ถาม : แฟนดิฉันเคยชวนให้มั่นใจว่าเราเป็นคู่แท้แต่ปางก่อน พูดอย่างโน้นพูดอย่างนี้จนกระทั่งดิฉันปักใจเชื่อตามกัน
และยอมให้เขาทุกอย่าง แต่ในที่สุดหลังจากคบกันมาระยะหนึ่งเขาก็จะขอแยกจากไป
ดิฉันรักเขามาก อยากได้เป็นคู่ชีวิตจริงๆ
จะมีวิธีทำบุญแบบใดไปดลใจให้เขากลับมาหาเราได้ไหมคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๒
ดังตฤณ:
ผมว่าทำบุญอธิษฐานขอให้ตาสว่างเถอะครับ
เวลาโดนความพิศวาสครอบงำ เราจะนึกว่านี่แหละใช่ที่สุด รักเขาไม่มีทางถอน
ฉะนั้นความลุ่มหลงพิศวาสจึงเปรียบเหมือนเมฆหมอกมืดมัว
ทำให้เราไม่สามารถเห็นถนัดว่าเขาดีเลวอย่างไร ต่อเมื่อมีแสงสว่างฉายสาดมาชำแรก
เมฆหมอกจึงสลายตัวไป เปิดให้เห็นทัศนวิสัยปกติ
ซึ่งคุณอาจรู้สึกไปอีกแบบหนึ่งอย่างสิ้นเชิง ที่สุดแล้วเขาคือคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
ดีตรงไหน เลวประมาณใด คุ้มหรือไม่คุ้มกับการเสียเวลาลงทุนลงแรงให้
หากทำบุญแล้วคิดอยากให้เขากลับมา
ก็เหมือนใช้บุญแทนเสน่ห์ยาแฝด
อันนั้นแหละจะยิ่งผูกจิตของคุณให้แนบกับความหลงอย่างแน่นหนา
ในที่สุดจะแก้ยากเข้าไปอีกครับ เพราะบุญเปรียบเหมือนยาหรืออาหารบำรุงกำลัง
คุณกินเข้าไปก็เพิ่มเรี่ยวแรงทุกครั้ง แต่หากตั้งเข็มไว้ผิด
แทนที่จะใช้กำลังวังชาหาทางออกจากป่า กลับวิ่งหลงเข้าป่ารก
คุณก็จะพบความทึบตันหนักขึ้นเรื่อยๆ
คราวนี้พอหมดกำลังงานจากยาอาหารก็จอดสนิทเลยครับ
กระดุกกระดิกออกจากป่าไม่ไหวแน่แล้ว
เรื่องภพๆชาติๆนี้นะครับ
พอเราโดนใครกล่อม แล้วยอมร่วมสะกดจิตตัวเองไปกับเขา
เฝ้าบอกตัวเองย้ำๆอยู่ทุกวันว่าเราเป็นคู่แท้ เป็นเนื้อคู่ เป็นคู่บุญที่ร่วมกันมา
หอบหิ้วกันมานับชาติไม่ถ้วน ในที่สุดจะเกิดพลังโมหะ
บีบให้ปักใจเชื่อตามนั้นเป็นจริงเป็นจัง แล้วคนเราพอหลงยึดหลงเชื่อด้วยอำนาจความพิศวาส
ก็ยากมากที่จะปล่อยวางลงด้วยอำนาจปัญญา
การจะเชื่อว่าใครเป็นคู่ของเราจริงๆหรือเปล่า
ก็น่าจะถามตัวเองได้ครับว่าโดยรวมทั้งหมด
การคบหากันระหว่างเรากับเขาเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ และที่สำคัญคือคบแล้วชวนกันมีจิตเป็นบุญหรือเป็นบาปโดยมาก
เพราะถ้าเคยร่วมบุญกันมาจริง
บุญเก่าย่อมนำคู่บุญมาต่อยอดความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไป
ไม่ใช่เพื่อให้ฝ่ายหนึ่งแหนงหน่าย และอีกฝ่ายหนึ่งทนทุกข์อยู่อย่างเดียวดาย
หากอยู่กับเขาเพื่อเป็นสุขในเชิงกามแป๊บๆแล้วโดนเบื่อ
ไม่เกิดความเจริญก้าวหน้าอันเป็นบุญกุศล ไม่มีความสว่างทางจิตเอาเลย
ก็ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเขาไม่ใช่ ‘คู่บุญ’ หรอกครับ
แค่เป็นคู่เวรที่ตามมาเอาคืนมากกว่า
การถามว่าใช่เนื้อคู่หรือไม่นั้น
รังแต่จะทำให้สับสนและไม่ยอมรับความจริง
ประสบการณ์เทือกนี้น่าจะชวนให้คุณเห็นเสียทีครับ ว่าปุถุชนคนหนึ่งพูดอะไรอย่างที่ใจอยาก
ไม่ได้พูดอย่างที่ใจรู้
ตอนเขาอยากได้เราเขาก็บอกว่าคงเคยร่วมพนมมือต่อหน้าเจดีย์ทอง
อธิษฐานขอเป็นคู่ชีวิตร่วมกันไปทุกภพทุกชาติ แต่ตอนโกรธกันหรือเวลาเขาอยากจากไป
ก็อาจหาว่าเราเคยจงเกลียดจงชัง สาปแช่งและขอผูกเวรกันต่อหน้าจอมปลวก
ขอจองล้างจองผลาญเป็นคู่อาฆาตไปชั่วกัปชั่วกัลป์
นี่แหละอำนาจความไม่รู้ของมนุษย์
ผลักดันให้พูดอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
ความเชื่อเรื่องผูกใจข้ามภพข้ามชาติกลายเป็นเพียงเครื่องมือสนองราคะหรือโทสะเป็นคราวๆเท่านั้น
ภพชาติและกรรมสัมพันธ์ถึงได้เป็นเรื่องฟั่นเฝือ เห็นจริงเห็นเท็จคละกันมั่วไปหมด
สำหรับการทำบุญเพื่อให้ตาสว่าง
ผมขอแนะแนวทางง่ายๆไม่ต้องเสียเงินเสียทอง คุณแค่ไปนั่งหน้าพระปฏิมาที่ไหนสักแห่ง
ในบ้านหรือที่วัดก็ได้ พนมมือแล้วคิดในใจหรือเอ่ยปากเปล่งเสียงชัดถ้อยชัดคำ
อ้างความจริงอันประเสริฐ เช่น พระพุทธเจ้าทรงทำลายความหลงผิดได้เด็ดขาดแล้ว
ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นพระอรหันต์แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมด้วยความเลื่อมใส
และขออำนาจความเลื่อมใสนี้ จงเป็นแสงสว่าง
ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าตาสว่างในทุกเรื่องที่ยังหลงผิดมัวเมาอยู่ด้วยเถิด
เอาประมาณนี้
หรือจำคำสำคัญๆด้วยความเข้าใจไว้ก็พอครับ นั่นคือพระพุทธเจ้าไม่ทรงหลงผิดแล้ว
เมื่อเราเลื่อมใสในท่าน ก็ย่อมเกิดโสมนัสขึ้นมาปรุงแต่งจิตเป็นมหากุศลชั่วขณะหนึ่ง
มหากุศลจิตมีความสามารถซึมซับพลังของผู้ที่คุณศรัทธา
หมายความว่าเมื่อคุณศรัทธาพระปัญญาของพระพุทธเจ้า
ก็เท่ากับได้ส่วนแห่งแสงปัญญาของท่านมาฟรีๆ ยิ่งถ้าอธิษฐานแบบจำเพาะเจาะจงสำทับลงไป
ว่าขอให้เลิกหลงเลิกงมงายอะไรผิดๆ ในที่สุดก็ต้องได้ผลตามแรงอธิษฐาน
พระพุทธคุณเป็นของไม่มีโทษ
ตื่นเช้าและก่อนนอนลอง ‘ทำบุญ’ ตามวิธีที่ผมว่านี้
ขอรับรองผลภายในสามวันเจ็ดวันครับ อย่างช้าวันที่เจ็ดความงมงายในรักจะคลายฤทธิ์
หรือถึงขั้นหมดพิษสงลงสนิท คุณจะตื่นเช้าขึ้นมาด้วยจิตใจที่โปร่งโล่ง หูตาสว่าง
และถามตัวเองว่าที่ผ่านมาทำไมต้องไปมัวหลงเขาไม่เลิก
คำตอบก็คือเพราะอำนาจมนต์ดำแห่งความพิศวาสเสื่อมลงแล้ว
ปล่อยให้ใจของคุณเป็นอิสระแล้ว!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น