ถาม : ได้ยินว่าเทวดาไม่ใช้วิธีพูดด้วยปากด้วยเสียงเหมือนอย่างในโลกมนุษย์
อันนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไรครับ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๐
ดังตฤณ:
ที่ใช้ภาษาจิต หรือโทรจิตกันมากจริงๆจะเป็นพวกพรหมครับ แต่พระพรหมก็มีเสียงอยู่ดี เป็นเสียงที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ สมกับที่มีจิตใหญ่ เสวยภพแห่งผู้ทรงสมาธิระดับฌาน
แม้เป็นถึงพระพรหม
เมื่อจำเป็นก็อาจสื่อสารเสวนาธรรมได้แบบมนุษย์ อย่างเช่นครั้งพุทธกาลนะครับ
มีพระพรหมองค์หนึ่งจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็จะตรัสขอให้จำแลงเป็นร่างหยาบเสียก่อน
เพื่อทูลถามปัญหาที่กังขาได้เยี่ยงมนุษย์ (ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
ก็จะไม่มีการบันทึกให้คนรุ่นหลังทราบได้เลย
ว่าพระพรหมทูลถามธรรมจากพระพุทธองค์อย่างไร และพระพุทธองค์ตรัสตอบอย่างไร)
คัมภีร์พุทธเราบอกไว้ชัดเจนว่าพระพรหมมีเสียง
คือเมื่อกล่าวถึงมหาปุริสลักษณะอันเป็นลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ
เช่นที่ปรากฏในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ข้อที่ ๒๘
จะระบุว่ากังวานเสียงของมหาบุรุษนั้น เทียบได้ประดุจเสียงแห่งพระพรหม
สรุปคือขนาดพระพรหมซึ่งถือกำเนิดด้วยจิตอันทรงฌาน
เสวยปีติสุขชั่วกาลนานโดยปราศจากความยินดีในกามคุณ ยิ่งใหญ่กว่าเทวดา
ยังมีทางเลือกในการสื่อสารเป็นเสียง
เช่นนี้ก็คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าเทวดาต้องมี ‘แก้วเสียงทิพย์’ ด้วยเช่นกัน
ก่อนอื่นเราต้องมองว่าภาษาทางจิตไม่ใช่เรื่องแปลกพิเศษแต่อย่างใด
ในชีวิตประจำวันธรรมดาๆที่คุณเห็น คุณได้ยินมาตลอดนี้ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างจิตมากมาย
แต่เมื่อมันเกิดขึ้น คุณก็เพียงปล่อยผ่านไปเฉยๆ จนกว่าจะถูกแนะให้สังเกต คุณจะ
‘เห็น’ หลายสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งที่ก็ติดอยู่กับตัวตลอดเวลานี่แหละ
อย่างเช่นเมื่อคุณ
‘อยาก’ ให้ใครทำอะไร แทนที่จะพูดบอกตรงๆ บางครั้งบางคราวคุณอาจจ้องเขาเงียบๆ
แล้วเขาก็เหมือนรับรู้ และทำตามความอยากของคุณ
คลื่นจิตที่ส่งสารถึงจิตฝ่ายรับนั้น
มีลักษณะเป็นระลอก หรือเป็นห้วงๆ หากคุณเลี้ยงหมาหรือแมวอย่างใกล้ชิดจนมัน
‘สนิทใจ’ กับคุณ ก็อาจทดลองง่ายๆอย่างนี้ครับ คราวหน้าพอเจอมันให้จ้องตามันนิ่งๆยิ้มๆ
แล้วนึกเรียกมันในใจ เช่น ‘มานี่’
หากระลอกความคิดมีความหนักแน่นชัดเจนพอ
คุณจะรู้สึกถึง ‘แรงเรียก’ ที่ส่งออกมาจากตัวคุณเสมือนเป็นแม่เหล็กดึงดูด
และถ้าหากจิตสัตว์เลี้ยง ‘เข้ากัน’ กับคลื่นจิตของคุณ ก็จะเกิดกระแสตามเข้าหา
เสมือนลูกเหล็กถูกดูดเข้าหาแม่เหล็ก ใจมันจะอยากเดินเข้ามาหาคุณเอง
ถ้าทดลองได้ผลหลายครั้งจนไม่เห็นเป็นความบังเอิญ
คุณจะเข้าใจโทรจิตเบื้องต้น โทรจิตคือการสื่อสารความคิดจากจิตถึงจิตโดยไม่ผ่านภาษาพูด
และไม่ผ่านภาษากาย อย่างเช่น ถ้าคุณร้องเรียก ‘ไอ้ดิ๊กมานี่ซิ’
หรือกวักมือหยอยๆให้มันเข้ามาหา มันได้ยินหรือเห็นแล้วเข้ามา ก็ถือว่าธรรมดา
ไม่ใช่โทรจิต แต่หากใช้แค่สายตามองนิ่งๆ
หรือยิ่งกว่านั้นคืออยู่อีกห้องหนึ่งไม่เห็นกัน
แล้วสามารถเรียกหมามาหาเพียงด้วยความคิด อันนั้นนับว่าเป็นโทรจิต
คนที่มีตบะเดชะแรงเกินมนุษย์ธรรมดาจะทำได้ยิ่งกว่าแค่สื่อสาร
คือถึงขั้น ‘บังคับ’ ได้เลยทีเดียว
เหมือนแรงแม่เหล็กถูกเร่งขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
ต่อให้หมาแมวของคุณไม่ได้วางใจหรือสนิทใจกับเขา
ถ้าเขาส่งจิตเรียกก็ต้องฝืนเดินเข้าหาทั้งกล้าๆกลัวๆอย่างนั้นเอง
โทรจิตเป็นสิ่งที่ฝึกหัดได้
ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ระหว่างสัตว์กับสัตว์ ระหว่างมนุษย์กับสัตว์
ตลอดจนระหว่างสิ่งมีชีวิตคนละภพ พูดง่ายๆว่าขอเพียงมีจิตเป็นขั้วส่งและขั้วรับ
ตลอดจนมีคลื่นที่จูนเข้าหากันติดได้เท่านั้น
อุปสรรคกีดขวางและช่องว่างทั้งหลายไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด
แต่ถามว่าทำไมถึงต้องสื่อสารทางจิต
เหตุใดไม่ใช้ช่องทางอื่น คำตอบง่ายๆคือขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชอบใจ
อย่างเช่นคู่แฝดเหมือน
(identical twins) นั้น
มีการทำวิจัยจริงจังที่โน่นที่นี่ เกี่ยวกับการมีโทรจิต
หรือความสามารถในการสื่อสารทางจิตระหว่างมนุษย์
โดยนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าการที่คนเราเกิดจากเซลล์เดียวกัน
โครงสร้างร่างกายเจริญขึ้นมาพร้อมกัน ภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน
ก็ย่อมมีแนวโน้มที่ความรู้สึกนึกคิดจะกลมกลืนหรือกระทั่งพ้องจองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
ถ้าแฝดเหมือนชอบใจในความเหมือน และรู้สึกใกล้ชิดผูกพันกันมาก
ก็มีแนวโน้มที่จะปรารถนาสื่อสารกันผ่านความคิด
หรือใช้ชีวิตแบบผูกติดกันในระดับความคิด ว่าอะไรว่าตามกัน เป็นไปพร้อมกัน
ขาดกันและกันไม่ค่อยได้
บางครอบครัวเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ
ก็ลองฝึกให้ลูกแฝดของตนทายใจกัน เช่น ให้นึกตัวเลขในหัว หรือให้เลือกไพ่สัญลักษณ์
แล้วอีกฝ่ายทายมา เด็กแฝดจะสนุกกับการทำให้พ่อแม่ของตนทึ่ง
ที่เห็นตนทายใจกันถูกเผงเกือบสิบเต็มสิบ (ยิ่งเกินห้าในสิบไปมากเท่าไร
ก็ยิ่งห่างไกลคำว่า ‘ฟลุก’ มากขึ้นเท่านั้น)
นี่สะท้อนว่าคนเรายิ่ง
‘ใจตรงกัน’ หรือสนุกกับการ ‘พยายามทำให้ตรงกัน’ เท่าไร จิตก็จะยิ่งทำตัวเป็น
‘คลื่นรับ’ ของ ‘คลื่นส่ง’ จากอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น
โทรจิตแบบแฝดเหมือนหรือแบบคู่รักที่กำลังหวานชื่นนั้น
ยืนพื้นอยู่บนจิตของคนธรรมดาคนหนึ่ง
แต่อาศัยความใกล้ชิดผูกพันมาเป็นตัวปรับคลื่นจิตให้เสมอกัน ยอมรับกันและกัน
จึงสามารถสื่อสารกันได้
แต่ยังมีโทรจิตอีกแบบที่ยืนพื้นอยู่บน
‘จิตทิพย์’ ซึ่งไม่จำเป็นต้องผูกพันกันมาก ไม่จำเป็นต้องยอมรับกันและกัน
ไม่จำเป็นต้องนับถือศาสดาองค์เดียวกัน ก็อาจสื่อสารกันได้
ขอเพียงมีความนิ่งและประณีตพอ
จิตทิพย์จะมีลักษณะเป็นดวงเด่น
มีความเปิดเผย มีความเอิบอิ่ม มีความเบาสบาย มีความว่างจากโลภะ โทสะ โมหะหยาบๆ
และที่สำคัญมีความตั้งมั่นอยู่นาน
ไม่ใช่อิ่มใจเบาสบายประเดี๋ยวประด๋าวเยี่ยงคนทั่วไป
มนุษย์ที่มีจิตทิพย์ทรงตัวมักเป็นพวกที่พื้นนิสัยไม่คิดมาก ปกติเบากายสบายใจ
ไม่หมกมุ่นวุ่นวาย กับทั้งตั้งใจจดจ่อสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งมนุษย์ลักษณะดังกล่าวก็คือพวกชอบทำสมาธิ หรือไม่ก็เจริญสติในชีวิตประจำวัน
กระทั่งห่างไกลจากพายุความฟุ้งซ่านและไฟราคะโทสะ
ผู้มีจิตทิพย์จะเห็นจิตเด่นเป็นประธานของชีวิต
และมักรักษาจิตมากกว่ารักษาทรัพย์และเปลือกหุ้มชีวิตทั้งหลาย
ดวงจิตจึงสว่างเหมือนแสงอาทิตย์จ้า กับทั้งว่างโล่งดุจฟ้ากว้าง
ฉะนั้นเมื่อฝุ่นทรายในสายลมหอบผ่านมา
ก็ย่อมปรากฏชัดต่อสายตาผู้มองดูอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์และฟ้ากว้าง
ฝุ่นทรายในสายลมเปรียบเหมือนความคิดอ่าน
ทั้งของตนเองและของผู้อื่น
ส่วนแสงอาทิตย์และฟ้าว่างเปรียบเหมือนดวงจิตอันเป็นทิพย์ ส่วนผู้มองดูเปรียบเหมือน
‘สติ’ ที่ทำหน้าที่ระลึกอยู่ว่ารู้อะไร เห็นอะไร
เมื่อมีจิตทิพย์ก็ย่อมทำตัวเป็น
‘ฝ่ายรับสาร’ ได้ง่าย ผู้มีจิตทิพย์อาจอ่านความคิดของคนเกือบทั้งโลกได้สบายๆ
เพราะคนเกือบทั้งโลกมีจิตหยาบ ความคิดจึงหยาบเหมือนดินทรายเป็นกระบิ แล้วโลภะ โทสะ
โมหะก็หนาทึบเหมือนควันไฟใหญ่
เทียบกับความว่างความสว่างแห่งจิตทิพย์แล้วย่อมปรากฏเหมือนสีดำซึ่งเห็นง่ายในพื้นที่สีขาวกว้างขวาง
แต่เนื่องจากคนเกือบทั้งโลกไม่อาจทำตัวเป็นฝ่ายรับสาร
ผู้มีจิตทิพย์จึงหาคนคุยด้วยไม่ได้
เล็งไปก็เจอแต่ผู้คนที่มัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องของตัวเอง
จิตปิดแคบอยู่กับการอยากเอาเข้าตัวเอง
บางทีคู่รักคิดถึงกันแรงๆขนาดอีกฝ่ายรู้สึกได้
ก็สื่อสารได้แค่ความรู้สึกคิดถึงแบบดิบๆแค่นั้น ไม่อาจคุยกันเป็นคำๆ
ถ้าอยู่ห่างกันก็ต้องพึ่งพาโทรศัพท์ลูกเดียว
ด้วยบรรดาข้อจำกัดทั้งหลาย
คนเราจึงมีปากไว้สื่อสารกันว่าแต่ละฝ่ายคิดอะไร แล้วปากก็ไม่จำเป็นต้องพูดตรงกับใจเสมอไป
อันเป็นเหตุให้จิตยิ่งบิดเบี้ยว ยากจะสื่อสารกันเข้าไปใหญ่
เมื่อเห็นเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงไม่เหมาะที่จะสื่อสารกันทางจิต
คราวนี้เมื่อคิดถึงเทวดาและพรหม คุณคงอนุมานได้ง่ายขึ้น
เทวดาและพรหมมีจิตอันเป็นทิพย์ เนื่องจากปฐมเหตุแห่งกำเนิดบนสวรรค์และพรหมโลกนั้น
เป็นไปด้วยมหากุศล และเป็นอยู่ด้วยโสมนัสเพราะไม่มีเหตุให้เบียดเบียนกันด้วยการฆ่า
การขโมย การผิดประเวณี และการโกหก
จิตที่สว่างและปลอดโปร่งจึงพร้อมรับสารทางความคิดของเหล่าสหายเทพเกือบตลอดเวลา
ระหว่างเทวดาด้วยกัน
เมื่อคิดถึงกันจะรู้ เหมือนมีคนมาเคาะประตูเรียก ถ้าเปิดประตูรับก็คุยกันได้เลย
และไม่ใช่อะไรสั้นๆแค่ ‘มานี่หน่อย’ แต่อาจยืดยาวคล้ายเราคุยกันปกติ
ฉะนั้นใครบอกว่าบนสวรรค์มีมือถืออย่าไปเชื่อ เทวดาและพรหมไม่จำเป็นต้องใช้กัน
แค่โยงจิตถูกก็คุยสบายแล้ว
เมื่อสื่อสารทางจิตได้ง่ายๆ
จึงเป็นธรรมดาที่เหล่าเทวดาจะขี้เกียจพูดออกปาก แม้ทำได้ก็ไม่ค่อยทำ ถ้าจะทำก็เป็นเพื่อกิริยาว่าได้พูด
หรือบางทีอาจเป็นไปเพื่อขับกล่อมโสตของอีกฝ่าย
เทพเหล่าที่รู้ว่าตนเกิดจากบุญ
ไม่มีบาปเก่าครอบงำให้หลงนึกว่าตนเกิดจากความบังเอิญ และไม่มีทิฏฐิที่ผิด
หลงนึกว่าตนเกิดจากการสร้างโดยน้ำมือใคร
ย่อมทราบว่ากังวานเสียงของตนเกิดจากบุญเกี่ยวกับวาจา
เทวดานางฟ้าส่วนใหญ่จึงเห็นแก้วเสียงทิพย์แห่งตนเป็นเครื่องแสดงบุญเก่า
ยิ่งมีกังวานทิพย์เสนาะโสตเท่าใด ยิ่งน่าภาคภูมิใจไม่น้อยหน้าใครเท่านั้น
สรุปคือการใช้เสียงในโลกทิพย์นั้นมีนะครับ
แต่จะเลือกใช้ช่องทางไหนในการสื่อสารก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลต่างๆ
คิดเปรียบเทียบให้ง่ายว่ามนุษย์เราเองบางทีแม้อยู่ใกล้กันและมีปากพูดก็ไม่พูดเสมอไป
แต่เลือกที่จะใช้ภาษากาย บางทีก็เลือกที่จะใช้ภาษาเขียน
และบางทีก็เลือกที่จะใช้ภาษาตา ภาษาจิตตามอัธยาศัยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น