วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๒๓ ใจสลาย

บทที่ ๒๓  ใจสลาย


 อ่านบทความที่แล้ว


    บนเครื่องแอร์บัสเที่ยวบินกลับกรุงเทพฯนั้น ครึ่งทางช่วงแรกเรือนแก้วผูกขาดการสนทนาตลอด ทว่าสุ้มเสียงที่กระจายแรงหฤหรรษ์ได้สะพัดของหล่อนแทบไม่สะกิดให้เกาทัณฑ์หันเหมาสนใจเอาเลย เนื่องจากยิ่งใกล้น่านฟ้ากรุงเทพฯเข้าไปเท่าไหร่ ใจยิ่งเป็นกังวล ตะครั่นตะครอกับสถานการณ์ลำบากที่กำลังจะเผชิญมากขึ้นเท่านั้น

    ปัญหาคาราคาซังที่กำลังเป็นชนักปักหลังนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เขาติดต่อถึงลุงคามภีร์สำเร็จ เพื่อรับรู้ว่าลุงพูดมึนชาใส่ราวกับคนแปลกหน้า และเมื่อโทร.หาพ่อ พ่อก็พูดแค่สั้นๆว่าอย่าเพิ่งคิดหมั้นคิดแต่งเลย ถ้ายังทำตัวเหลวไหล สองจิตสองใจเป็นเด็กอมมือ นั่นก็จะเอา นี่ก็จะเอาเหมือนอย่างนี้

    ลิ้นจุกปากเพราะปฏิเสธพันธะทางใจที่มีต่อเรือนแก้วไม่ได้ ประเภทบอกว่าเป็นแค่เพื่อน เพิ่งแตะได้แค่ปลายเล็บตอนยื่นมือรับเอกสารงานบริษัทนั้น รู้แก่ใจชัดว่ามุสาแท้

    ล่าสุดเมื่ออาการกระเตื้องขึ้นจนเลิกกระย่องกระแย่ง พอมองเนื้อตัวหล่อนแล้วก็ยิ่งคุกรุ่นไปด้วยความฟุ้งซ่านอุทธัจ ร่ำๆจะหมดความอดทน ย่องไปทำมิดีมิร้ายกลางดึกก็หลายครั้ง ก็เล่นหลับนอนอยู่ห้องเดียวกันตั้งหลายคืน ปรนนิบัติใกล้ชิดแค่เอื้อมถึงเพียงนั้น ถ้าปราศจากความรู้สึกเลื่อนเปื้อนอย่างว่าโดยสิ้นเชิง ก็คงต้องเป็นขันทีเสียก่อนหรอก

    หากสุดกลั้น ระงับยับยั้งไว้ไม่อยู่ ป่านนี้คงยิ่งกลุ้มเป็นสองเท่า อ้อ...หรืออาจจะปลอดโปร่งโล่งใจไปเลย เพราะเป็นอันว่าหมดสิทธิ์ในตัวแพตรีอย่างเด็ดขาดตลอดชาติแล้ว

    วานซืนมีนักข่าวขอเข้าสัมภาษณ์ ทำให้รู้ว่าสื่อมวลชนเล่นข่าวต่างประเทศที่มีคู่หนุ่มสาวไทยเข้าไปเอี่ยวนี้กันหลายวัน อาจหลงเป็นข่าวเล็กข่าวน้อยประเภทรายงานความคืบหน้าอาการบาดเจ็บของเขา หรืออาจผูกเป็นตอนต่อดุเด็ดเผ็ดมันวันต่อวันตามอัธยาศัย ซึ่งสรุปแล้วจะอย่างไรก็ตามที หากแพตรีติดตามอ่านล่ะก็ เป็นต้องรู้ว่าเรือนแก้วอยู่ชิดใกล้กับเขาไม่คลาดสายตาเลย แม้เขาปฏิเสธการให้สัมภาษณ์และถ่ายรูป แต่เรือนแก้วก็ลอยหน้าลอยตาเดินออกไปคุยกับนักข่าวอย่างสม่ำเสมอในฐานะผู้อนุบาลเขา จนปัญญาจะห้ามหล่อนเสียด้วย

    ขาออกจากโรงพยาบาลนึกว่าข่าวซาแล้ว คงเลิกติดตามกันแล้ว ที่ไหนได้ เจอแสงแฟล็ชวาบตั้งแต่ก่อนเข้าลิฟต์ ใครต่อใครคงคิดว่าเขายินดีกับการเป็นข่าวดังในทางดี ที่ประกอบวีรกรรมช่วยตนเองและคนรักให้รอดพ้นจากเงื้อมมือเหล่าร้ายอันเป็นที่หมายหัวของทางการ แต่เกาทัณฑ์รู้แก่ใจว่าการเป็นข่าวครั้งนี้น่าเครียด น่าขัดเคืองเพียงใด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเดินคู่เคียงออกจากโรงพยาบาลระหว่างเขากับเรือนแก้วคงตำตาตำใจใครอีกคนที่รักเขา แต่ถูกเขาทรยศลับหลังเช่นนี้...

    เมื่อเรือนแก้วพบว่ากว่าสิบนาทีที่ผ่านมาตนจ้ออยู่คนเดียวราวกับจำอวดราคาถูก ก็ชักมีน้ำโห หล่อนยิ้มหวานเป็นพิเศษก่อนฝืนถาม

    “ทำหน้ายุ้งยุ่ง รูปหล่อของแอ้กลุ้มอะไรคะ? บอกมั่งซี สงสัยตอนหวีผมเมื่อเช้าเห็นหัวเริ่มเหน่งกระมัง”

    เกาทัณฑ์ขำไม่ออกกับคำหยิกนั้น แต่ฟังโดยรวมแล้วรู้ว่าแม่นางในดวงใจข้างตัวชักเริ่มเขม่นที่เขาเงียบเฉย จึงจำใจโต้ตอบออกไปบ้าง

    “หัวยังไม่เหน่ง”

    ฝืนตอบทื่อๆแบบไม่ออกแรงคิด เรือนแก้วยกขาไขว่ห้าง ปรายตาแลเขาด้วยความรู้สึกอ่อนไหวของผู้หญิง

    ความจริงก็พอรู้อยู่หรอกว่าที่นั่งเครียดเป็นตาแก่นี่ ก็เพราะเกาทัณฑ์กำลังหนักใจเกี่ยวกับใครคนหนึ่ง และเพราะรู้อย่างนั้นจึงเจ็บร้อนราวกับยืนเท้าเปล่ากลางแดด หล่อนมีค่าเกินกว่าจะหวงหึงกระบึงกระบอน เชือดเฉือนแปร๋นๆเป็นอีแร้งเจอลูกดอกในละครทีวี แรงกริ้วและไฟริษยาในหญิงมีลักษณะเผาผลาญรุนแรงเหมือนกันหมด สำนึกในความเป็นหงส์หรือกาเท่านั้นที่ยับยั้งไว้หรือปลดปล่อยออกมา

    หล่อนนั่งอยู่ตรงไหนกันแน่? หนึ่งในตัวเลือกให้เขาลังเลว่าจะหยิบดีหรือไม่หยิบดี? อยากสะกิดถามให้รู้เรื่อง แต่นั่นเหมือนไร้ความมั่นใจในค่าของตนเองชัดๆ เขาเลือกหล่อน เพราะหล่อนอนุญาตให้เลือกแล้ว หลังจากดูใจ เห็นใจกันดีแล้ว

    อยากสาธยายให้เขาฟังเป็นการขู่ ว่าทุกวันนี้มีใครเรียงคิวมาให้หล่อนเลือกบ้าง ได้ยินชื่อกับนามสกุลบางคนจะอ้าปากค้าง แต่นั่นก็เหมือนเห็นว่าค่าของตนที่ปรากฏต่อสายตาเขายังไม่ชัดพอ จึงต้องอาศัยแกนอ้างอิงอื่นมาเสริมอีก

    ในที่สุดจึงตัดสินใจซ่อนวิสัยหญิงทุกรูปแบบ แม้น้อยใจเหลือทนที่ป่านนี้เขายังแสดงความครุ่นคิดวิตกกังวลอย่างประเจิดประเจ้อ ทั้งที่น่าจะยิ้มใสออดอ้อนหล่อนกระหนุงกระหนิงเยี่ยงคู่พิศวาสเมื่อแรกหวานทั่วไป

    “เต้เอารถจอดไว้ที่สนามบินหรือเปล่า?”

    พยายามเจรจาพาทีเป็นปกติ และถามแบบที่เขาจะต้องตอบ

    “เอามา”

    “แอ้มาแท็กซี่ล่ะ เดี๋ยวช่วยขับไปส่งหน่อยสิ?”

    เกาทัณฑ์ยกนิ้วเขี่ยปลายจมูก

    “ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว”

    เรือนแก้วอมยิ้ม

    “ล้อเล่นน่า เธอเจ็บแผลอยู่ เดี๋ยวฉันจะขับไปส่งให้ต่างหาก”

    “ทุเลาลงเยอะแล้วล่ะ ไม่อักเสบแบบนี้ขับได้สบายมาก”

    เลี่ยงเช่นนั้นเพราะตั้งใจจะส่งเรือนแก้วให้เสร็จๆแล้วตรงดิ่งไปบ้านปู่ชนะทันที แม้ขี้เกียจอยู่บ้างเนื่องจากต้องย้อนไปย้อนมาอ้อมโลกก็ตาม

    “ยังไงเธอก็ต้องพักผ่อนอีกระยะนะ แผลปริล่ะแย่เลย”

    “แค่นี้จิ๊บจ๊อย ดูในหนังสิ พระเอกโดนยิงตั้งหลายนัด ยังทำปากเบี้ยวแค่เดี๋ยวเดียว ขับรถบรรทุกตะบึงบุกเตะต่อยกับผู้ร้ายต่อหน้าตาเฉย ผมจะยอมแพ้ได้ไง”

    เรือนแก้วหัวเราะ สบายใจขึ้นนิดหน่อยกับบรรยากาศการสนทนาที่ใสกว่าเดิม ตะแคงข้างเอาไหล่พิงพนักมองเขาด้วยตาเป็นประกาย

    “งั้นแข็งแรงพอจะพานางเอกไปเที่ยวได้หรือเปล่า?”

    เกาทัณฑ์กะพริบตาปริบๆ ความเงียบอึ้งของเขาทำให้เรือนแก้วเอื้อมมือมาเขย่าปลายแขนรบเร้า

    “แอ้อยากดูหนังอ้ะ”

    ชายหนุ่มลอบถอนใจ บอกหล่อนตามตรง

    “ผมต้องไปพบญาติผู้ใหญ่ล่ะแอ้ ผิดนัดธุระสำคัญกับท่านไว้”

    หญิงสาวหน้าง้ำ

    “ให้แอ้ไปด้วยนะ”

    รุกอย่างเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ เพราะรู้ว่าที่หมายของเกาทัณฑ์คือแม่เทพธิดาลาวัณย์อีกนางหนึ่งนั่นเอง เขากำลังจะไปงอนง้อยายคนนั้น ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ไหนหรอก

    เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเกาทัณฑ์ที่เป็นสุขจะเคียงข้างกับผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับรำคาญไปในตัว ที่เคยผ่านมาถ้ารำคาญก็จะอยากขับไสไล่ส่ง แต่นี่พิลึกที่เขาเองก็อยากตามติดหล่อนไปทุกหนแห่งเหมือนกัน หลายวันที่ผ่านมาเรือนแก้วกลายเป็นเงา กลายเป็นคู่ กลายเป็นส่วนหนึ่ง ราวกับชีวิตมิได้มีเพียงกายเดียวต่างหากจากกันอีกต่อไป แค่หล่อนห่างไปซื้อของหรือเข้าห้องน้ำนาน ก็หงุดหงิดคิดถึงจนเหลือจะรอแล้ว

    แต่อย่างไรเมื่อถึงกรุงเทพฯ ก็ต้องไปพบแพตรีให้ได้...

    “แอ้...เราต่างคนต่างมีเรื่องส่วนตัวน่าจะแยกกันไปทำ แอ้เข้าห้องน้ำผมยังไม่ตามเข้าไปเลย”

    หญิงสาวครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง

    “ก็ลองตามเข้าไปสิ”

    ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เอ่ยเรียบ แต่แววจริงจัง

    “คืนนี้แอ้จะขนเสื้อผ้าไปค้างห้องเต้ ดูแลเธอ”

    เกาทัณฑ์สำลักน้ำลาย อุทานเบาๆ

    “เฮ่ย!” คิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ยแบบผ่อนน้ำหนักคำเป็นเรื่องเล่น “ผมเลยกลายเป็นลูกแหง่ในสายตาแอ้ไปเลยหรือนี่? ดีนะ เดี๋ยวลงจากเครื่องขอรถเข็นเด็กมาซักคันซี”

    เรือนแก้วกะพริบตาทีหนึ่ง เอียงคอใช้หางตามองเขาเฉยเป็นครู่อย่างอ่านใจ ก่อนพูดแบบขวานผ่าซาก

    “แค่บอกว่าจะไปค้างด้วยหน่อยเดียวถึงกับตาเหลือกเชียวนะ ใครๆเขาก็คิดว่าแอ้เป็นของเต้แล้วทั้งนั้นแหละ โทร.คุยกับยายจ๋ายก็ถามระริกระรี้เลียบเคียงไปเลียบเคียงมา รำคาญเข้าเลยยอมรับไปตามที่คนอื่นน่าจะเข้าใจ สมัยนี้มันเรื่องธรรมดาจะตาย”

    เกาทัณฑ์ก้มศีรษะยกมือขวาปิดหน้า ก่อนเงยขึ้น ตาปะทะตา

    “แอ้ทำอย่างนั้นไม่ถูกนะ”

    “ทำม่ะ?”

    หญิงสาวเผยอริมฝีปากค้างหน่อยๆ จ้องลึกลงไปในตาเขาอย่างพร้อมจะให้เอาเรื่อง เกาทัณฑ์ส่ายหน้า พยายามพูดออมเสียงทั้งที่ใจตะโกนดังกว่านั้นเยอะ

    “ฝ่ายเสียหายคือแอ้เอง ตอนคนคุยสนุกกันปากต่อปากเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวของชาวบ้านน่ะ กี่ยุคกี่สมัยก็เหมือนกันหมดแหละ ลุ้นอยู่อย่างเดียวคือผู้หญิงเสียท่าเสร็จใครมั่ง แอ้อยากให้พวกนั้นโพนทะนาเกี่ยวกับแอ้ในทางเสียหายทำนองนี้หรือ?”

    เปลือกตาหญิงสาวขยิบ ปากคอสั่น

    “โถ...ช่างเขาเถอะค่ะ”

    เค้นเสียงหวาน แต่ข้างในชักเหลืออด เพราะดูออกว่าที่แท้เกาทัณฑ์อยากให้โลกเข้าใจว่าเขายังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้เจ้าเข้าเจ้าของ ใช่ว่าห่วงใยชื่อเสียงหล่อนจะเกิดราคีเกาะเสียนักหนา

    เกาทัณฑ์เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเริ่มฉานแววไหม้อย่างผิดหวังและเสียใจ ก็พลอยจุ๊ปากอย่างอับตัน จะให้เรือนแก้วรับรู้อะไรได้ หากหล่อนไปค้างห้องเขาจริงดังแถลง แม้จะแค่เพียงสองสามวัน เขาคงต้องแกล้งตัดสายโทรศัพท์ ตัดการติดต่อกับญาติสนิทมิตรสหายอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าเผื่อใครโทร.มาแล้วหล่อนรับ ทุกอย่างถึงกาลเอวังทันที

    พ่อแม่คงไม่ยอมรับผู้หญิงแปลกหน้าที่เขาพาเข้าห้องได้ง่ายๆมาเป็นลูกสะใภ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกคนในครอบครัวยังยืนอยู่ข้างแพตรีกันหมด คนอื่นจะก้าวเข้ามาแทนที่เป็นถูกปิดประตูใส่แน่นอน

    ร่ำๆจะเปิดเผยความจริงที่เขาขอหมั้นแพตรีไว้แล้วให้หล่อนรับรู้ แต่เห็นใบหน้าหม่นในบัดนี้แล้วก็ใจอ่อนยวบ ถ้าคำพูดตรงไปตรงมาคือการทำความบาดเจ็บรุนแรงให้แก่คนฟัง เขาจะยังควรพูดอยู่หรือเปล่า?

    ถูกบีบหนักเข้าก็หลุดปากตามความคิดในหัวที่ถูกเรียบเรียงขึ้นแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า

    “แอ้มองผมเหมือนเจ็บใจอะไรเหรอ? ผมแค่ไม่อยากให้ใครต่อใครคิดว่าแอ้เป็นของขบเคี้ยวเล่นล่วงหน้าได้ง่ายๆ แอ้ไปรับกับจ๋ายอย่างนั้นเหมือนพูดความจริงตามสายตาคนอื่น แต่ที่แท้นั่นแหละคือการปด ต้องปากแข็งเข้าไว้ซี่ เอาความจริงที่รู้กันสองคนระหว่างเรามาพูดไปจนกว่าจะจัดงานเป็นเรื่องเป็นราว”

    สีหน้าเรือนแก้วคลายลงนิดหนึ่ง นั่นหมายความว่าเขากำลังจะขอหล่อนแต่งงานกระมัง เกือบถามคาดคั้น แต่ดูทีคงไม่งามนัก ไว้ให้เขาเอ่ยเองกับปากจะสวยกว่า

    ฝ่ายเกาทัณฑ์เองเมื่อกล่าวจบก็แทบเอาหัวโหม่งหน้าต่างเครื่องบินให้ตายไปรู้แล้วรู้รอด นี่เขาเผลอหลุดปากอะไรออกไปอีกแล้ว? เหมือนตอนนี้อยู่ในร่องแคบที่มีหอกดาบรุนหลังให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างเดียว จะหันกลับหรือปีนป่ายมุดดินหนีนั้น อับตันทั้งสิ้น ยิ่งพูด ยิ่งทำ แทนที่จะแก้ปมเก่า กลับเหมือนเอาเถาวัลย์มาพันเพิ่มกระดิกยากขึ้นไปอีก

    นึกไม่ออกเสียแล้วว่าปมที่ขมวดแน่นจะรัดคอตายอยู่เดี๋ยวนี้ มันเริ่มจากความใจอ่อนตรงจุดไหน หากย้อนเวลาได้เขาควรกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ใดดี ทุกฝ่ายจึงจะอยู่อย่างสงบสุขตามวิถีทางอันควร

    สีหน้าของเกาทัณฑ์คล้ำหมอง ส่วนเรือนแก้วก็ดูมึนตึงไป เพราะกำลังทิ้งค้างไว้แบบคลุมเครือ ทั้งคู่จึงปิดปากสนิทจนกระทั่งถึงดอนเมือง

    ขณะเดินออกจากเครื่อง เรือนแก้วใช้ศอกสะกิดแขนเกาทัณฑ์ ชวนหยุดเดินและลงนั่งเก้าอี้แถวกลางตัวหนึ่ง ผู้โดยสารต่างทยอยลงเป็นกระจุก ยังมีเวลานั่งได้อีกเป็นนาที เรือนแก้วคงขี้เกียจเบียดกับคนและชวนเขานั่งคุยรอ

    พอเกาทัณฑ์นั่งตาม เรือนแก้วก็อุบอิบ

    “ขออย่างเถอะ ได้โปรด...”

    เสียงอ่อนอ้อยสร้อยของหล่อนทำให้เขาตั้งใจฟัง

    “เดี๋ยวไปพบคุณพ่อแอ้ด้วยกันได้ไหม?”

    เกาทัณฑ์ย่นคิ้ว

    “ก็ไหนว่า...”

    “เต้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้แอ้หันไปคืนดีกับพ่อ ตั้งแต่คืนนั้นแหละ แอ้โทร.หาท่าน” แล้วหล่อนก็รวบรัด “อยากให้พาไปหาหน่อย มันมีความหมายกับแอ้มาก”

    ชายหนุ่มเกือบยกมือเกาศีรษะ แต่เกรงว่าหล่อนเห็นแล้วจะพื้นเสียและแสดงกิริยาปึงปัง เลยระงับไว้ ต้องเม้มปากคิดอยู่นาน ที่สุดก็ใจอ่อนตามเคย

    “ก็ได้”

    เรือนแก้วยิ้มแฉ่ง กิริยาซึมเซื่องปลาสนาการไปในพริบตา ทำให้คนเห็นพลอยสดชื่นไปด้วย ลืมเรื่องชวนหมางเมินระหว่างกันเมื่ออยู่ครึ่งทางลงสิ้น เกาทัณฑ์มีความรู้สึกคล้ายตนเองกำลังถูกปั่นหัว และอาจถูกบงการให้โดดเหวตายได้ก็เพราะมารยาอันแรงฤทธิ์ของหล่อนนี่แหละ

    พอออกจากเครื่องมายืนรอรับกระเป๋า เรือนแก้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากางและกดปุ่มต่อเข้าเครื่องของพ่อ โดยอาศัยเลขที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำ

    เมื่อสัญญาณดังยาวบอกสายว่างทางฝั่งผู้รับ เรือนแก้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ชำเลืองแลมาทางคนรักและส่งยิ้มเก๋เป็นการหยอดเสน่ห์ไปพลางๆ ดูตาก็รู้ว่าเขาหลงหล่อนเพิ่มขึ้นทุกวัน แม้พยายามพรางด้วยท่าทีเมินเฉยหรือขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างเช่นขณะนี้ก็เถอะ ปิดไม่มิดหรอก

    สัญญาณเรียกดังหลายครั้งจนนึกว่าคงเหลว ภาวนาให้ติดต่อพ่อสำเร็จ หล่อนจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างใหม่มายึดตัวเกาทัณฑ์อีก

    “ฮัลโหล”

    ในที่สุดฝั่งโน้นก็รับ แต่เรือนแก้วต้องทำหน้าผิดหวังเพราะเป็นเสียงของสายชลเมียใหม่ของพ่อ เฮ้อ! เจอนังนี่ทุกทีซีน่า

    “แอ้นะคะ ขอพูดกับพ่อจอมหน่อยค่ะ”

    พยายามอย่างที่สุดในการควบคุมมิให้หางเสียงเจืออารมณ์ขุ่น สายชลเงียบไปครู่ใหญ่ แต่แทนที่จะตามพ่อมาให้ กลับชวนหล่อนคุยต่ออย่างน่าขัดใจ

    “หนูแอ้เหรอ...”

    เสียงนั้นเนิบเนือย ทว่ามิได้ตั้งเค้าขัดขวางห้ามหวงประการใด การเว้นจังหวะของสายชลชวนให้คิดว่าพ่อคงติดธุระบางอย่างมากกว่า

    “นั่นหนูอยู่สิงคโปร์หรือกลับถึงไทยแล้วล่ะ?”

    พลังของสื่อมวลชนเป็นอย่างนี้ ในขณะที่คนไทยหลายสิบล้านเห็นหล่อนบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แล้วผ่าน คนที่อยู่ในเส้นทางโคจรรอบตัวนับร้อยได้รับรู้ และคงกล่าวถึงให้แซ่ด เมียพ่อถึงกับทักถูก

    “กลับถึงไทยแล้วค่ะ พ่อจอมอยู่แถวนั้นหรือเปล่าคะ?”

    มีเสียงถอนใจยาวดังให้ได้ยิน เรือนแก้วไม่ต้องสังเกตก็จับเสียงเครือของอีกฝ่ายได้ถนัดจากประโยคต่อมา

    “เขาตายแล้วล่ะแอ้ อุบัติเหตุรถยนต์เมื่อเช้านี้เอง แอ้มาที่วัดพระศรีฯบางเขนนะ อยู่ศาลาแปดทับสอง นี่กำลังรอพระสวดกัน”

    คล้ายใครเอาหมอนมาอุดปากอุดจมูก เรือนแก้วหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก่อนหลุดกระซิบด้วยลำคอตีบตื้น

    “ว่าไงนะคะ?”

    “พ่อหนูเสียแล้ว นั่งด้านหน้ารถตู้คู่กับคนขับสวนกับรถบรรทุก กำลังพาลูกน้องจะไปทำธุระที่ชะอำเมื่อเช้า ศพเพิ่งถึงกรุงเทพฯชั่วโมงก่อนนี่เอง”

    โทรศัพท์ร่วงตกสู่พื้น หญิงสาวยืนตัวแข็ง ทีแรกเกาทัณฑ์เหลือบมองอย่างไม่สนใจนัก นึกว่ามารยาอะไรอีก แต่พอเห็นใบหน้าเซียวซีดและเข่าอ่อนคล้ายจะล้มก็ยึดต้นแขนฝ่ายนั้นไว้อย่างรู้ว่าไม่ได้แกล้ง

    ก้มลงเก็บโทรศัพท์ ยกขึ้นแนบหู แนะนำตัวและไถ่ถามผู้อยู่ปลายสัญญาณอีกด้านว่าเกิดอะไรขึ้น พอได้ความชัดก็พลอยตกใจ และบอกว่าเขาจะเป็นคนพาเรือนแก้วไปที่วัดเดี๋ยวนี้

    ใบหน้าหล่อนไร้สีเลือด มือเย็น ตัวแข็ง เขาต้องประคองแจจนมาถึงรถเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ซวดเซล้มลงเสียก่อน ตลอดทางหล่อนไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว ราวกับถูกสาปเป็นหินไปแล้ว

    นั่งกุมมือคนเสียขวัญ พยายามพูดปลอบและชวนคุยบ้าง แต่เรือนแก้วหุบปากสนิทราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ไอ้ฝ่ายเขาจะพูดว่าคุณพ่อหล่อนไปดีแล้ว สุขสบายแล้ว ก็ทำได้ไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่ เนื่องจากตนเองเพิ่งเฉียดประตูมรณะ หรือกล่าวให้ชัดคือย่างข้ามธรณีไปแล้วเท้าหนึ่ง จึงรู้ดีว่าการตายกะทันหันนั้น หากไม่ใช่คนมีจิตแช่มชื่นเบิกบานในกุศลเป็นเนืองนิตย์ล่ะก็ อย่าเพิ่งทึกทักลมแล้งเลยว่าจะได้ไปสูง ไปสบายง่ายๆ

    มาถึงวัดเมื่อโพล้เพล้ เกาทัณฑ์จอดรถใกล้ศาลาแปด ต้องเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูจูงมือคนรักจากที่นั่ง รู้สึกได้ถึงความฝืนเกร็งในบางก้าว คล้ายเรือนแก้วขัดขืน ขลาดกลัวเกินกว่าจะเดินทางไปเผชิญหน้าความจริง จนเขาต้องหยุดเอ่ย

    “แอ้... ไปดูกันให้รู้ไงว่าเมียใหม่ของคุณพ่อแอ้หลอกเราหรือเปล่า ถ้านี่เป็นงานศพคนอื่น เราจะได้หมดห่วง เลิกเข้าใจผิดเสียที”

    นั่นเองดวงหน้างามจึงค่อยดูมีสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย ยอมก้าวเดินตามเขาไปโดยดี มีความหวังอันริบหรี่ว่าที่แท้คำพูดของสายชลเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จเท่านั้น

    เกาทัณฑ์เป็นคนเลื่อนบานประตูกระจก ไอเย็นลอยมากระทบ แขกในชุดดำที่เชิญมาในงานนั่งเรียงแถวอยู่ทางขวามือ ต่างหันมองเขากับคนรักเป็นตาเดียว

    สำหรับเรือนแก้วแล้ว ทุกสิ่งและทุกคนในห้องถูกคัดแยกออกไปจากความกำหนดรู้ เหลือเป้าหมายเดียวในคลองตา คือตั่งรดน้ำศพที่มีร่างชายวัยกลางคนนอนยื่นแขนแบมือรอรับน้ำไม่ไหวติง หล่อนเดินเข้าหาร่างไร้วิญญาณด้วยกิริยาย่างเท้าจดจ้องทีละก้าว เล็งแลร่างเหยียดยาวให้แน่ใจว่าเป็นใครกัน

    แม้จะถูกแต่งศพจนทรงใบหน้าเปลี่ยนไปบ้าง แต่หล่อนก็จำลักษณะใบหูและรูปศีรษะได้ดี นั่นเป็นร่างของพ่อแน่แล้ว...

    ดูสีหน้าท่านสงบ เหมือนปิดตาหลับและกำลังรอหล่อนปลุกให้ตื่นขึ้นมาทักทายกัน หญิงสาวค่อยๆลงคุกเข่าหน้าศพส่วนบนเป็นนาน ก่อนจะยกมือที่แบรอรับน้ำของท่านขึ้นพลิกวางบนกระหม่อมตน แล้วนั่งนิ่งถอนสะอื้นจ้องหน้าอยู่อย่างนั้น เป็นที่เวทนายิ่งแก่สายตานับสิบคู่ที่มองตรงมาอย่างเงียบกริบ

    นานราวกับกาลเวลาทอดช้าให้ลูกสาวผู้วายชนม์แน่ใจว่าผู้เป็นพ่อไม่อาจขยับมือลูบไล้ศีรษะด้วยความรักอีกแล้ว กระทั่งถึงเวลาหนึ่งเปลือกตาหล่อนหรุบปิดลงเอง กายไม่อาจหยัดทรงอยู่ได้ เซล้มมาปะทะโต๊ะวางพานรับน้ำ เกาทัณฑ์ซึ่งมาคุกเข่าระวังอยู่แล้วใกล้ๆช้อนรับไว้ได้ทันท่วงทีก่อนศีรษะจะตกฟาดพื้น

    

    เมื่อเรือนแก้วฟื้นสติกลับมาด้วยการเอื้อเฟื้อยาดมและยาหม่องน้ำจากญาติฝ่ายพ่อ หล่อนปรับสติรับความจริงได้ดีขึ้น เพียงร้องไห้กระซิกเท่านั้นเมื่อตามคนรักไปนั่งฟังพระสวดบริเวณแถวที่นั่งหลังห้อง เกาทัณฑ์ต้องกระซิบปลอบอยู่ที่ริมหูเป็นระยะ

    ก่อนออกจากงานศพหล่อนยังมายืนไหว้ลาแขกในงานร่วมกับสายชลตรงนอกประตู และพูดคุยนัดแนะกับฝ่ายนั้นเกี่ยวกับการรับเวรดูแลเป็นเจ้าภาพงานศพ อีกทั้งเมื่อเดินกลับมาที่รถก็อาสาเป็นผู้ขับเอง เกาทัณฑ์เห็นหล่อนดูปกติดีจึงให้ขับ แต่ก็คอยระวังทุกวินาทีไม่คลาดสายตาถ้าเรือนแก้วจะเหม่อขึ้นมา

    “แอ้ไปส่งเต้ที่ห้องนะ”

    เรือนแก้วเอ่ยขณะอ้อมอนุสาวรีย์ปราบกบฏ

    “ไม่หรอก ไปห้องแอ้นั่นแหละ ผมขับกลับเองไหว อย่าห่วงเลย”เกาทัณฑ์ปฏิเสธ ซึ่งนั่นทำให้น่าเดาว่าเขามีเป้าหมายต่อไปถัดจากส่งหล่อนแล้ว ทว่าภาวะจิตใจยามนี้ หล่อนไม่พร้อมจะฟุ้งซ่านซึมเศร้าในเรื่องอื่นได้ไหว

    ยอมขับมาตามทางกลับย่านที่พักอาศัยของตนเอง ต่างเงียบงันกันด้วยความคิดคำนึงแตกต่างออกไป ใจเกาทัณฑ์เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เขาอยากใกล้ชิดปลอบประโลมเรือนแก้ว แต่อีกใจก็คล้ายเร่งร้อนไปถึงบ้านปู่ชนะ ตีกันมั่วอยู่

    ส่วนเรือนแก้วนั้น ได้แต่รำลึกถึงภาพในอดีตของบิดา ซึ่งเมื่อวันก่อนที่สิงคโปร์เกาทัณฑ์เพิ่งขุดคุ้ยให้ระลึกได้หลายต่อหลายฉาก และยังผลให้หล่อนมานั่งนอนทบทวนเอาเองอีกนับสิบนับร้อย

    เลยสี่แยกไฟแดงแถวรัชโยธินมาได้หน่อย ปรากฏภาพสะดุดตาสองหนุ่มสาว ที่ข้างทางคือร่างหมอบสนิท กางแขนกางขาของชายคนหนึ่ง ห่างออกไปประมาณเจ็ดก้าวคือมอเตอร์ไซค์ที่ล้มล้อชี้ฟ้าคาริมฟุตบาท ทราบได้ทันทีว่าคงเกิดอุบัติเหตุสักอย่าง

    มีแต่รถชะลอดู แต่ไม่มีรถจอด เรือนแก้วเองก็ชะลอๆเหมือนกัน กระทั่งเกาทัณฑ์บอกให้หยุด จึงเชื่อมั่นพอจะเบนหัวรถแอบข้างทาง และค่อยๆถอยไปใกล้จุดเกิดเหตุ

    เกาทัณฑ์เปิดประตูก้าวเดินย้อนเข้าหาร่างแน่นิ่งนั้น ส่วนเรือนแก้วนั่งเกร็งกับที่อย่างสองจิตสองใจ แม้เพิ่งสัมผัสใกล้ชิดกับศพพ่อมาหยกๆ แทนที่จะทำให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา กลับยิ่งผวาเมื่อเจอร่างกองแน่นิ่งที่ชวนให้เดาว่าใช่ศพหรือเปล่า ในความเป็น ‘คุณหนู’ ผู้ถูกห้อมล้อมด้วยดอกไม้และปราการแก้ว หล่อนกลัวการเห็นหน้าเละ ตาเหลือก ปากปลิ้น และเปรอะเลือดอันเป็นผลจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่สุด

    ทำใจกล้า เปิดไฟกะพริบบอกสัญญาณจอดฉุกเฉิน ดับเครื่องเปิดประตูก้าวเท้าลงมา ทว่าเดินมาได้เลยท้ายรถหน่อยเดียวก็ชะงัก รีรอสอดตาดูความเคลื่อนไหวของเกาทัณฑ์ห่างๆ ตั้งใจว่าถ้าเป็น ‘คนเจ็บ’ ก็จะช่วยเขาลากขึ้นรถส่งโรงพยาบาล แต่ถ้าเป็น ‘คนพ้นเจ็บ’ ก็จะถอยเท้าทันที ไม่หาเรื่องเสียวลูกตาใกล้กว่านั้นแน่นอน

    ชายหนุ่มย่อกายลงติดร่างที่ซบหน้ากับถนน จับไหล่ฝ่ายนั้นพลิกหงายอย่างระมัดระวัง แสงไฟข้างทางสาดส่องให้เห็นเลือดกบจมูกและเปลือกตาเปิดครึ่งหนึ่ง เหลือกตาขึ้นบนนิดๆ ม่านตาค้างเติ่ง ราวกับจะแสดงความเป็นช่องทางออกของวิญญาณสู่สัมปรายภพ เท่านั้นก็ทราบว่าชายผู้ประสบอุบัติเหตุหาชีวิตไม่แล้ว แต่เพื่อความแน่ใจก็จับข้อมือ กดแม่โป้งตรวจชีพจรอีกครั้ง จึงได้สัมผัสอีกสัญลักษณ์หนึ่งของมรณกรรม นั่นคือความเงียบนิ่งไร้จังหวะเต้นที่ส่งมาจากหัวใจ

    กล้ำกลืนน้ำลายลงคอ ใช้ปลายนิ้วปิดเปลือกตาชายชะตาขาดอย่างที่เห็นทำๆกัน พบว่าหรุบสนิทอย่างง่ายดายราวกับรูดชายผ้าม่านลง สัมผัสที่ปลายนิ้วบอกว่านี่คือเนื้อของสิ่งที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘คน’ อีกต่อไป

    ก่อนเขาออกจากงานศพ ร่างนี้คงยังเป็นคนอยู่ นาทีนี้ไม่ใช่แล้ว ต้องมีงานศพเพิ่มอีกแล้ว

    ทำจิตเป็นสมาธิ คิดถึงกุศลเท่าที่จะนึกได้ กระทั่งเกิดกลุ่มพลังให้รู้สึกได้ในกายจริง จึงหลับตาลงคิดแผ่เป็นกระแสเยือกเย็นให้ร่างที่ยังมีไออุ่นใกล้ตัว ขอวิญญาณจงสู่สุคติ ถ้ายังลอยวนไม่รู้สติอยู่ใกล้ละแวก ก็จงรับทราบว่าบัดนี้ความผูกพันในโลกสิ้นสุดลงแล้ว และขอให้ตามกระแสธรรมอันสว่างเย็นในร่มศาสนาแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ ไปเกิดใหม่ในร่มโพธิ์เดิม พบพระผู้ปฏิบัติชอบ เจริญตามท่านจนเข้าถึงพระนิพพานโดยดี

    จะเกิดอุปาทานหรืออย่างไรก็แล้วแต่ เกาทัณฑ์ขนลุกซู่คล้ายมีพลังอย่างหนึ่งพัดผ่านมาในรูปของสายลม และยังคงขนลุกชูชันเป็นแผงอยู่เช่นนั้นแม้เมื่อลืมตา ลุกขึ้นเดินกลับมาที่รถแล้ว

    เหลือบมองเรือนแก้วและพยักหน้าให้นิดหนึ่ง แสงเหลืองจากโคมไฟถนนทำให้ใบหน้างามดูซีดราวกับเป็นศพเสียเอง ยิ่งเห็นมือสั่นและแววขลาดในตาหล่อนแล้วก็ประหลาดใจอยู่ครามครัน ท่าทางอ่อนเปียกอย่างนี้หรือเคยกล้ายิงปืนเข้าเนื้อคนมาก่อน กับทั้งมีสติมั่นคงพอจะควบคุมสถานการณ์วิกฤตจนลุล่วงมาแล้วตามลำพัง

    เรือนแก้วก้าวตามขึ้นรถทีหลัง ถามเขาด้วยเสียงที่เห็นได้ชัดว่าพยายามดัดเป็นปกติ

    “ตายหรือ?”

    เกาทัณฑ์ผงกศีรษะ หยิบมือถือขึ้นต่อสัญญาณถึง 191 และแจ้งเหตุตามหน้าที่พลเมืองดี หลังจากบอกสถานที่และตำแหน่งเรียบร้อยก็กดปุ่มตัด ถอนใจเฮือกใหญ่

    เรือนแก้วสตาร์ทเครื่องและออกรถอย่างเชื่องช้า คุมความเร็วให้เข็มชี้เกินเลข 60 นิดๆเท่านั้น แม้ถนนค่อนข้างโล่งชวนให้วิ่งเร็วก็ตาม หล่อนผ่านเห็นคนตายคล้ายเศษขยะข้างถนนมาเยอะโดยไม่รู้สึกรู้สานัก แต่บัดนี้ศพนั้นทำเอาใจสั่น และต้องพยายามระงับมิให้มือที่ควบคุมพวงมาลัยรถพลอยสั่นตาม คล้ายรอบตัวอึงอลด้วยเสียงเพรียกจากอีกมิติหนึ่ง ประสบเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับใครบางคนต้องการย้ำให้รู้ว่าความตายเป็นของจริง เกิดขึ้นได้จริงกับทุกคน

    “หมู่นี้อยู่ใกล้ความตายบ่อยจริงนะ มองไปรอบตัวยังกับป่าช้าแน่ะ”

    รำพึงระบายความรู้สึก เกาทัณฑ์เงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยตอบราบเรียบ

    “เป็นเทวทูต สื่อแจ้งข่าว สัญญาณเตือนภัยให้รู้ว่าวันหนึ่ง…ก็ถึงตาผมกับแอ้บ้าง”

    เรือนแก้วยิ้มซึม เห็นสัจจะซึ้งเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจ พ่อเคยถูกแม่ยิงแต่รอดมาได้ เกือบแปดปีต่อมาก็ตายอยู่ดีด้วยความพลิกผันชั่วเสี้ยววินาทีบนถนน  เกาทัณฑ์รอดตายมาได้จากน้ำมือโจรท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของหล่อนและคณะแพทย์ที่ทำการช่วยเหลืออย่างแข่งกับเวลา มิให้หัตถ์มัจจุราชมาสาวคว้าได้ทัน ทว่าที่สุดแล้ววันหนึ่งเขาก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากเครื่องประหาร คือร่างกายตนเองอยู่ดี กายมนุษย์และสัตว์นั่นแหละเป็นเครื่องประหารที่อันตรายร้ายแรงกว่าอาวุธและอุบัติเหตุทุกชนิดบนโลก

    นาทีนี้หล่อนอยู่กับไออุ่นของร่างกายตนเอง วันหนึ่งข้างหน้ามันจะเย็นชืดเป็นศพบนตั่งรับน้ำ

    นาทีนี้หล่อนอยู่กับเขา วันหนึ่งข้างหน้าจะต้องพรากจากกัน ใครไปก่อนไปหลังเท่านั้นแหละ

    ความหดหู่ในอนิจกรรมของผู้บังเกิดเกล้ายังปักแน่นอยู่กลางใจ จึงประมาณได้ว่าญาติของผู้นอนตายอย่างน่าอนาถเบื้องหลังก็คงเป็นเช่นนั้น โลกน่าวังเวงอย่างนี้เองหรือ คนตายกันเป็นเบือทุกวัน ญาติพี่น้องนับสิบนับร้อยต้องมาชุมนุมคับคั่ง ร้องไห้กันเบื้องหลังร่างไร้วิญญาณร่างเดียว หากนับสายน้ำตาจากญาติผู้ตายทั้งหมดในแต่ละวัน คงรวมแล้วนองเป็นแม่น้ำย่อยๆได้สายหนึ่งแน่นอน

    คิดถึงพ่อ เศร้าใจที่ยังไม่ทันทำคุณไถ่ความรู้สึกผิดให้หมดจด ยังดีเมื่อวันที่สำนึกได้ยังไม่สาย อย่างน้อยวิญญาณพ่อก็ทันรับรู้ว่าหล่อนยังเป็นลูกสาวที่รักท่านตลอดไป

    หากหยั่งรู้ว่าพ่อเหลือเวลาแสนสั้นบนโลกมนุษย์ หล่อนจะยกเลิกทุกแผนการ เดินทางไปกราบแทบเท้าอีกครั้งด้วยใจซื่อ ขอให้ได้เกิดเป็นพ่อลูกกันอีก...

    อยากร้องไห้อยู่ทุกขณะจิต แต่ก็เฝ้าซ่อนงำไว้ เพราะเมื่อฟื้นจากการเป็นลม เกาทัณฑ์กระซิบอยู่ข้างหูว่า ‘อย่าเศร้าโศกมากเลย เดี๋ยวจะเป็นแรงสะเทือนให้วิญญาณคุณพ่อหันมาเป็นห่วง จากไปอย่างไม่เป็นสุข’

    เชื่อเขา...

    พ่อรักหล่อนมาก และแสดงให้เห็นว่าเจ็บมากกว่าหล่อนทุกครั้งที่หล่อนได้แผล หรือถูกกระทบกระทั่งแม้เพียงมดไต่ไรตอม

    “แนะนำหน่อยเถอะว่าแอ้จะทำอะไรได้ดีที่สุดเพื่อพ่อ ถวายสังฆทานสักเจ็ดวัด?”

    เกาทัณฑ์กะพริบตาทีหนึ่ง

    “ทำบุญส่งให้ท่านเป็นหน้าที่อยู่แล้ว จะถึงหรือไม่ถึงก็ตาม ท่านจะอยู่ในสภาพรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ตาม แต่หากจะแสดงความคารวะท่านอย่างถึงใจแบบต่อตรง ก็ควรมีสื่อเชื่อมโยงระหว่างเรากับท่าน เช่นมองให้เห็นศพท่านเป็นครูใหญ่ เป็นสื่อการสอนให้รู้จักชีวิต เข้าใจความหมายของการดำรงอยู่และจากไป เพราะเราเคยรับรู้ความมีอยู่ เป็นอยู่ และปรากฏอยู่ของท่าน เมื่อจากตายหายไป หน้าตาของมรณะก็ปรากฏชัดในใจ ให้สลด ให้สะเทือน ลดความประมาทในชีวิตลงได้อย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่งที่ยังใส่ชุดดำ

    เมื่อทุเลาความประมาทลงแล้ว ได้ธรรมชาติจิตเป็นความเบา ความสว่าง เป็นกุศล เกิดน้ำหนักบุญให้รู้สึกแช่มชื่นกลางใจได้เมื่อไหร่ ก็ถึงโอกาสกำหนดใจอุทิศ ‘ส่ง’ ให้ท่านเหมือนยื่นสิ่งมีค่าให้กับมือ หากวิญญาณท่านอยู่ในภาวะรับรู้ได้ ก็ต้องโมทนาสาธุ พลอยปลาบปลื้มและได้ร่วมส่วนบุญกับเรา ผูกความสัมพันธ์กับท่านข้ามมิติได้จริง”

    เรือนแก้วสีหน้าสงบลงสนิทเมื่อพิจารณาจนคล้อยตาม ความโศกเศร้าหายหนอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ บังเกิดความเห็นจริงการแสดงความกตัญญูด้วยกุศลจิตของตนเองนั้นมีความแน่นอนยิ่งกว่าพิธีกรรมภายนอก ซึ่งต้องอาศัยไหว้วานผู้อื่นช่วยสร้างกระแสกุศลนำให้ก่อน ดังเช่นสงฆ์ที่สวดอภิธรรมหน้าศพนั้น พวกท่านไม่เคยรู้จักพ่อ ไม่มีความผูกพันกับพ่อมาก่อนเลย หล่อนต่างหากควรเป็นสื่อรับกุศล รับเนื้อหาธรรมจากพระ ส่งตรงไปถึงพ่อด้วยตนเอง

    “ที่พระท่านสอนให้เตรียมตัวตาย มีอะไรบ้าง?”

    “แค่นึกบ่อยๆว่าเราอาจตายได้ทุกเวลา น้อยคนจะรู้ว่าโลกเรามีคนตายกันวันละแสนห้าหมื่นคน เมื่อวานไปกันแสนห้า วันนี้ไปอีกแสนห้า ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้เราเป็นหนึ่งในแสนห้างวดต่อไปหรือเปล่า ก่อนออกจากบ้านคิดว่าอาจไม่ได้กลับ นั่งรถลงเรือคิดว่าอาจได้รับอุบัติเหตุ เดินทางอาจถูกสัตว์มีพิษทำร้าย จนจิตชินและเตรียมรับมือเป็นปกติจริงๆ ก็เรียกว่าเตรียมตายด้วยความคิดแล้ว

    ถ้าเข้าขั้นหน่อยต้องใช้สมาธิและปัญญาเพ่งเข้ามาในกาย เห็นความเป็นเครื่องประหารของตัวเอง อย่างนี้เรียกว่าเตรียมตายด้วยการภาวนา มีอุปเท่ห์ หรือกลวิธีพิสดารมากมาย เช่นนอนนิ่งก็เห็นว่าตอนเป็นศพก็วางกายอย่างนี้ หรือเมื่อผ่อนลมหายใจออกจนสุดก็คำนึงนึกว่าตอนเป็นศพก็ขาดลมอย่างนี้ กระทั่งขึ้นใจ เห็นกายเป็นศพอยู่จริงๆทั้งขณะยืน เดิน นั่ง นอน ท่านว่าถึงจุดหนึ่งจิตจะสว่าง แยกตัวจากกาย เห็นกายแตกพังทีละน้อยจนกลายเป็นธุลี ให้เกิดความสลดสังเวชจับใจ กระทั่งปล่อยวางความยึดถือในกายเสียได้อย่างเด็ดขาด เข้าทางมรรคผลได้ผ่านการเห็นอนัตตาในกาย

    และจากประสบการณ์ที่ผมเฉียดความตายในขณะจิตเป็นอกุศล ก็ได้ความคิดอย่างหนึ่งคือการทำใจให้แช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ถือว่าเข้าข่ายเตรียมตัวตายที่ดีด้วยเหมือนกัน เพราะจิตที่แช่มชื่นเป็นฐานให้นึกถึงกุศลได้ หากปราศจากฐานที่มั่นแล้ว จับพลัดจับผลูจิตตกตอนใกล้ตาย ก็อาจถอยหลังเข้าคลอง ทั้งที่อุตส่าห์ทำดีมาตั้งมาก”

    “คิดถึงความตายบ่อยๆนี่ไม่ถือว่าแช่งตัวเอง เตือนคนอื่นให้ระลึกถึงความตายบ่อยๆก็ไม่ถือว่าพูดอัปมงคลอย่างนั้นใช่ไหม?”

    “การแช่งชักหักกระดูกให้ตัวเองตายดับนี่ต่างกับการเจริญมรณสติเป็นคนละเรื่องเลยนะแอ้ ที่เห็นชัดตอนเราแช่งตัวเองหรือคนอื่นนี่ จิตปนเปื้อนด้วยโทสะกล้าแข็ง เป็นบาปหนัก แต่ตอนเราระลึกถึงความตายเพื่อลดความประมาท ลดความลุ่มหลงมัวเมาในผัสสะจากการมีชีวิต จิตจะเบาจากกิเลส ว่างจากอุปาทานยึดมั่นถือมั่น สร้างเสบียงให้พร้อมก่อนเดินทางละร่างไป ต้องนับเป็นมหากุศลต่างหาก

    และที่จริงความตายของใครคนหนึ่งจะเป็นมงคลหรืออัปมงคลก็ขึ้นอยู่กับคนๆนั้น ไปดีก็นับว่ามงคล ไปร้ายก็นับว่าอัปมงคล สิ่งที่ตกทิ้งในโลกระยะหนึ่งก็แค่ทะเลน้ำตา คลื่นเสียงหัวเราะ ความเดือดร้อนของคนหย่อมหนึ่ง หรือความเจริญขึ้นของคนหมู่มาก แล้วแต่ว่าคนตายทำเรื่องเป็นมงคลและอัปมงคลไว้กับคนอื่นแค่ไหน ไม่ใช่ว่าพูดถึงความตายจะหมายถึงมงคลหรืออัปมงคลอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอนโดยเฉพาะ”

    เรือนแก้วกะพริบตา หรี่มองไปเบื้องหน้าและคิดไกล

    “อย่างนี้ถ้าไม่เชื่อเรื่องภพชาติ มรณสติก็คงไร้ความหมายสินะ มีชีวิตเดียวเสพสุขให้คุ้มก็พอ จะคำนึงถึงความตายให้กลุ้มอยู่ทำไม”

    เกาทัณฑ์ยักไหล่

    “คนเรา… เป็นภพเป็นชาติอยู่ในตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่มืดบอดมองไม่เห็น นี่แหละโทษอันร้ายกาจของสังสารวัฏล่ะ”

    

    ชวนกันแวะทานข้าวเย็นในศูนย์อาหารที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในระหว่างทาง ต่างทานกันอย่างไม่ใส่ใจรสชาติเท่าไหร่นัก เพราะยังอยู่ในอารมณ์ดิ่งเห็นมรณภัยที่รออยู่เบื้องหน้า

    แต่พอท้องอิ่มและอารมณ์เริ่มจางตามธรรมชาติวิสัย เกาทัณฑ์กับเรือนแก้วก็สั่งไอศกรีมมาตบท้ายมื้อเย็น และคุยกันเรื่องทั่วไป แวะเวียนจากเรื่องงานไปเรื่องคน เรื่องดินฟ้าอากาศปรวนแปร ฤดูร้อนบางทีมีลมหนาวแทรกแซม ฤดูหนาวบางทีร้อนระอุราวกับอยู่ในกระทะ หยอดคำหยอกให้เพลินในกันและกัน จนที่สุดก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาได้

    แม้เทวทูตปรากฏให้ระลึกถึงความตายแล้ว และแม้พูดจาเตือนสติกันให้เลิกระเริงหลงแล้ว แต่เมื่อจิตไม่ทำตนเป็นบุรุษที่สาม มองตัวเองด้วยภาวะความเป็นจิตรู้ ก็จะไม่เห็นเลยว่าขณะใดบ้างที่ตนเสพสุขด้วยอำนาจความเคยชิน พึงใจจดจ้องดวงตากันและกัน โอบแตะกันและกัน ยินเสียงกันและกัน มัวเมาในรสแห่งความมีชีวิต...

    ทำไปทำมา การพูดคุยถึงมรณสติก็กลายเป็นเพียงหัวข้อสนทนาที่ผ่านไปอีกเรื่องหนึ่ง

    ออกจากศูนย์อาหาร หญิงสาวขับตรงกลับที่พักของหล่อน พอถึงก็ไปจอดในพื้นที่ของแขกผู้เข้าเยี่ยมด้านหน้า เมื่อเหยียบเบรกสนิทและทำท่าจะบิดกุญแจดับเครื่อง เกาทัณฑ์ก็ห้ามไว้และยกมือลูบเรือนผมนุ่มเพื่อล่ำลา

    “โอเคนะแอ้ แล้วผมจะโทร.หา...”

    “เดี๋ยว”

    หญิงสาวยึดข้อมือของเขาไว้มั่น

    “อย่าเพิ่งเป็นตอนนี้เลย เข้าห้องแอ้ก่อน”

    “มีอะไรหรือ?”

    “ยังไม่อยากอยู่คนเดียว”

    สายตาวิงวอนซื่อๆนั้นทำให้เกาทัณฑ์รับทราบว่าสัมพันธภาพระหว่างเขากับหล่อนกินลึกมาจนเกินกว่าจะฝืนปฏิเสธคำขอเสียแล้ว การสูญเสียพ่อทั้งคนเป็นเรื่องน่าเห็นใจ น่าอยู่เป็นกำลังใจ ถือเป็นหน้าที่ถ้าสนิทกันพอ

    ขึ้นมาถึงชั้น 23 เรือนแก้วเปิดประตู เดินนำลึกเข้าไปในห้องอย่างเซื่องซึม ล้าแขนขา รู้สึกอ่อนแอลงชั่วขณะ และเมื่อสำเหนียกได้ว่าเกาทัณฑ์สะกดตามหลังมาติดๆ ก็หมุนตัวกลับไปเงยหน้าสานตากับเขาในระยะประชิด ยืนนิ่งส่งแววขอความอบอุ่นจากเขาอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

    เกาทัณฑ์ลังเล รับรู้อาการเว้าวอนชนิดนั้น แต่ความถูกต้องในขณะนี้อยู่ที่ไหน? กอดหล่อนด้วยเจตนาปลอบประโลมบริสุทธิ์ใจเช่นนั้นหรือ? นี่ไม่ใช่ห้องพักคนไข้ที่มีหมอและนางพยาบาลเดินเข้าออกได้ตลอดเวลาอีกต่อไป การอยู่ตามลำพังสองต่อสองและผัสสะระหว่างหญิงชายในโลกส่วนตัวที่ปลอดจากบุคคลที่สามอย่างเด็ดขาด จะทำให้ทนยับยั้งชั่งใจได้นานแค่ไหนกัน

    ขยับจะรั้งร่างหล่อนเข้าหา แต่ก็ชะงักค้าง คล้ายเด็กหนุ่มที่กล้าๆกลัวๆกับการแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงเป็นครั้งแรก

    “จะให้แอ้รู้สึกว่าตัวเองหน้าด้านไปถึงไหนคะเต้?”

    คำตัดพ้อรันทดนั้นเองพังทำนบแห่งความระงับยับยั้ง หล่อนมีความหมายกับเขาเกินกว่าจะดูดาย เขากำลังอยู่ในภาวะจำยอมแบกความรับผิดชอบที่เกิดจากความใจอ่อนอย่างปราศจากขอบเขตที่ผ่านมาทั้งหมดของตนเอง

    ตวัดเอวกิ่วเข้าโอบกอดแนบแน่น ก้มลงพรมจุมพิตแผ่วไล่จากหน้าผาก ปลายจมูก ลงมาถึงริมฝีปาก แล้วกดศีรษะหล่อนทาบบ่า คลอเคลียใบหน้าสูดกลิ่นจากกลุ่มผมหอม ตั้งความรู้สึกให้ใสสะอาดเหมือนอย่างที่เคยสวมกอดแพตรี เรือนแก้วเพียงต้องการที่พึ่ง ที่พักพิงกายใจในยามสูญเสียครั้งใหญ่ เขาสมควรเป็นความอบอุ่นให้ เยี่ยงเพื่อนแท้ที่ยินดีอยู่เคียงข้างในยามตกทุกข์

    แต่เรือนแก้วไม่มีอะไรเหมือนแพตรีเลย เนื้อตัวหล่อนชวนให้เกิดความกระวนกระวายไปทุกกระเบียด นี่เป็นวันเศร้าของหล่อน ทว่าเป็นวันปกติของเขา ความเรียกร้องตามธรรมชาติไม่ได้ถูกกดไว้อย่างหล่อนแม้แต่น้อยนิด

    หญิงสาวยืนแขนตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาเนิ่นนาน สัมผัสอ่อนอุ่นแนบชิดจากชายที่หล่อนรักทำให้เกิดความสุขซ่านขึ้นทีละน้อย กระทั่งอยากยิ้มออกมาเองทั้งน้ำตาซึม เหมือนได้ซบพักอยู่กับแผ่นผาแกร่งที่ปกป้องหล่อนได้จากทุกภยันตราย รู้สึกเหงาย้อนหลังให้กับตนเอง นี่หล่อนผ่านความเดียวดายมาได้อย่างไรโดยปราศจากอ้อมอุ่นของเขา…

    เกาทัณฑ์ขบริมฝีปาก ยิ่งนานยิ่งลำบากใจ กลุ้มใจ เพราะรู้ตัวว่าในที่สุดจะทนสัมผัสเบียดชิดเร้าดำฤษณาไม่ไหว จึงค่อยๆดันร่างบางออกห่าง คิดจะบอกให้หล่อนไปอาบน้ำนอนพัก แต่เพียงคลายอ้อมกอดเท่านั้น เรือนแก้วก็ยกสองแขนกระหวัดรัดร่างเขาไว้สนิท

    “เต้…พูดให้ฟังอีกทีซิว่ารู้สึกยังไงกับแอ้ ถ้าความตายไม่อยู่ใกล้แค่คืบ เธอจะยังพูดกับฉันเหมือนเดิมหรือเปล่า?”

    ชายหนุ่มปิดตา กลืนน้ำลายลงคอ ปล่อยแขนทิ้งตามยถากรรม

    “เหมือนเดิม…”

    “พูดสิ”

    เกาทัณฑ์สูดลมหายใจเต็มอก เอ่ยแผ่วทว่าแช่มชัด

    “ผมรักแอ้”

    เรือนแก้วคลี่ยิ้มละไมอย่างสุขสม น้ำตาค่อยๆหลั่งจนอาบแก้ม

    “เธอจะไม่ทิ้งฉันไปไหนใช่ไหม?”

    นั่นคือคำถามอันแหลมราวกับคมดาบ ถ้าตอบตามใจหล่อนคนนี้ ก็เท่ากับทรยศหล่อนอีกคน แค่คิดว่าจะทอดทิ้งแพตรี ใจก็หล่นหายไปถึงไหน…

    เขามีสิทธิ์ตัดสินใจคนเดียวหรือ? ยังมีความเจ็บปวดของผู้หญิงอีกสองคนเป็นเดิมพัน รู้สึกตัวว่าไม่สมควรได้รับสิทธิ์เป็นผู้พิพากษาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่เป็นคนดี มีใจเดียวให้เขาเช่นพวกหล่อนเลย

    จากความรักสู่เรื่องราวคอขาดบาดตายในอีกรูปแบบที่ต่างจากมีดและปืน คนส่วนใหญ่พบแต่คู่กินคู่นอน ยากนักจะพบคู่รักคู่แท้ในชั่วชีวิตหนึ่ง แต่ทำไม…เขาโชคดีหรือเคราะห์ร้ายกันแน่ที่พบผู้เป็นที่รักยิ่งถึงสองคนในชาติเดียวกัน?

    ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง สุขจนล้นขอบก็กลายเป็นทุกข์มหันต์ได้ง่ายดายปานนี้

    “ผมเจ็บแผล…”

    เกาทัณฑ์แกล้งอ้างเพื่อให้หล่อนคลายอ้อมกอด ก่อนที่สติหักห้ามของตนจะขาดผึง เรือนแก้วกล่าวขอโทษแล้วคลายวงแขน หันหลังจูงมือเขาเข้าห้องนอน บอกให้เอนหลังบนเตียงหล่อน แต่ชายหนุ่มชวนมานั่งด้วยกันที่โซฟากลางห้องแทน

    เปิดเพลงฟัง เกาทัณฑ์ได้เห็นประสิทธิภาพเครื่องเสียงราคาแพงอันประกอบด้วยลำโพงรอบทิศ กลางแหลมอยู่บน ซับวูฟเฟอร์ขับเสียงต่ำลึกอยู่ล่าง เมื่อเรือนแก้วเลือกเล่นเพลงแซ็กโซโฟนแนวนิวเอจอันทอดหวานอ้อยอิ่งแล้วเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยพลังเสียงจากมิติฝันล้ำลึก ไถลใจดิ่งหลงไปในรสอิฏฐารมณ์จนเกาทัณฑ์เป็นฝ่ายทอดแขนโอบไหล่คนรัก ซึ่งทันทีที่รับสัมผัส เรือนแก้วก็ชักสองเท้าขึ้นพับเพียบบนเบาะ เถิบร่างซบแก้มแนบไหล่ เอนกายอิงกายเขาอย่างง่ายดาย

    เกาทัณฑ์พยายามขับไล่ความพะวงเร้นลับทิ้ง ปิดตาสนิท ใจเปิดสว่างเสพสุขารมณ์เฉพาะหน้าเช่นผู้เห็นว่าตนกำลังอยู่ในที่ที่ดีที่สุด ทว่าพักเดียวพอมโนภาพของแพตรีปรากฏในห้วงนึก สุขเวทนาทั้งมวลก็พังครืน ทรมานพอกับถูกบังคับให้เคี้ยวเนื้ออร่อยนุ่มที่ปนแทรกด้วยเม็ดกรวดแหลมเล็ก

    ทำตัวนิ่งเพราะรู้ว่าเรือนแก้วกำลังเอมอิ่มในท่ามกลางองค์ประกอบพร้อมสมบูรณ์ ทั้งสภาพแวดล้อมและสัมผัสในรัก เขาแบ่งใจยินดีให้กับความสงบสุขเต็มตื้นของหล่อน แต่ห้านาทีคล้อยหลังความฝืนใจเสพสุขก็ขาดสะบั้น เมื่อถึงขณะจิตหนึ่งที่เคลิ้มลงใกล้หลับด้วยความเหนื่อยอ่อน คล้ายเกิดประสาทหลอน เหมือนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ในหัว...

    ไหวตัวเยือกแบบคนประสาทกระตุกตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น เรือนแก้วโงศีรษะขึ้นมองและหัวเราะขำ ยานคางถาม

    “เปนอาราย...”

    เกาทัณฑ์สบตาฉ่ำหวานหยาดเยิ้มของหล่อน เห็นกลีบปากอิ่มเผยอหน่อยๆคล้ายรอจูบแล้วเกือบห้ามใจไม่อยู่ ต้องเสแตะริมฝีปากกับขมับหล่อนด้วยความอ่อนโยนเป็นการเพลาอารมณ์

    “เส้นกระตุกน่ะซี แค่นี้ก็ต้องขำด้วย”

    “นอนโซฟาไม่สบายก็...” อึกอักยักไหล่ด้วยความขัดเขินจนเสียงอู้อี้ “ไปนอนบนเตียงดิ้”

    พูดจบก็หันไปทางอื่น เกาทัณฑ์ชำเลืองร่างแน่งน้อยในอ้อมโอบแวบหนึ่ง หากเอาสติปัญญาของเขาหารด้วยสิบแล้วเดินชนแง่งหินสักโป้ง ก็น่าจะยังรับรู้ว่าคำเชิญด้วยกิริยาเยี่ยงนั้นเปิดกว้างไปถึงไหน

    หากจะนอนกับหล่อนเดี๋ยวนี้ก็ง่ายยิ่งกว่าง่าย สัมผัสในรักสนิทสงบซึ้งจากสองกายสองใจเป็นสุขยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เย้ายวนเหนือเบญจกามรสอื่นใดทั้งปวง จะแปลกแค่ไหนสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวกับการมอบกายถวายชีวิตให้แก่ชายที่สนิทใจว่าเขารักตนจริง และจะปกป้องคุ้มครองตนจนสิ้นกาลนาน

    แค่พลิกฝ่ามือก็เชยชมหล่อนได้ ทว่าพรุ่งนี้เช้าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นแล้ว เขาจะพบว่าสิ่งที่ได้มาง่ายนั้น จะต้องถูกรักษาไว้ตลอดไป หมายความว่าเขาหมดสิทธิ์หมั้นหมายและตบแต่งกับแพตรีตลอดไปเช่นกัน

    มันบ้าตรงที่ถ้าเขารักษาสัญญากับแพตรี ก็เหมือนตบหน้าผู้หญิงคนนี้ และแม้เขาอยู่กินกับแพตรี ก็คงมีสุขได้แค่ครึ่งๆกลางๆไปจนกว่าจะหาไม่ เมื่อคอยแต่เฝ้านึกว่าเรือนแก้วจะอยู่ของหล่อนอย่างไรคนเดียว

    เกาทัณฑ์รู้สึกทดท้อ มองไปข้างหน้าเหมือนมีแต่ความมืดมน จิตใจหดหู่ซึมเศร้าอย่างยากจะบรรยายเมื่อฝืนลุกขึ้นยืน

    “ผมควรกลับเสียทีนะแอ้”

    มีความเงียบงันจากเบื้องหลัง เสียงดนตรีกลายเป็นเครื่องประกอบความวังเวงไปได้อย่างน่าแปลก เขานึกรำคาญจนต้องหยิบรีโมทคอนโทรลปิด ทั้งห้องสงบลงราวกับตื่นจากฝันสู่ความจริงอันว่างเปล่า

    เมื่อเหลียวมองก็พบหล่อนนั่งก้มหน้านิ่ง จนต้องเอื้อมมือแตะบ่าเรียกอีกครั้ง

    “ไปก่อนนะ”

    “พรุ่งนี้จะทำอะไรหรือเปล่า?”

    หญิงสาวฝืนใจถาม

    “ต้องตระเวนหลายแห่งเหมือนกัน ผิดนัดเขาไว้เยอะแยะเลย ญาติผู้ใหญ่ด้วย วางเงินมัดจำซื้อของแล้วยังไม่ไปรับด้วย คงวุ่นทั้งวัน...”

    เกือบหลุดปากว่าจะมารับไปฟังสวดศพพ่อหล่อน แต่แล้วก็ลังเล กระทั่งเรือนแก้วถาม

    “จะมาหาแอ้ไหม?”

    นั่นคือคำถามที่เขากำลังเกรงอยู่พอดีว่าจะหาคำตอบแน่นอนได้ยาก

    “ถ้าธุระผมเสร็จแล้วไม่เหนื่อยนักก็จะมา แอ้จะอยู่บนห้องทั้งวันเลยเหรอ?”

    “จะอยู่นี่แหละ”

    เสียงหงอยอย่างคนไม่มีใคร ไม่มีอะไรมาหล่อเลี้ยงหัวใจให้สดชื่นได้อีกแล้ว ทำเอาเกาทัณฑ์ถึงกับสะอึกอั้น แม้รู้ว่านั่นคือไม้ตายที่หล่อนใช้ดึงเขาเข้าหา ก็ไม่วายนึกสงสารจับใจ

    ก็เขาเห็นหล่อนมาทั้งชีวิต...

    “ผมจะแวะมา” แทบกลั้นใจเมื่อประกาศเช่นนั้น “จะโทร.บอกว่ากี่โมง”

    ขยับตัวจะก้าวเท้า แต่เมื่อเห็นเรือนแก้วยังนั่งกับที่อย่างไม่ยอมรับรู้ หรือเต็มใจยอมให้เขาจากไป ก็ก้มลงเอื้อมมือช้อนศอกหล่อน

    “ส่งผมหน้าประตูสิไป”

    เรือนแก้วสลัดแขนเบาๆหลุดจากมือเขา และเนานิ่งอยู่ในห้วงความเดียวดายอย่างดื้อเงียบ

    “แอ้...”

    เกาทัณฑ์ชักกลุ้ม สำนึกหนึ่งกระซิบกับตนเองว่าสายไปแล้วที่จะถอนตัวจากหล่อนคนนี้...

    ค่อยๆเหนี่ยวต้นแขนหล่อนให้ลุกยืนอย่างสุภาพ และวอนด้วยเสียงนุ่มนวล

    “ไปส่งให้ผมสบายใจหน่อยนะ อย่าเอาแต่ใจซี่”

    เรือนแก้วสะบัดหน้ามองเขาด้วยตารื้นน้ำและหัวคิ้วเคร่ง สะกดไม่ให้น้ำตาและถ้อยคำพรั่งพรูออกมาดังใจนึก ทำไมจะไม่รู้ว่าธุระของเขาพรุ่งนี้เกี่ยวกับใคร มีความหมายแค่ไหน

    ถูกกดให้กลับสู่สภาพอ่อนแอ แต่ฝืนทำใจแข็ง กัดริมฝีปากก้มหน้าออกเดินนำเขา ชายหนุ่มเหลียวมองรอบตัวอยู่พักหนึ่ง ก่อนก้าวตามหล่อนไปในที่สุด

    เรือนแก้วเปิดประตูอ้ารอไว้แล้ว เกาทัณฑ์ใช้มือแตะไหล่หล่อนและกำลังจะผ่านออกไป บังคับใจมิให้เหลียวมอง แต่เจ้ากรรมที่ทำไม่สำเร็จ เหลือบแลจนได้...

    เห็นแววร้าวที่เพ่งนิ่งมายังตน และเม็ดน้ำที่ปลายสายยาวในร่องแก้มแล้วถึงกับคู้ไหล่ลงต่ำ เกือบทรุดนั่งพิงกรอบประตูอยู่ตรงนั้น ขมวดคิ้วขบฟันนิดหนึ่ง ต้องสะกดจิตตนให้เหี้ยมราวกับฆาตกร จึงเบือนหน้าหนีและขยับเท้าก้าวได้ออก เดินเร็วและบังคับคอให้ตั้งตรง ก่อนที่ใจจะอ่อนลงมากกว่านั้น

    กังวานรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนกรับ กรับ กรับเป็นจังหวะสม่ำเสมอฟังหลอนหู สำนึกว่าการย่ำเท้าแต่ละครั้งส่งเสียงเสียดแทงโสตประสาทของผู้อยู่เบื้องหลังปานใด รู้สึกราวกับมีสายโซ่ไร้ตนล่ามข้อเท้า ผ่อนยาวตามไปเรื่อยๆทุกฝีก้าวไม่สิ้นสุด...

    

    แพตรีปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวตกรดศีรษะเฉยแทบไม่ขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน นี่เป็นจังหวะเวลาเดียวของวันที่เอื้อให้น้ำตาหลั่งลงได้โดยไม่เปื้อนหน้า และไม่รู้สึกว่ากำลังร้องไห้

    เอาเถอะ...อยากไหลก็ไหลไป ปนกับน้ำฝักบัวอย่างนี้ดูออกที่ไหน หล่อนข่มก้อนสะอื้นไว้แล้ว ถือว่าแค่ขับของเสียชนิดหนึ่งออกมา เพื่อให้ใจสงบลง นี่ไม่ใช่การร่ำไห้หมดท่า เพราะหล่อนยอมแค่รินน้ำตาทิ้งเท่านั้น อย่างอื่นสะกดได้หมด

    รอได้…ยืนรอนานแค่ไหนก็ได้ ขอให้เหือดหายเป็นพอ อย่าต้องแสบแก้มแทบไหม้เพราะปราศจากน้ำดีช่วยเหมือนวันแรกเลย

    สายน้ำจากฝักบัวพรั่งพรูได้ทั้งวัน แข่งกันแล้วรู้ว่าน้ำตานั้นไหลแพ้ลิบลับ

    กลับออกสู่โลกภายนอกด้วยความสดชื่นกว่าเมื่อก่อนเข้าห้องน้ำ แม้รู้สึกว่าจิตใจยังเหือดแห้งแล้งล้า ก็มีสติพอจะติเตียนตนเอง เมื่อทบทวนว่าหลังใส่บาตรเช้า ทำอาหารให้ปู่ ก็ไม่เหลือแก่ใจทำสิ่งใดต่อ เรี่ยวแรงหดหาย กายระทดระทวยติดเตียงจนเกือบบ่าย กว่าจะลุกขึ้นอาบน้ำได้ นี่ไม่ใช่หล่อนแล้ว ปล่อยให้อะไรสิงสู่อยู่ตั้งนาน

    วันนี้หล่อนต้องกลับเป็นเหมือนเก่า ต้องมีใจเหลือไว้รักตนเองและคนรอบข้างอย่างเคยมาชั่วนาตาปี

    เป็นคนเดิมที่ไม่มีใคร...

    และกำลังจะเป็นคุณครูที่กล้ายืนสอนเด็กว่าถ้าเจอทุกข์ ต้องสู้ ต้องอดทน ต้องปลอบตัวเองได้

    ก้มหน้าก้มตาเปิดประตูเข้าห้องหงอยๆ ห้องส่วนตัวทำให้กลับอ่อนแอลงอีก เพราะเมื่อลงล็อกแล้ว จะไม่มีใครเห็นเลยว่าหล่อนถูกพิษแห่งความเชื่อในรักกัดกินแทบขาดใจเพียงไหน

    โน้มศีรษะอิงหน้าผากกับบานประตู อย่างน้อยนั่นก็เป็นหลักพักพิงชั่วคราว ก่อนที่จะย้ายไปพึ่งสิ่งอื่นที่ประเทืองปัญญาและเรียกพลังคืนได้ สัญญากับตนเองว่าจะไม่ล้ม ไม่ลงนอนอีกแล้ว หลายวันที่ผ่านมามันมากเกินพอแล้ว

    เกือบครึ่งนาทีกับการยืนหาหลักให้ตนเองในห้องอันว่างวาย แพตรีสูดลมหายใจลึกสองสามหน เมื่อรู้แน่ว่าไม่ปนสะอื้นก็หมุนตัวกลับ ตั้งใจจะหาหนังสืออ่านเป็นอันดับแรก

    สะดุดกึก ตาเบิกตะลึงตะไลเหมือนถูกสาป เมื่อพบว่ากลางห้องคือร่างสูงของเกาทัณฑ์!

    เขาส่งยิ้มให้ ใบหน้าสลดเศร้าอย่างคนสำนึกผิด มองลึกเข้ามาในตาหล่อนและเอ่ยราวกับยืนอยู่แสนไกล

    “แพ...สวัสดี”

    แพตรีเพ่งนิ่ง เงาร่างของเขาก่อความปรีดาปราโมทย์ ทว่าใบหน้าเขาก็ราวเข็มแหลมแกล้งแทงทิ่ม งงงันกับตนเอง เกือบระเบิดเสียงกรีดร้องตวาดไล่ให้ดังคับบ้าน เกือบหาอะไรขว้างใส่ให้แรงที่สุด แต่ด้วยกรอบคุณงามความดีที่ล้อมใจมาแต่อ้อนแต่ออก ทำให้ความหุนหันพลันแล่นชั่ววูบทั้งมวลดับลงเร็วเกือบเท่ากับที่มันเกิดขึ้น

    หันหลังกลับจะเปิดประตูก้าวออกจากห้อง หล่อนยินดีหนีหายตลอดกาลหากเขาจะยังอยู่ในเขตบ้านปู่

    แต่ช้าไป ถูกคว้าแขนไว้เสียก่อน เขาลากดึงมานั่งบนเตียง หล่อนพยายามขืนต้านสุดฤทธิ์ ทว่าไม่เป็นผล ด้วยกำลังดิ้นเท่าหล่อนอีกสองคนช่วยก็ไม่มีสิทธิ์หลุดจากอุ้งมือแข็งราวคีมเหล็กนั้นเลย

    “โอ๊ย...”

    ครางแผ่วด้วยความเจ็บเมื่อสะบัดดิ้นแล้วเขายิ่งบีบรัดอย่างลืมประมาณแรง เกาทัณฑ์ยินเสียงอุทธรณ์ก็รู้สึกตัวและคลายมือโดยเร็ว

    ทั้งเจ็บกาย ทั้งเจ็บใจ เกินสะกดกลั้นสะอื้น แพตรียกมือปิดหน้าร้องไห้อย่างน่าเวทนา นี่เขาจะตามมารังแกหล่อนไปถึงไหน แค่นี้พอเถอะ ไหว้ล่ะ…

    เกาทัณฑ์รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น อยากดึงร่างน้อยเข้ามากอดอย่างถนอม แต่ก็รู้ว่าขณะนั้นตนไร้สิทธิ์อันชอบธรรมโดยสิ้นเชิง จึงได้แต่นิ่งทนมอดไหม้กับนรกในอกอยู่อย่างนั้น กระทั่งหล่อนหยุดร้อง ลดมือลง จ้องเขาด้วยตาแดงช้ำ

    “ออกไป!”

    ไล่ด้วยเสียงแหบพร่า เป็นนาทีที่เกาทัณฑ์ทราบได้ว่าความฉลาดพูดไร้ความหมาย ความจริงเท่านั้นที่ทำให้กล้าเอ่ยปาก

    “แพ...ฟังพี่ก่อนเถอะ พี่กับเพื่อนผู้หญิงในข่าว...”

    “พี่เต้...” แพตรีห้ามทั้งถอนสะอื้น “อย่าพูดค่ะ”

    เกาทัณฑ์ส่ายหน้า ขยับจะเอ่ยก็ถูกแซงอีก

    “ที่พี่ว่าจะมีเรื่องให้แพแปลกใจ แพแปลกใจพอแล้ว อย่าทำให้ต้องแปลกใจกว่านี้เลย”

    ชายหนุ่มปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเหมือนใกล้สิ้นใจ แต่แล้วก็เปิดตาได้อีกครั้ง ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจรถมายื่นส่งให้

    “นี่ต่างหากเรื่องที่อยากให้แพแปลกใจ ของขวัญสำหรับการหมั้นหมายด้วยน้ำพักน้ำแรงของพี่เอง ไม่ใช่อย่างเครื่องเพชรที่เตรียมขอจากคุณแม่ใส่พานให้ในวันหมั้น”

    หญิงสาวเหลือบมองของมีค่ายิ่งในมือเขา หากเป็นเวลาปกติหล่อนคงปลาบปลื้ม นัยน์ตาคงเป็นประกายดีใจเยี่ยงหญิงสาวที่ได้รับของกำนัลราคาแพงจากชายที่ตนรัก แต่เมื่อมีหมอกร้ายมุงบังห่อหุ้มใจเหมือนเดี๋ยวนี้ ของในมือเขาก็แค่วัตถุชิ้นหนึ่งที่หาค่าในสายตาหล่อนไม่ได้เลย

    แพตรีฝืนยิ้มทั้งน้ำตา มองเขาคล้ายขบขันนัก

    “ซื้อให้พี่เรือนแก้วด้วยหรือเปล่าคะ?”

    เกาทัณฑ์ได้ยินแล้วถึงกับมือตก และเกือบปิดปากเป็นเบื้อใบ้อย่างถาวร

    “แพ พี่...”

    พูดตะกุกตะกัก แย่ตรงที่ถ้าอ้างว่าเขาไม่มีใจกับเรือนแก้วเลยนั้น เป็นเรื่องโกหกอย่างหน้าด้านชนิดหนึ่ง และถึงกล้าโกหก ก็นึกสงสารเรือนแก้วเกินกว่าจะพูดจาลดค่าหล่อนเพียงเพื่อเอาตัวรอดเฉพาะหน้า

    “พี่กับ...เพื่อน...นอนแยกห้องกัน ที่ขึ้นไปหาเขาก็เพราะต้องทำอะไรบางอย่าง ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน พี่ไม่เคยนอนกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

    การพูดความจริงทำให้รู้สึกเป็นผู้ใหญ่ นึกขอบคุณตนเองกับความอดกลั้นที่แล้วมา ที่ทำให้พูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างนี้

    “ทำไมล่ะคะ? พี่เขาสวยดีออก”

    “เหตุผลคือแพน่ะซี เรากำลังจะหมั้นหมายกัน พี่จำได้ติดหัว”

    “อย่าจำอีกเลยค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว”

    คนฟังถึงกับเย็นหวิว มองดวงหน้าเปื้อนคราบน้ำตาแล้วบอกตนเองว่าได้เพชรมาแต่ปล่อยให้หลุดมือไปแล้วกระมัง

    “แพฟังพี่อธิบายบ้างนะ เรือนแก้วเป็นเพื่อนร่วมงาน พี่รู้จักเขาตั้งแต่ย้ายกลับมาประจำที่เมืองไทย ไม่ใช่เพิ่งคบหาหลังพบกับแพ ถ้าย้อนนึกดูจะจำได้ว่าแพเคยเจอเขาครั้งหนึ่งที่โคราช จำได้ไหม?”

    แพตรียิ้มมุมปาก นัยน์ตาโศกทอดมองเขาอย่างดูว่าจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นเงียบก็ตอบคำเพียงสั้น

    “ไม่ได้สังเกตหรอกค่ะ เพื่อนพี่ตั้งเยอะ”

    “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าความจริงคือเขาเคยเห็นพี่อยู่กับแพมาก่อน ถ้าหากมีอะไรกัน วันนั้นเขาจะทนนิ่งอดกลั้นอยู่ได้หรือ?”

    สีหน้าของแพตรีดูผ่อนคลายลงนิดหนึ่ง นั่นทำให้เกาทัณฑ์ใจชื้นขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่าหล่อนไม่ถึงกับตัดตายขายขาด ปิดหูปิดตาจากเขาอย่างสิ้นเชิง

    “จำได้ไหมที่คืนก่อนไปสิงคโปร์ พี่ขอให้แพไปด้วยกัน เหตุก็เพราะอย่างนี้แหละ แต่เหมือนน้ำท่วมปาก มีหลายเรื่องนักที่พูดอ้อมค้อมก็ไม่ดี ตรงไปตรงมาก็ไม่เหมาะ…”

    “เพราะพี่มีความในใจอยู่แล้วล่วงหน้า”

    แพตรีดักคอ

    “ใช่” เกาทัณฑ์ยืดอกยอมรับ “พี่รู้จักเรือนแก้วมานาน มีบางอย่างเกิดขึ้นบ้างตามทาง ตามเวลาที่คบหากัน แต่จนถึงวันนี้ ขอรับรองว่ามีแพคนเดียวเท่านั้นที่พี่ขอแต่งงานด้วย”

    หญิงสาวเงียบกริบ มองหน้าคนหลายใจอยู่พักใหญ่ ก่อนถามอย่างอดไม่ได้

    “เข้าห้องพี่เรือนแก้วทำไมคะ?”

    แม้เตรียมไว้แล้ว เกาทัณฑ์ก็กระดากและอึกอักที่จะตอบตามจริง

    “เขาขอให้พี่ช่วยแสดงอะไรบางอย่างให้เห็น ยอมรับว่าในที่รโหฐานอย่างนั้นดูสนิทเกินเพื่อน แต่รับรองว่าไม่มีอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย”

    แพตรียังมองชายตรงหน้าตาไม่วาง เกิดความระอาเรื่องลับ เรื่องเร้นแฝง คำลวง และคำจริงขึ้นมาเต็มประดา ขนาดไม่แต่งยังต้องจับผิดจับถูก เกิดเหตุชวนคลางแคลงขนาดนี้ ต่อไปพอเขาได้หล่อนแล้ว เบื่อหล่อนแล้วตามวิถีโลก มิยิ่งต้องสืบสาวเอาความกันข้ามวันข้ามคืน เหน็ดเหนื่อยหาข้อยุติยากกว่านี้สักร้อยเท่าหรือ?

    ความมีดีพร้อมของเขาไม่ได้นำมาแต่เพียงความสนิทเสน่หาน่ายินดีแต่ถ่ายเดียว ยังนำปัญหาอื่นพ่วงมาด้วยร้อยแปด เพราะถ้ารูปร่างหน้าตา กิริยาท่วงทีของเขาน่าหลง น่ารักสำหรับหล่อน ก็ต้องชวนให้หลง ชวนให้รักสำหรับหญิงอื่นเช่นกัน

    “พี่คะ…เรื่องนี้รู้กันสองคนระหว่างพี่กับพี่เรือนแก้ว แค่แพถามเหตุผลว่าพี่เข้าหาเขาทำไมยังบ่ายเบี่ยงเลี่ยงใช้คำคลุมเครือ เอาเถอะค่ะ คงประสาคนสนิท มีเรื่องน่าอวดน่าแสดงอยู่เยอะ แพก็ไม่อยากซอกแซกขุดคุ้ย เพราะฐานะของเราก็ว่าที่คู่หมั้นเท่านั้น ยังมีความเป็นอื่นอยู่มาก แต่เอาความจริงมาพูดกันคำเดียวสั้นๆดีกว่า คำเดียวที่บอกให้เราทั้งสองคนรู้ว่าตรงไหนคือจุดยืนเดี๋ยวนี้ และทิศไหนที่ควรเดินตรงไป…พี่รักพี่เรือนแก้วหรือเปล่า?”

    “คำตอบไม่ได้เป็นตัวกำหนดทิศทางนี่แพ…”

    “พี่เต้…แพฉลาดพูดน้อยกว่าพี่ โดยเฉพาะเรื่องต้อนหน้าต้อนหลังยอกย้อนน่ะ ไม่เก่งค่ะ แต่ก็หวังว่าเราจะมีใจจริงเท่ากัน มีดีที่จุดนี้เสมอกัน ตอบเท่านั้น รักหรือไม่รัก”

    เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เกาทัณฑ์รู้จักความกดดันชนิดที่หาทางออกไม่ได้ จนแทบอยากตายดับเสียให้พ้น หากนิ่งทื่อหรืออิดเอื้อนก็เป็นคำตอบชัดพออยู่แล้ว สู้ยอมรับอย่างลูกผู้ชายดีกว่า แม้รู้ทั้งรู้ว่าผลคืออะไร

    “รัก…”

    แพตรีหน้าซีดเผือด นั่นยิ่งกว่าเขาวาดมีดกรีดแก้วหูให้แสบเสียวลัดลึกลงไปถึงกลางอก จ้องเขาอยู่นานมาก นานเหมือนจ้องชายแปลกหน้าที่เข้ามาตบตีหล่อนอย่างไร้เหตุผล

    “มาหาแพอย่างนี้เขารู้แล้วจะร้องไห้หรือเปล่าคะ?”

    ถามแผ่วเครือและเริ่มสะอึกสะอื้นทีละน้อยต่อหน้าเขา เกาทัณฑ์หลบตาไปทางอื่น ย่นคิ้วด้วยประสาทตึงเครียดไปทุกส่วน เห็นจากหางตาว่าหล่อนจ้องเขาอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ นั่นยิ่งทรมานแทบบ้า ยอมให้ผู้ชายด้วยกันเขย่าคอเร่าๆตะคอกเค้นยังดีกว่า ทนไม่ไหวหนักเข้าก็ลุกขึ้นยืนกลางห้อง กำหมัดแน่นราวกับอยากบีบตนเองให้แหลกคามือ

    ทุกข์ที่ใหญ่หลวงเป็นอย่างนี้ มืดมนเพียงนี้ แม้ล่องลอยอยู่ในกุศลวิบาก ก็ไม่วายปรากฏปลายสายเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของทุกข์ และยิ่งหนักหนาสาหัสตรงที่ไม่มีใครผิด ไม่มีทางออก และไม่มีคำตอบใดๆน่าฟังเอาเลย

    จนล่วงเลยกระทั่งเสียงสะอื้นจากหญิงสาวจางลง เกาทัณฑ์จึงผินหน้ามาทางหล่อน เห็นดวงหน้างามหม่นหมองคล้ายกำลังตรอมใจแล้วคิดทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนกับผู้หญิงคนไหน นั่นคือย่างเท้าเข้าหาและทรุดลงคุกเข่าต่อหน้า วางสองมือทับหลังมือบนตักหล่อน

    “พี่ขอโทษ”

    เอ่ยแล้วมองดูนัยน์ตาดำขลับที่กลับขุ่นด้วยความหดหู่

    “เพื่ออะไรคะ?”

    เสียงหล่อนต่ำลึกอย่างไม่เคยเป็น

    “เพื่อให้แพรู้ว่าพี่เสียใจ”

    “ค่ะ…แพยกโทษให้”

    ความจริงจะต่อด้วยคำไล่ ต่อแต่นี้ขออย่าให้เห็นหน้ากันอีกเลย ทว่าเมื่อมองใบหน้าอันเป็นที่รัก ที่รอคอย ที่เฝ้าหวงแหนมาแสนนาน ก็จุกแน่นไปทั้งอก พูดอะไรไม่ออก และเหมือนถ้อยคำที่เตรียมไว้ขับให้เจ็บคืน จะม้วยมลายหายสูญ ไขว้เขวหลงลืมไปสนิทอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ

    เท่าที่เกาทัณฑ์ได้ยินจึงเป็นเพียงคำยกโทษ เขาเบิกตานิดหนึ่ง รอฟังถ้อยคำเสียดแทงที่จะตามมาทีหลัง แต่จนแล้วจนรอดก็เห็นเพียงอาการแน่วนิ่ง จ้องมองเขาเฉย

    กะพริบตาครั้งหนึ่ง ถือสิทธิ์ในคำยกโทษนั้น ลุกขึ้นนั่งเสมอ แล้วดึงร่างน้อยเข้าโอบเต็มอ้อม แพตรีขืนตัว ทว่าอ้อมอุ่นนั้นเกินต้าน ต้องยอมตนราวกับคนใจง่าย ลืมโกรธสิ้นแล้ว


    เกาทัณฑ์ถามตนเอง ถ้าปมเชือกมันขมวดพันยุ่งเหยิงแน่นหนาเห็นปานนี้ จะให้เขาทำอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไรได้?


ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น