วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ไม่ยุ่งกับผู้หญิงแล้วเบี่ยงเบนทางเพศจริงหรือ (ดังตฤณ)

ถาม : ความเชื่อที่ว่าการไม่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง จะทำให้เกิดความหญิงเบนทางเพศนั้น เท็จจริงเป็นอย่างไรครับ? หลังๆมีพูดถึงกันมาก เมื่อข่าวฉาวของอลัชชีจะออกไปในทางชายกับชายยิ่งกว่าแบบชายกับหญิงเสียอีก และอยากทราบด้วยว่าคนที่ไม่ได้ผิดศีลผิดธรรม มีภรรยามีลูก บางคนเหตุใดจึงแต๋วแตกได้ในภายหลัง ถ้ากรรมเก่าจะส่งผลก็ควรเห็นตั้งแต่ก่อนมีลูกมีเมียไม่ใช่หรือ?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙

ดังตฤณ: 
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าอวัยวะแห่งบุรุษ กิริยาท่าทางแห่งบุรุษ วาจาแห่งบุรุษ ตลอดจนสำนึกคิดอ่านเยี่ยงบุรุษนั้น หาใช่เกิดจากการขยันมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาบ่อยๆ หรือหมั่นใช้ความเป็นชายบนหลายเตียงกับหญิงหลากหน้าด้วยความห้าวหาญชาญชัย ตรงข้าม ยิ่งมักมากในกามคุณเท่าไร รูปชีวิตโดยรวมก็จะยิ่งอ่อนแอปวกเปียกลงเท่านั้น

การหมกมุ่นในกามก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าไร้กำลังวังชา เป็นที่มาของความอิดโรย ความอิดโรยนั่นเองเป็นที่มาของความรู้สึกว่าตนเป็นผู้มีกำลังน้อย ความรู้สึกว่าตนเป็นผู้มีกำลังน้อยนั่นเองเป็นที่มาของการอยากพึ่งแรงคนอื่น การอยากพึ่งแรงคนอื่นนั่นเองเป็นที่มาของความรู้สึกแบบหญิง ความรู้สึกแบบหญิงนั่นเองเป็นที่มาของการติดในภพสตรี การติดในภพสตรีนั่นเองเป็นที่มาของสภาวะแห่งสตรี ทั้งอวัยวะ ท่าทาง น้ำเสียง และความคิดอ่าน

สรุปคร่าวๆว่าถ้า 'มากไป' ก็เป็นเหตุแห่งการถ่ายเทสูญเสียความเป็นชายออกไป แต่ในทางตรงข้าม ถ้ายังใช้ชีวิตคู่แบบ 'น้อยไป' ก็อาจนำมาซึ่งความไม่สมชายเช่นกัน เป็นต้นว่าทำการบ้านไปแกนๆ หรือ 'ตัวเล็ก' จนโดนแฟนดูถูกให้เสียใจหรือหมดความเชื่อมั่นภาวะบุรุษเพศ เหล่านี้เมื่อสั่งสมเป็นความทุกข์ทวีมากเข้าถึงจุดหนึ่ง ก็อาจมีความเบี่ยงเบนทางเพศได้

ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักษาความเป็นชาย หรือเพิ่มดีกรีชาตรีให้เข้มขึ้นได้ ทางหนึ่งก็มาจากการใช้ชีวิตคู่อย่างดีไม่เสียสมดุลไป เช่นเป็นผู้มีกามกรีฑาหรือชั้นเชิงในกามแบบที่เป็นผู้นำ เป็นผู้ทำความพอใจให้เกิดขึ้นได้สำเร็จทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญคือเป็นผู้มีสติ ไม่ตามใจตัวเอง รู้จักประมาณ ตลอดจนไม่สำส่อน

การมีสติ ไม่หลงตื่นเพริดมัวเมาในรสสตรีเกินไปจะรักษาจิตและหน้าตาไว้ไม่ให้หม่นหมองเสียราศี การคงความสว่างหนักแน่นไว้ได้ ไม่ถดถอยลงสู่ภาวะอ่อนแอ คือฝักฝ่ายของบุรุษ

การไม่ตามใจตัวเอง รู้จักเป็นผู้คิดถึงความสุขของผู้อื่น สะท้อนให้เห็นจิตใจที่เหนือกว่า และมีดีจะให้ นั่นเป็นฝักฝ่ายของบุรุษอีก

การรู้จักประมาณ ไม่มากหรือน้อยเกินไป จะรักษาสมดุลของความเป็นชายไว้ไม่ให้พร่องไป กับทั้งไม่ขาดการบริหารเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ชีวิตคู่ นั่นก็เป็นฝักฝ่ายของบุรุษเช่นกัน

การไม่สำส่อน จะทำให้จิตตรง มีใจเดียว อารมณ์เดียว ไม่แส่ส่ายมักมาก ไม่ฟุ้งซ่านอยากเปลี่ยนไปอยากเปลี่ยนมา นั่นก็เป็นฝักฝ่ายของบุรุษที่สำคัญยิ่ง (แต่ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่เป็นตรงข้าม คือหลงนึกว่ายิ่งอีหนูมากแปลว่าหญิงเก่ง)

ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตคู่ดังกล่าว จะก่อให้เกิดภาวะจิตใจแบบชาย คือแข็งแกร่ง หนักแน่น เป็นหนึ่ง ไม่เหลาะแหละเหลวไหล แต่หากเป็นตรงข้าม ก็จะไหลลงสู่ภาวะจิตแบบสตรีเพศไปแทน ฉะนั้นจะคำนึงแค่เรื่องรักษาศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารอย่างเดียวอาจไม่พอ แง่มุมแบบโลกๆก็ต้องนำมาคำนึงด้วย

เฉกเช่นนักกีฬาตัวฉกาจ พรักพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ก็ย่อมรักษาหรือเพิ่มพูนความเป็นชายให้แกร่งได้ยิ่งๆขึ้น ผิดกับนักกีฬาที่ดูถูกตัวเอง แถมโดนแฟนใช้ขวานในปากถากถางจนเกิดปมด้อยสาหัส พออ่อนแอระทดระทวยหนักเข้า ในที่สุดใจก็หาทางออกเป็นการเบี่ยงเบนทางเพศไปเสีย กลายเป็นแต๋ว หรืออยากลองทำตัวเป็นเกย์ดูบ้าง อันนี้ ไม่ใช่เพราะเขากำหนดใจให้อยากหรือไม่อยาก แต่เป็นเพราะโดนบีบคั้นให้รู้สึกอยากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่าถ้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเลยหรือห่างผู้หญิงนานๆเป็นสิบปี จะเบี่ยงเบนทางเพศได้ไหม? คำตอบคือไม่จำเป็นต้องเบี่ยงเบนหรอกครับ เพราะรากของความเป็นชายอยู่ที่จิต อยู่ที่วิธีคิด วิธีพูด และวิธีทำตัว หาใช่อยู่ที่วิธีการมีเซ็กซ์แต่อย่างใด

คิดอย่างชายเป็นอย่างไร? คิดเสียสละ คิดซื่อ คิดสะอาด คิดอย่างมีสติ คิดอย่างมีจุดหมาย คิดอย่างมีหลักเกณฑ์ คิดอย่างมีอุดมการณ์ คิดอย่างมีเหตุผล คิดรับผิดชอบ คิดในทางที่ถูกที่ชอบอย่างแน่วแน่ คิดตัดสินใจแล้วไม่โลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

พูดอย่างชายเป็นอย่างไร? พูดประนีประนอม พูดประสานประโยชน์ พูดให้เกิดความสุขไม่เชือดเฉือนเหน็บแนม พูดตรงกับความจริง พูดตรงกับใจ พูดด้วยเหตุผลเหนืออารมณ์ พูดชัดถ้อยชัดคำไม่อ้ำอึ้งติดอ่าง พูดเต็มประโยคไม่ค้างคา พูดต่อหน้าชุมชนได้โดยไม่ขัดเขินขวนอาย

ทำอย่างชายเป็นอย่างไร? เดินเหินองอาจไม่เซื่องซึม ออกหน้าปกป้องคนอื่นไม่แอบอยู่ข้างหลัง ไม่เอาเปรียบทางเพศ ไม่สำส่อนเหลวแหลก ไม่ต่อสู้ด้วยวิธีลอบกัด

เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องตามนี้ ก็จะหันกลับมามองเซ็กซ์เป็นเรื่องเล็ก เซ็กซ์เป็นเพียงวิธีแสดงออกตามสัญชาตญาณทางเพศ ว่าฉันเหนือกว่าเธอ (โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำไมจึงมามีสภาพเหนือกว่าเธอๆทั้งหลายได้) เซ็กซ์เป็นแค่กีฬาเอาไว้บริหารความเป็นชายให้สมส่วนตามคติของโลก แต่วิธีคิด วิธีพูด วิธีทำด้วยใจหนักแน่นเป็นกุศลนั่นแหละ ต้นตอแท้จริงของความเป็นชาย

ถ้าไปรับความเชื่อที่ว่าไม่มีเซ็กซ์แล้วต้องกลายเป็นแต๋ว ป่านนี้พระทั้งหลายคงเบี่ยงเบนทางเพศกันหมด แต่ความจริงนั้นเป็นคนละขั้วเลยครับ พระปฏิบัติดี มีความขวนขวายประพฤติพรหมจรรย์ ครองตัวบริสุทธิ์ ปลอดจากเรื่องทางเพศแม้ด้วยความคิด ยังดำรงสภาวะความเป็นชายไว้ได้ครบถ้วน แถมเป็นปกติเสียยิ่งกว่าคนทางโลกเสียด้วยซ้ำ

ที่คุณเห็นคนโกนหัวแกล้งนุ่งเหลืองบางคน ประพฤติตนฉาวโฉ่ จับเณร จับเด็กวัดมาทำอนาจารนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะห่างผู้หญิงแล้วเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศหรอกครับ แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ครองพรหมจรรย์ด้วยความสำรวม ถือไม่ครบแม้กระทั่งศีล ๕ ไม่ทำสมาธิ ไม่เดินจงกรม ไม่กำหนดใจรู้ตามจริงตามหลักวิปัสสนา เอาแต่ปล่อยตัวทอดหุ่ย กระทั่งใจแส่สายฟุ้งซ่านไปในเรื่องทางโลกทั้งวันทั้งคืน ไหนจะยศ ไหนจะลาภสักการะ ล้วนแต่เครื่องกระตุ้นโลภะอันเป็นลูกพี่ใหญ่ของราคะทั้งสิ้น ในที่สุดก็อดไม่ได้ ตบท้ายด้วยพฤติกรรมซ่อนเร้นทางเพศยามลับตาคน

ผู้ชายมีความกลัดมันเป็นทุนติดตัวอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลามันจุกอก ไม่มีความสุขอันเกิดจากการปฎิบัติธรรมมาช่วย ก็ไม่พ้นต้องช่วยตัวเองในห้องน้ำ ก่อให้เกิดความละอายแรง ต้องปกปิดมิดชิดยิ่ง ภาวะอับอายต้องซ่อนเร้นอย่างหนักนั่นเองที่เข้าทางภาวะสตรีเพศ

เมื่อความรู้สึกผิดดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง ผันแปรเป็นความด้านชา เรื่องทางเพศก็ย่อมปรากฏเหมือนไม่มีผิดไม่มีถูก มีแต่หาช่องเข้าทางไหนได้ก็เอาทั้งนั้น


การเบี่ยงเบนทางเพศที่เกิดขึ้นขณะห่มผ้าเหลืองนั้นเป็นไปได้เร็ว เป็นไปได้แรงกว่าคนปกติธรรมดา เพราะการออกบวชถือเป็นการตกลงกับชาวบ้าน ว่าจะปฎิบัติธรรมนำความหลุดพ้นมาเผื่อแผ่แก่โลก เป็นมหากุศลใหญ่ที่มีพุทธศาสนาอันประเสริฐเป็นฐานหนุน ดังนั้นข้อวัตรปฏิบัติที่ตรงย่อมดัดจิตให้ตรงยิ่ง แต่ในทางกลับกัน ข้อวัตรปฏิบัติที่บิดเบี้ยวย่อมดัดจิตให้เบี้ยวบิดอย่างแรงเช่นกันครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น