ถาม : ผมสามารถบริจาคเงินให้ผู้ที่เดือดร้อนครั้งละเป็นร้อยเป็นพันบาทได้
โดยไม่เสียดายเลย
แต่จะเสียดายมากถ้าต้องจ่ายเงินแค่สิบบาทซื้อขนมมาเลี้ยงเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งชอบกินขนมจุบจิบ เพราะรู้สึกว่าเป็นการผลาญเงินโดยเปล่าประโยชน์
ช่วยแนะอุบายแก้ไขความตระหนี่ในเรื่องนี้ให้ผมด้วยครับ
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒
ดังตฤณ:
กำลังใจในการให้ทานแต่ละครั้ง อย่างไรก็ไม่มีทางเท่ากันหรอกครับ เพราะทุกการให้ทานจะยืนพื้นอยู่บนความคิด และความคิดก็เป็นสิ่งบังคับไม่ได้ ต้องถูกปรุงแต่งขึ้นมาด้วยปัจจัยหลายอย่าง
โดยมากถ้าคุณยังไม่มีน้ำจิตตามอุดมคติพุทธ
คือเผื่อแผ่ได้แบบปราศจากเงื่อนไข
ยังไม่อาจคิดให้เพื่อเอาความสุขทางใจอย่างเดียวจริงๆ ก็ย่อมอดเสียดายของไม่ได้
โดยเฉพาะถ้าเพื่อนๆเห็นแก่กิน เอาแต่ได้ ชอบของฟรีแต่ไม่ชอบให้อะไรใครฟรีๆ
ความเห็นแก่ตัวของพวกเขาย่อมเป็นคลื่นรบกวนใจคุณ ชวนให้นึกอยากหวงของตามพวกเขาได้
หรือแม้เพื่อนๆของคุณไม่ใช่พวกเห็นแก่ได้
แต่ความคิดของคุณก็อาจติดข้องโดยไม่รู้ตัว
เช่นนึกทบทวนว่าคนนั้นคนนี้เคยให้อะไรคุณมาบ้าง ตลอดจนรู้สึกอยู่ในส่วนลึกว่า
คุณและเพื่อนที่ออฟฟิศต่างก็มีหน้าที่ทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเหมือนๆกัน
มีอิสระในการจับจ่ายใช้สอยเหมือนๆกัน
ถ้าเราต้องเป็นฝ่ายให้ก็เหมือนโดนคนฐานะเดียวกันเอาเปรียบ เมื่อใจเล็งเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบก็ต้องหวั่นไหวเหมือนกวนน้ำให้ขุ่น
ไม่อาจตั้งมั่นเป็นทานที่ใสสะอาดเต็มร้อย
แตกต่างจากตอนที่คุณพบผู้ตกทุกข์ได้ยากหรือเดือดร้อนจวนตัว
สิ่งที่ออกมาจากเขาย่อมไม่ใช่กระแสความเห็นแก่ตัว แต่เป็นคลื่นความทรมานกายทรมานใจ
ที่อาจปลุกสำนึกแบบมนุษย์ในคุณได้อย่างแรง
ความคิดช่วยเหลือจึงเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์
ความอิ่มบุญจะไม่ทำให้คุณรู้สึกเสียดายแม้แต่นิดเดียว
หากถามถึงอุบายแก้ความตระหนี่
ก็ขอให้ถือเอาความอิ่มใจจากการบริจาคแบบไม่เสียดายเป็น ‘ทุนตั้งต้น’ แล้วกันนะครับ
เมื่อใดบริจาคอย่างไม่เสียดาย มีความแช่มชื่นโสมนัส
ให้คิดทุกครั้งว่าขอความแช่มชื่นโสมนัสนี้ จงเป็นน้ำล้างยางเหนียว
อันได้แก่ความตระหนี่ที่กุมจิตคุณไว้เหนอะหนะ
ครั้งต่อไปไม่ว่าจะให้ทานแก่คนเดือดร้อน
หรือคนที่ยังเห็นแก่ตัว ก็ขอให้สังเกตจิตตนเองเป็นหลัก ให้เมื่อใด
แช่มชื่นเมื่อนั้น เอาความพอใจกันตรงนั้น หากรู้สึกว่าทำใจไม่ได้
ก็อนุญาตให้ระลึกถึงอาการของจิตที่ให้แล้วแช่มชื่น
คุณน่าจะจำได้ชัดว่าการสละให้อย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นอย่างไร แล้วก็สามารถทำได้อีก
แม้กับคนเห็นแก่ตัวอันไม่น่าเป็นที่ตั้งของความแช่มชื่น
กล่าวโดยสรุปคือใจคุณเล็งไปที่อะไรเป็นใหญ่
ความรู้สึกนึกคิดก็แปรไปตามนั้น หากใช้ใจเล็งใจ เล็งที่อาการ ‘คิดให้’
หรือเล็งที่ความเบาสบายเบิกบาน ตั้งความพอใจในกุศลจิต
พิจารณาว่าจิตอันเป็นทานคือของดีที่ได้กับคุณเอง
ตลอดจนหมั่นระลึกว่าการฝึกให้ทานจนติดเป็นนิสัยจะพาสบายทั้งวันนี้วันหน้า
เช่นนี้ในที่สุดคุณจะไม่คิดเล็กคิดน้อย
ใจเลิกเล็งความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง
คนเราทำกรรมทั้งที่เป็นบุญและเป็นบาปอยู่บนความไม่รู้
พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่าถ้ารู้เหมือนพระองค์ว่าผลแห่งทานที่ทำเป็นนิสัยแล้ว
มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่เพียงใด
ทุกคนคงให้คนหรือสัตว์อื่นบริโภคก่อนตนเองทุกครั้งเป็นแน่แท้ครับ
** IG **
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น