกล้เคียงกับการยิงธนู แต่มีความละเอียดอ่อน สุขุมประณีตกว่า สุขสบายไร้กังวล อีกทั้งให้ผลเป็นความราบคาบ ไม่ฟุ้งคิดไต่สูงหรือวิ่งไกลเกินการเสพรสอิ่มเอมในอาการแน่นิ่งขณะนั้นๆ เพราะเป้าหมายเดียวคือรู้ซ้ำไปซ้ำมาในอารมณ์ที่ไม่เจือด้วยความอยากประการใดๆ กับทั้งเป็นความสุขในตัวเอง ไม่ต้องอาศัยความร่วมมือจากใครอื่นเลย ถ้าชนะก็ชนะความฟุ้งซ่าน ถ้าแพ้ก็แพ้ความขี้เกียจนี่แหละ

    สำหรับผู้ยังไม่ตั้งมั่น สมาธิจิตอันสงบประณีตเป็นสิ่งที่ทำได้แล้วจะลืม เพียงห่างเหินจากการเสพภาวะเช่นนั้นสักสิบนาที จำได้แต่ความน่าติดใจ เมื่อมีสิ่งเตือนให้ระลึก เช่นที่หล่อนเพิ่งยิงธนูแม่นๆ ได้ใจนิ่งๆ จึงค่อยคิดถึงขึ้นมาอีก

    เข้าห้อง เรือนแก้วเปิดตู้เย็นหาของเบาๆทานแบบรองท้อง คือไม่ถึงกับอิ่มแปร้แต่ก็หายหิว เสร็จแล้วอาบน้ำแปรงฟันจนสดชื่น เบาเนื้อตัว เลือกใส่ชุดกระโปรงหลวมพอสบาย จากนั้นยึดเก้าอี้ตัวหนึ่งเป็นที่นั่ง เพราะตอนหัดทำสมาธิเกาทัณฑ์จะให้ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเขาทุกครั้ง จึงชินที่จะใช้เก้าอี้พนักตรงและเบาะเรียบแน่นเป็นอุปกรณ์ช่วยทรงตัว

    นั่งหลังตรง ผ่อนคลายตลอดร่าง คว่ำมือวางบนตัก วางเท้าลงเสมอกันบนพื้น ปิดตาเหลือบต่ำ รักษาดุลความรู้นิ่งทั่วพร้อม เกิดความเห็นชัดว่าเมื่อกำหนดการวางกายไว้เหมาะสม ก็เกิดความพร้อมรู้ขึ้นทันทีในระดับหนึ่ง เหมือนกับการตั้งท่าไว้ถูก ได้ที่เหมาะในกีฬาใดๆ ก็จะทำให้เกิดนิมิตที่เหมาะสมกับกีฬาประเภทนั้นๆโดยง่าย

    การวางกายไว้ถูกยังก่อให้เกิดฉันทะ หรือความสุขความพอใจ เช่นขณะนี้เพียงหล่อนกำหนดดูความเป็นไปของกาย เห็นเจตนาขยายหน้าท้องเพื่อดึงลมเข้า ก็เกิดนิมิตเส้นทางลมล่วงหน้าตลอดสาย โดยเฉพาะความชัดที่จุดกระทบแรกเข้าในโพรงจมูก คล้ายกับกายเป็นแล่งธนู สายลมหายใจเป็นเส้นทางลูกศรวิ่งที่จะต้องเห็นให้ได้

    ปัญหาของผู้ปฏิบัติสมาธิส่วนใหญ่อยู่ตรงนี้ คือล้มเหลวแต่แรกเพราะเบสิกไม่ดี และให้เวลาอย่างตั้งใจไม่นานพอ ถ้าหากจดจ่ออยู่ตลอดเวลาด้วยความผ่อนคลาย ตั้งกายไว้ถูกส่วนเหมาะ ไม่เครียดเกร็งเลย เดี๋ยวเดียวก็ได้ผล เมื่อลมหยุด ก็เพ่งรออาการขยายหน้าท้องดึงลมเข้า เช่นเดียวกับการง้างคันธนูเล็งเห็นเส้นทางระหว่างแล่งกับเป้าหมาย เมื่อลมเข้าหรือออก ก็ปักใจเข้าหาสายลมเท่ากับการส่งตาตามดูธนูพุ่งเข้าเป้าจริง

    ผู้ปฏิบัติโดยมากจะทราบเฉพาะตอนลมเข้า พอลมออกสติจะหาย ยิ่งระหว่างพักรอลมเฮือกใหม่ยิ่งแล้วใหญ่ พลัดไปโน่นหล่นไปนี่ ถ้าเพียงพบความจริงและพยายามอุดจุดอ่อนตรงนี้เสียหน่อย อาการเหม่อ หรืออาการตกภวังค์เห็นโน่นเห็นนี่ร้อยแปดก็แทบไม่มีทางเกิดขึ้นเลย

    เรือนแก้วขยายหน้าท้อง ดึงหายใจเข้า เห็นสายลมเป็นทางตามนิมิตที่ถูกเก็งรู้ไว้ล่วงหน้า เมื่อสุดปอดแล้ว ก็ผ่อนออกอย่างประณีต ยาว และนิ่มนวล ก่อนิมิตเสมอกัน เป็นสายเดียวกันกับขาเข้า

    ที่สำคัญเมื่อหายใจออกจนสุด หล่อนยังคงเพ่งรอล่วงหน้าในสายนิมิตลมหายใจเข้าออกครั้งต่อไป พูดง่ายๆว่าจดจ่อรู้อยู่กับกายนั่ง เตรียมขยายหน้าท้องดึงลมไม่ปล่อยให้คลาดเคลื่อนไปไหน

    เฝ้าดูลมนั้นง่ายกว่ายิงธนูเสียอีก แค่ตามเห็นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในนิมิตเดียวคือลมหายใจเข้าออก ฉันทะในนิมิตจะเป็นตัวเร่งให้เกิดความสว่าง สงบนิ่งจดจ่อ เรียกพลังรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดหนึ่ง ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากการรู้ลมที่ผ่านเข้าออกกายนั่งนี้

    เรือนแก้วรู้สึกสงบและเห็นแสงสว่างนวลฉายออกมาจากภายใน คล้ายมีรอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นมาจากกระแสความสว่างเป็นหนึ่งนั้น

    นั่นคือการเกิดองค์สมาธิเบื้องต้นที่ตั้งอยู่ได้ชั่วคราว หรือที่เรียก ‘ขณิกสมาธิ’ อันประกอบด้วยวิตก คือตั้งสตินึกคิดธรรมดานี่เอง คำนึงว่านี่ลมหายใจเข้า นี่ลมหายใจออก เมื่อเกิดวิตกแล้วสิ่งที่ตามมาคือวิจาร ได้แก่การจมดิ่งอยู่ในนิมิตลมอันแช่มชัด ราวกับตัวตนกลายเป็นสายลมหายใจเสียเอง หรือคล้ายลมเข้าออกเป็นแม่เหล็กที่มีแรงดึงดูดจิตให้ติดแน่น เป็นผลของการเข้าคลุกคลีจดจ่ออารมณ์เดียวนานพอ จนตัวรู้ตั้งอยู่ถูกส่วน เห็นนิมิตกว้างขวางตลอดสาย

    เมื่อเกิดวิตกและวิจารแล้ว ก็มีอาการทางใจที่ตามมา เช่นปัสสัทธิ หรือความสงบคล้ายมีกลุ่มน้ำเย็นสนิทขังไว้เต็มกาย รำงับซึ่งความกระวนกระวายทั้งปวงลงได้ เหลือแต่ฉันทะในการเพ่งดูสายลมเข้าออกไม่ลดละ

    อย่างไรก็ดี อันเนื่องจากฐานจิตเรือนแก้วยังไม่ตั้งมั่นเต็มที่ จึงกระเพื่อมเป็นความคิดได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องวกวนเกาะใจ คล้ายเปิดประตูหน้าต่าง ปล่อยให้ศัตรูเข้ามาเพ่นพ่านในเขตบ้านได้ง่าย มาตีรวนกวนใจ ขโมยสมบัติคือ ‘สติรู้’ ไปเนืองๆ

    ป่านนี้เขาคงอี๋อ๋ออยู่กับยายคนนั้น...

    ดึงความรับรู้กลับมาที่กายซึ่งยังคงนั่งตรง ผ่อนคลาย สบายตลอดร่าง จากนั้นวนไปที่จุดเริ่มใหม่ คือทราบว่าตนกำลังจะขยายหน้าท้องเพื่อดึงลมเข้า เห็นนิมิตล่วงหน้า และเมื่อลมเข้าจริงก็ทราบชัดตลอดสายคงที่ ได้ตระหนักชัดเดี๋ยวนั้นว่าตราบใดจิตมีเส้นทางเพ่งรู้แน่วแน่ กำหนดนึกนิมิตสายลมหายใจเข้าออกไว้ได้อย่างมั่นคง ตราบนั้นต่อให้มีระลอกความคิดจรมามากน้อยแค่ไหนก็ช่าง เพียงไม่นำพาเสียประเดี๋ยวประด๋าว กลุ่มความคิดก็ระเหยหายจากหัวไปเอง

    ด้วยความเป็นคนเรียนรู้เร็ว โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องใช้ใจสัมผัส เรือนแก้วจับหลักได้เดี๋ยวนั้นว่าวิธีแก้ฟุ้งซ่านขณะทำอานาปานสติได้ดีที่สุดคือดึงความรับรู้กลับมาที่กาย นึกถึงร่างที่นิ่งตรง ผ่อนคลายสบายตลอดตัว และรอดูการขยายหรือยุบหน้าท้องครั้งต่อไป เมื่อเห็นการขยายหรือยุบหน้าท้องก็จะพลอยกลับมาติดนิมิตลมตามไปด้วยเองโดยอัตโนมัติ

    กายนี้เองคือฐานที่จะใช้เล็งทางลมเข้าออก หากไม่เห็นกายก็เหมือนไม่เห็นแล่งธนู เห็นแต่ลำธนูอย่างเดียว ไม่เห็นเส้นทางเข้าเป้าแจ่มชัด

    วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาระหว่างความเห็นลมชัดกับกลุ่มความคิดฟุ้งซ่านซัดส่าย กระทั่งถึงจุดหนึ่งความฟุ้งซ่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ล่าทัพถอยจนสิ้นซาก ราวกับข้าศึกที่ถูกดูดจมหายลงไปในธรณี จิตล็อกตัวนิ่ง เห็นนิมิตลมเข้าออกชัดแบบเข้าฝักอยู่ตลอดเวลา ประคองรักษาไม่ให้กระเพื่อม โดยรักษาความเรียบนิ่งของจิตให้มีสภาพเหมือนแผ่นน้ำ ระวังไม่ให้เกิดความไหวขึ้นได้

    เสวยสุขในอารมณ์ขณิกสมาธิเหมือนนั่งที่ชายทะเลและเพลินมองขอบฟ้าโพ้น เนิ่นนานจนกระทั่งรู้สึกเบื่อ ความก้าวหน้ายุติลง เนื่องจากแรงสนับสนุนขาดลงแค่นั้น

    หญิงสาวลืมตาขึ้น ลุกจากเก้าอี้เดินวนไปเวียนมาด้วยความนิ่งแน่นเป็นสุข และกระหยิ่มใจในความสามารถทางจิตของตน สงบเหมือนธุระทั้งโลกหมดลงสิ้นแล้ว

    แต่ภาวะอิ่มเอิบหลังขณิกสมาธิเป็นของแตกพังง่าย เพียงครู่เดียวเมื่อจิตประหวัดถึงเกาทัณฑ์ ใจก็ฟุ้งขึ้นมาอีกเหมือนลมหอบฝุ่นกระจาย เป็นทุกข์เป็นร้อนเกินห้าม โดยเฉพาะเมื่อดวงหน้าหวานหยดชวนให้หลงรักของสาวน้อยนางนั้นลอยเด่นขึ้นมาในห้วงนึก หัวใจหล่อนก็ผ่าววาบขึ้นราวกับใครเอาแหวนไฟมาล้อมรัด คงเพราะกำลังสมาธิช่วยเสริมมโนนึกให้แจ่มชัดหนักแน่น เป็นปัจจัยโหมพายุอารมณ์ให้แรงขึ้นกว่าปกติหลายเท่า

    เห็นหน้าแค่ครั้งเดียวแต่จำติดตา ยายคนนั้นมีหลายสิ่งรบกวนจิตใจหล่อนนัก ไม่ว่าจะเป็นความหวานที่ดูรู้ว่ามัดใจชายได้ทุกเมื่อ หรือความนิ่งในธาตุแท้ที่ผู้หญิงด้วยกันต้องอิจฉา อย่างเช่นเวลานี้ พอเรือนแก้วรู้ตัวว่าเป็นฟืนเป็นไฟ ก็นึกเปรียบเทียบ และคิดว่าตนคงแพ้ลุ่ยหากแข่งกับยายนั่นในเรื่องการรักษาค่าของตัวเอง

    จินตนาการเห็นแม่คนนั้นรักษาความเรียบเรื่อยเฉื่อยเฉยไว้ได้ ไม่ใส่ใจไยดีกับเกาทัณฑ์นัก ในขณะที่หล่อนครึ่งบ้าครึ่งดีเข้าไปทุกที เรือนแก้วก็บอกตนเองว่าต้องหัดเย็นเอาไว้บ้างแล้ว เรื่องอะไรจะคลั่งเป็นนางรองในโลกมืดอยู่คนเดียว หล่อนก็หนึ่งเหมือนกัน

    ข่มใจ คิดหาเครื่องดับไฟในอก เหลียวไปแลมายามนี้คงมีแต่เปียโนที่ใกล้ตัวหน่อย จึงเดินดิ่งไปเปิดฝาครอบ ยกเบาะที่เป็นฝาปิดม้านั่งรื้อค้นแผ่นโน้ตเพลง Fantaisie-Impromptu ของโชแปงขึ้นมาวางเรียงบนไม้คั่นวาง

    เริ่มเล่นอย่างไม่ฝืดฝืนนัก วิญญาณหล่อนผูกติดกับเปียโนเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาเนิ่นนาน สิบลำนิ้วลงน้ำหนักสัมผัสพบกับคีย์ไม้ขาวดำทุกแท่งอย่างถูกต้องและตรงเวลาเสมอ ราวกับมีปลายนิ้วแนบติดทุกผิวคีย์อยู่แล้ว สั่งได้ว่าจะให้โน้ตใดดังเมื่อไหร่ เร่งหนักเบาหรือช้าเร็วแค่ไหน

    ระดับที่เรือนแก้วเล่นนั้นเข้าขั้นแยกประสาทมือซ้ายขวาเป็นเอกเทศจากกันได้เด็ดขาด โดยที่ใจแยกภาคติดตามและสั่งการเคลื่อนไหวประสานงานเป็นหนึ่ง สี่ห้องแรกของ Fantaisie-Impromptu คือการออกร่ายรำเอาเชิงของมือซ้าย ถัดจากนั้นมือขวาจึงต่อตามมาด้วยการวาดลวดลายไล่ล่าสีสันชวนพิศวงตามแบบฉบับทรงเสน่ห์เฉพาะตัวของโชแปง คีตกวีผู้มีผลงานที่ฟังแปลกใหม่ขึ้นเงาวับได้ในทุกพ.ศ. ไม่ว่าจะเป็นชิ้นที่ออกแนวหวาน สง่างาม น่าใหลหลง หรือประหลาดพิลึกน่างงงัน

    ปกติเมื่อลงนิ้วกดคีย์เปียโนคุณภาพดีหน่อย จะมีแรงสปริงที่ให้สัมผัสสะท้อนกลับเป็นความสุขนิดๆตลอดลำนิ้วนั้นๆอยู่แล้ว ยิ่งถ้าข้อมืออ่อนหยุ่น สามารถสลับนิ้วไล่เรียงรวดเร็วตามแนวทางอันสลับรายพรายแพรวแห่งลำนำจากคีตกวีอัจฉริยะ เห็นตลอดปลายแขนและนิ้วมือเป็นเครื่องจักรทรงประสิทธิภาพที่รู้งานอัตโนมัติ สัมผัสและความเคลื่อนไหวจะรวมขึ้นก่อมโนทัศน์และสุนทรียภาพยิ่งใหญ่อันไม่เป็นสาธารณะแก่บุคคลทั่วไป

    การสลับนิ้วไปบนกลุ่มโน้ตประชิดติดพัน และต้องไล่น้ำหนักให้ได้สีสันตามใจโชแปงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเรือนแก้วเลย หล่อนปล่อยนิ้ววิ่งเล่นไปกับท่อนหลักของ Fantaisie-Impromptu ด้วยความเพลินอารมณ์ ดับความแหนหวงร้อนรุ่มลงได้ชั่วขณะที่โลดแล่นอยู่นั้น

    ทว่าเมื่อเข้าสู่ท่อนแยกอันคล้ายแปรจากลีลาโลดเต้นในพายุแปรปรวนมาทอดน่องเดินชมสวนดอกไม้สบายตาสบายใจ เกิดการรับอารมณ์เพลงอย่างไรไม่ทราบ ใจไพล่ไปคิดถึงเกาทัณฑ์และแม่ยอดเยาวมาลย์ของเขาขึ้นมาอีก

    ป่านนี้อาจเกี่ยวก้อยชมสวนกันอยู่จริงๆก็ได้...

    ผะผ่าวร้าวลึกไปทั้งทรวงอก เขาจะเอาไว้ทั้งสองคนเลยหรือไงนะ?!

    เล่นท่อนกลางอย่างกะพร่องกะแพร่ง สิบปลายนิ้วที่รู้จักทุกๆคีย์ขาวดำดุจบริวารอันเชื่องในอำนาจ เคยพลิ้วแสวงที่ลงได้เองอย่างแม่นยำ กลับป้อแป้เรรวนราวกับทหารเลวไร้วินัย ไม่เกิดสัมผัสสัมพันธภาพระหว่างมือกับแพคีย์เบื้องล่างเอาเลย ทั้งที่เป็นท่อนช้า เล่นง่ายกว่าท่อนแรกมาก

    หัวคิ้วย่นลงเล็กน้อย ฝืนไปรังแต่จะหมดความสุข จึงตัดสินใจผ่านไปเสีย โยกตัวขยับเปลี่ยนท่านั่งให้เข้าที่ใหม่ เปลี่ยนแผ่นโน้ตวกกลับเข้าลำนำหลักถัดจากท่อนแยกไปเลย หมายจะใช้คุณภาพการไล่เรียงคีย์อันเร็วรี่คงเส้นคงวาเป็นตัวดึงความรู้สึกด้านดีกลับมา

    แต่แล้วขณะกำลังลากเสียงขึ้นยอดเขาลูกแรกและเตรียมจะเทลาดลงอยู่นั้นเอง ก็เกิดความผิดพลาดขึ้น ทั้งลงนิ้วชี้มือขวาไถลลื่นจากคีย์ดำ และทั้งรักษาจังหวะมือซ้ายให้คงที่ไม่ได้ สั่งสมความขัดอารมณ์หนักเข้าก็บันดาลโทสะ ขมวดคิ้วแน่น ปุบปับเปลี่ยนรูปมือขวาจากการไล่พรมนิ้วเป็นกำหมัดตวัดทุบปังลงไปบนกลุ่มคีย์เคราะห์ร้ายเต็มแรง แล้วลุกขึ้นพรวดพราด ใบหน้างามเปลี่ยนจากสงบนิ่งเป็นหม่นเศร้าหมองหมาง แล้วแปรรูปอีกระลอกเมื่อตากร้าววาวโรจน์ขึ้นจนดูดุดัน สิ้นงามเป็นน่ากลัว

    คล้ายลำนำพิลาสพินาศกะทันหันด้วยสายฟ้าแห่งอสูรฟาด อสูรอันสร้างขึ้นจากแรงโทสะ ถ้าใครนั่งฟังอยู่ตรงนั้นและเผอิญเห็นหน้าหล่อนเข้า อาจสะดุ้งสุดตัวขนาดพลอยลุกตามด้วยความดีฝ่อก็ได้

    กายเริ่มสั่นเทิ้ม แน่ใจในบัดนั้นว่าพิษรักถอนไม่ได้ด้วยกีฬา สมาธิ หรือดนตรีใดๆ กระทั่งนานอึดใจหนึ่งของการยืนนิ่งอยู่กับความมอดไหม้ในตัวเองจนล้าลงเหนื่อยอ่อน เค้าหน้าดุจึงกลับเปลี่ยนเป็นสลดรันทด น้ำตาพานจะไหลออกมาอีก

    ไม่อยากแบ่งเขาให้ใครแม้แต่นาทีเดียว...

    อัดอั้นเต็มกลืน ลุกจากโซฟาก้าวพรวดๆไปหยิบกระบอกโทรศัพท์ไร้สายที่หัวเตียง กดเบอร์ต่อสายถึงเขา

    อย่างที่เดาเป๊ะ เกาทัณฑ์ปิดมือถือเอาไว้

    รู้สึกไร้ค่า อ้างว้าง หมดสิ้นเรี่ยวแรงจนต้องยอมปล่อยให้น้ำตาแห่งความน้อยใจทะลักหลั่งออกมา ยกมือปิดปาก กล้ำกลืนความขมลงอก เหมือนเขาเป็นยาเสพย์ติด แค่ห่างก็จะแย่อยู่แล้ว แต่นี่รู้ด้วยว่าเขากำลังงอนง้อขอคืนดีใครอยู่ หล่อนหลงรักเขาขนาดไหน ผู้หญิงคนนั้นก็คงติดหลงไม่แพ้กัน ยินยอมเขาได้ทุกอย่างเช่นกัน

    นาทีนั้นเกือบประชดด้วยการโทร.เรียกเชิงไทมารับไปเที่ยว แต่ก็จนใจ ชายอื่นกลายเป็นก้อนกรวด เศษแกลบไปหมด อีกอย่างพ่อเพิ่งเสีย จะให้ฝืนแสร้งทำหน้าระรื่นทั้งชุดดำก็กระไรอยู่

    ปาดน้ำตาทิ้ง เจ็บใจและอายตัวเองที่ต้องนั่งแปะ เอวอ่อนระแน้ น้ำตาไหลพรากสะอื้นฮักๆเพราะผู้ชาย อย่างหล่อนแค่กระดิกนิ้วก็แห่กันมาเป็นกองทัพ จะต้องไปยี่หระอะไรกับนักจับปลาสองมือพรรณนั้น

    พอคิดแล้วก็ยอกย้อนเข้าทิ่มแทงตัวเอง เมื่อระลึกได้ว่าแมงหวี่แมงวันทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นข้อพิสูจน์ว่าหล่อนให้ใจกับใครไม่ได้สักคน อย่างมากแค่หลงๆชั่ววูบชั่ววาบแล้วแผ่วจาง อยากดีดทิ้งอย่างรวดเร็วเมื่อพบตำหนิเพียงน้อย ไม่เคยเลยจะรักและอยากเคียงข้างเป็นคู่ชีวิตเหมือนอย่างที่รู้สึกกับเกาทัณฑ์

    ทำไมต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว ที่หล่อนเต็มใจให้แตะต้องเนื้อตัวได้ ทำไมต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว ที่หล่อนเอ่ยสารภาพรักก่อนอย่างน่าหมิ่น ทำไมต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว ที่หล่อนชิดใกล้แล้วรู้สึกอ่อนหวานสว่างไสว ทำไม...

    การหาความรู้สึกของตัวเองให้พบไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับหล่อนที่ไวสัมผัสกับทุกสิ่ง และไม่เคยยอมง่ายกับอะไรสักอย่าง รู้ซึ้งดีว่าใจตนรับอะไรได้บ้าง รู้สึกนึกคิดอย่างไรบ้างกับแรงกระทบรอบด้าน จึงสามารถตั้งค่าให้กับผู้คนและสิ่งของได้ถูกต้องแม่นยำเสมอ

    ต้องเขาเท่านั้น...

    ปิดกั้นตนเองจนน่าขมขื่น ยิ่งขมขื่นเท่าไหร่ยิ่งอยากกำจัดขวากหนามให้พ้นทางเท่านั้น!

    

    วันนี้อาของหล่อนรับเป็นเจ้าภาพ โดยที่ท่านต้องเดินทางกลับจากดูงานต่างประเทศเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เรือนแก้วคิดจะชวนเพื่อนที่ทำงานรวมทั้งพิจัยมาร่วมงานในวันมะรืน ซึ่งถึงคิวเจ้าภาพของหล่อนตามการนัดแนะกับสายชล

    จอดรถใกล้ศาลาแปด เหม่อมองโดยรอบ หวังลมแล้งว่าอาจพบรถของเกาทัณฑ์จอดอยู่ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เห็น เรือนแก้วเม้มปากชั่งใจ ก่อนกางมือถือต่อสัญญาณถึงเขา

    คราวนี้ต่อติด

    “แอ้เหรอ?”

    เสียงเขาดังมาจากปลายทาง เรือนแก้วเงียบ อะไรบางอย่างในความเป็นหญิงทำให้เม้มปากแน่นอยู่อย่างนั้น พอเขาทักซ้ำก็ลงนิ้วกดปุ่มตัดสัญญาณดื้อๆ

    ดับเครื่องยนตร์ สัญญาณเรียกที่มือถือดังขึ้น แหลมก้องกรีดอากาศแสบแก้วหูเพราะเร่งระดับเสียงไว้แล้วลืมปรับคืน ปรายตามองหน้าปัด เห็นเป็นเกาทัณฑ์แน่ก็ปล่อยให้เขารอค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความแง่งอน กระทั่งถึงจำนวนนับครั้งจำกัดจึงเงียบหายไปเอง

    ถ้าหล่อนยังมีค่าอยู่บ้างสำหรับเขา ก็คงมานั่งเป็นเพื่อนในงานเองแหละ โทร.หาหล่อนได้หมายความว่าแยกตัวจากแม่หน้าหวานแล้วล่ะซี...

    ลงจากรถ สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงเห่าของหมาวัดโฮ่งหอนอีโล้งโช้งเช้งไกลออกไป ท่าทางคงแบ่งก๊กทำสงครามเขี้ยวเล็บกัน อาจจะมีปัญหาแบ่งถิ่นหรือแย่งกระดูกอะไรสักอย่าง คล้ายคนนั่นแหละ เพียงแต่คิดสร้างอาวุธหรือใช้เครื่องทุ่นแรงกันไม่เป็น นอกจากอุปกรณ์ประจำตัวและเสียงเห่าอันน่าสังเวชลูกเดียว

    เดินเลี้ยวมาตามทาง เห็นหมาสีน้ำตาลอ่อนขนปุยตัวหนึ่งวิ่งเหยาะกระดิกหางมายืนมองหล่อน หน้าตาคล้ายพนักงานต้อนรับ เรือนแก้วนึกเอ็นดูปรานีจนถึงกับหยุดยืนกระดิกนิ้วเรียก นานๆจะนึกรักใคร่หมาวัดหรือหมาข้างถนนขึ้นมาทันทีทันใดขนาดอยากทักทายอย่างนี้

    ดูมันสุภาพอ่อนโยน ปากกว้างคล้ายยิ้มง่ายอยู่ตลอดเวลา อาจไม่เคยเห่ากรรโชกเลยสักโฮ้งเดียว มันแลบลิ้นมองหล่อนด้วยสายตาเป็นมิตร เรือนแก้วสัมผัสได้ถึงกระแสวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความรักสงบ คิดดีไม่เคยเกะกะระรานใครของมัน

    จิตใจขุ่นมัวมาตลอดวัน หมกมุ่นครุ่นคิดไม่พูดไม่จากับใคร เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่ถึงเวลาพัก เปลี่ยนกระด้างเป็นอ่อนโยนลงจนยิ้มออก และนึกอยากเอ่ยปากเสวนา

    “ไง ไม่ไปกัดกับเขาเหรอ?”

    สุ้มเสียงอ่อนหวานมีเมตตานั้นเองชักนำหมาใจดีให้เดินเข้ามาดมๆนิ้วที่กระดิกเรียกของหล่อน หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งยอง ลูบหัวมันราวกับนายเก่า ใจที่เริ่มเชื่อเรื่องบุญทำกรรมแต่งหนักแน่นในบัดนี้ เกิดสลดสังเวช สงสารมันขึ้นมาอย่างเต็มตื้น ขนาดอยู่กับคนด้วยกันหล่อนยังไม่รู้สึกสงบจิตสงบใจเท่าเมื่ออยู่ใกล้มันเลย อย่างกับว่าใจมันสูงกว่าบางคนเสียอีก

    “ทำดีมาตั้งมาก พลาดท่ายังไงมาเป็นหมาได้นะเรา”

    นึกอยากพูดเช่นนั้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อาจเป็นเพราะประหวัดถึงคำพระบางรูป ที่เคยกล่าวว่าสิงสาราสัตว์มากมายมีบุญยิ่งกว่าคน แต่วาสนาน้อย ถูกกักขังอยู่ในอัตภาพเดรัจฉานด้วยโทษานุโทษบางอย่าง ก็ต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพไป

    ความสลดแทนวิญญาณดีๆในร่างสุนัขทำให้เรือนแก้วได้คิด คงอย่างหล่อนตอนนี้กระมัง จิตขุ่นมัวจนนึกถึงความดีไม่ออก เพราะเรื่องแหนหวงเชิงชู้สาว ถ้าจับพลัดจับผลูสิ้นลมกะทันหัน ก็คงไม่แคล้วพลาดท่าถอยหลังเข้าคลองเช่นกัน ถึงแม้ตลอดมาไม่เคยเบียดเบียนใคร มีแต่ช่วยเหลือคนอื่น ทำบุญสุนทานไว้มากมายก็ตาม

    นึกขอบใจหมาตัวนั้นที่เป็นเยี่ยงอย่างเตือนสติทางอ้อม ชักรักขนาดคิดอยากอุปถัมภ์ค้ำชูจริงจัง

    “เสียดายฉันไม่มีที่เลี้ยงนะ ไม่งั้นจะพาไปอยู่ด้วยกัน”

    สบตากับมัน สัมผัสคล้ายเคยผูกพันมาก่อน เรือนแก้วเกิดความคิดในบัดดลว่าถ้าตัดรูปหยาบออกไป เหลือเพียงความรู้สึกเมื่อยามสบตา สรรพวิญญาณทั้งหลายอาจพบสายสัมพันธ์อันละเอียดอ่อน ปราศจากการแบ่งแยก ปราศจากมายา ต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ในสังสารวัฏ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับการมีอันเป็นไปต่างๆในระหว่างเดินทางไกลด้วยกันทั้งสิ้น

    “ถ้าเราจะเคยเป็นนายบ่าว หรือเป็นพี่น้องคลานตามกันมาแต่ปางไหน ก็เหลือแค่ความรู้สึกดีๆต่อกันแค่นี้เองเนอะ ร่วมโลกใบเดียวกัน มองเห็นกันได้ แต่อาศัยอยู่คนละภพภูมิอย่างนี้”

    พูดจบก็ตบหัวมันเบาๆสองที ก่อนลุกเดินจากมาด้วยความอาลัยนิดหน่อย มันตามมาเหมือนจะส่งครึ่งทาง แล้วหันรีหันขวางแยกจากไปตามวิถี เรือนแก้วคิดห่วงว่ามันจะระเหเร่ร่อนไปไหนบ้าง จะถูกรถชนตายไหม เกิดใหม่จะพ้นกรงแห่งภูมิเดรัจฉานเสียทีหรือยัง…

    เกาทัณฑ์เคยเล่าว่าพระบางรูประลึกชาติ เห็นตัวเองเคยเป็นสุนัขนับร้อยนับพันชาติ ซึ่งสมจริงตามหลักธรรมที่ว่าเมื่อพลาดร่วงลงต่ำแล้ว ก็เวียนวนอยู่อย่างนั้น จะหาปัญญา หาแสงสว่างกลับเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงใหม่ แสนเข็ญนัก ต้องอาศัยอยู่ในเขตบุญ รับสัมผัสเช่นมือและได้ยินเสียงปรานีของผู้มีบุญเป็นประจำ กับทั้งต้องมีสติขณะตาย จึงอาจพัฒนาขึ้นสู่ภูมิที่สูงกว่าเดิมได้

    ด้วยความยากเย็นเช่นนี้ ปริมาณสัตว์จึงล้นหลามเกินมนุษย์นับแสนนับล้านเท่า นับแต่เล็กเท่ามดปลวก จนถึงใหญ่เท่าช้างหรือปลาวาฬ

    จุดธูปไหว้พ่อที่ตั่งบูชาหน้าประตู จากนั้นหันตัวเปิดบานกระจกเลื่อน พบว่าเพิ่งมีอานำชาติของหล่อนกับครอบครัวสายชลอีกกลุ่มที่มานั่งก่อนหน้า

    อานำชาติทักทายหล่อนใหญ่โต สุ้มเสียงยินดีปรีดา ลูบหัวเจรจาไถ่ถามทุกข์สุขที่ผ่านมา อาเป็นอีกคนที่เตือนให้ระลึกถึงความทรงจำวัยเด็กอันอบอุ่น เปี่ยมด้วยรักเมตตาจริงใจ คุยกันนานจนกระทั่งแขกอื่นเริ่มทยอยมาถึง อาจึงแยกไปทำหน้าที่ปฏิคมตามธรรมเนียม ส่วนหล่อนแยกไปนั่งแถวหลังเพื่อตั้งจิตให้สงบ

    “หวัดดีฮะพี่แอ้”

    เด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามายกมือไหว้ หล่อนจำทีฆายุลูกชายคนเล็กของอานำชาติได้ทันที เพราะสมัยเด็กเคยไปมาหาสู่กันบ่อย

    “หวัดดีตุ้ย” รับไหว้และทักทายกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “นั่งด้วยกันสิ”

    เขาอ่อนกว่าหล่อนประมาณสามหรือสี่ปี นุ่งยีนส์ ผมยาว บอกยี่ห้อศิลปินหลุดโลกหน่อยๆ

    “ตอนนี้เรียนที่ไหนน่ะ?”

    ซักถามเกี่ยวกับความเป็นไปเป็นมาของแต่ละฝ่ายเกือบสิบนาที สรุปว่าทีฆายุเป็นนักศึกษาอยู่ศิลปากร อันเป็นจุดเริ่มคุยเกี่ยวกับเรื่องงานศิลปะกันอย่างออกรส ทีฆายุถนัดงานประติมากรรมและจิตรกรรม ซึ่งเรือนแก้วชื่นชอบ และออกปากว่าวันหลังขอดูงานบ้าง เผื่อชอบใจจะช่วยอุดหนุนซื้อไปประดับห้อง

    แล้วทีฆายุก็ซักไซ้แบบเจาะข่าววงในเกี่ยวกับเรื่องระทึกในสิงคโปร์ เรือนแก้วพยายามตอบแบบรวบรัดอย่างที่เตรียมพูดซ้ำพูดซากไว้แล้วล่วงหน้า ฉะนั้นจึงใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีในการเล่าแบบนำไปสู่การปิดกั้นคำถาม

    “พี่แอ้สนใจธรรมะหรือเรื่องเกี่ยวกับศาสนาบ้างรึเปล่า?”

    เรือนแก้วกะพริบตาปริบๆที่จู่ๆลูกผู้น้องก็ถามเช่นนั้น

    “ก็มีบ้าง ทำไมเหรอ?”

    “กำลังจะมีงานประกวดภาพทางพุทธศาสนาฮะ ราวเดือนหนึ่งข้างหน้านี่แหละ”

    “เธอจะส่งเข้าประกวดด้วยล่ะสิ?”

    “แหงซีพี่ ถึงพูดถึงอยู่ไงล่ะ เนี่ย ลุงจอมภพสอนธรรมะให้ผมทันเวลาพอดี กำลังจะปิดรับผลงานอยู่ไม่กี่วันนี้แล้ว ความจริงผมวาดรูปไว้เรียบร้อย แต่คำกลอนกำกับภาพยังไม่เข้าท่าเท่าไหร่ พอมางานศพคุณลุงเมื่อคืน ถึงซาบซึ้ง เอาไปแต่งใหม่เข้าท่ากว่าเดิมได้”

    “จะส่งงานเกี่ยวกับความตายหรือ?”

    “ฮะ ชื่อภาพ ‘งานศพ’ ตรงกับงานนี้เลย ทีแรกว่าจะเขียนทำนองคนเราต้องวิ่งหนีพระกาฬอยู่ทุกวินาที พระกาฬจะตามทันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อยากทำอะไรให้รีบทำ แต่วาดแล้วไม่สื่อเท่าไหร่ เลยเปลี่ยนใหม่ สื่อง่ายๆด้วยภาพงานศพนี่แหละ”

    “รูปเป็นยังไง?”

    “ก็มีโลงศพตั้งเด่นตรงกลาง ด้านขวาเป็นกรอบรูปประดับดอกไม้ เพียงแต่ว่าแทนที่จะมีภาพถ่ายคนตายอย่างเห็นๆกัน ก็กลายเป็นกระจกเงา สะท้อนคนยืนงอแขนเอื้อมมือเหมือนจะคว้ากรอบรูปด้วยความตกใจ”

    เรือนแก้วเลิกคิ้ว ชักเห็นแววว่านั่นน่าจะเป็นผลงานที่เข้าที

    “เค้าโครงรูปหน้าผู้ชายเป็นยังไง หน้าซีดเป็นศพรึเปล่า?”

    ทีฆายุนิ่งไปอึดใจ ก่อนตอบหนักแน่น

    “ตัวผมเอง ตอนธรรมดานี่แหละ!”

    ลูกผู้พี่ยิ้มมุมปาก เพราะเดาไว้แล้ว

    “ไม่กลัวเป็นการแช่งตัวเองบอกลางอัปมงคลหรือ?”

    “ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องเคล็ดลาง สิ่งลี้ลับอัศจรรย์อยู่แล้วนี่ฮะ ในเมื่องานนี้ต้องการธรรมะ ซึ่งผมอ่านดูแล้วเห็นท่านว่า...อย่านึกว่าตัวเองจะแก่ตาย อย่านึกว่ามีเวลาอีกเหลือเฟือ ก็เลยนึกต่อได้คืออย่านึกว่างานศพต่อไปจะไม่ใช่ของเรา ถ้าพระท่านสอนไว้อย่างนี้ ก็น่าจะถือว่าความตายของตัวเองเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง คิดถึงบ่อยๆก็ดี อ้า...บอกไต๋ให้พี่แอ้ฟังก็ได้ คือผมว่านะ กรรมการเขาเห็นเราเอาตัวเองเป็นเครื่องสาธิตแล้ว คงกระทบใจได้ดีกว่าวาดคนอื่นมั่วๆ”

    “แนวคิดของงานประกวดเป็นยังไงล่ะนี่ ให้อิสระเต็มที่กระมัง?”

    “ฮะ แต่ต้องเป็นรูปที่สื่อความหมายเข้าใจง่ายกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่แนวแอ็บสแทร็กต์ที่ต้องแปลกันสองชั้นสามชั้นด้วยสายตาคนที่เข้าถึงด้วยกัน และต้องมีกาพย์หรือโคลงกลอนกำกับเพื่อขยายความในภาพ คือแบเนื้อหาให้กระจ่างขึ้น เจ้าภาพงานนี้แกศรัทธาแก่กล้าฮะ ให้รางวัลที่หนึ่งตั้งสามล้านแน่ะ ตื่นเต้นกันไปทั้งวงการ ทั้งอาจารย์ ทั้งพวกผมลงสนามกันครึกโครม”

    เรือนแก้วเบิกตาหน่อยๆ

    “ให้มากอย่างนั้นเลยรึ?”

    “ฮะ ขนาดรางวัลชมเชยตั้งสี่แสน แพงกว่าทุกงานในประวัติศาสตร์การประกวดภาพในไทยเลยล่ะ ข่าววงในบอกว่าส่งกันร่วมสามร้อยชิ้นเข้าไปแล้ว ขนาดจำกัดว่าส่งได้คนละผลงานเดียวนะนี่ เขาประกาศตามหนังสือพิมพ์มาหลายเดือนแล้ว พี่ไม่เห็นมั่งหรือ?”

    “ดูเหมือนเคยผ่านตานะ ที่ลงกรอบใหญ่ใช่ไหม? แต่ไม่ทันสนใจอ่านรายละเอียด แล้วเขาก็คงไม่ได้ลงหนังสือพิมพ์อังกฤษที่พี่อ่านอยู่บ่อยเท่าไหร่”

    ยักไหล่เมื่อบอกเช่นนั้น ก่อนถามสืบมา

    “แล้วคิดไงเลือกส่งผลงานเกี่ยวกับความตาย?”

    ทีฆายุยักไหล่ หัวเราะหึๆ

    “เรื่องธรรมะกับวัยผมนี่เป็นของห่างกันฮะ ตอนหาคอนเซ็ปต์ก็ไปเปิดอ่านตำรากันจ้าละหวั่น ผมอ่านไปอ่านมาแล้วเข้าใจจริงขนาดเกิดแรงบันดาลใจอยู่เรื่องเดียว คือเดี๋ยวพวกเราก็ตาย เอาอะไรไปไม่ได้”

    ศิลปินหนุ่มแค่นยิ้ม ตาใส เห็นแล้วชวนให้นึกต่อคำพูดเขาจนจบว่า ‘เดี๋ยวก็ตาย รีบๆฉวยโอกาสกอบโกยความสุขซะให้ช่ำปอดก่อนม่องเท่งกันดีกว่า ชะเอิงเอย’

    เรือนแก้วถอนใจ หล่อนเองใช่จะซาบซึ้งรสธรรมสักเท่าไหร่ ต้องยอมรับว่าความโศกเศร้าสองเรื่องที่ประดังเข้ามาสุมอกพร้อมกัน ทั้งพ่อเสียและคนรักหลายใจ ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเองลดลง และมองโลกด้วยสายตาที่แปลกเปลี่ยนไปบ้าง ทว่ากิเลสนั้นยังหนานัก เมื่อเห็นทีฆายุเอ่ยถึงความตายในฐานะผลงานชิงรางวัลด้วยตาใสและรอยยิ้มพราย ก็คล้ายสะท้อนภาพหล่อนเองให้เข้าใจสถานภาพปัจจุบันดีขึ้น

    “พี่แอ้ว่าไหม...”

    เขาปลุกหล่อนจากภวังค์คิด

    “บรรยากาศงานศพนี่แปลกกว่างานไหนๆทั้งหมด มัน...บอกไม่ถูกเนอะ เห็นคนแห่กันมาเยอะๆ นั่งดูโลงศพ ฟังพระสวด ใจคิดอะไรกันบ้างก็ไม่รู้ นึกถึงเหตุการณ์หนหลังระหว่างคนตายกับตัวเราบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ สรุปแล้วมากันเพื่อแสดงความเป็นมิตรกับญาติคนตายตามมารยาทน่ะ ไม่ใช่มาให้คนตายเห็นหรือรับรู้หรอก มีแต่พวกเรา...โดยเฉพาะพี่แอ้มั้ง มาอยู่ที่นี่เพื่อลุงจอมจริงๆ จำได้จริงๆว่าลุงจอมมีความเป็นมายังไงก่อนจากไปอย่างนี้”

    ที่นั่งแถวนั้นยังว่าง ทีฆายุใช้เสียงระดับที่จะไม่ไปเข้าหูใครอื่น เรือนแก้วฟังแล้วยิ้มซึม

    “พี่ก็คิดตอนที่เธอพูดนี่แหละว่าถ้าคนตายเหลืออยู่แต่ในความจำของพวกเรา ก็ถือว่ายังไม่สูญหายไปจากโลกนี้จริง ต่อเมื่อพวกเราทุกคนตายตาม ค่อยถือว่าไม่เหลืออะไรทิ้งค้างไว้เลยแม้แต่เงา”

    ทีฆายุนั่งทำหน้ามู่ทู่คิดตามอยู่พัก ก่อนตาสว่างดีดนิ้วแป๊ะ ควักกระเป๋าเสื้อดึงสมุดโน้ตกับปากกาซึ่งเตรียมมาเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจเล่นแร่แปรธาตุเป็นบทกลอนกำกับผลงานตนโดยเฉพาะ

    เขาพลิกไปหน้ากลางๆที่เห็นข้อความและรอยขีดฆ่ายั้วเยี้ย เหลือที่สะอาดไว้เฉพาะกลอนสองบทในช่วงต้นหน้าขวามือ บัดนี้ก็ขีดฆ่าบทสุดท้ายทิ้งอีก แล้วบรรจงคิดเขียน ลองคำในที่ว่างส่วนอื่นอย่างรวดเร็ว

    เรือนแก้วปรายตามอง เห็นถนัดแค่บรรทัดแรก

    

    เห็นคนตายก็หมายรู้ เดี๋ยวกูด้วย...

    

    หัวใจกระตุกวูบ ผินไปเบิกตามองโลงศพสีขาวเบื้องหน้าอย่างไม่รู้ตัว หายใจขัดไปชั่วขณะ

    เดี๋ยวก็ถึงตาหล่อนไปนอนอยู่ในนั้น...

    แบกทุกข์ อุ้มสุขไว้แค่ไหนเดี๋ยวก็เอาไปทิ้งหายไว้ในนั้น...

    นานกระทั่งเสียงเด็กหนุ่มเอ่ยจากด้านข้าง

    “ขอบคุณนะพี่แอ้ ผมเลยได้ไอเดีย บทสุดท้ายเข้าทีขึ้นอีกหน่อย”

    เรือนแก้วซอยเปลือกตาถี่ๆ ก่อนขอว่า

    “เอามาดูมั่ง”

    “เดี๋ยวนะ ขอคัดใหม่ให้บรรจงหน่อย ลายมือผมเขี่ยๆอย่างนี้พี่แอ้อ่านไม่ออกหรอก”

    ทีฆายุพลิกหน้า แล้วคัดบรรจงสองบทบริบูรณ์ที่จำได้ขึ้นใจในหัว ใช้เวลาครู่ใหญ่ก่อนยื่นส่งให้หล่อน เรือนแก้วรับมาอ่านอย่างตั้งใจ

    
    เห็นคนตายก็หมายรู้เดี๋ยวกูด้วย   อีกไม่ช้าชราป่วยแล้วม้วยสูญ

    ศพวางนอนอย่างขอนไม้คล้ายอิฐปูน     รอขึ้นเผาให้เอาศูนย์มานับกาย

    เหลือเพียงชื่อให้ลือจำทำไมเล่า          เขาก็รอคอขึ้นเขียงเรียงจากหาย

    เหมือนกับเราเฝ้าจดจำแล้วกลับตาย    ชื่อก็วายกายก็วางว่างหมดกัน

    

    อ่านจบก็ขนลุก หน้ามืดวิงเวียนขึ้นมาชั่วขณะ

    ชื่อก็วาย กายก็วาง ว่างหมดกัน...

    

    ขับรถกลับ เนื้อตัวว่างโหวง ความทุกข์ ความถวิลหาคนรักแทบปลาสนาการเป็นปลิดทิ้ง เรือนแก้วรู้ว่านั่นมิใช่อาการสิ้นกิเลส เป็นการข่มกิเลสลงสนิทไปชั่วขณะ แต่ก็เห็นชัดว่าการดับใจคิดฟุ้งนั้น ดับด้วยใจคิดปล่อยวาง จะได้ผลเนิ่นนานกว่าฤทธิ์ทางสมาธิมาก

    สำคัญคือใจต้องวางจริง

    คนตาย หมดจากความเป็นบุคลิกหนึ่ง ความรู้สึกนึกคิดหนึ่งจริงๆ ต่อให้มีภพชาติใหม่ ก็ไม่ใช่ความเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว นี่เป็นสิ่งที่สามารถรู้ได้โดยทางตรรกะ ไม่จำเป็นอาศัยญาณเหนือสามัญวิสัย เพราะบุคคลย่อมเกิดจากพ่อแม่คู่หนึ่ง ภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่ง เติบโตขึ้นด้วยเหตุปัจจัยและประสบการณ์หลากหลาย หล่อหลอมจนกลายเป็นตัวตนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีปัจจัยเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีพ่อแม่คนเดิม ญาติสนิทมิตรสหายเดิม ใช้ชื่อเดิม ภาษาเดิม ความรู้สึกนึกคิดเดิมเป๊ะๆ

    ก็ขนาดชีวิตเดียวกัน ยังแปลกเปลี่ยนไปแปรในแต่ละวัยไม่ซ้ำ เหลือเพียงความละม้ายคล้ายคลึงอันเกิดขึ้นจากความสืบเนื่อง เรียนอย่างนี้ทำงานอย่างนั้น เข้ากลุ่มนั้นเกิดกิจกรรมอย่างโน้น คบเพื่อน พบเจอคนรักแบบใด ก็เกิดการเรียนรู้ เกิดพฤติกรรมโยกย้ายนานา เต็มไปด้วยรายละเอียดซับซ้อนพิสดารเหลือที่จะลำดับ แม้บุคคลผู้นึกว่าตนมีชีวิตสมถะเรียบง่ายที่สุดก็เถอะ

    หากเนื้อแท้ของสิ่งมีชีวิตคือการคลี่คลายเหตุปัจจัยไปสู่ผลลัพธ์ ซึ่งกลายเป็นเหตุปัจจัยใหม่สืบเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ก็แปลว่าที่สุดอนันตภาพคือกระแสสืบเนื่องของเหตุการณ์อันว่างวายอย่างน่าใจหาย นอกจากตัวความคิดว่ามีเราอยู่ในขณะหนึ่งๆแล้ว ไม่เคยมีเราอยู่ที่ไหน เวลาใดเลย

    รถติดไฟแดง นึกรำคาญรองเท้าคู่ที่กำลังใส่ จึงก้มลงด้วยเจตนาจะถอดออก เกิดประสบการณ์แปลกใหม่ขึ้นมาทั้งยังลืมตา ขณะก้มหล่อนสูดลมหายใจเข้าเห็นเป็นสายยาว พร้อมกันก็เห็นสัณฐานกะโหลกและรอยต่อช่วงก้านกระดูกต้นคอลงไป ในหัวสงัดเงียบจากความคิด จิตสงบเป็นหนึ่ง ขณะก้มลงปลดรองเท้า รู้สึกได้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากโครงกระดูกเคลื่อนไหว ข้อกระดูกสันหลังเป็นปล้องๆ และแผงซี่โครงซ้ายขวาอยู่ในลักษณะงอลง ซี่กระดูกแขนเหยียดยืด กระดูกมือคีบจับสายยึดและแกะปุ่ม

    เมื่อถอดทั้งสองข้างได้ก็หิ้วขึ้นด้วยเจตนาจะนำไปวางบนพื้นของฝั่งที่นั่งด้านข้าง อาการเอี้ยวตัวทำให้เห็นโครงกระดูกสันหลังยืดงออีกครั้ง ดูเหมือนมีแต่โครงกระดูกเคลื่อนไหวอย่างว่างเปล่า หาได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อแซ่ ความคิด ความทุกข์ ความรัก ความชัง

    รู้สึกว่าง รู้สึกวาง และทรงอารมณ์เนิ่นนานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความสงบกายช่วยก่อกระแสใจให้สงบนิ่งตาม และความสงบใจภายในนั้นเองย้อนกลับไปค้ำจุนกายให้สงบเย็นเป็นสายโซ่สืบเนื่อง

    เมื่อไฟเขียว รถเคลื่อนที่ เห็นตลอดรอบร่าง คล้ายย้ายการเห็นไปเริ่มที่ท้ายทอย เห็นการทรงตัวนั่ง เห็นการขยับแขนและมือบังคับพวงมาลัยรถ เห็นถนนกับไฟท้ายของรถรานอกกระจก เห็นความคิดรักษาอัตราเร็วให้พอดี เห็นทั้งหมดนั้นจะแปรไปเป็นร่องรอยในความทรงจำ จิตคล้ายยืดระยะออกไปมองมาจากอนาคต ทราบชัดว่าความเคลื่อนไหวอันว่างเปล่าเหล่านี้เองที่จะกลายเป็นอดีต สิ่งที่เรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ นี้คือการเลื่อนไหลอันห้ามไม่หยุด ฉุดไม่อยู่

    ในโพรงกะโหลกนี้เอง เมื่อคลื่นลมสงบเหมือนน้ำนิ่ง ก็ดูนิ่งว่างไร้ตัวตน เห็นแต่สัณฐานกายปรากฏโดยปราศจากร่องรอยของอัตตา แต่เมื่อกระเพื่อมขึ้น ผุดความคิดและอารมณ์นานา ก็เกิดตัวตนขึ้นอีก ทั้งที่ยังอาศัยโพรงกะโหลกอันเดียวกัน แกนอ้างอิงอันเดิมนี้เอง

    นาทีแห่งความประจักษ์นั้น เรือนแก้วเกิดความสุข เป็นสุขในอีกระนาบหนึ่งที่พ้นขึ้นมาจากรสสัมผัสแบบโลกๆ รสแห่งความสงบช่างเลิศแท้ เกิดความรู้ตัวว่าตนมีเชื้อสายของผู้ปฏิบัติธรรม แสวงทางสู่วิมุติคนหนึ่ง เป็นวาระแรกแห่งการรู้ตัว แม้เคยเกิดประสบการณ์เห็นกาย เห็นอนัตตาจากจิตรู้ภายในมาแล้วหลายครั้ง ก็ไม่เคยดื่มด่ำเท่านี้เลย

    สัมผัสชัดถึงพลังที่มีน้ำหนักเป็นกลุ่มเป็นดวง จึงคิดแผ่เป็นกระแสไปโดยรอบเหมือนละลายน้ำแข็งก้อนใหญ่ลงน้ำในอ่างเล็ก ซึ่งก็คือปริมณฑลใกล้ตัวเท่าที่จิตกำหนดแผ่ได้ ทั้งหมดนั้นรู้เองด้วยสัญชาตญาณทางจิต

    เมื่อเกิดวาระที่จิตเป็นมหากุศล เรือนแก้วรีบเข้าข้างทางหาที่จอด แล้วปิดตา ประคองรู้กระแสความเย็นสนิทน่าพิสมัยนั้น กำหนดนึกถึงใบหน้าผู้เป็นบิดาเมื่อครั้งยังมีชีวิต ที่สามารถส่งเสียงและเคลื่อนไหวได้ รวมเป็นบุคลิกของท่านเท่าที่หล่อนคุ้นชินมาแต่อ้อนแต่ออกปรากฏชัดอยู่ในหัว

    จากนั้นจึงคิดว่ามหากุศลนี้ได้จากการที่ศพพ่อแสดงตัวเป็นเทวทูตสอนลูก ฉะนั้นขออุทิศความสว่าง ความเยือกเย็นที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ ไม่ว่าพ่อจะอยู่ที่ไหน ขอจงรับรู้และโมทนาด้วยเถิด…

    ออกรถต่อด้วยความปลอดโปร่ง เย็นใจ คล้ายทำงานหนักสำเร็จลุล่วง อย่างน้อยได้ทำหน้าที่ลูกสุดความสามารถแล้วในตอนนี้

    ขับเข้าเขตคอนโดมิเนียมด้วยความรู้สึกแสนดี วันนี้ยามเฝ้าทางลงที่จอดรถใต้ดินตะเบ๊ะให้แล้วเรือนแก้วนึกมีแก่ใจยิ้มและโบกมือตอบ ปกติแค่ทำเฉยหรืออย่างมากพยักหน้านิดหน่อย

    วิ่งวนสามชั้น บ่ายหน้ารถเข้าจอดช่องประจำห้องตามปกติ ดับเครื่องแล้วเอี้ยวตัวก้มลงหยิบรองเท้าที่วางอยู่บนพื้นรถด้านข้าง พยายามนึกให้เห็นเป็นความเคลื่อนไหวโครงกระดูกอันว่างเปล่าอีก แต่แย่หน่อยเกิดความคิดถึงเกาทัณฑ์ขึ้นมาขัดแทรกเสียก่อน

    ป่านนี้เขากำลังทำอะไรอยู่หนอ งานศพก็ไม่มานั่งเป็นเพื่อน…

    แต่คิดครั้งนี้แผ่วมาก คล้ายระลอกน้ำในสระที่กระเพื่อมจากแรงปะทะของหินก้อนเล็ก ไม่ไหวตัวเป็นคลื่นใหญ่ ฟุ้งซ่านวกวนเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอดวัน การเห็นธรรม การปล่อยวางได้ ให้ผลดีประจักษ์ใจเช่นนี้เอง

    ใส่รองเท้า เปิดประตูลงมา จัดการล็อกรถ แล้วก็ต้องเหลียวหน้าไปทางขวามือด้วยความเอะใจชอบกลที่ได้ยินเสียงรองเท้าเบอร์ใหญ่กระทบพื้นเป็นจังหวะประหลาดในความรู้สึก คล้าย...คล้ายการรุกคืบเข้ามาของวิญญาณร้าย

    ร่างโย่งผ่านมุมบังเสาใหญ่ ย่างสามขุมเข้าหาหล่อน แม้ก้าวช้า แต่ขายาวทำให้รุดใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ดูทะมึนหลอกตาราวกับเงาอสุรกาย นัยน์ตากระหายเลือดที่ส่งแรงอาฆาตพวยพุ่งมากระทบทำให้มืออ่อนเท้าอ่อน เย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ…ไซ!!

    ขนหัวลุกชันและแผ่ลามไปทั่วกาย คล้ายถูกสาปเป็นหิน หรือถูกตรึงนิ่งขยับขาไม่ออกด้วยแรงยึดมหาศาล เห็นไซย่างเท้าพลางดึงปืนพกติดท่อเก็บเสียงขึ้นมาจากชายเสื้อด้านในอย่างใจเย็น เรือนแก้วคิดว่าตนพุ่งหนีเตลิดหัวซุกหัวซุน แต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังขาสั่นอยู่ที่เดิมสนิท

    พอคู่พยาบาทเข้าถึงตัวก็กดกระบอกปืนที่กลางหน้าผากหล่อนแล้วถามเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ

    "มึงเคยจ่อกูตรงนี้ใช่ไหม?"

    สานตากันนิ่งชั่วขณะ ฝ่ายหนึ่งเหี้ยมอำมหิตอย่างผู้มาเอาชีวิต อีกฝ่ายขลาดกลัวอย่างผู้จะถูกเอาชีวิต แปลกที่ได้ยินเสียงกระซิบจากฐานกุศลจิตว่าจะไม่เป็นอะไร...ไม่เป็นไร

    สูดลมหายใจเข้าปอด สายตาเห็นนิ้วในโกร่งไกปืนค่อยๆเหนี่ยว เรือนแก้วพริ้มตาปิดลง จิตรวมลงผุดความคิดปล่อยวางทุกสิ่ง เรียวปากขมุบขมิบเปล่งวาจาสุดท้ายในชีวิต

    “อโหสิ”

    ...

    ฟุด!!

    คล้ายเกิดแสงวาบและเสียงลั่นเปรี๊ยะหน่อยๆในกะโหลกอันเปราะบาง ก่อนที่ความรับรู้ทั้งมวลจะดับวูบลงเหมือนตลบม่านดำมืดปิดฉากกั้นสายตาตนในฐานะผู้แสดงบนเวที ไม่ให้เห็นผู้ชมในละครโรงใหญ่อีกต่อไป

    ร่างในชุดดำรูดลงนั่งพับเพียบนิ่งพิงรถ น่าแปลกในสายตาของไซที่ไม่ยักล้มลงนอนกองเป็นหยวกดังควร ใบหน้างามฉาบฉายราศีแปลกราวกับคนกำลังหลับฝันดี ไซหรี่มองอย่างสงสัยนิดหนึ่ง แต่รูกลางแสกหน้าเท่านั้นที่มันสนใจ และทำให้เลิกชายเสื้อสอดปืนเก็บได้อย่างหมดห่วง หมุนตัวเดินกลับเร้นกายจากอาคารตามลู่ทางที่ศึกษาไว้แล้วอย่างดี

    สมองส่วนหน้าถูกทำลายเฉียบพลัน ความรู้สึกเจ็บจึงไม่เกิด ทว่าถัดจากวูบความรู้สึกที่หายไปชั่วขณะ จิตอันปราศจากชื่อเห็นร่างซึ่งตนครองทรุดลงกองนิ่งในท่านั่ง คล้ายมองเมินอย่างเฉยชามาจากเบื้องหลัง หรือคล้ายสลบแบบเหลือความรู้ตัวไว้แบบน้ำมันฉาบทาก้นกระทะ คือมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ ปราศจากความคิดยินดียินร้ายเสียดายชีวิตอย่างสิ้นเชิง

    แวบต่อมา คำว่า ‘อโหสิ’ ดังขึ้นย้ำๆในความรับรู้ เป็นคำที่ ‘ตน’ กล่าวเอง บันดาลความโปร่งโล่งวางสบายให้ปรากฏ ถัดจากนั้นเป็นการทบทวนขณะจิตที่สุขสงบระหว่างขับรถเดินทางกลับ ซึมซับความรู้เห็นกายใจเป็นอนัตตา รับทราบการแผ่รัศมีอร่ามเรืองแห่งจิตอันประกอบพร้อมด้วยสัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นธรรมอันตั้งไว้ถูก บังเกิดความปรีดาปราโมทย์ว่าตน ‘ทันเห็น’

    ถัดจากนั้นคือภาพเคลื่อนไหววูบวาบที่รวดเร็ว คล้ายเกิดการสำรอกสิ่งที่เก็บกักไว้ในกล่องความจำ รู้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นภาพเหตุการณ์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่อาจกล่าวว่า ‘ครบถ้วน’ เพราะถ้าชีวิตคือภาพยนตร์ นี่ย่อมมิใช่การฉายหนังซ้ำอีกรอบ แต่เป็นการคัดเฉพาะ ‘สาระ’ การกระทำที่เกิดขึ้นโดยอาศัยเวทีชีวิตฉากนี้มาทบทวน เพื่อประมวลแล้วคัดเลือกทางไปของตนตามยถา

    ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น ถ้าหากจิตเป็นกลาง น้ำหนักของกรรมที่ทำประจำจะดันตัวเองขึ้นมาก่อน และลากจูงภาพเหตุการณ์สอดคล้องตามมา ทว่า ณ บัดนี้จิตเอียงข้างกุศล และเป็นกุศลหนักยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยการพิจารณาเห็นอนัตตธรรมในกาย หรือด้วยการเปล่งวาจาอโหสิแก่เจ้ากรรมนายเวร จัดเป็นกรรมใกล้ตายหรือ ‘อาสันนกรรม’ ฝ่ายกุศล ภาพเหตุการณ์ที่ถูกลากจูงมาจึงล้วนเสริมกำลังจิตให้เห็นราวกับบำเพ็ญแต่บุญกุศลมาทั้งชีวิต

    ผุดภาพสารพัน ที่ฝังลืมไปแล้วสนิท เช่นครั้งประถมอ่านนิทานธรรมะเกี่ยวกับพุทธประวัติ รู้สึกสนุกระคนซาบซึ้ง เลยหยิบยื่นให้เพื่อนบางคนที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องสมุด ชักชวนให้อ่านตาม เพียงด้วยใจคิดว่าอยากให้เพื่อนได้รับรสน่ายินดีเช่นตน ภาพนั้นที่ปรากฏในบัดนี้เห็นเป็นบุญนิมิตสว่างไสวน่าปลาบปลื้มยิ่งกว่าตอนเป็นตัวตั้งตัวตีรณรงค์ชักชวนบริจาคหนังสือสมัยร่วมกิจกรรมมหาวิทยาลัยเสียอีก

    เคยเห็นมดตัวหนึ่งตกลงไปในส้วมซึมที่โรงเรียน รู้สึกสงสารเมื่อเห็นมันดิ้นกระแด่วอย่างจะตายมิตายแหล่ จึงอุตสาหะช่วยเหลืออย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งที่รังเกียจน้ำในส้วมจะแย่ ยังเพียรแหย่ปลายนิ้วไปช้อนมันขึ้นมา ต้องทุ่มเวลา ทุ่มกำลังฝืนใจอยู่อึดหนึ่งกว่าจะสำเร็จ บังเกิดความโล่งอกผ่องแผ้วที่สามารถ ‘ช่วยชีวิต’ นั่นไม่ใช่บุญเล็กน้อยอย่างที่เคยนึก เพราะแม้มดจะตัวเล็ก ไม่ใช่นาบุญใหญ่ ทว่าก็เป็นสัตว์มีวิญญาณ เมื่อสละเวลาพยายามเข้าช่วยเต็มกำลังแล้ว กลายเป็นการเพิ่มเชื้อความดีได้อย่างมหาศาล ฝึกจิตไม่ให้ดูดายแม้ความเดือดร้อนเพียงเล็กน้อยของผู้อื่น

    กองบุญเป็นภูเขาเลากา เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง สว่างมาก สว่างน้อย รายเรียงยืดยาว ในภาวะเหมือนแล่นเรือเร็วไปในทะเลกุศลนั้น มีบางภาพกระเพื่อมขึ้นมาฉุดให้เขวบ้างเหมือนกัน เช่นที่เมื่อเช้าเกิดความคิดอยากขจัดขวากหนามของตน คือผู้หญิงอีกคนของเกาทัณฑ์ทิ้ง นับเป็นเชื้อปาณาติบาตขั้นแรงอย่างหนึ่ง ยังดีหรอกที่เวลาในชีวิตหดสั้น ไม่ทันบ่มเพาะจนเข้าขั้นฟักตัวเป็นการลงมือทำจริง

    หรืออีกภาพเช่นที่เคยกล่าววาจาเผ็ดแสบให้ผู้บังเกิดเกล้าเสียใจจนแน่นหัวอก อันนั้นก็ทันได้สำนึกและขอคำอโหสิแล้ว เป็นอันว่าแผ่วลงจนไม่มีอำนาจมานำทางเกิด หรือเด่นขึ้นเป็นชนกกรรมได้ สรุปคืออกุศลกรรมหนักๆคล้ายแมลงสาบที่พยายามกระดืบมุดให้รอดจากใต้พรมขาวหนาหนักผืนใหญ่ ปรากฏได้เพียงระลอกคลื่นลูกเล็กนิดเดียว ไม่ทันมีโอกาสผ่านได้พ้นปลายพรมขึ้นแสดงตัวแจ่มชัดว่าข้าคือแมลงสาบรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ก็ขาดใจตายเสียก่อนในระหว่างทางนั่นเอง

    ภวังคจิตคือตัวสร้างภพนี้เป็นธรรมชาติลึกซึ้ง ระหว่างมีชีวิตซุ่มนิ่ง คล้ายถูกกำหนดให้ซ่อนตัวไว้เปิดไต๋ในขั้นสุดท้าย ให้ระทึกว่าเป็นเรื่องหลอกหรือของจริง

    ต่อให้คนเชื่อว่าภพชาติมี ก็ใช่จะเห็นแจ้งลึกลงไปในดวงจิตอันนึกว่าเป็นของ ‘ตน’ แท้ๆ จิตนั้นมีชั้นการทำงานพิสดารสุดหยั่ง เช่นตัวก่อภพจะอยู่ในภาวะภวังค์ ไม่เชื่อมต่อกับสำนึกคิดอ่านผิวเผิน จะถูกหยั่งเห็นและเข้าใจกระจ่างแจ้งได้ในอีกภาวะที่อยู่เหนือสำนึก ซึ่งภิกษุในพุทธศาสนา และฤาษีชีไพรนอกพุทธศาสนา ต่างเห็นกันมาช้านาน ทว่าปริปากบอกเล่าให้คนธรรมดาทั้งหลายรับฟังเป็นภาษาพูดแล้ว เรื่องจริงก็กลายเป็นโกหกไป หรืออย่างดีก็น่าคลางแคลงอย่างนั้นอย่างนี้

    จิตที่บริสุทธิ์ของพระอรหันต์จะสะเด็ดสิ้นแล้วจากภาวะสร้างภพ เพราะตัวสร้างภพถูกประหารด้วยไฟล้างทั้งสี่ดวงอย่างเด็ดขาด ตั้งต้นด้วยโสดาปัตติผล ลงท้ายที่สุดด้วยอรหัตตผล จังหวะสุดท้ายของชีวิตนี้เองคือผลลัพธ์สูงสุดของพระพุทธศาสนา วิสุทธิจิตจะไม่ปฏิรูปตัวให้อยู่ในลักษณะก่อภพใหม่ เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กายสลายแล้ว ตัวรู้แท้อันวิสุทธิ์จะรวมลงกับนิพพานอันเป็นปรมังสุขขังและปรมังสุญญัง เหมือนน้ำในแก้วที่ไหลลงเป็นอันเดียวกับมหาสมุทร น้ำนั้นไม่หายไป แต่ก็ไม่อาจกล่าวว่าอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ทรงอยู่ในอิสรภาพสถาวร ไม่เวียนว่ายเสวยทุกข์จากการครองอัตภาพที่เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีกต่อไป

    แต่หากยัง ‘อยากเป็น’ อะไรอยู่ จิตยังมีการฉายสาระชีวิตที่เพิ่งตกล่วงให้ตนเองดู ยังถูกเกาะเกี่ยวห่อหุ้มด้วยกุศลและอกุศล ยังอุปาทานไปว่านี่ใจเรา นี่ร่างเราตาย นี่กรรมเราก่อ ก็ยังต้องเดินหน้าปฏิรูป สืบทอดภาวะปรุงแต่งต่ออีกเช่น ณ บัดนี้…

    เวลาผ่านไปเท่าใดยากจะกำหนด คล้ายเบื้องบนเปิดโล่งออกให้แสงโพลนสาดเต็มกระจ่างจ้า เป็นการทอแสงฉ่ำละอองใสระยิบระยับ แผ่ซ่านลงมาประหนึ่งจะอาบรดดวงวิญญาณให้สะอาดใสพรักพร้อม และเพื่อบอกให้เชื่อเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร เดี๋ยวกำลังจะได้ไปไหน

    จิตผู้รู้หลงเพลินพิสมัยในแสงสวย เนานิ่งเป็นสุขกับการถูกละอองทิพย์ชโลมอาบ หากกล่าวเป็นภาษามนุษย์ จิตนั้นคงรวมความรู้สึกปีติเป็นล้นพ้นลงเป็นคำๆเดียวซ้ำๆว่าดีใจ...ดีใจ

    เมื่อเห็นแสงทิพย์ ก็แปลว่าสภาพของตนเป็นทิพย์ด้วย เพราะถูกพิพากษาจากจิตอันเห็นกรรมรวมแล้ว และนั่นเองภาวะเคลื่อนจากภพเดิมไปสู่ภพใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น อย่างที่เรียก ‘จุติจิต’ กายทิพย์เริ่มปั่นตัวอย่างแรงแบบฉับพลันทันใด จนมุมมองจากความรู้สึกภายในปรากฏเหมือนถูกดูดผ่านเกลียวท่อที่มีความสว่างทางปลายอีกด้านหนึ่ง ซึ่งมีแรงหมุนรับชนิดเดียวกันรออยู่

    ผู้เคยเฉียดความตายจะเห็นและกลับมาเล่าว่าตนกำลังเข้าสู่อุโมงค์ ผู้มีตาทิพย์ที่มองจากภายนอก เห็นเข้ามาในภาวะการตายเท่านั้น จึงหยั่งทราบว่าแท้จริงเป็นการปั่นตัวของจุติจิต ซึ่งถ้าเคลื่อนจริง ถึงภพใหม่จริงแล้ว จะไม่มีวันกลับมาเข้าร่างเก่าได้เลย ที่ยังกลับได้ก็เพราะอยู่ในภาวะครึ่งๆกลางๆ หรือเรียกครึ่งผีครึ่งคนเท่านั้น

    วิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือนแก้วเคลื่อนเข้าหาปลายทางทิพยา จิตหมุนติ้วในภาวะปฏิสนธิ ยังเหมือนอยู่ในเกลียวอุโมงค์ แต่กลับฟากมุมมองกันกับคราวแรก คือครั้งนี้เป็นมุมมองย้อนลงต่ำ ปราศจากอุปสรรคและเหตุให้ย้อนกลับใดๆ ถัดจากนั้นทุกอย่างก็สงัดนิ่ง ปราศจากความรับรู้เป็นครู่ เหมือนสลบไสลชั่ววูบ กระบวนการทั้งหมดดำเนินด้วยวิถีธรรมชาติ ไม่ขึ้นกับความคิด ความเชื่อทางศาสนาไหน

    ร่างทิพย์ผุดเต็มก่อน เป็นพานทองรองรับความรู้สึกในตัวตนวาระแรก จิตที่ยังประกอบพร้อมด้วยอุปาทานคล้ายเห็นไปว่า ‘ตน’ ออกจากฝัน เปลี่ยนแปลกสู่ความเต็มตื่น เปลือกตายังปิดสนิท แต่เห็นและสัมผัสจากภายในถึงความลออองค์ สภาพละเอียดอ่อนสุขุมแสนประณีต มหิทธิอำนาจที่อัดแน่นแล่นตลอดเรือนกายทำให้เกิดพลังรู้แช่มชัดน่าตื่นใจ ตระหนักในบัดดลว่าสิ่งนี้เองเรียกทิพยสภาพ แดนนี้เองคือสรวงสวรรค์!!

    ระลึกได้ในขณะจิตเดียวว่าตน ‘ย้าย’ จากความเป็นมนุษย์ผู้หญิงชื่อเรือนแก้วมาเป็นโอปปาติกะ หรือร่างอันบันดาลขึ้นด้วยวิบากกรรม เกิดผุดและโตเต็มตัวทันที

    แต่หากมองจากมุมของผู้เคยเข้าถึงความเกิดดับสืบเนื่องในธรรมชาติ จะหยั่งเห็นด้วยตัวรู้ที่เป็นกลางว่าสภาพมนุษย์ดับลงในขณะแห่งจุติจิต แล้ว ‘สืบทอด’ เป็นสภาพเทวนารีในขณะแห่งปฏิสนธิจิต มิใช่สิ่งเดียวกัน เป็นต่างหากจากกันแล้ว ประมาณเดียวกับหัวไม้ขีดที่ลุกโพลงขึ้นชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเพื่อต่อไฟให้ไส้เทียน พอหมดหน้าที่ก็ดับลง เป็นคนละอันกับไฟเทียน ทว่าสืบทอดความลุกไหม้ เปล่งสว่างมาครบทุกประการ

    ความสำคัญมั่นหมายอันเป็นวิสัยธรรมดาของสัตว์ในสังสารวัฏนั่นเอง ทำให้เกิดการมองไปว่าตนย้ายจากสภาพหนึ่งมาเป็นอีกสภาพหนึ่ง พยานหลักฐานคือความคิด ความจำที่สืบทอดมาครบถ้วนในบัดนี้ จำได้สนิทว่าตน ‘เคย’ ชื่อเรือนแก้ว พ่อแม่เป็นใคร ทำสิ่งใดไว้บ้าง รู้จักผู้คนและส่ำสัตว์ในโลกมนุษย์มาแค่ไหน และล่าสุดคือดับดิ้นสิ้นชีพเพราะเหตุเภทภัยใด

    ค่อยๆเผยอเปลือกเนตรขึ้นจนเต็มหน่วย ภาพกระจ่างตรงหน้าคือเรือนอาศัยแห่งตน โปร่งโล่งอาภาควรแก่ความสบายใจ ชะงักรีรออยู่เป็นครู่ ตระหนักรู้ว่ากำลังอยู่ที่ใดแน่แล้ว จึงค่อยๆหมุนองค์ เพ่งพิศสมบัติอันหยั่งทราบว่าเป็นของตนด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ พื้นนิสัยช่างสังเกต ชอบกวาดเก็บรายละเอียด ทำให้แลทะลุไปทุกซอกมุมแบบไม่ยอมให้อะไรตกหล่นจากความรับรู้ไปแม้แต่ชิ้นเดียว

    เทวดาและนางฟ้าเกิดใหม่ที่ผุดขึ้นในวิมานตนเองมักมีอาการคล้ายกันเช่นนั้น คือยิ้มกว้างจนสุด และกวาดพินิจสมบัติด้วยความตื่นตาเป็นอันดับแรก กึ่งๆจะประหลาดใจอยู่บ้างกับการเปลี่ยนอัตภาพ พิสูจน์ประจักษ์ตาว่าความดำรงอยู่ต่างมิติไปจากมนุษย์นั้นมีอยู่จริง เมื่อพ้นจากความประหลาดใจในวูบแรกแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นเห็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องพิเศษมากมายนัก เนื่องจากวิสัยสามัญของดวงจิตเทพมีลักษณะรู้ชัดตลอดสายในขอบเขตแห่งตน ไม่ต้องผ่านกระบวนกลั่นกรองเป็นขั้นลำดับจากชั้นเรียนอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษาเยี่ยงมนุษย์แล้วค่อยแน่ใจว่าตนเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นอะไร มีกิจธุระหน้าที่ให้รับผิดชอบประการใดบ้าง

    โดยรอบคือผนังทั้งสี่ กำเนิดจากธาตุอันหาที่เปรียบบนโลกมนุษย์ไม่เจอ เพราะหากกล่าวว่าเป็นแก้ว แม้บ่งว่าเป็นผลึกเจียระไนอันสูงค่า ก็จะชวนให้นึกถึงวัตถุโปร่งใสสามัญเสียก่อน ซึ่งเปรียบอย่างไรก็ไม่สมน้ำสมเนื้อเลย คงพอกล่าวได้แค่เพียงว่าตัวเรือนวิมานของนางเป็นธาตุทิพย์เหลืองเรื่อทองอันงามเกินพรรณนาชนิดหนึ่ง ดูไม่กระด้าง สะท้อนรับแสงทิพย์จะเรืองรองละไม มองแล้วเกิดความรู้สึกอ่อนอุ่น ปลอดภัยไร้กังวล ขณะเดียวกันก็รักษาสภาพเย็นพอดีกาย น่าชอบใจไว้ด้วย

    ทุกรูปทุกเหลี่ยมทรงในห้องอันประดับประดาด้วยเครื่องแก้วแพรวประหลาดนั้น ดูสดสีอลังการและชัดกริบ เสมอดุล ไม่แหว่งบิ่น ไร้รอยขีดข่วน ปราศจากที่ติอย่างสิ้นเชิงในการแลพินิจด้วยคมเนตรอันกว้างขวางไร้มลทิน จักษุเทวดาไม่มีหยากเยื่อสกปรกบรรจุอยู่ข้างใน ไม่มีการบกพร่องแบบสายตาสั้นยาว ไม่มีการเขเอียงหรือชำรุดทรุดโทรมตามปัจจัยต่างๆ เนื่องจากอยู่ในสภาวะทิพย์ทั้งแท่ง ดังนั้นเมื่อประจวบเข้ากับรูปทิพย์จึงเป็นการเห็นอันวิสุทธิ์ ความสุขและความรู้สึกทั้งมวลที่เกิดจากการเห็นจึงพลอยประณีตลึกซึ้ง เป็นคนละระดับชั้นกับการเห็นในแบบมนุษย์เบื้องล่าง

    สถาปัตยกรรม เครื่องนั่งนอน และของประดับในวิมานเทพนั้นปฏิรูปไปตามความคุ้นของจิต มิได้มีการเจาะจงลงตัวว่าต้องเป็นของประเทศไหนสมัยใดอย่างที่หลายคนถกเถียงกัน ธาตุทิพย์ก็เหมือนธาตุหยาบที่ผสานสร้าง ปรับแปรรูปได้เป็นอสงไขย อีกทั้งผสมแนบเนียนกลมกลืนกันยิ่งกว่าธาตุหยาบ เพราะปราศจากข้อจำกัดทางกายภาพให้คำนึงถึงเช่นการเข้าต่อ การเชื่อมติด และการค้ำกันแบบของแข็งในพิภพมนุษย์ อีกทั้งธรรมชาติการผูกรูปสร้างสรรค์นั้น เป็นไปด้วยความพิสดารพันลึกแห่งอำนาจทิพย์ มิใช่ความฉลาดรังสรรค์ของสถาปนิกและวิศวกรมือเอกแต่อย่างใด

    เช่นปรากฏเบื้องหน้านางในบัดนี้ คือ ‘ห้องรับแขก’ ที่แม้ประดับด้วยสมบัติน้อยชิ้น แลดูเพียงผาดจะ ‘คล้าย’ ที่เคยเห็นในบ้านเศรษฐีมั่งคั่งยุคปัจจุบัน เช่นมีชุดโซฟา ตรงกลางมีโต๊ะ มีแจกันดอกไม้ ผนังห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนเช่นชั้นวางเครื่องแก้วบ้าง ศิลปแขวนลอยบ้าง แต่ก็ผิดแผกพิสดารกว่าในเนื้อหาที่พอจำแนกได้ชัดหลายประการ

    โดยความเป็นเครื่องประดับนั้น ทุกภพภูมิจะมีลักษณะร่วมกันอยู่ประการหนึ่ง ได้แก่ความมันเงาวาววับ สีสดเล่นเลี้ยวตัดกันจับตา เห็นแล้วควรเบิกตาตะลึงแล หากเป็นอัญมณีชั้นสูงของมนุษย์ ก็จะมีอำนาจในตัวเอง เป็นบารมีใหญ่แก่เจ้าของ สัมผัสได้ด้วยใจ และกระทั่งวัดได้ด้วยเทคโนโลยีตรวจค่าสนามพลังในยุคปัจจุบัน

    แต่สมบัติของเทพผู้มีวาสนาแก่กล้า มักเลิศล้ำพันลึกจนเกินสติปัญญาของสามัญมนุษย์อาจคิดสร้างเลียนแบบ ยกตัวอย่างเช่นแจกันใส่ดอกไม้บนโต๊ะ มนุษย์จะคิดเพียงชั้นเดียว คือเอาไว้ปักดอกไม้งาม ลวดลายแกะสลักหรือวัสดุเนื้อดีที่ใช้ประดิษฐ์ล้วนเป็นไปเพื่อปรุงแต่งเสริมเติมให้บรรดาดอกไม้สีสดดูมีค่ายิ่งขึ้นตามครรลองตาเนื้อของผู้คน

    ทว่าแจกันที่เห็นวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องเบื้องหน้า ที่มีเนื้อใสพอให้นึกเทียบเคียงกับแก้วผลึกเจียระไนชั้นเลิศนี้ ตีค่าได้มากมายเป็นเอนก ต้องดูกันเป็นข้อๆ ลองว่าเฉพาะความเป็นเครื่องประดับที่ปรากฏให้เห็นก่อน ทั้งความงามงดของเนื้อแก้วก็ดี แสงทิพย์ที่สาดกระทบก็ดี นัยน์เนตรอันปราศจากฝ้าธุลีแห่งนางเองก็ดี รวมแล้วก่อให้เกิดจักขุวิญญาณ หรือการรับรู้ทางคลองเนตรอันสุขุมวิจิตร บันดาลสุขเวทนาให้เติบตามวิถีสวรรค์ หากจะนึกอนุมานถูกว่ามองแล้วอิ่มสุขปานใด ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่ผ่านอุปจารสมาธิ เสพมหาปีติเป็นภักษามาแล้วสักครั้ง

    ความแตกต่างมิได้สิ้นสุดเพียงการเห็นภายนอก เพียงมองแวบเดียวนางก็รู้ทันทีว่าภายใต้ความงามยังแฝงซ่อนคุณสมบัติที่บุญฤทธิ์ ‘ออกแบบสร้าง’ ไว้อย่างน่าทึ่งอีกหลายประการ ประยุกต์ใช้ได้ตามปรารถนาหลากหลาย ชนิดที่ความคิด ความฉลาดออกแบบของมนุษย์ไม่มีวันไต่ระดับมาได้ถึง

    เช่นนางเรียนรู้ได้ในอึดใจแรกว่าเมื่อส่งป้อนคลื่นความสุขจากใจเข้าหา จะเห็นแจกันดอกไม้แปรสภาพเป็นกระจกเงามหัศจรรย์ คือเปล่งประกายบรรเจิดจรัส เกิดกราวเสียงกรุ๊งกริ๊งเสนาะนุ่ม ส่งกลิ่นหอมเกินตัวดอกไม้ที่ปักอยู่ รวมทั้งรำเพยละอองไอฉ่ำชวนฝันกลับมา ยกระดับความสุขที่มีอยู่เดิมให้ขยายผลขึ้นได้ เนื่องจากส่งใจไปทีเดียว สะท้อนกลับมาเป็นผัสสะถึงสี่ช่องทางพร้อมกัน คือตาเห็นรูปงามขึ้น หูได้ยินเสียงไพเราะขึ้น จมูกได้กลิ่นหอมขึ้น และกายได้สัมผัสละเมียดขึ้น

    สิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายบนโลกมนุษย์เป็นเครื่องสะท้อนว่าเมื่อวัตถุใดเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับจิตวิญญาณที่มีสติปัญญาและเจตจำนงรังสรรค์แล้ว มักเกิดรูปก่อร่างเพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์หนึ่งๆที่ชัดเจน เช่นทำแก้วให้เป็นแจกันปักดอกไม้สวยวางอวดบนโต๊ะรับแขก

    แต่บรรดาเครื่องประดับบนโลกสวรรค์นั้น เป็นเครื่องสะท้อนว่าถ้าธาตุทิพย์เข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับวิญญาณที่มีบุญฤทธิ์ระดับสูงเข้าแล้ว จะเกิดรูปก่อร่างเพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งลากจูงส่วนสัมพันธ์อันแหวกแนวเกินจินตนาการมนุษย์มาด้วย ชนิดที่ยิ่งวิเคราะห์เป็นลำดับจะยิ่งน่าเกาหัวงุนงงไม่รู้จบ ของชิ้นเดียวสามารถรวมความหลากหลายไว้ในตัว แม้บางชิ้นรูปร่างหน้าตาคล้ายที่เห็นบนโลก ก็พิสดารกว่ากันจนสมควรบัญญัติศัพท์เฉพาะใหม่มาใช้แทนเลยทีเดียว เช่นแจกันนี้ ที่อาจใช่ทั้งเครื่องปักแสดงดอกไม้ และกระจกเงาขยายคลื่นความสำราญให้แก่เทพผู้เป็นเจ้าของอีกโสด จึงไม่น่าเรียก ‘แจกัน’ เฉยๆแล้ว

    นางยังพบในภายหลังอีกว่าเครื่องประดับและเครื่องเรือนหลายต่อหลายชิ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างด้วยเครื่องมือตัดแต่งใดๆ เนื่องจากสถานภาพแข็งแกร่งและอำนาจพลังในตัวเองของพวกมัน ไม่อาจหาธาตุทิพย์ด้วยกันอันใดกัดเซาะให้เกิดลายสลักหรือรอยตัดแบ่ง การก่อรูปของสมบัติสวรรค์จึงมักบันดาลขึ้นจากบุญฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์ของบรรดาเทพเจ้า ซึ่งครอบงำอยู่เหนือธาตุทิพย์ทั้งหลายทั้งปวง

    ของบางชิ้นมีลวดลายละเอียดยิบ ชนิดที่ถ้าตกไปถึงมือคน และคิดสร้างเลียนแบบด้วยวัสดุมีค่าใกล้เคียงที่สุด ก็จะต้องอาศัยเทคโนโลยีการตัดแต่ง โม่บด สลักลาย และขัดมันล่าสุดเป็นเวลานับสิบหรือนับร้อยปีต่อเนื่องกันไม่พัก โดยผลสุดท้าย แม้ละเอียดประณีตปานใด ก็ยังต้องตกค้างร่องรอยการตัดแต่งด้วยเครื่องมือ ถึงมองตาเปล่าไม่เห็น ก็อาจพิสูจน์ได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน ทว่าสำหรับสมบัติเทพแล้ว ต่อให้เครื่องมือขยายประสิทธิภาพสายตาที่ยิ่งกว่ากล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนกี่พันเท่า ก็จะไม่พบร่องรอยเครื่องมือตัดแต่งเลยแม้เท่าธุลี

    ว่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตเทพกับเนื้อแก้วทิพย์ ก็มีสิ่งน่าสังเกตหลายประการ โดยเฉพาะแก้วที่กำเนิดด้วยบุญเก่าเพื่อเป็นสมบัติทิพย์เฉพาะของเทพแต่ละองค์ เมื่อนางทดลองมองลงไปในเนื้อแก้วจนจิตดิ่งและด่ำดื่มเหมือนฝันหวานล้ำลึก ก็สามารถเล่นกับคลื่นความหฤหรรษ์ แปรสุขเวทนาให้เป็นต่างๆหลากรูป จินตนาการด้วยสมองอันจำกัดด้วยผัสสะห้าธรรมดาไม่ได้

    เรื่องนี้พอเทียบกับสิ่งที่สามารถตรวจวัดด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์บนโลกมนุษย์ เช่นการเพ่งมองแก้วคริสตัลก้อนใหญ่ๆด้วยจิตที่เป็นหนึ่ง แก้วคริสตัลจะทำตัวเป็นหม้อเก็บกำลังแม่เหล็ก ส่วนสายตาที่เพ่งติดกับพลังแม่เหล็กในแก้ว ก็พลอยจะทำตัวเป็นผู้ก่อกระแสสัมพันธ์อันกลมกลืนระหว่างคริสตัลกับมนุษย์ โดยกระตุ้นกำลังแม่เหล็กที่สะสมอยู่ในสมองส่วนที่เรียก ‘ซีรีเบลลั่ม’ ให้แผ่ผ่านแก้วตาออกมาอย่างเข้มข้น

    ผลที่เกิดขึ้นเมื่อจดจ้องอย่างเต็มกำลังอยู่พักหนึ่ง จนได้อย่างน้อยขณิกสมาธิ คือสนามพลังที่ไหลวนอย่างต่อเนื่องระหว่างขั้วแม่เหล็กที่เป็นวัตถุ กับขั้วแม่เหล็กฝั่งชีวภาพ ทวีกำลังในสัดส่วนที่ให้ผลกระตุ้นสมอง ก่อปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้หลากหลาย นับตั้งแต่การเล่นแร่แปรธาตุ ผันกระแสสุขให้ล้ำรสนานาด้วยจินตนาการเหนือสามัญ จนหลงงมงายถอนตัวไม่ขึ้น หรือใช้ไปในทางสร้างสรรค์เช่นปรับเปลี่ยนคลื่นสะท้อนของคริสตัลให้เข้ากันกับคลื่นชีวิตของผู้ป่วย เพื่อรักษาโรคร้ายแบบหมอเทวดา ไปจนกระทั่งตรวจดูเหตุการณ์อดีตและอนาคต แบบเดียวกับแม่มดเพ่งลูกแก้วก็ได้อีก

    ปรายเนตรสำรวจตนเอง นางยืนสงบอยู่ในอาภรณ์สีคราม ชายภูษากรุยกรายกรอมเท้า เนื้อผ้าเนียนละเอียดเยี่ยงแพรพรรณวิเศษอ่อนนุ่มสมรูป ทรงอิสริยาภรณ์อันเนรมิตขึ้นด้วยวิบากกรรมอลังการสมตัว ได้แก่มงกุฎ สร้อยคอ กำไล เข็มขัด สร้อยข้อเท้า แล้วด้วยอัญมณีที่คล้ายเพชร ทว่าเรืองรองโชติไสวจับตาบาดใจกว่ากันลิบลับ จับมองแล้วเคลิ้มหลง ดึงดูดให้เพ่งพินิจติดจิตติดใจแทบถอนไม่ขึ้น เป็นอัญมณีประจำตัว เปล่งพลังที่สมศักดิ์ศรีบารมีตน ไม่ต้องคำนวณจากวันเดือนปีเกิด ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองแสวงหา มาถึงสวรรค์ก็มีติดตัวพร้อมสรรพพอดิบพอดีบารมีแรกเกิดแล้ว

    ตลอดสรรพางค์กายหาข้อ หาปุ่มปมสะดุดไม่เจอเลย ทุกส่วนเกลากลึงแนบเนียน แม้กายทิพย์ถอดแบบอาการสามสิบสองครบถ้วนมาจากรูปมนุษย์ ก็มิได้ทรงขึ้นด้วยกระดูกฉาบเลือดเนื้อสกปรก ผิวพรรณแม้นวลเนียนมีน้ำมีนวลน่าจับต้องเยี่ยงเพศอิตถี ก็ฉาบฉายด้วยรังสีสว่าง บาดตารัดรึงใจยิ่งกว่ามนุษย์ผู้หญิงผิวงามที่ว่าล้ำเลิศนักหนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางถือกำเนิดด้วยอโทสะ จึงมีรัศมีสว่างงามอาภาจับตาเป็นพิเศษ ล่วงแม้เทพด้วยกัน

    ทั้งเมื่อลองลูบไล้สัมผัสแล้ว ก็พบว่าเนื้อทิพย์นุ่มนิ่มยวนใจผิดกันเป็นคนละเรื่อง เหมือนไล้ผ้าดิบหยาบหนาแล้วเปลี่ยนมาไล้แพรพรรณละเอียดเทียบ เนื่องจากความนิ่มของผิวมนุษย์นั้นได้มาจากมัดเนื้อและไขมันสกปรกข้างใต้ ดูไปเหมือนถุงใส่อึ พื้นผิวรอบตัวจากหัวจดเท้าเอาไว้กันอึไหลเปรอะเปื้อนมากกว่าเอาไว้เสพสัมผัส ส่วนความนิ่มของผิวเทวดาจะได้มาจากเนื้อทิพย์อันกำเนิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่เย้ายวนโดยเฉพาะ มิใช่เพื่อปิดบังสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดอันใดเบื้องใต้เลย

    รัศมีเทพเป็นแสงกระจายออกมาจากรอบกายทิพย์ทุกทิศทุกทาง ประจักษ์ได้ทั้งจากใจตัวเอง และจากการมองด้วยสายตาวิญญาณอื่น แต่ละองค์มีรายละเอียดของสีและความพิสดารแตกต่างกันไป โดยมากปรุงแต่งโดยอาจิณณกรรมเป็นหลัก แต่ก็มีกรณีพิเศษเช่นรัศมีนางออกสุกใสสว่างล้ำ ด้วยเพราะขาดใจตายจากความเป็นคนด้วยการอโหสิจากใจจริงที่ปล่อยวางนั่นเอง

    ขยับเรือนกายอันแห้งสะอาดและเรียบลื่น แล้วทราบว่าตนหอมไปทุกซอกทุกมุม ลมหายใจเข้าออกกายทิพย์ก็ดี ลมปากที่ลองพ่นออกมาก็ดี บอกนางอย่างถนัดชัดว่าในร่างนี้ไม่มีโพรงเก็บน้ำเน่าและลมเสียเลยแม้แต่เพียงน้อย

    และด้วยประจักษ์สภาพองคาพยพอันประณีตล่วงภาวะหยาบนั้น ทำให้นางรู้ทันทีว่าสิ่งใดมนุษย์เสพ สิ่งนั้นเทพเสพด้วย แม้การร่วมอภิรมย์อันอาศัยสองเพศพรรณ ที่ฝ่ายบุรุษประหนึ่งจะรุกล้ำทำร้าย และฝ่ายสตรีคล้ายถูกทารุณโดยสมยอม ก็ปรากฏอยู่บนชั้นภูมิที่นางถือกำเนิดเช่นกัน ทว่าสุขเวทนาอันได้เรือนทิพย์เป็นแดนเกิด ย่อมน่าพิสมัยเหนือชั้นกว่าที่เกิดขึ้นโดยอาศัยกายอันกระดำกระด่างช้ำเลือดช้ำหนองของมนุษย์มากมายนัก

    ความละเอียดชัดลึกและลักษณะคงที่ ปราศจากความเมื่อยขบ ปราศจากวัยเยาว์ วัยกลางคน และวัยชรา หาเชื้อโรคน่ารำคาญมิได้ รวมกันเหล่านี้เองชวนให้หลงทึกทักง่ายๆว่าเทวดาเป็นอมตะ อยู่ยั้งค้ำฟ้าไปชั่วนิรันดร์

    ทอดเดินเนิบเนือยมายังช่องประตูด้านหนึ่ง พื้นราบเสมอกันดุจพรมหยุ่นนิ่ม เบื้องนอกคืออุทยานทิพย์ ละลานตาด้วยรุกขชาติอันงามงด ได้แก่ดอกไม้รูปลักษณะพิสดารหลากสีและพฤกษาชะอุ่มเขียวขนัดแน่น เกิดปีติฉีดแรง จิตใจเบิกบานสว่างไสว แย้มยิ้มยินดีในสภาพเกิดใหม่ของตนอย่างต่อเนื่อง

    เรียนรู้ทันทีว่าเบื้องบาทของนางมีไว้เดินหรือยืน มิใช่เพื่อวิ่งหรือกระโดด และนางก็เดินเอากิริยาเคลื่อนไหวอ่อนสลวยสง่างามภายในวิมานไปอย่างนั้นเอง แท้ที่จริงมีวิธีง่ายกว่ากันมาก คือทำกายให้อยู่ในสภาพแล่นลิ่วตัดตรงไปยังตำแหน่งที่ต้องการทันที เนื่องจากน้ำหนักตัวที่รู้สึกคือน้ำหนักบุญญานุภาพในร่างทิพย์ เป็นอิสระไม่ถ่วงหนัก กำหนดควบคุมได้ดังปรารถนา แต่ทั้งนี้ใช่ว่าจะลอยเท้งเต้งเป็นลูกโป่ง โดยเดิมมีพันธะคล้ายแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อกายทิพย์ให้ติดพื้น ทว่าธรรมชาติของกายทิพย์อยู่เหนือการดึงดูด แต่ไปอยู่ในอำนาจเต็มของเจตจำนงแทน

    หมายเนตรไปยังสระโบกขรณีที่แผ่กว้าง ราบเรียบเป็นกระจกอยู่เบื้องไกลออกไป กำหนดนึกนิดเดียวว่าพอใจจะประดิษฐานตนเหนือน้ำ พลันทิพยรูปแห่งตนก็เกิดกำลังผลักดันจากภายใน มีทิศดิ่งตรง เคลื่อนวืดพริบตาเดียวย้ายตำแหน่งไปปรากฏยืนเหนือกลางน้ำใกล้กอบัวแก้ว ซึ่งเห็นกระเพื่อมรับฤทธา แลน้ำไหวเป็นระลอกริ้ววงคลื่นละเลื่อมพราย

    หันกลับมาทอดทัศนาภูมิภาพรอบเรือนในครอบครองแห่งตน เห็นเค้ารูปวิมานเรื่อทองละไมตา รูปทรงลดหลั่น เหลี่ยมตัดไปตัดมาสลับซับซ้อน กว้างใหญ่สมกรรม ประดับยอดโดมตรงกลาง คล้ายตึกทันสมัยในโลกมนุษย์ ทว่าช่องหน้าต่างปราศจากบานกระจก มีแต่ม่านแบบเดียวกับผืนกำมะหยี่ประดับประดาจากภายใน

    หมู่รุกขชาติที่เรียงรายรอบด้านนั้น บ้างเคยคุ้นตาละม้ายปาล์มพันธุ์สูง บ้างแปลกไปแบบพันธุ์ไม้วิจิตรในจินตนาการ ทรวดทรงชะลูด ปกคลุมด้วยใบบังแสดแดง บ้างเป็นพุ่มเตี้ยหลั่นเหลื่อมเป็นชั้นเป็นแนวสลับสวนหิน ทั้งหมดผสมกลมกลืนลงตัวบนผืนหญ้าขจีอุยนุ่ม เล่นลอนคลื่นเป็นเนินสูงต่ำพอเหมาะพอเจาะ ประกอบกันได้สมดุลไปทุกหย่อมจนแม้นักจัดสวนมือหนึ่งก็อาจนึกไม่ถึง ว่าจะมีการเล่นน้ำหนักและการวางตำแหน่งองค์ประกอบได้จังหวะจะโคนกลมกลืนขนาดนี้

    แปรพักตร์ก้มมองบาทที่แตะผิวน้ำใสสะอาดปราศจากมลทิน ใสจนแลเห็นพื้นทรายทองลึกลงไป สัมผัสของน้ำทิพย์ฉ่ำชวนสำราญบานชื่น เข้าใจในบัดนั้นว่าการลงสรงบนสวรรค์เป็นไปเพื่อความบันเทิงถ่ายเดียว มิใช่เพื่อชำระล้างคราบปฏิกูลที่ไหลเยิ้มออกมาจากทวารต่างๆตลอดวันเฉกเช่นกายอันยัดทะนานด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง ไขมันข้นเหนียวและคูถมูตรแต่อย่างใด

    แหงนพักตร์กางพาหาทั้งสองและคลายหัตถ์ออก ยืดอุระสูดกลิ่นทิพย์อันแสนบริสุทธิ์เข้าจนเต็ม เบื้องบนดูโปร่งโล่งอาภาเป็นอนันต์ไปทุกทิศทุกทาง ไร้ซึ่งเมฆฝอย ดวงอาทิตย์ หรือเทหวัตถุขัดตาทั้งปวง แสงสวยที่ฉายกราดแรงนั้นยิ่งดูยิ่งเย็น ไม่เคืองเนตรเลยแม้แต่น้อย เป็นชนิดเดียวกับที่เห็นก่อนจุติจากอัตภาพเดิมนั่นเอง นึกครึ้มขึ้นมาก็สรวลก้องด้วยสุรเสียงแหลมคม อัดแน่นด้วยพลังหฤหรรษ์สำราญฤทธิ์สะเทือนทุกอณูในละแวกปริมณฑล ดุจจะทักทายไตรตรึงษ์พิภพเป็นวาระแรก

    สายลมทิพย์รำเพยพัดมาหอบหนึ่ง อวลกลิ่นอายอันเป็นปฏิกิริยามงคลตอบทักแก่นาง

    ทดลองภาวะ ‘ดังใจนึก’ โดยการคิดถึงแผ่นน้ำเบื้องล่าง สั่งด้วยอำนาจจิตเหนือสรรพสิ่ง และด้วยอัธยาศัยสนุกรังสรรค์ที่ติดตัวมาจากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ กำหนดให้น้ำมีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่กว่าตัวนางราวสองเท่า ลอยโด่งขึ้นมาเสมอระดับตา ธาตุน้ำอยู่ใต้บัญชาเสียยิ่งกว่าถูกวักด้วยอุ้งหัตถ์ เมื่อรวมเป็นกลุ่มก้อนแล้วไม่มีการรั่วซึมหยดตก เพียงนางพยุงไว้แผ่วๆด้วยลักษณะกำหนดทางจิตคิดมั่นนิดเดียว

    นึกถึงนกนางนวลพลางเพ่งก้อนน้ำ ฉับพลันก็แปรเป็นนางนวลดังปรารถนา ค่อยๆกระพือปีกอย่างแช่มช้อย โผขึ้นสูงตามกระแสจิตที่ส่งบังคับ จิตนางนั่นเองคือปักษาสวรรค์ แผ่ปีกซ้ายขวาขยับโบกพลิ้วว่ายเวิ้งเวหา ดังอาการแห่งนางนวลที่เคยคุ้น รู้สึกถึงตัวตนที่ถูกแบ่งเป็นสองภาค เบื้องล่างเหนือน้ำและเบื้องบนเหินไกลไปทุกทีกระทั่งเห็นเป็นจุดเล็กๆสูงลิบ

    เมื่อเพลินลอยเลื่อนเพียงพอ นางก็สั่งให้นกน้ำวกกลับ คลี่ยิ้มเล็กน้อย ยืนสนิทกับที่รอรับการปักดิ่งเข้าหาของสิ่งที่นางเนรมิตขึ้นเองอย่างไม่ยั่นระย่อต่อแรงปะทะ

    ภาพถลาดิ่งจากมุมทะแยงสูงนั้นขยายจากเล็กเป็นใหญ่อย่างรวดเร็ว ทว่าไม่เสียรูปทรงจากแรงลมต้านเลย หากมองด้วยสายตามนุษย์ก็น่าจะโวยวายขยับเท้าวิ่งหนีการปรี่เข้าชนชนิดนั้นเตลิดเปิดเปิงได้แล้ว เพราะถ้าปล่อยให้กระแทกล่ะก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวได้รุนแรงปางตาย ทว่าในคลองจักษุแห่งเทวนารียามนี้ อย่างดีก็เห็นเป็นแค่สายฝนกลุ่มหนึ่งที่กำลังตกลงมาทำความชุ่มชื่นให้แก่นางเท่านั้นเอง

    แรงปะทะอันทรงน้ำหนักของกลุ่มน้ำกับร่างสะคราญส่งเสียงซูมใหญ่ดุจน้ำตกกระแทกแผ่นหิน กระจายฝอยกระเซ็นซ่านเป็นวงกว้าง ส่งให้นางอัปสรประหวัดถึงการเล่นสงกรานต์อันสนุกสนานบานใจบนโลกมนุษย์ จนต้องแย้มสรวลออกมาดังๆ ความเปียกปอนกำซาบเอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ แล้วกลับเหือดหายในบัดดลเพียงนึกตลอดร่างพลางคิดว่า ‘แห้ง’

    แห้งสบายและสดใสเย็นซึ้งไปทุกอณูผิว ตระหนักว่าบนโลกอันแสนประณีตแห่งนี้ เพียงน้ำทิพย์ในสระบัวก็บันดาลความสราญให้เกิดอย่างล้นเหลือขนาดไหนแล้ว

    สูดลมเข้าอุระ ผนึกจิตคิดกระบวนเนรมิตอย่างต่อเนื่อง ดลกลุ่มน้ำให้รวมตัวพุ่งเป็นลำคดเคี้ยวเลี้ยววงรอบร่างตน ปรากฏเหมือนพญาจงอาง ขึ้นผงาดเงื้อมแผ่แม่เบี้ย แลบลิ้นสองแฉกเหมือนขู่จะฉก ก่อนกระหวัดดุจงูเหลือมรัดฉับ สลายเป็นกลุ่มน้ำสรงกายกระเซ็นเป็นฝอยซ่านไปอีกคำรบ

    เผยอยิ้มกระจ่าง ดวงเนตรสาดประกายกล้าด้วยแรงทะนงในฤทธี จับหมายไปยังภาคพื้นราบที่จากมา แล้วก้าวเดินเนิบเนือยบาทเลียดน้ำ สำเหนียกได้ว่าในกิริยาสามัญภายนอกนั้น ลึกลงไปแฝงด้วยมหาอานุภาพไพศาลสุดหยั่ง นางยื่นหัตถ์ทั้งย่างบาท เพ่งนิลเนตรจับดอกไม้ม่วงไสวดอกหนึ่งไกลออกไป กำหนดนึกว่า ‘มานี่!’ พริบตาเดียวดอกนั้นก็ปลิดจากขั้ววับมาปรากฏบนอุ้งหัตถ์อันอวบอิ่มปราศจากเส้นสายรกตาทันที

    แตะไล้กลีบม่วงใสที่ให้สัมผัสรื่น ผิวกลีบนุ่มนวล ละเอียดอ่อน ลองขยี้เบาๆก็ไม่ช้ำ ไม่เละติดเนื้อเลยแม้เพียงเศษ

    ลักษณะพันธุ์ไม้ในอุทยานของนางเป็นไม้ตัดดอกสีสันสะดุดตาเกือบทั้งสิ้น กล่าวคือเกือบทุกพันธุ์มีก้านยาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง และคล้ายมันมีชีวิตจิตใจ ยิ้มเปิดกว่าไม้ดอกที่เคยรู้จักในโลกมนุษย์มาก มองแล้วสดชื่นชวนยิ้มตอบ น่านำมาใช้ประดับพอกับดูดอกสะพรั่งที่ต้น ส่วนไม้ใบที่มองสัณฐานผาดคล้ายจำพวกโกสนและบอนนั้น ก็มีความงามของใบเขียวที่ให้ความร่มเย็น ชวนเพลินสงบใจในขณะชมอุทยาน

    กระทั่งย่างขึ้นฝั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่สองมือประคองดอกไม้เหน็บประดับเรือนเกศา แล้วตรึกนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาในภพมนุษย์ อัตภาพที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังดูไม่ต่างกับคางคกอัปลักษณ์เท่าไหร่ในความรู้สึกยามนี้ แค่ปฏิกูลที่ไหลเข้าไหลออกทั้งกลางวันกลางคืนก็น่าคลื่นเหียนสะเอียนไส้เหลือจะรับแล้ว ที่จะให้เกิดความไยดี อาลัยอาวรณ์นั้น ไม่มีวันเสียล่ะ

    นางจำความกำหนดหมายและกำหนดรู้ในร่างมนุษย์ได้ถนัด มันคล้ายการหลับฝันที่เลื่อนเปื้อนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ถูกขังอยู่ในข่ายประสาทหยาบอันแคบจำกัด จะรู้อะไรทีต้องคลำ ต้องเพ่งหูเพ่งตาเรียนกันน่าดู กระทั่งจะดึงความจำก็ต้องผ่านเครือข่ายรหัสอันซับซ้อนมโหฬารของก้อนเนื้อหยักๆน่าขยะแขยงที่เรียกว่า ‘สมอง’ เสียก่อน

    ต่างกับบัดนี้ที่ความรู้สึกนึกคิดแปลกเปลี่ยนเป็นบวกไปหมด ไม่ต้องเหนื่อยเพ่งอารมณ์ ใจนางสงบสุข มีสติทรงตัว จึงสำเหนียกรู้การปรากฏแห่งตนและสิ่งกระทบผัสสะคมชัดไปทุกกระดิก อยากรู้อะไรก็มีอภิญญาช่วย ได้ความแน่ใจว่าถูกต้องเป็นแม่นมั่นเสียด้วย

    เหลียวโดยรอบ นางอาจบันดาลสิ่งใดก็ได้ตามปรารถนา หากอยู่ในขอบเขตกำลังฤทธิ์ เช่นบนสวรรค์ไม่มีเดรัจฉาน นางจะเนรมิตให้ปรากฏชั่วคราวแบบภาพลวง ก็เพียงแบ่งภาคจิตสร้างขึ้น หรืออาจดึงวิญญาณบางดวงจากภูมิต่ำมาตรึงไว้กำกับอัตภาพเนรมิตที่สมกัน เช่นรูปผีเสื้อหรือนกเขา

    เทพระดับกลางเช่นนางมีเขตที่อยู่เป็นของตนเอง เป็นไท ไม่ต้องอยู่ใต้อาณัติของเทพองค์อื่น ตรงข้าม อาณาเขตที่สร้างขึ้นจากบุญญานุภาพนี้ จะสามารถเป็นแดนเกิด รองรับเทพองค์อื่นที่บุญน้อย บันดาลได้แค่รูปทิพย์ ขาดถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งถ้ามาถือกำเนิดในแดนของนางด้วยสัมพันธ์อันใดแล้ว ก็จะกลายเป็นบริวารไปโดยปริยาย

    และในภาวะบุญญาธิปไตยนี้ หากนางเหงาหงอยอยู่กับความเป็นไท เป็นเอกเทศแห่งตน เพราะมิได้เกิดในฐานะธิดาหรือชายาเทพองค์ใด ก็อาจเข้าสังสรรค์สมาคมกับหมู่เทพ ตรวจดูบุพกรรมอันคล้องจอง ว่าปัจจุบันบนชั้นภูมิดาวดึงส์มีเทพองค์ใดบ้างเคยร่วมชาติกับนางมา พื้นเพการเจรจาสมแก่อัธยาศัยกันและกัน เพียงพบแล้วสบเนตรสักครั้ง ก็จะเกิดปฏิพัทธ์โดยง่าย ตรงไปตรงมา และที่สำคัญคือ ‘ถูกตัว’ แน่นอน

    ทว่าในวาระจิตนั้น นางยังไม่ปรารถนาจะผูกสัมพันธ์ หรือเข้าคบหาเสวนากับหมู่เทพด้วยกันเลย รูปนามที่ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงนึกเพียงหนึ่งเดียว...

    เกาทัณฑ์!

    มนุษย์ผู้ชายที่นางในอัตภาพเดิมหลงรัก...

    บังเกิดความอาลัยขึ้นมา แต่มิใช่ความหลงถวิลเยี่ยงมนุษย์หญิงโหยหาไออุ่นจากมนุษย์ชายอันเป็นที่รัก อัตภาพนางกับเขาคนนั้นอยู่แยกเป็นคนละระนาบแล้วอย่างเด็ดขาด เหมือนเช่นที่มนุษย์อาจระลึกได้ว่าเคยเป็นลิง ย่อมไม่อยากกลับไปคลุกคลีตีโมงด้วยอีก แม้จะเคยพิศวาสปานไหนก็ตาม ถ้าอยากก็คงอยากให้มาเกิดในภาวะเดียวตามกันมากกว่า

    ลักษณะอาลัยในบัดนี้ เกิดจากเยื่อใยความผูกพันทางวิญญาณ สำนึกคุณตามวิสัยเทพ กล่าวคือระลึกได้ว่านอกจากแม่ที่ต้อนให้ทำบุญมาแต่อ้อนแต่ออกแล้ว ก็เขาคนนี้เองที่มีส่วนสำคัญในการส่งนางมาผุดเกิด ณ เบื้องบน...

    ปรารถนาจะเห็นว่าบัดนี้เขาเป็นอย่างไร ทำกิจธุระอันใดอยู่ จึงกำหนดทิพยเนตร ‘ลง’ กวาดหา โดยแล่นลัดนิ้วมือเดียวตามสายสัมพันธ์ที่ยังผูกจิตผูกใจ รู้ลู่ทางเองว่าจะประสบพบภาพเขาอย่างไร เหนือสัญชาตญาณนกพิราบที่รู้เส้นทางไกลกลับถิ่นหลายแสนเท่า

    

    เป็นคราวประจวบเหมาะยิ่ง คล้อยหลังไซเพียงห้านาที เกาทัณฑ์ก็บ่ายหน้ารถเข้าเขตคอนโดมิเนียมของเรือนแก้ว สีหน้าหลังพวงมาลัยดูครุ่นคิดไม่เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา ประสาคนกำลังงง ไม่อาจจับทางตัดสินใจได้แน่ชัดสักอย่าง อยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วห่วงพะวงถึงผู้หญิงอีกคนสลับไปสลับมา ไม่มีอะไรหนักอึ้งหัวใจเกินนี้แล้ว

    เสียงกรีดเรียกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เกาทัณฑ์หยิบจากเบาะข้างตัวมาดูหน้าปัด เห็นเป็นเลขหมายของเรือนแก้วก็ถอนใจเฮือก กำลังจะขึ้นไปหาอยู่เดี๋ยวนี้แล้วล่ะแม่คุณ โทร.ตามน่ารำคาญเหลือเกิน

    สลัดความรู้สึกกึ่งรักกึ่งรำคาญทิ้ง กดปุ่มรับและเป็นฝ่ายกรอกเสียงทักลงไปก่อน

    “ผมอยู่ที่คอนโดแอ้นะ เพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้ นั่นออกมาจากงานศพรึยัง?”

    ปลายสัญญาณเงียบอึ้งไปอึดใจ ก่อนเอ่ยชนิดที่ทำให้เกาทัณฑ์หัวคิ้วกระตุก

    “อะ...อ้า ผมโทร.จากมือถือของ อ้า...เจ้าของเครื่องคนนี้นะ คือ...ผมพักอยู่ที่เดียวกับเธอ ตอนนี้ผมอยู่ในลานจอดประจำของเธอ อ้า...คุณเป็นญาติของเธอหรือเปล่า?”

    ชายหนุ่มกะพริบตาวับด้วยสังหรณ์ร้าย

    “ครับ ผมเป็นแฟนเธอ ตอนนี้อยู่ที่คอนโดเหมือนกัน เพิ่งเลี้ยวรถเข้ามาเดี๋ยวนี้ มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?”

    “อ้อ...อยู่นี่เองเหรอ ดีๆ คือผมลองต่อหมายเลขนี่เพราะเป็นเบอร์สุดท้ายที่เธอโทร.น่ะ ผะ...ผมไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก เอ่อ…คุณมาดูเองดีกว่า รู้ใช่ไหมว่าช่องจอดรถเธออยู่ชั้นไหน?”

    “ครับ รู้...ว่าแต่นั่นเกิดอะไรขึ้น?”

    เกาทัณฑ์เริ่มถามเสียงเครียด

    “ผมไม่รู้เรื่องนะ ผมไปล่ะ รีบมาดูเองเหอะ”

    หมอนั่นท่าทางประหม่างกเงิ่นจัด ตัดสัญญาณฉับกะทันหัน

    เกาทัณฑ์ยัดเกียร์ถอยหลัง เลื่อนรถวาบออกจากช่อง แล้วกลับเข้าเกียร์เดินหน้า เบนหัวรถออกห้อตะบึงราวกับกระทิงบ้า ลัดเลี้ยวช่วงหนึ่งก็ถึงปากทางลงที่จอดรถใต้ดิน เขาไม่สนใจไม้กั้นอันเป็นด่านยาม ชนโครมหักสองท่อน ทิ้งเสียงโวยวายและการวิ่งไล่ของชายผู้ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าไว้เบื้องหลัง

    หักเลี้ยวโฉบเฉี่ยวฉวัดเฉวียนตามทางลงเวียนสามชั้น ล่วงเข้าถึงชั้นจอดของเรือนแก้ว วิ่งห้อปัดซ้ายบ่ายขวาจนเห็นท้ายรถหล่อน หัวใจยิ่งร้อนรุ่ม รุมเร่าไปทุกขุมขน ภาวนาทั้งมือชุ่มเหงื่อว่าอย่าเป็นไรเลย...อย่าเป็นไรเลย

    พุ่งปราดไปเบรกกึกก่อนถึงท้ายรถอันเป็นที่หมาย เปิดประตูพรวดพราดด้วยมือไม้และแข้งขาสั่นระริก เพราะประหวั่นพรั่นใจอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่กำลังจะเห็น

    สาวเท้าจนสายตาพ้นเหลี่ยมบัง เห็นร่างในชุดดำนั่งพิงรถโดดเดี่ยว หลับตานิ่ง เค้าหน้าสงบดูน่าสงสาร กลางหน้าผากมีเลือดไหลเป็นทาง เกาทัณฑ์แข็งค้างพรึงเพริดเหมือนถูกสาป ก่อนตะเบ็งออกมาสุดเสียง

    “แอ้!!!”

    ทั้งรู้สึกเหมือนฝันหลอนและชาเห่อไปทั้งกาย เกาทัณฑ์ถลันเข้าช้อนร่างไร้วิญญาณสู่อ้อมอกอย่างยังไม่ยอมเชื่อสายตา ปากพร่ำตะโกนเรียกหญิงสาวผู้เป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งไม่รู้ตัวแม้สายน้ำตาพรั่งพรูนองหน้าดุจทำนบทลาย ร้องไห้ออกมาทั้งไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ เอาแต่เขย่าตัวพร่ำเรียกและเกลือกกลิ้งใบหน้าตนลงกับใบหน้าสงบงามปานจะขาดใจตายตาม...

    

    นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ทิพยเนตรจากสรวงสวรรค์เล็งแลลงมาเห็น ความเศร้าหมองคืบคลานเข้าครอบงำจิตอันเป็นสุขประณีตอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาร้องไห้ ร้องอย่างใจจะขาดด้วยความอาลัยรักจริงแท้

    ชลเนตรหลั่งรินด้วยน้ำใจผูกพัน รู้สึกร้าวไปทั้งอุระ จนต้องข่มใจเรียกสติคืน ได้เรียนรู้เดี๋ยวนั้นว่าร่างอันเป็นทิพย์บอบบางต่ออารมณ์สะเทือนใจยิ่งกว่าร่างหยาบของมนุษย์มาก หากปล่อยเลยเถิดแล้ว จะถึงขีดตรอมใจง่ายดายยิ่ง

    อาจเป็นแรงสะเทือนจากความโศกเศร้าสาหัสของเกาทัณฑ์ก็ได้ ที่ส่งระลอกขึ้นมาสะกิดนางจนนึกอยากเหลียวลงมามอง ไม่ต้องเตือนตนเองมากนักก็รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร นางขาดจากภาวะความเป็นมนุษย์ผู้หญิงแล้ว จะพบเขาอีกก็คือยถากรรมนำพา บัดนี้ถ้ายังฝักใฝ่ใจไม่ตัด ก็รังแต่จะเดือดร้อนทั้งนางเองและเขาคนนั้น

    เช่นนี้เอง การจากพรากเป็นทุกข์

    สิ่งที่เขากำลังกอดไม่ใช่นางเลย เป็นคราบร่างที่นางวางทิ้งแล้วต่างหาก เขากำลังคร่ำครวญอยู่กับท่อนกระดูกฉาบเนื้อที่ครั้งหนึ่งวิญญาณนางเคยครอง นึกว่านางคือซากนั้น เข้าใจว่าจะเรียกนางให้ฟื้นคืนได้จากซากนั้น

    เช่นเดียวกับฆาตกรผู้เข้าใจว่าเมื่อทำลายร่าง คือทำให้ตายจาก ดับสูญ หมดโอกาสเสพสุขอีกต่อไป

    เป็นมนุษย์นั้นอายุแสนสั้นอยู่แล้ว ต้องมาสั้นลงไปอีกด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง เพียงเพราะความไม่เข้าใจ ไม่รู้จริง

    เพชฌฆาตผู้นึกว่าตัดชีวิตนาง ไม่ให้อยู่ดูโลกต่อได้สมแค้นแล้ว ที่แท้เร่งส่งนางในจังหวะดีที่สุดให้ขึ้นมาเสวยสวรรค์ และตัวผู้ฆ่านั่นเองที่สร้างทางนรกไว้จากชัยชนะที่เห็นด้วยตาเปล่าในฉากใช้ปืนเข่นฆ่าไร้สาระอันแสนสั้น

    คิดขึ้นมาวูบหนึ่ง อยากปรากฏตัวให้เกาทัณฑ์เห็น หยั่งรู้ว่าตนมีฤทธิ์อำนาจมากพอจะบันดาลแม้รูปหยาบของมนุษย์ขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาโต้งๆ อยากปลอบประโลมว่าถ้าเขารักนาง ก็ควรทราบว่าภาวะของนางในบัดนี้น่าปลาบปลื้มยินดี ที่ได้อยู่ปลอดภัยในอารักขาแห่งบุญญาธิการ มิใช่พิลาปรำพันเมื่อเห็นสภาพศพอันน่าสงสาร นั่นแค่ภาพลวงตาผิวเผินที่ถูกทิ้งไว้ให้ระลึกถึงเพียงชั่วครู่ ปราศจากวิญญาณนางครองเดี๋ยวเดียวก็เปื่อยยุ่ย เน่าสลายไปตามระเบียบธรรมชาติ หรือเป็นเถ้าถ่านในเตาเผาไปตามระเบียบมนุษย์

    ทว่านางก็สำเหนียกถึงคลื่นกิเลสอันหยาบหนาที่กระจายอยู่รอบบริเวณนั้น อึดอัดและเห็นผิดกาลเทศะเกินกำลังฝืนใจ คล้ายจะให้แทรกไปในหว่างช่องหินแคบพอดีตัวเป็นระยะทางไกล ทำได้ แต่ไม่อยากทำ ในเมื่อมีทางกว้าง เดินสบายให้เลือกตั้งเยอะ รอเวลาผ่านไปก่อนเถิด

    อัตภาพทิพย์นี้เขามีส่วนสร้าง จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะล่วงรู้ การปรากฏตัวเพื่อ ‘บอกความ’ เพียงครั้งหรือสองครั้งคงมิใช่สิ่งเหลือวิสัย ขอเพียงเลือกจังหวะดีๆ ไม่กระโตกกระตากหวือหวาเกินภาวะจิตของเขาจะรับไหว

    ยามนี้ได้แต่สลดสังเวช เกาทัณฑ์พร่ำเตือนให้นางหมั่นระลึกถึงความตาย พิจารณาให้เกิดสติ เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของสังขาร แต่เขาคงปฏิบัติดูแค่ว่าตัวเองจะตายอยู่คนเดียวกระมัง ไม่เคยดูว่าคนอื่นก็ต้องตายเหมือนกัน พอเห็นนางล่วงลับ จึงเปิดเผยอาการฟูมฟายเยี่ยงสามัญมนุษย์ออกมาอย่างนี้


    พลอยทำให้นางยึดติด เป็นกังวลในภพเก่าไปด้วย...



ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น