วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทางนฤพาน บทที่ ๑๗ สาวเก่ง

บทที่ ๑๗  สาวเก่ง


 อ่านบทความที่แล้ว


    เป็นเวลาเกือบทุ่มครึ่งที่เกาทัณฑ์วางมือจากงาน ลุกจากโต๊ะ ลงลิฟต์ไปเข้าห้องประชุมเล็กตั้งความคาดหวังว่าจะได้นั่งจิบโกโก้ เอกเขนกมองแสงสีกรุงเทพฯยามราตรีจากมุมมองบนตึกสูงตามลำพัง ลืมงาน ลืมผู้คนเป็นการคลายเครียดเสียหน่อย

    เปิดประตูเดินเข้าไปแล้วชะงัก เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวกำลังนั่งสนทนาอยู่ มีแฟ้มวางตรงหน้า แสดงให้เห็นว่ากำลังคุยงาน

    “อ้าว! โทษที นึกว่ากลับกันหมดแล้ว”

    ทำท่าจะถอยฉาก แต่เชิงไทเรียกไว้เสียก่อน

    “เฮ้ย! เสร็จธุระเรียบร้อย กำลังพูดถึงมึงอยู่พอดี มาคุยกันโว้ย”

    “เหรอะ”

    ความจริงเกาทัณฑ์สมัครใจจะย้อนกลับทางเก่ามากกว่า เพราะหญิงสาวผู้ร่วมโต๊ะประชุมกับเชิงไทมิใช่ใครอื่น เรือนแก้วนั่นเอง รู้สึกฝืนๆชอบกลนับแต่วันเจอกันที่โคราช จากที่เคยสนิท เคยเจอหน้ากันแล้วยืนทักทายหัวร่อต่อกระซิก เดี๋ยวนี้กลายเป็นสวัสดีแกนๆเฉพาะเมื่อเดินสวน บางทีถ้าอยู่ห่างหน่อยเดียว ก็เห็นหล่อนทำทีหมางเมินอย่างจงใจ

    ตอนนี้เจอเข้าอย่างจัง แถมเชิงไทดันชวนให้อยู่คุยด้วย ถ้าหลบก็เหมือนประกาศเป็นไม้เบื่อไม้เมากับหล่อนโดยใช่เหตุ จึงเลยตามเลย เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะตามคำเชิญ โต๊ะนั้นกว้างยาวแค่พอนั่งแบบวางแฟ้ม วางกาแฟกันได้ประมาณแปดคน มีถ้วยใสเห็นเศษกาแฟติดก้นอยู่สองที่ แสดงว่าผู้ร่วมประชุมเพิ่งออกจากห้องเมื่อเร็วๆนี้ เหลือเพียงเชิงไทกับเรือนแก้วคุยค้างตามลำพัง

    “ไงวะ วันนี้หน้าตาเอางานเอาการ มืดค่ำป่านนี้ยังไม่ไปหาน้องแพเหรอะ?”

    เชิงไทกระเซ้า เกาทัณฑ์ยักคิ้วตอบเอื่อยเฉื่อย

    “ว่าจะลาสักพักน่ะ ช่วงนี้เลยอยู่สะสางงานให้หมด”

    “อะฮ้า! อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไม่เลวนี่ รอบนี้คงนัดหวานใจไปสร้างหนังนิยายรักเรื่อง ‘เจ็ดวันรอบโลก’ กระมัง?”

    เกาทัณฑ์อึดอัดกับความพยายามของเชิงไทที่ตั้งหน้าตั้งตามุ่งเข้าหาแพตรีเป็นหลัก ที่จริงถ้าอยู่กันตามลำพังประสาชายก็คงไม่กระไร ทว่านี่มีเรือนแก้วอยู่อีกคน แม้เค้าหน้างามในชุดสูทเนี้ยบกริบจะเบนมองไปทางหนึ่งห่างไกล แต่เกาทัณฑ์ทราบว่าหล่อนจะฟังทุกคำโต้ตอบระหว่างเขากับเชิงไท ก็เชิงไทเพิ่งบอกหยกๆว่าเมื่อครู่ประเด็นสนทนาคือเรื่องของเขาอยู่นั่นไง

    “ลาพักเพราะเหนื่อย ไม่ใช่มีโครงการนัดเที่ยวที่ไหน กูยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขามากมายขนาดนั้น”

    เชิงไทฟังคำแถลงนั้นแล้วแปลความหมายว่าเพื่อนจะแทงกั๊ก แบบบอกผ่านเข้าหูเรือนแก้วว่าที่จริงยังโสดสนิท จึงร้องว่า

    “แอ๊ะๆ...แฮ่! พูดอู้อี้เหมือนอมลูกแตงโมไว้ในปาก ฮะๆ ไอ้บั่วเอ๊ย”

    เรือนแก้วอดขำสำเนียงเสียดสีของเชิงไทไม่ได้ หล่อนเสเปิดแฟ้มตรงหน้า ทำทีคล้ายปลีกตัวออกนอกวงสนทนา เกาทัณฑ์ระบายลมหายใจยาว เป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน

    “แอ้”

    หล่อนเงยหน้ามอง ก่อนขานรับด้วยเสียงหวานเจื้อยแจ้ว

    “ขา...”

    แถมด้วยการโปรยยิ้มโลกเปิดที่บาดใจเขามานาน เกาทัณฑ์รู้สึกแปลกๆ ดูทีเรือนแก้วทอดสนิทคืนเป็นปกติรวดเร็วเหลือเกิน สงสัยก่อนหน้าเขาเข้ามา คงมีรายการยำใหญ่ใส่ไข่จนชื่นมื่นได้ที่เหมาะแล้วกระมัง

    กระแอมเล็กน้อย ทำอย่างไรได้ เรียกไปแล้วก็ต้องทักทายโอภาปราศรัยตามเรื่องตามราว

    “วันนี้ดูสดชื่นดีนะ ถ้าจะเงินเดือนขึ้น”

    “อ๋อ เปล่า...เปล่า เงินเดือนเท่าเดิม” หล่อนโต้ตอบอย่างคล่องแคล่ว “แต่สาวน้อยร้อยชั่งที่ยังโสดก็ดูหน้าระรื่นอย่างนี้แหละค่า มีเวล่ำเวลาตะแล้ดแจ๊ดแจ๋ไปเรื่อย เป็นเรื่องธรรมดา ประสาคนไร้ห่วง อิจฉาเหรอคะ?”

    เกาทัณฑ์หัวเราะกร่อย เอานิ้วก้อยเขี่ยปลายจมูกเพราะคันคารมยั่วนั้น โดยเฉพาะที่หล่อนใส่จริต ออกเสียงควบกล้ำ ร. เรือเสียชัดเกินเหตุทุกคำ

    “เปล่าอิจฉาแอ้หรอก คงอิจฉาเจ้าเชิงมากกว่ามั้ง เห็นมันมีเวลาส่วนตัวหลังประชุมกับสาวอย่างนี้”

    “สาวคนนี้ไม่น่าปลื้มพอหรอกค่ะ สู้น้อง...น้องอะไรนะ?”

    แสร้งเอียงหน้าถามเชิงไท ฝ่ายถูกถามซ่อนยิ้มไว้ ก่อนตอบสั้นๆ

    “แพ”

    “อ้อ ค่ะ ใครจะไปน่าปลื้มเท่าน้องแพคนสวยของเต้ล่ะ เมื่อกี้ก็เพิ่งปรึกษากับเชิงว่าวันแต่งจะช่วยใส่ซองเท่าไหร่ดี”

    เชิงไทรับลูก

    “กูจะให้เป็นคูปองแลกอาหารมังสวิรัติ”

    แล้วสองหนุ่มสาวก็หัวเราะฮึ่มพร้อมกัน ทำเอาคนถูกรุมต้องพยักพเยิดผสมโรงห้วนๆ

    “งั้นมึงไม่ต้องกินของในงานกู!”

    “น้าน!” เชิงไทร้องเสียงหลง “ยอมรับแล้วใช่ไหมว่ากำลังจะแจกบัตรเชิญ?”

    เกาทัณฑ์ยักไหล่ ถือคติพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง เรือนแก้วเห็นเขาเหลือบตาลงต่ำเช่นนั้นก็ดุเชิงไท

    “เชิงอย่าถามเสียงดังสิคะ ฟังแล้วไม่น่าตอบเลย”

    ดุคนหนึ่งเสร็จก็ยื่นหน้าถามอีกคนด้วยยิ้มอันน่าพิสมัยคล้ายปลอบเด็ก

    “ตกลงพระคุณท่านจะแต่งเมื่อไหร่เจ้าคะ?”

    เกาทัณฑ์เบือนหน้ายิ้ม ขำก็ขำ รำคาญก็รำคาญ เลยตอบส่งเดช

    “พรุ่งนี้บ่ายๆมั้ง กะว่ากินข้าวเที่ยงเสร็จถ้าไม่จู๊ดๆก็คงพร้อม”

    “โธ่โถ...เต เต่ เต้ เต๊ เต๋ ตอบเป็นเล่นอย่างนี้แสดงว่าจะทำตัวเป็นผู้โชคดีที่ปากแข็งอย่างเสมอต้นเสมอปลายสินี่ แล้วเรื่องของเรา...ว้าย! พูดไม่ชัดเดี๋ยวเข้าใจผิด แล้วตกลงนับแต่นี้แปลว่ากลุ่มเราถูกเต้ตัดตายขายขาด ไม่มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอีกแล้วใช่ไหม มีเจ้าของแล้วนี่?”

    สายตาจรดนิ่งของหญิงสาวมีแรงดึงดูดรบกวนจิตใจเอาเรื่อง เกาทัณฑ์ไม่อยากหันมามองตรงๆ วันนี้หล่อนสวยเฉี่ยวบาดอารมณ์อย่างน่าแปลก ความเรียกร้องอันเร้นลับระอุไปทุกกระเบียดเนื้อ แค่ส่วนปลายเนินอกที่พ้นขึ้นมาจากคอเสื้อ ก็เห็นแหลมคมจัดจ้านพอจะเป็นชนวนระทึกใจได้ชะงัดแล้ว

    หล่อนมีศิลปะในการแต่งหน้า แต่งองค์ทรงเครื่องให้เฉียบคมไฉไล และเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของแต่ละวันได้อย่างน่าทึ่ง เขาสังเกตวิธีปรุงแต่งสีสันของเรือนแก้วเสมอ ความเก่งรอบตัว ผสมกับความรู้จักเครื่องหน้าตัวเอง เข้าใจเนื้อหาของเครื่องสำอางกับกลิ่นน้ำหอม ทำให้หล่อนมีบุคลิกอะไรก็ได้ที่อยากจะเป็นไป

    อย่างเช่นวันนี้แต่งเฉี่ยว ประทินโฉมไว้เข้ม ใส่น้ำหอมชนิดแรงจัดจ้าน แสดงอารมณ์กล้าและความเชื่อมั่นที่จะดึงดูดคนให้หันความสนใจจับตา ก็แทบทำให้ชายมโนธรรมต่ำทั้งหลายที่เฉียดผ่านนึกมันเขี้ยวอยากกระโดดกอดรัดฟัดเหวี่ยงดื้อๆ

    มาดหล่อนก็เป็นอีกอย่างที่ดึงดูดใจได้ผลเสมอ ตอนใส่สูทสีขรึมแล้วนั่งนิ่งๆนี่ ทีแรกเห็นจากระยะไกลอาจนึกว่าเป็นผู้บริหารสักคน แต่หลังเลิกงานเมื่อคุยกันเองกับเพื่อน ก็ออกบุคลิกสาวรุ่นกระเตาะ พร้อมจะใส่เสื้อยืดรัดรูป กางเกงยีนส์ขากระดิ่งได้ไม่ขัดเขินทันทีเช่นกัน

    เรือนแก้วทำงานตั้งแต่อายุ 17 ด้วยปัญหาการเงินทางบ้าน สามารถส่งตัวเองเรียนจบตรีได้ด้วยความขยันผิดวัย นับแต่รับจ้างพิมพ์วิทยานิพนธ์ให้พวกนักศึกษารวยแต่ขี้เกียจ รับแปลเอกสารอังกฤษและญี่ปุ่นตามความถนัด จนกระทั่งโชคดีมีผู้ใหญ่ในบริษัทนี้เห็นความสามารถ จ้างเป็นเลขาฯพาร์ทไทม์ให้ดูแลงานเอกสารต่างประเทศโดยเฉพาะ

    พอจบตรีพร้อมทำงานเต็มเวลา ก็เลื่อนขั้นปุบปับเป็นผู้ช่วยผู้บริหารระดับสูง อันเป็นตำแหน่งพิเศษ เป็นหูเป็นตา และเผลอๆก็คิดแทนผู้ใหญ่ได้สารพัดเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวกับคู่ค้าต่างประเทศ เหลือเชื่อที่งานใหญ่บางงานเริ่มเจรจากันได้เพียงเพราะทางโน้นทราบว่าจะมีหล่อนเป็นผู้ประสาน

    จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่หล่อนทำอยู่นั้นง่ายมากต่อการล้ำเส้นผู้ใหญ่ แต่เรือนแก้วก็สามารถรักษาระดับของตัวเองไว้ได้พอเหมาะพอเจาะ ขนาดที่ไม่ถูกใครเพ่งเล็งจับผิดด้วยความหมั่นไส้เอาเลย

    ด้านอุปนิสัย ถ้าตัดความเอาแต่ใจในบางครั้งทิ้ง ก็นับว่าเรือนแก้วเป็นคนน่ารัก น่าคบหายิ่ง หล่อนยกย่องส่งเสริมเพื่อนทั้งต่อหน้าและลับหลัง กับทั้งไม่ถือเนื้อถือตัว ปรับสติให้อยู่ในสภาพพร้อมทำงานและพร้อมเล่นได้เสมอ น้องๆทั้งพิศวาสและทั้งยำเกรง ซึ่งยากที่ใครจะสลับบทบาทให้คนอื่นรู้สึกสองด้านได้เช่นนั้นในตัวคนเดียว

    กับคำถามของเรือนแก้วที่ว่าเขาจะปลีกตัวห่างหายไปจากกลุ่มเที่ยวหรือไม่ เกาทัณฑ์คิดเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรื่อย

    “แอ้เฮไหนผมก็ตามไปเฮด้วยเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่พักนี้เพลาลงเพราะเหนื่อยจริงๆ อยากพักยาวเลยต้องเต้นแร้งเต้นกาหนักหน่อย พอถึงเวลาหยุดจะได้สบายใจ”

    เชิงไทออกความเห็นกับเรือนแก้ว

    “พักนี้เจ้าเต้มันหน้าตาสว่างไสว เอิบอิ่มละมุนละไมเหมือนเณรน้อยเจ้าปัญญา เผลอๆที่จะหยุดยาวนี่ แทนการวางแผนแต่งงานสร้างลูกสร้างเมีย อาจพนมมือหันหลังลาความวุ่นวาย โกนหัวบวชและออกธุดงค์หายไป”

    หญิงสาวหัวเราะฮ่า

    “เพิ่งมีนางฟ้าเหาะลงมาเกาะไหล่ ใครจะบวชเข้าไปลงจ๊ะเชิง ฟังแล้วขัดๆนา”

    “แบบว่าได้รับการสนับสนุนให้บวชก่อนเบียดไงล่ะ ดูแวบเดียวก็รู้แล้ว นางฟ้าของเจ้าเต้น่ะเข้าวัดบ่อยกว่าเข้าบ้านตัวเองอีก ที่เจอกันโคราชเห็นบอกไปกราบพระกันก็คงเพราะเจ้าเต้ถูกชวนนั่นเอง”

    เรือนแก้วเท้าศอกเอามือรองคาง ปรือตาเปรยกับเกาทัณฑ์

    “ท่าทางเขาเป็นตัวของตัวเองในแบบที่แปลกดีนะ เห็นแล้วนึกถึงคำว่า ‘แสนดี’ ขึ้นมาเชียวล่ะ...”

    “ใครจะเหมือนเทพธิดาได้เท่าแอ้ล่ะ”

    ได้ยินเช่นนั้นเรือนแก้วก็ร้องดังๆ

    “อุ๊ย! เดี๋ยวลอยเลย”

    เกาทัณฑ์หัวเราะเล็กน้อย

    “เมื่อเช้าเห็นคุณพิจัยบอกว่ามะรืนนี้แอ้จะไปสิงคโปร์ใช่ไหม?”

    “นั่นแน่! เปลี่ยนเรื่องเชียว คุยกันเรื่องน้องคนสวยหน่อยน่า”

    “ก็เกิดอยากถามจริงๆ จะฝากซื้อกล้องดิจิตอลด้วยถ้าไปแน่น่ะ”

    “เอ ผู้ชายบริษัทนี้ยังไงนะ เห็นนังแอ้เป็นคนใช้หลังบ้านกระมัง ไปไหนล่ะฝากซื้อของยันเต ทำไมไม่ยักมีใครอาสาไปช่วยหิ้วของ ออกค่าเดินช็อปปิ้งมั่งน้า”

    เชิงไทฟังเช่นนั้นก็ทำตาโต โพล่งออกมาทันที

    “ผมไง เริ่มจากเที่ยวนี้เลย ไปช่วยแอ้หิ้วของ”

    “ก็ดีสิค้า...”

    เรือนแก้วเอียงหน้าทำตาชม้าย เพื่อนหนุ่มทำท่าขึงขัง

    “อือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำเรื่องขอซะ นายชุนที่แอ้จะไปหาน่ะ คุยโทรศัพท์กับผมหลายหนแล้ว ถือว่าเป็นการไปเยี่ยมเยียนทักทาย”

    พอเห็นเชิงไทจะเอาจริง หญิงสาวก็เปลี่ยนท่าที กลัวจะไปเกะกะและแย่งความสำคัญจากหล่อน

    “อย่ารบกวนเลยค่ะ แอ้ไปกับน้องจ๋ายสองคนพอ เดินทางคืนวันศุกร์ กลับเย็นวันอาทิตย์แค่นี้ เอาไว้งวดหน้าเดินทางหลายๆวันดีกว่า”

    เชิงไทชินกับท่าทีเหมือนอ่อยเหยื่อ แต่เมื่อปลาจะฮุบก็ชักหนีแบบนี้ของเรือนแก้วเสียแล้ว จึงไม่ว่าอะไร ความจริงก็ขี้เกียจผ่านขั้นตอนวุ่นวายเหมือนกัน เดินทางด้วยธุระบริษัทนั้นง่ายเหมือนติดรถไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัดที่ไหน

    เบนทิศหันมาพูดกับเกาทัณฑ์แทน

    “วันก่อนโทร.คุยกับไอ้หม่อง” เขาหมายถึงเพื่อนร่วมรุ่น “เห็นว่ามึงโทร.ชวนกินเหล้า มันอุตส่าห์อาบน้ำแต่งตัว มึงก็โทร.ไปบอกเลิก ให้เหตุผลว่าจะเลี่ยงเหล้าเตรียมทำบุญ ฮะๆ จี้ว่ะ กูเลยเล่าให้มันฟังว่าสงสัยจะเรื่องจริง เพราะบังเอิญไปเจอมาพอดี งงกันเท่านั้นแหละ เกิดอะไรขึ้นเพิ่งชวนกินเหล้าแล้วกลับใจกะทันหัน”

    เกาทัณฑ์หัวเราะหึๆ ไม่ทราบจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับกรณีนี้ จึงเงียบอีก ยอมให้เพื่อนด่ากันสุดแต่ใจจะนึก

    “คงจะเอาดีทางธรรมจริงๆมั้งคะ ไหนเอาแสงสว่างมาเผื่อแผ่เพื่อนฝูงมั่งซีเต้ เล่าให้ฟังหน่อยเกิดซาบซึ้งธรรมะข้อไหนยังไง”

    เกาทัณฑ์ชักหนาวๆร้อนๆ เมื่อเห็นแนวโน้มว่าจะต้องคุยธรรมะกับหนุ่มเก่งและสาวเซ็กซี่ บรรยากาศไม่ค่อยจะใช่ที่เท่าไหร่ แค่ฟังเรือนแก้วพูดถึง ‘แสงสว่าง’ อย่างเห็นเป็นเรื่องชวนหัวนี่ก็ทำให้ประหวัดถึงวันแรกๆที่เข้าไปคุยธรรมะกับปู่ขึ้นมาทันควัน แล้วเกิดความกลัวว่าบาปกรรมกำลังจะตามเล่นงาน ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเปลี่ยนฐานะผู้ต้อนเป็นผู้ถูกต้อนเอาไว้ จึงกล่าวตอบอย่างสงวนท่าที

    “ผมมันบาปหนา รู้ตัวขึ้นมาเลยเข้าวัดเข้าวาเสียมั่ง แต่ไม่ถึงกับจะหันไปเอาดีทางบวชหรอก”

    “นั่นน่ะซี กูก็ว่างั้นแหละ”

    เชิงไทมองเพื่อนด้วยสายตาอ่านใจ ความจริงก็คือก่อนหน้าเกาทัณฑ์จะเข้ามา เขากับเรือนแก้วกำลังเปรยกันเล่นๆว่าหน้าตาท่าทางเกาทัณฑ์ดูออกมีสง่าราศีแปลกไปกว่าเดิม คล้ายพวกชอบทำสมาธิวิปัสสนา น่าจะไถ่ถามเสียหน่อยว่าหาพระเจ้าแล้วได้ดีอย่างไร หรือว่าเพื่อนพลาดท่าเข้ารกเข้าพงเหมือนอย่างดอกเตอร์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังก้องฟ้าเมืองไทยหลายต่อหลายคน

    “อย่างมึงกับกูนี่...” เชิงไทกล่าวอย่างพยายามจี้จุด “ร่ำเรียนมาจนมีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นคนในโลกใหม่เกินกว่าจะยอมรับเรื่องของจิตวิญญาณและภพหน้าภูมิหลังที่ล้าสมัยแล้ว สมควรรับมรดกตกทอดเฉพาะที่เป็นความรู้แจ้ง พิสูจน์ได้ ประยุกต์ได้ เหมือนอย่างการประดิษฐ์หลอดไฟของเอดิสัน หรือทฤษฎีคณิตศาสตร์ของพิธากอรัส ไม่ไปสนใจเรื่องพิสูจน์ยาก ประยุกต์ยากให้เสียเวลา”

    ว่าจะทำเป็นเบื้อใบ้อยู่แล้วเชียว พอได้ยินเชิงไทกล่าวเรื่อยเจื้อยก็ตบะแตก

    “พิธากอรัสในความรับรู้ของมึงเป็นใคร?”

    เชิงไทนึกลำดับข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่เลือนๆเป็นครู่ ก่อนเอ่ยตอบอย่างจะให้ได้รายละเอียดอันชัดเจนของปราชญ์กรีกโบราณนามนั้น ชนิดที่ไม่ให้เพื่อนดูแคลนได้ว่าอ้างนามใครโดยปราศจากความรู้เพียงพอ

    “ก็...บรมครูทางคณิตศาสตร์คนหนึ่ง ถูกยอมรับว่าเป็นนักคณิตศาสตร์ขนานแท้คนแรกของโลก เป็นลูกศิษย์ธาเลส ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเพลโต ดูเหมือนพวกเรารู้จักพิธากอรัสจากทฤษฎีสามเหลี่ยม อ้า...ที่ว่าจัตุรัสของสองด้านที่ตั้งฉากกัน รวมกันเท่ากับจัตุรัสของด้านลาดเอียง แล้วอย่างเลขคู่ เลขคี่ เลขจำนวนปฐม และรากฐานทางเรขาคณิตที่สำคัญหลายแง่มุม ก็ถูกพัฒนาขึ้นโดยพิธากอรัสกับสานุศิษย์ในสายทางพิธากอเรียนนั่นแหละ”

    เกาทัณฑ์พยักหน้า

    “มึงว่านักคณิตศาสตร์นี่เป็นต้นแบบของตรรกะ และกรอบความคิดที่ชัดเจนของอารยธรรมยุคใหม่ของเราหรือเปล่า?”

    “แน่นอนซิ คณิตศาสตร์ทำให้คนรู้จักคิดเป็นเหตุเป็นผล จัดระเบียบความซับซ้อนด้วยกระบวนวิธีชาญฉลาด ขุดเอาศักยภาพทางสมองของมนุษย์มาใช้ให้เต็มที่ ใครมีโครงสร้างทางความรู้ความคิดแบบคณิตศาสตร์ดี จะใฝ่พิสูจน์หาข้อเท็จจริง แก้ปัญหาเก่ง ไม่เชื่ออะไรเหลวไหลง่ายๆ โดยเฉพาะที่เป็นนามธรรมจับต้องยาก”

    ท่อนหลังเชิงไทมีเจตนาพูดกระทบเล็กๆ เกาทัณฑ์รับรู้ ทว่าไม่นำพามาเป็นอารมณ์

    “มึงรู้ไหมว่าพิธากอรัสนอกจากสอนคณิตศาสตร์ รัฐศาสตร์ และปรัชญาแล้ว ยังสอนเรื่องความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ ความมีชาติก่อนชาติหน้า มีการเคลื่อนที่ของวิญญาณจากร่างหนึ่งย้ายไปอยู่ในร่างใหม่ เหตุผลคือเขาระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นยูฟอร์บัส นักรบในสงครามโทรจันระหว่างเมืองทรอยกับกรีก แถมยังระบุอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นอภิสิทธิ์วิญญาณ ได้รับการยกเว้นไม่ให้ลืมเลือนอดีตที่ผ่านๆมาทุกภพชาติ ซึ่งแปลว่าเขาเห็นย้อนหลังกลับไปมากกว่าที่เคยเป็นยูฟอร์บัสเสียด้วย”

    “เหรอะ?”

    เชิงไทกะพริบตาปริบๆ รู้จักกันมานานจนทราบว่าเพื่อนไม่ใช่ประเภทให้ข้อมูลแบบยกเมฆลอยลมเพื่อเอาชนะคัดง้างกันเล่น จึงรับว่า

    “คุ้นๆว่าสอนเกี่ยวกับเรื่องปรัชญาทางจิตวิญญาณ แต่นึกไม่ถึงว่าขนาดประกาศตัวเองเป็นผู้ระลึกชาติได้”

    “อือ ก็อย่างที่มึงว่า ใครมีโครงสร้างจิตใจเป็นคณิตศาสตร์ดี ก็คงไม่เชื่อหลงเรื่องเหลวไหลง่ายนัก ประเภทหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้นมาทึกทักว่าเป็นเรื่องจริง แจ้นไปประกาศหน้าลานกลางตลาดน่ะ ไม่ใช่ต้นแหล่งมหาปัญญาทางคณิตศาสตร์อย่างพิธากอรัสแน่ และกูก็คิดว่ามันสมองของโลกอย่างเขา คงไม่คิดกุเรื่องหลอกลวงเพื่อเอาชื่อเสียงในด้านที่ไม่เกี่ยวกับงานหลักของตัวเองหรอก”

    เชิงไทประสานมือรองท้ายทอย เอนหลังพิงพนักด้วยท่าทีเริ่มคิดใคร่ครวญจริงจังกว่าเมื่อเริ่มจุดประเด็น เป็นครู่จึงเอ่ย

    “เอาล่ะ สรุปคือนักวิทยาศาสตร์ อ้า…เรียกนักปราชญ์ดีกว่า นักปราชญ์บางยุคนี่เชื่อ และสอนเรื่องจิตวิญญาณ การข้ามภพข้ามชาติได้ เพราะงั้นเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นปราชญ์ระนาบเดียวกับพิธากอรัส?”

    “ปราชญ์เมธีทั้งหลายแหล่สืบสานความรู้ความคิดตกทอดกันหลายรุ่นหลายสมัย จนได้ลูกหลานเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเอดิสัน ประดิษฐ์แสงไฟให้โลกสว่าง ผลประโยชน์หลักคือผู้คนในโลกมองเห็นในเวลากลางคืนโดยไม่ต้องจุดตะกุ้งตะเกียงกันให้เมื่อย

    ความจริงมีสิ่งประดิษฐ์อีกเยอะแยะที่ช่วยให้เราชนะข้อจำกัดทางหูตา ไปเร็วมาเร็วกว่าคนยุคไหนๆ แต่ยังไงก็ตาม สุขกายยังอาจลำบากใจ ยิ่งถ้าใครขัดสนก็หมดสิทธิ์เสพแสงและสิ่งประดิษฐ์ราคาแพง ถ้าอยากเสพขึ้นมาจัดๆบางทีต้องฆ่าแกงแย่งกัน

    แต่พระพุทธองค์ได้สาวกเป็นผู้สืบทอดจิตว่างใจสว่าง ถึงแม้ทุกข์กาย ไม่มีสิ่งประดิษฐ์ทันสมัยติดตัวสักชิ้น ก็อาจเป็นสุขได้ที่ใจ ยากดีมีจนรับสิทธิ์เสมอกันหมด ปรารถนาแล้วก็เพียงปฏิบัติเฉพาะตน ไม่ต้องฆ่าแกงใคร เทียบอย่างนี้แล้วยังน่านับว่าพระพุทธองค์อยู่ระนาบเดียวกับปราชญ์อื่นหรือเปล่า?”

    เชิงไทหัวเราะอย่างเข้าใจจุดสรุปของเพื่อน

    “เพราะงั้นเรียก ‘ศาสดา’ เพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ มึงไม่ยอมให้ปนกับปราชญ์หรือนักวิทยาศาสตร์ว่างั้นเถอะ”

    “อือ จะพูดอย่างนั้นก็ได้ เรื่องของใจที่ขยายความสว่างได้เหมือนเทียนต่อเทียนนี่ คนมีประสบการณ์ในทุกศาสนาสามารถรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งได้เหมือนกันหมด”

    เรือนแก้วแทรกขึ้นเป็นครั้งแรก

    “เธอให้นิยามความศักดิ์สิทธิ์ไว้ยังไง? อย่าพูดตามพจนานุกรมนะ”

    เกาทัณฑ์แปรสายตามาทางหล่อน พบดวงตาแจ่มกระจ่าง สะท้อนโครงสร้างความคิดที่ยืนอยู่บนสติอันสมบูรณ์ ท่าทางพร้อมจะร่วมร่ายยาวไปกับเขาและเชิงไทเต็มสภาพ คุ้นเป็นอันดีว่าเนตรงามจะฉายชัดเสมอเมื่อเจ้าตัวต้องการเค้นสิ่งที่ปรารถนาจะรู้

    “ความศักดิ์สิทธิ์ในใจผม ก็คงจา...เป็นความอบอุ่น น่าเชื่อมั่น มีความวิเศษแฝงอยู่ เราสัมผัสได้ด้วยใจว่าเหนือธรรมดา...มั้ง”

    อันเนื่องจากถูกบังคับให้คิดตอบปุบปับกะทันหัน เกาทัณฑ์จึงพูดได้แค่นั้น ทั้งที่ไม่แน่ใจว่านิยามดั้งเดิมคืออะไร เรือนแก้วยิ้มเย็น นัยน์ตาฉายแววลึกชนิดหนึ่ง ยังดูไม่ออกทันทีว่ามีความหมายเช่นใด กระทั่งพูดออกมาเอง

    “แอ้ไม่เคยเห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่เต้ว่าเลยนะ ตอนเด็กแอ้ใส่บาตร ให้สตางค์ขอทานตลอด เพราะแม่บอกเสมอว่าทำบุญแล้วจะได้ดี มีความสุข ชีวิตจะรุ่งเรือง ซึ่งก็มาจากพระสอนนั่นแหละ แต่เท่าที่เห็น...มันไม่อย่างนั้น”

    มีร่องรอยของความขมบางอย่างที่แฝงอยู่ในหางเสียงปร่าพร่า จนเรียกให้เกาทัณฑ์และเชิงไทจรดมองเพื่อนสาวนิ่ง ดูเหมือนหล่อนจะรู้สึกตัว และปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติเมื่อพูดสืบต่อ

    “แอ้ถูกปลูกฝังให้นับถือพระสงฆ์องค์เจ้า เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อในบาปบุญและเวรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการทำดีแล้วต้องได้ดี แต่ในโลกของความเป็นจริง มีปัจจัยหลายอย่างในชีวิตที่ทำให้มองเห็นว่าเราจะสุขหรือทุกข์ ขึ้นหรือลง ใช่ว่าอยู่ที่เราทำดีชั่วอย่างเดียว คนอื่นที่แวดล้อมมีส่วนผลักดันด้วยอย่างมาก...หรือเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อเรายังอยู่ในภาวะต้องพึ่งพา เป็นช่วงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”

    เกาทัณฑ์พยักหน้า

    “ใช่ เราต้องเจอคนมากมายตั้งแต่เกิด ซึ่งคนใกล้ชิดที่สุดคือคุณแม่ของแอ้ ก็เป็นแรงผลักดันให้ใฝ่ดี นับว่าโชคดีแล้วนี่”

    เรือนแก้วส่ายหน้า ชั่งใจอยู่เป็นครู่ เพิ่งรู้ในบัดนั้นว่ามีความรู้สึกสนิทสนมและไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อนชายทั้งสองเพียงใด เมื่อตัดสินใจเล่าอดีตหนหลังของตนอย่างเปิดเผย

    “ตอนเด็กบ้านแอ้จัดว่ารวยพอตัวนะ เพราะมีกิจการของตัวเองหลายอย่าง ขนาดเคยทำบ้านจัดสรรเล็กๆมาแล้ว ช่วงนั้นพ่อกับแม่ปรองดองกันดี ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

    แต่พอพ่อรวยก็มีผู้หญิงมาติดพันเยอะ กลิ่นเงินมันแรงน่ะ ผู้ชายพอมีบ้านสองบ้านสาม ก็กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ห่างเหิน จากห่างเหินกลายเป็นแปลกหน้า จากแปลกหน้ากลายเป็นศัตรู แอ้เคยเห็นพ่อตบหน้าแม่กับตา เพราะแม่ด่าพ่อแรงๆออกไปคำหนึ่ง ขุดโคตรขุดเหง้ากันน่ะ”

    หล่อนขยายภาพละเอียดแบบระบายให้เพื่อนสนิทรับรู้ตาม เชิงไทลดมือที่ประสานท้ายทอยลง เปลี่ยนเป็นกอดอก ทอดตามองเรือนแก้วด้วยแววเห็นใจ

    “ผมก็เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน แต่อาจโชคดีที่ไม่เห็นอะไรน่าสะเทือนใจขนาดนั้น ความจริงผัวเมียเคยทะเลาะกันทุกคู่นั่นแหละ แต่จะรุนแรงขนาดไหน จำกัดอยู่ในสถานที่ลับตาเท่าไหร่ ยอมปล่อยให้เด็กมาเป็นพยานเรื่องระหองระแหงรึเปล่าเท่านั้น”

    เรือนแก้วยักไหล่

    “แค่ทะเลาะหรืออย่างมากตบตีก็ช่างเถอะ เป็นเรื่องทำใจได้ ตอนนั้นแอ้ก็ไม่ใช่เด็กอมมือขนาดเห็นผู้ใหญ่ขึ้นเสียงเถียงตีเถียงตบกันแล้วขวัญเสีย”

    อั้นอึ้งไปพักใหญ่ สองหนุ่มรู้ว่าหล่อนยังพูดไม่จบก็รอฟัง

    “มีอยู่วันหนึ่งแม่บ้าเลือดขึ้นมา พอถูกตบก็ไปคว้าปืนมายิงพ่อ แอ้กำลังอ่านหนังสืออยู่ชั้นบน ได้ยินเสียงปืนก็วิ่งลงบันไดมา เห็นพ่อนอนจมกองเลือด ก็ร้องไม่เป็นผู้เป็นคน ยังจำติดตาเลยนะ...”

    เรื่องพ่อแม่ฆ่าแกงกันในบ้านตัวเองเป็นประสบการณ์เลวร้ายที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์ และสิ่งที่ประทับอยู่ในความทรงจำของเรือนแก้ว ก็ฉายออกมาทางแววร้าวในดวงตาชัดยิ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่เกาทัณฑ์และเชิงไทเห็นแววชนิดนั้นจากหล่อน

    “จะเคราะห์ดีหรือร้ายไม่รู้ พ่อแค่แผลใหญ่ เสียเลือดมาก แต่ไม่ตาย นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล มีเมียใหม่คอยดูแล แม่สำนึกผิด พยายามขอโทษขอโพย แต่พ่อไม่ยอม บอกว่าจะเอาเรื่องถึงที่สุด ไปจ้างทนายมาฟ้องหย่าและจะจับแม่เข้าคุกให้ได้

    ทนายพยายามให้ออมชอมกัน เพราะถ้าสู้แล้วเรื่องจะยาว ถ้าแม่ยอมหย่าโดยรับส่วนแบ่งสินสมรสนิดเดียว ฝ่ายพ่อก็จะตอบแทนด้วยการช่วยกลบเกลื่อน และทำให้กลายเป็นเรื่องปืนลั่น วันหนึ่งแม่กลับมาบ้านและบอกแอ้ว่าเราต้องออกไปอยู่บ้านใหม่ แอ้ก็เก็บข้าวของ...”

    เรือนแก้วสะอึกเล็กน้อย คงเป็นเพราะเข้าลึกไปในอดีตที่ยังติดตามากขึ้นเรื่อยๆ ใจหนึ่งเกาทัณฑ์อยากฟังต่อให้จบ แต่ก็คิดไว้ว่าถ้าเห็นหญิงสาวตาแดงเมื่อไหร่จะขอให้พัก

    “ย้ายไปอยู่ในห้องเช่า วันๆแม่เอาแต่นั่งเศร้า แอ้ไปเรียนบางทีกลับมาก็ต้องนั่งเศร้าตาม ตอนนั้นเริ่มถามหาความยุติธรรมในโลก ถามหาผลบุญที่แม่กับแอ้เคยสร้างกัน ถามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำให้ชีวิตอบอุ่นและรุ่งเรือง แต่คำตอบที่ได้คือความเงียบในอากาศ เห็นแต่ตัวเองกับแม่และความมืดมนของอนาคต”

    หรี่ตา พลิกแหวนเพชรน้ำงามบนนิ้วชี้ให้ต้องแสง ส่งเปลวโชติไสวบาดตา เป็นการช่วยให้ตนตระหนักว่าอดีตอันมืดมนนั้นผ่านพ้นไปแล้ว เพื่อเล่าต่อได้ด้วยเสียงปกติอีกครั้ง

    “วันหนึ่งฉันกลับจากโรงเรียน เห็นคนมุงกันแถวบันได...ไฟดับ ลิฟต์เสีย แม่ต้องเดินขึ้นบันไดเอง แต่เพราะผอมแห้งแรงน้อย ไม่ค่อยออกกำลัง เลยหน้ามืด หงายหลังตกบันไดตาย ตำรวจกำลังชันสูตรศพพอดีตอนฉันไปเห็น”

    สองหนุ่มผู้ตั้งใจฟังมาตลอดถึงกับใจอ่อนยวบพร้อมกัน นึกไม่ถึงว่าเรือนแก้วในวันนี้ที่มีพร้อมทุกสิ่ง ทั้งตำแหน่งหน้าที่ในบริษัทข้ามชาติ ทั้งเงินทองและความเชื่อมั่น และทั้งความรักใคร่เอ็นดูจากรอบด้าน จะผ่านพบสถานการณ์เลวร้ายขนาดนั้นมาก่อน

    “แล้วช่วงนั้นแอ้อยู่กับใคร กลับไปหาพ่อหรือเปล่า?”

    เชิงไทตั้งคำถามตามที่น่าจะสงสัย

    “หัวเด็ดตีนขาดฉันไม่ยอมกลับไปหาพ่อหรอก จะไม่ไปเผาผีด้วย เพราะถือว่าเขาเป็นคนทำให้แม่ตาย แถมไม่ยอมไปงานศพเลยแม้แต่วันเดียว”

    เสียงของหล่อนแฝงด้วยแรงกริ้ว แสดงให้เห็นว่ายังมีความอาฆาตผู้เป็นบิดาอันเป็นมหาอกุศลตามครอบงำจิตใจมาถึงปัจจุบัน เกาทัณฑ์เม้มปาก เห็นใจแต่ไม่ทราบจะช่วยอย่างไร ของแบบนี้เจอเองจึงจะรู้ว่าเจ็บเข้าไส้ขนาดไหน ให้ปลอบง่ายๆ ขอให้เลิกโกรธเกลียด เห็นแก่ความที่เป็นผู้ให้กำเนิดนั้นอย่าหวัง หากปราศจากความเข้าซึ้งถึงธรรมดายถากรรมเราเขาตลอดสาย ก็แทบไม่มีทางเกิดจิตคิดอโหสิที่เด็ดขาด ปลดเปลื้องนรกจากหัวใจตัวเองได้เลย

    “ทีแรกน้าสาวรับไปอยู่ด้วย แต่ก็มีไอ้เวรตะไลในบ้านตัวนึงมันย่องเข้าหากลางดึก ดีที่ฉันจิ้มตามันแทบบอด เลยรอดมาได้...จากนั้นก็เหลือฉันคนเดียว แยกออกมาอยู่ข้างนอกน่ะ ไม่กล้าพึ่งพาใครอีก โชคดีที่มีความสามารถทางภาษาติดตัวอยู่บ้าง น้าสาวเลยพอช่วยติดต่องานให้ได้ ก็พี่อนงค์นั่นแหละ อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง”

    แล้วเรือนแก้วก็จ้องเกาทัณฑ์เขม็ง

    “วันที่แม่เสีย ฉันนั่งในห้องคนเดียว คิดจะฆ่าตัวตายตาม รู้สึกอยู่ใกล้ความตายจนนึกโล่งขึ้นนะ ฉันถามหาบุญเก่า ข้าวที่เคยใส่บาตร เงินที่เคยให้ขอทาน ศีลที่ฉันเคยรักษา มันหายไปไหนหมด ฉันกำลังตกที่นั่งลำบาก ร้องขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ได้เห็นอย่างชัดเจนอีกครั้ง...สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือความเงียบและอากาศว่างเปล่าตลอดกาล”

    “แต่แอ้ก็ได้งานแปล...”

    “นั่นเป็นการช่วยเหลือของญาติ เป็นเรื่องที่แอ้ขวนขวายเอง ช่วยตัวเอง และถึงน้าจะอยู่เบื้องหลังเช่นติดต่อคนให้ หาหลักแหล่งที่พักให้ เซ็นโน่นเซ็นนี่ให้ แต่แอ้ก็ต้องต่อสู้ ลำบากสารพัด มีแต่เงาที่กระจกโต๊ะทำงานเท่านั้นที่เป็นเพื่อน เหงา หวาดกลัว ฟุ้งซ่านจนต้องเลือกที่จะบ้างานแทบเป็นบ้าตาย...”

    เกาทัณฑ์เงียบคิด สิ่งที่เขาเห็นประจักษ์คือหล่อนสามารถผ่านความเลวร้ายขนาดนั้นมาถึงวันอันงดงามขนาดนี้ได้ ก็น่าจะชวนคิดแล้วว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้อง โอบอุ้มค้ำชู น่าแปลกที่หล่อนกลับไม่มองให้เห็นบ้าง

    “แอ้ต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยยังไง คืนแม่กลับมาให้?”

    “เปล่า...ไม่เอาแม่ไปต่างหาก”

    ปลายเสียงหญิงสาวเครือนิดๆ เป็นวินาทีที่เกาทัณฑ์มาถึงจุดของความเข้าใจ เหตุการณ์เลวร้ายทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลั่นแกล้งหล่อนนั่นเอง เขาได้แต่ลอบระบายลมหายใจยาว คนเรามีมุมมองที่เป็นจุดบอดอยู่เสมอ แล้วก็ยากเย็นแสนเข็ญถ้าจะคิดลบจุดบอดนั้นทิ้ง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในหัวของคนมีการศึกษา มีความรู้ความคิดระดับหนึ่ง

    เรือนแก้วว่าต่อตามใจคิดเมื่อเห็นเขาไม่โต้ตอบ

    “ความอบอุ่นและความรู้สึกแสนวิเศษยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คืออ้อมอกของแม่ แต่หลังจากแม่เสีย สิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียวที่เหลือคือตัวของแอ้เอง ถ้าเป็นเหมือนอย่างแอ้ เต้จะคิดเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอยู่อีกไหม?”

    เกาทัณฑ์กำหนดจิตให้โปร่งโล่ง คิดฉายความสุขในตนส่งถึงหล่อนก่อนเอ่ยตอบ

     “ผมไม่ได้เจอเรื่องโหดร้ายเหมือนอย่างแอ้ แต่เชื่อเถอะว่าเข้าใจ และเห็นใจ รวมทั้งพลอยปลื้มที่แอ้เจอทางออกสุดท้ายที่สวยพอ”

    แล้วเกาทัณฑ์ก็ดึงตัวนั่งตรง ตื่นพร้อมสำหรับการพูดแบบน้ำไหล

    “แต่แอ้ไม่ใช่คนแรกที่ตั้งคำถามหาความศักดิ์สิทธิ์ทำนองนี้จากศาสนา เป็นคำถามที่สาวกของทุกศาสนามีในใจตลอดมาขณะตกทุกข์ได้ยาก หากเป็นผม ผมก็คงสงสัยขึ้นมาว่าเมื่อแรกเกิดยังไม่ทันทำบุญสักแอะ ทำไมมีบ้านช่อง มีอ้อมอกพ่อแม่พรั่งพร้อม อยู่เป็นสุข เห็นเรื่องสบายตาทุกอย่าง แต่พอรู้ความ ทำบุญไปได้หน่อย เมื่อโตขึ้นกลับตกระกำลำบาก จะให้เชื่อได้ยังไงว่าทำดีแล้วได้ดีตอบ”

    เรือนแก้วกะพริบตา พยักหน้ารับ เกาทัณฑ์จึงเอ่ยต่อ

    “ผู้คนส่วนใหญ่พอมีความคิดหันหลังให้ศาสนา เห็นว่าควรพึ่งพาตัวเอง ก็มักหมายถึงมีใจคิดเลิกนับถือ หรือกระทั่งต่อต้านสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเกลียดชังคั่งแค้นไปเลยที่ไม่ยอมช่วย ทั้งที่ความหมายอันแท้จริงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่มือไร้ตนที่คอยหยิบยื่นหอกดาบช่วยเรารบ แต่หมายถึงสิ่งดลใจให้เราทนสู้อยู่ในโลกด้วยกำลังฝ่ายดีต่างหาก

    ผมบอกแอ้ได้สองอย่าง ประการแรก ศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งขึ้นมาด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะแก้ปัญหาปากท้องหรือลดความขมขื่นให้ใครชนิดลัดสั้นชั่วข้ามคืน ประการที่สองคือเรื่องของเป้าหมายในศาสนานั้น เพื่อให้ดับทุกข์ทางใจอย่างเด็ดขาด ดับกันที่ใจ ไม่ใช่เพื่อพยายามสร้างแต่เหตุการณ์ดีๆให้เกิดสุขตลอดกาล เพราะสัจธรรมข้อหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสอยู่ตลอดเวลาก็คือโลกนี้ต้องมีดีร้ายสลับกัน

    แม้พระองค์เองสมัยทรงพระชนม์ก็เสวยทุกข์ทางกรัชกายจากการเบียดเบียนภายนอกและภายในยิ่งกว่าคนทั่วไปเสียอีก อย่างเช่นผลตกค้างเรื้อรังในระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากการบำเพ็ญทุกรกิริยาถึงหกปีก่อนตรัสรู้ หรืออย่างที่พระองค์กับสาวกระดับผู้ใหญ่ถูกประทุษร้ายต่างๆนานา ได้รับความทุกข์ทางกายเสมอพวกเรา หรือยิ่งกว่าพวกเรา นั่นเป็นหลักฐานว่าแม้แต่ผู้เป็นประมุขสูงสุดของศาสนาก็ใช่จะหลีกเร้นไปอยู่บนวิมานห่างจากดินนะแอ้

    เพราะงั้นเรื่องร้าย เรื่องน่าเศร้าจึงไม่ใช่ของแปลกปลอมในโลกนี้ แต่สำคัญที่จังหวะเกิดเรื่องน่าเศร้านั้น ใจรับได้ด้วยภาวะปลอดโปร่งเป็นสุขแค่ไหน ขึ้นอยู่กับใครปฏิบัติจริง ออกภาคสนามจริงตามหลักสูตรในศาสนาเพียงใด แอ้จะเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของแท้ในตัวเอง เมื่อเจอเรื่องร้ายแล้วยิ้มได้ ปล่อยวางได้สักขณะหนึ่ง”

    เรือนแก้วตั้งใจฟังมาตลอด แต่พอเขาลงสรุปเช่นนั้นก็หัวเราะขัน

    “ความปล่อยวางเป็นยังไง มองให้เห็นทุกสิ่งว่างโบ๋อย่างที่พูดกันน่ะหรือ? แอ้ว่าเกินไปหน่อยล่ะ ถ้าใครมาตัดมือเต้ทิ้งนี่ จะเห็นมือที่ขาดไปเป็นความว่างเปล่าได้ไหวงั้นซี? หรือให้สลัดคราบมนุษย์ กลายเป็นสิ่งไร้ชีวิตจิตใจ สุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ไม่เป็นแบบตุ๊กตุ่นตุ๊กตา?”

    “ไม่ใช่...ไม่ใช่การเห็นสี่เหลี่ยม วงกลม แล้วหลอกตัวเองว่าไร้รูปทรง ว่างกลวงเหมือนอากาศธาตุ แล้วก็ไม่ใช่สมมุติตัวเองเป็นสิ่งไร้ชีวิตจิตใจ ปราศจากอารมณ์สุขทุกข์”

    พักคิด ยกมือลูบคาง พิศดวงตาที่กำลังทอรัศมีสุกปลั่งราวกับดาวรุ่งของเรือนแก้ว ซึ่งส่อให้เห็นว่าเพิ่งใช้สมาธิกับการประชุมที่มีรายละเอียดซับซ้อนนานต่อเนื่องหลายชั่วโมง นับว่ามีความตั้งมั่นอยู่พร้อมพอควร จึงตัดสินใจบอก

    “ขอเวลาแอ้หนึ่งนาทีลองทำตามที่ผมพูดได้ไหมล่ะ เป็นหนึ่งนาทีที่ตั้งใจจริงๆ ไม่แกล้งทำแบบขอไปที แล้วจะเห็นว่าความปล่อยวางหน้าตาเป็นยังไง”

    ริมฝีปากเรือนแก้วค่อยๆคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม

    “จะทำอะไร สะกดจิตแอ้เหรอ?”

    “เปล่า” เกาทัณฑ์ปฏิเสธหนักแน่น “สะกดจิตคือทำให้สักแต่เชื่อ สักแต่คิด หรือยอมตัวเองตกอยู่ใต้อิทธิพลของอำนาจจิตหรือคำพูดจูงใจคนอื่น แต่สิ่งที่จะให้แอ้ลอง คือการ ‘พิจารณา’ ซึ่งเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อแอ้เองมีสติสมบูรณ์ เริ่มต้นด้วยตัวคิดเล็งความจริง และลงท้ายเป็นการตระหนักเห็นความจริง คำพูดของผมเป็นเพียงแนวทางที่มีอยู่แล้วในแก่นสารของพุทธเท่านั้น”

    พื้นนิสัยเรือนแก้วชอบทดลอง อยากรู้เห็น ยิ่งเมื่อเกาทัณฑ์ตกปากรับคำว่าใช้เวลาเพียงนาทีเดียว ปลอดจากการสะกดจิตนะจังงังอันใด ประกอบกับเชิงไทก็นั่งเป็นเพื่อนอีกคน เลยเอียงคอเบะปากรับ

    “ได้เลย เจ้าพ่อจะสั่งอะไรลูกช้างก็ว่ามา”

    “นั่งตรงๆนะ หลับตาลง”

    เรือนแก้วทำตาม เกาทัณฑ์สะดุดนิดหนึ่ง เพราะเห็นยิ้มหยันปรากฏที่มุมปากเพื่อนสาว ทำให้เกิดความไม่มั่นใจนักว่าความพยายามของตนจะเกิดผลสักแค่ไหน ได้แต่มองข้าม ปลงใจคิดว่าทำตามหน้าที่หนึ่งในบริษัทสี่ คืออุบาสกผู้ช่วยสืบทอดพระศาสนาตามกำลังและโอกาส จึงค่อยรู้สึกดีขึ้น

    “วางแขนราบบนที่เท้าแขน ปล่อยให้ข้อมือตกลงมาตามสบาย อย่าเกร็งส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะหัวไหล่”

    เมื่อเห็นหญิงสาวขยับตัว วางอิริยาบถตามที่เขาบอกพร้อม และลดรอยยิ้มหยันที่มุมปากลงแล้ว เกาทัณฑ์จึงเอ่ยต่อ

    “ดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นตรงข้อมือนะ ที่ปล่อยห้อยจากมุมแขนเก้าอี้อย่างนี้ เป็นความรู้สึกที่นิ่งสบาย ผ่อนคลาย เรียกได้ว่าเป็นความสุขชนิดหนึ่ง ลองตั้งสติจ่อดูเฉพาะตัว ‘ความสบาย’ ที่ข้อมือไว้ให้ได้ต่อเนื่องกันสักครึ่งนาที ตั้งใจนะ นับหนึ่ง สอง สาม ไปจนถึงสามสิบให้สม่ำเสมอ แต่ละครั้งที่นับให้นึกสำรวจเสมอว่าเรากำลังตามดูข้อมือที่ห้อยลงอย่างสบายหรือเปล่า”

    ด้วยสติและสมาธิที่อยู่ตัวในขณะนั้น ทำให้เรือนแก้วปฏิบัติตามได้โดยง่าย ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่หล่อนต้องมาตั้งใจจับความสบายข้อมือที่ตกห้อยอย่างต่อเนื่อง

    เพียงนับหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เมื่อยังสามารถหน่วงนึกถึงความสบายที่ข้อมือชัดอยู่ หล่อนก็เกิดความรู้สึกพอใจขึ้นมาอย่างน่าแปลก เพิ่งสังเกตเห็นว่าตนเองอาจเป็นสุขกับสิ่งเล็กน้อยได้ขนาดนั้น แค่เพียงจับสังเกตความสบายที่ข้อมือเท่านี้เอง

    พอนับได้ถึงสิบห้า ‘ความเห็น’ จากภายในก็ขยายขอบเขตไปตลอดช่วงปลายแขนซึ่งวางราบ เกิดความสงบใจและจดจ่อกับข้อมือมากขึ้นกว่าเดิม พบว่าตัวความสบายที่จ่อรู้อยู่นั้น แผ่ออกไปทั่วทั้งลำแขน มิใช่เฉพาะที่ข้อมือจุดเดียวดังเห็นเมื่อแรก เหตุเพราะกล้ามเนื้อตลอดช่วงนิ่งวางผ่อนพักเต็มที่ ไม่ขยับเขยื้อนเลย

    ตอนนั้นใจชักเริ่มเบี่ยงเบนไปคิดเรื่องอื่น เรือนแก้วก็ดึงความรู้ตัวกลับมาจดจ่อกับข้อมือใหม่อย่างรวดเร็ว เนื่องจากสำรวจทุกครั้งที่นับว่าใจยังอยู่กับข้อมือหรือไม่ พบว่าความสงบสุขทวีขึ้นเป็นเงาตามระยะเวลากำหนดรู้สิ่งเดียวเช่นนั้น แม้เมื่อลมหายใจผิดจังหวะ ก็รู้เองว่าควรกำหนดเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ลดความเกร็งลง

    นับเกินสามสิบมาเยอะแล้ว แต่ยังติดความสบายที่เกิดขึ้นในภายใน เรือนแก้วจึงหลับตาค้างเติ่งมาเรื่อย กระทั่งเกิดกลุ่มความคิดกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไขจำกัดเวลาของเกาทัณฑ์ ถึงลืมตาขึ้นได้

    “เป็นไงมั่ง?”

    เกาทัณฑ์ถาม

    “ก็โอเค สงบดี” หญิงสาวตอบเสียงเนือย แล้วถามกลับ “นี่น่ะหรือความว่าง?”

    “เปล่า นี่แค่เริ่มต้น เขาเรียกว่าการ ‘จ่อรู้’ เท่านั้น เข้าข่ายการตั้งสมาธินั่นแหละ หากแอ้จะได้ความสุข ความสงบจากการจ่อรู้เมื่อครู่ ก็เป็นในระดับของสมาธิ ทีนี้เพื่อเข้าให้ถึงความว่าง ต้องมีการ ‘พิจารณา’ เสริมเข้าไปด้วย ขอเวลาอีกครึ่งนาที คราวนี้แอ้จะได้ลองทั้งกำหนดสติรู้และพิจารณา...เอารึยัง?”

    หญิงสาวปิดตาลง ผงกศีรษะเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะปฏิบัติตาม เกาทัณฑ์ก็บอกทันที

    “ตั้งตัวรู้ดูความสบายที่ข้อมืออย่างเมื่อกี้ แต่คราวนี้ให้คิดสมมุติว่ากำลังวางกระดูกท่อนแขนที่เราไม่ใช่เจ้าของ เป็นท่อนกระดูกของใครไม่รู้เอามาฝากไว้กับตัวเรา เราไม่ใช่ผู้สร้าง วางทิ้งได้โดยไม่ต้องเป็นห่วง”

    ด้วยกระแสสติที่ตกค้างจากเมื่อครู่ ทำให้ต่อติดโดยง่าย เพียงคิดสมมุติตามเกาทัณฑ์พูด เรือนแก้วก็เห็นจากใจว่าท่อนแขนตนกลายเป็นกระดูกแปลกปลอมชิ้นหนึ่งซึ่งหล่อนวางฝากไว้กับแขนพักของเก้าอี้ นับสิบแรกเกิดความเห็นสัณฐานของช่วงปลายแขนชัด เป็นกระดูกตั้งแต่ศอกถึงปลายนิ้วมือแหลมๆทั้งห้า เห็นจริงเห็นจังว่าท่อนกระดูกที่วางอยู่นี้มิได้ถูกสร้างขึ้นโดยหล่อน เมื่อคิดวางทิ้งไว้เหมือนซากไม้ไร้เจ้าของแล้วก็สบายใจ โปร่งโล่งหมดห่วงหมดความยึดถือ

    ด้วยความต่อเนื่องของการสมมุติ ในที่สุดเมื่อใกล้การนับสามสิบ ก็บังเกิดเป็นตัวตระหนักขึ้นมาปุบปับว่าท่อนแขนนี้ไม่ได้มาจากหล่อนจริงๆ เมื่อถูกสร้าง หล่อนไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆเลย สมควรถูก ‘วาง’ ไว้โดยปราศจากการเข้าถือครองจากใครทั้งสิ้น

    นั่นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดของการย่างเข้าสู่ภาวะปล่อยวาง คือเหลือแต่อาการรู้ท่อนแขนเฉยๆโดยไม่คิด ไม่พิจารณาอะไร เพราะติดอยู่ในความหมายรู้เรียบร้อยแล้วว่าแขนที่ถูกรู้มิใช่สิ่งที่หล่อนสร้าง เป็นเพียงธรรมชาติอันว่างเปล่าจากตัวตน หาได้อยู่ในความครอบครองของใคร เสมอกันกับกระดูกศพที่ถูกทิ้งขว้างในป่าช้า

    เมื่อเห็นความว่างจากผู้ครอง ใจก็วางลงได้เช่นกัน

    วาง… สิ่งที่ว่าง

    น้ำหนักแขนที่ถูกวางราบนั้นคืออาการทางกาย บัดนี้กลืนเป็นอันเดียวกับการวางด้วยใจ จิตผนึกนิ่งอยู่กับความวางนั้นชั่วขณะ บังเกิดความสุขไร้เขตจำกัดเป็นวาระแรก

    เมื่อเกาทัณฑ์เห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายยิ่งของเพื่อนสาว ก็รับทราบว่าเรือนแก้วลิ้มรสธรรมขั้นต้นที่พ้นจากการอธิบายด้วยคำพูดแล้ว

    รอจนกระทั่งเรือนแก้วลืมตาขึ้นเอง ซึ่งนานหลายนาที ความจริงหล่อนเหนื่อยอ่อนจากการทำงานมาทั้งวัน เมื่อเคลิ้มสบายเข้าก็งีบหลับ มารู้สึกตัวตื่นด้วยจิตใต้สำนึกที่ผูกกับพันธะคือกาลและสถานที่

    “เป็นไงมั่ง?”

    คราวนี้เรือนแก้วยอมรับโดยปราศจากท่าทีแสร้งอำพราง

    “อือ รู้สึกว่างได้จริงๆแหละ”

    “ย้อนนึกกลับไปในอดีตนะ ถ้าช่วงเวลาเศร้าโศกอย่างที่สุด แอ้รู้จักความสุขจากการปล่อยวางง่ายๆนี้ อย่างน้อยทุกวันจะมีหนึ่งนาทีที่สามารถหลีกทุกข์ได้จริง และสิทธิ์ในการหลีกทุกข์นี้ก็ไม่จำกัดแค่หนึ่งนาที แอ้พ้นทุกข์ได้นานเท่าที่จะมีกำลังรู้และพิจารณา นี่คือตัวอย่างของแก่นพุทธ ถึงแม้ทุกข์หนักจะเป็นจะตายแค่ไหน ขอเพียงมีความรู้ และมีกำลังเหลือพอจะพิจารณาธรรม ก็เปลี่ยนภาวะจิตใจให้เป็นตรงกันข้ามกับทุกข์ได้ตลอดเวลา เนื่องจากกำจัดต้นเหตุทุกข์ทางใจที่แท้จริง คืออุปาทานยึดมั่นถือมั่นลงได้

    วกไปพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แอ้พบอยู่ในความว่างเปล่าของอากาศ แน่นอนเมื่อแอ้เรียกร้องอยู่ในใจของตัวเองและมองออกไปในอากาศว่าง สิ่งที่จะพบย่อมไม่ใช่ผู้วิเศษตนใดตนหนึ่ง แต่เป็นอากาศว่างนั่นแหละ พูดปลอบไม่ได้ ยื่นมือมาฉุดให้เราลุกไม่ได้อยู่อย่างนั้นเอง

    ถ้าตอนนั้นแทนการเรียกร้องจากลมแล้ง แอ้ฟังธรรม อ่านธรรม แล้วเข้าถึงการพิจารณาเพื่อปล่อยวางต่างหาก ถึงจะเจออะไรที่เป็นของแท้ ศักดิ์สิทธิ์จริงอย่างนี้”

    เรือนแก้วใคร่ครวญ เกิดความเข้าอกเข้าใจขึ้นมาว่าความว่าง ความปล่อยวางนั้นคือการกำหนดสติรู้และพิจารณาด้วยอาการเช่นไร ทว่าไม่เห็นด้วยกับเกาทัณฑ์ทั้งหมด

    “การพิจารณาธรรมเช่นนี้ต้องพร้อมพอควร เพราะอาศัยทั้งสติและความตั้งใจอย่างต่อเนื่อง คนจมทุกข์ที่ไหนจะเอากำลังกายกำลังใจมาตั้งสติพิจารณา”

    ชายหนุ่มผงกศีรษะรับอย่างแข็งแรง เป็นเครื่องหมายแทนการยอมรับเต็มที่

    “ถูก! เมื่อจิตตกต่ำขนาดเรียกสติไม่ได้ จะฟื้นให้กลับเป็นกุศลทันทีน่ะเหลือวิสัยแน่ ต้องนอนหลับพักผ่อนเอาแรงสักงีบ แต่สำคัญว่าตื่นขึ้นมาต้องรีบฉวยจังหวะที่กำลังกายดีพร้อม เอามาใช้พิจารณาให้เกิดวิถีจิตด้านดี เสียดายนี่เรากำลังพูดย้อนกลับไปข้างหลัง ไม่อย่างนั้นถ้าทดลองดู แอ้จะรู้ว่าแอ้เริ่มวันใหม่ด้วยการวางความว่างได้จริงๆ

    การพิจารณาธรรมขั้นต้นอย่างนี้ ก็คงไม่อาศัยแรงกำลังมากไปกว่าที่แอ้รับงานแปลจากพี่อนงค์ในช่วงวิกฤตสักเท่าไหร่ ว่าไปอาจน้อยกว่าด้วยซ้ำ เพราะใช้เวลาแค่นาทีเดียว ขณะที่งานแปลอาจกินเวลาเป็นสิบชั่วโมงต่อเนื่อง ในเมื่อตอนนั้นเป็นทุกข์แล้วยังตั้งสติทำงานได้ ก็แปลว่ามีกำลังเหลือเฟือสำหรับการพิจารณาให้เห็นความว่าง จริงไหม?”

    เรือนแก้วเริ่มเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนาเป็นอีกแบบได้บ้าง อย่างน้อยก็ย้อนคิดว่าพระพุทธองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยเผยแพร่แก่นธรรมชนิดนี้ มิใช่ปราถนาจะกระทำพระองค์เป็น ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ปกป้องคุ้มครอง ให้ความช่วยเหลือใครเพียงเพราะเชื่อตามพระองค์ในขั้นให้ทาน รักษาศีล ทว่าทรงปรารถนาจะเป็นผู้บอกวิธีพ้นทุกข์ให้แก่คนปฏิบัติด้วยตนเอง

    เชิงไทกอดอกเฝ้าดูแบบเสมอนอกมาตลอด เห็นแปลกอยู่บ้างกับสีหน้าสงบสุขยิ่งของเรือนแก้ว สัมผัสว่านั่นแตกต่างจากสุขเพราะเกิดภวังค์หลับสบายไปมากโข ทว่าตัวเขาเองเพียงนึกถึงข้อมือตามเกาทัณฑ์พูดแวบเดียวแบบคนได้ยินอะไรก็คิดอย่างนั้น ทว่ามิได้ใส่ใจให้ต่อเนื่องตามไปด้วย จึงเกิดความเห็นแย้งขึ้นมา

    “ถึงมึงจะบอกว่านี่ไม่ใช่การสะกดจิต กูก็ว่าใช่อยู่ดี เป็นการสะกดตัวเองอย่างมีสติ สะกดด้วยความคิดจูงจิตให้เห็นตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่ กูเคยเห็นแบบสะกดหมู่ให้นึกว่าเป็นนกพร้อมๆกันด้วยซ้ำ กางแขนบินกันใหญ่เลย อันนี้มึงให้แอ้ ‘สมมุติ’ ตัวเองเป็นกระดูกแปลกปลอมแยกออกมาชิ้นหนึ่ง ก็ธรรมดาแหละวะที่จะเห็นตัวเองเป็นโครงกระดูกผีขึ้นมา”

    เกาทัณฑ์ขบริมฝีปากหน่อยๆ นั่งฟังพร้อมกัน ร่วมเวลาเดียวกัน สองบุคคลอาจ ‘เห็น’ ต่างไปเป็นคนละระนาบอย่างนี้เอง เช่นที่เชิงไททำตัวเป็นเพียง ‘ผู้เฝ้าสังเกต’ และจดจ้องจะพูดถึงสิ่งที่ตนเห็น ตนประจักษ์ในฐานะบุคคลที่สามเท่านั้น ไม่คิดเป็นตัว ‘ผู้ทดลอง’ เพื่อประจักษ์เองแม้แต่น้อย

    “โดยนัยของการสะกด น่าจะหมายถึงการพยายามเบี่ยงเบนความเห็นให้ผิดเพี้ยนไปจากของจริง อย่างคนไม่ใช่นกก็ให้นึกว่าเป็นนกที่มึงว่า แต่โดยนัยของการพิจารณาธรรม ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นและเป็นตัวชี้ความแตกต่างอย่างชัดเจนคือสติและความตระหนักตามจริง รู้ว่าที่คิดและพิจารณานั้นไม่ได้เสริมแต่งให้ผิดเพี้ยนไปเลย

    ตอนเราไม่ดู ไม่พิจารณาต่างหาก ที่ถูกผัสสะภายนอกภายในสะกดให้เห็นไปว่ากายนี้ของเรา ความรู้สึกนึกคิดนี้ของเรา ซึ่งพระพุทธองค์พบว่าอย่างนี้คือทางสายทุกข์ เพราะทำให้จิตระส่ำระสาย อยากได้ อยากเสีย เป็นชนวนให้คิดดีร้าย ก่อกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง รับผลกันเดี๋ยวนั้นบ้าง รอรับผลข้างหน้าที่มองไม่เห็นบ้าง

     ต่อเมื่อพิจารณาแยกเป็นชั้นๆด้วยกำลังจิตที่นิ่งอยู่ตัว ก็จะเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นได้ เมื่ออยู่ในสภาพหมดอุปาทาน จะชั่วขณะหรือถาวร ก็จะได้รสเดียวกันคือความว่างจากทุกข์ทางใจ อย่างนี้เป็นทางสายดับทุกข์ เพราะงั้นเมื่อกี้สาระไม่ได้อยู่ที่แอ้เขาเห็นตัวเองเป็นโครงกระดูกหรือเปล่า แต่เกิดภาวะจิตรู้แจ้งความจริงจนปล่อยวางได้ต่างหาก

    เป้าหมายสุดท้ายของการพิจารณาปล่อยวางบ่อยๆก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากการสะกดจิต ปลายทางของการสะกดจิตอาจให้ผลเป็นการเปลี่ยนบุคลิกภาพให้ดีขึ้นหรือเลวลง แต่การพิจารณาธรรมจนแก่รอบแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงจิตให้กลายเป็นอีกสภาวะหนึ่ง ขาดสิ้นจากการปรุงแต่งระคายใจอย่างถาวร ไม่ต้องเพ่งพิจารณาอีก”

    เชิงไทลดรอยยิ้มขันในหน้าลง แต่ยังข้องว่า

    “รู้ดีอย่างนี้แล้วทำไมมึงไม่ปลงผมบวชเสียเลยล่ะ? จะได้หมดทุกข์ถาวร”

    “มึงลองทำดูเองสิ แล้วจะรู้ว่าการ ‘เห็น’ ในเบื้องต้นแค่นี้ เพียงพอจะทำให้ ‘ตัดใจ’ ได้ปุบปับง่ายดายหรือเปล่า คนเราให้คิด ให้พูดยังไงก็ได้ เหมือนวางแผนปกครองพลเมืองกันหลายชั้นหลายซ้อน แต่เอาเข้าจริงควบคุม ปราบปรามได้สักแค่ไหน ของแบบนี้ต้องสั่งสม ต้องหัดวางจนใจพร้อมจะว่างจริง ซึ่งกูยังไม่มีวาสนาถึงขนาดหรอก”

    เชิงไทกัดปากและย่นคิ้วนิดๆ

    “เป้าหมายของการปล่อยวางถึงที่สุดคือการเป็นพระอริยบุคคลใช่ไหม? ไหนมึงบอกหน่อยเถอะ พระอริยะนี่เขาเป็นกันยังไง เอาอะไรมาวัด? แบบแอ้เมื่อกี้ใช่รึยัง เป็นอริยะชั่วขณะหรือเปล่า?”

    เกาทัณฑ์ชะงักคิด คำถามนั้นต้องการคนรู้แจ้งเห็นจริงเป็นผู้ตอบ ตัวเขาเองเป็นประจักษ์พยานในรสธรรมขั้นพื้นฐานเท่านั้น จะให้พูดเรื่องสูงทั้งหมดคงไม่ได้

    อีกอย่าง บรรยากาศสนทนาเป็นไปแบบมึงๆกูๆ หรืออย่างเบาก็คุณผม ไม่ใช่โยมหรืออาตมา รู้เห็นกันอยู่ว่าต่างฝ่ายต่างยังมีกิเลส จะเอาอะไรเป็นแกนอ้างอิง หรือชั่งวัดได้ว่าคำพูดถึงสิ่งสูงมีน้ำหนักแค่ไหน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระอริยบุคคล

    “กูบอกตามนิยามในคัมภีร์ได้ว่า พระอริยบุคคลก็คือผู้ปฏิบัติธรรมจนหมดกิเลสไปตามลำดับ ส่วนจะเอาอะไรมาวัดนั้น คงต้องพูดกันยาว แบบแอ้เมื่อกี้นี้แค่ ‘เห็นธรรม’ ขั้นต้น ซึ่งจะนำไปสู่ปลายทางข้างหน้าได้ หากมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    และ...พูดตรงไปตรงมานะเชิง ที่เราคุยกันอยู่นี่ เขาเรียก ‘ถกธรรม’ เพราะมีฝักฝ่ายของผู้ปลงใจเชื่อ ปลงใจยอมรับ กับผู้ที่ยังข้องใจ ไม่เชื่อถือ ประกอบกับพวกเราอยู่ในฐานะเท่ากัน เป็นเพื่อนฝูงที่รู้อยู่ว่าทำงานเพราะอยากได้ตังค์มาใช้ชีวิตแบบโลกๆให้สุโขเหมือนๆกัน มึงมองยังไงก็ไม่เห็นกูแตกต่างจากมึงตรงไหน

    ถ้าจะคุยกันแบบเห็นตาม ส่งเสริมกัน หรือเรียก ‘สนทนาธรรม’ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์อย่างผู้ปฏิบัติจริง ต่างฝ่ายต่างต้องเสมอกันทางธรรม ซึ่งกูเองก็เพิ่งเริ่มต้น แค่แตะๆต้องๆนิดหน่อย ตัวเองยังไม่ถึงใจเท่าไหร่เลย ส่วนมึงยิ่งแล้วใหญ่ กับแค่ต้นทางยังไม่เห็น แล้วจะหวังเข้าใจปลายทางด้วยการรับฟังกูบอกน่ะคงยาก

    เรื่องเกี่ยวกับการเป็นผู้เข้าถึงศาสนานี่ ในใจมึงอาจคิดว่าเป็นคำถามง่ายๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ถ้าอยากรู้ว่าพระอริยบุคคลเป็นกันยังไง เอาตรงไหนมาวัด มึงต้องเจอตัวจริงของท่าน ยอมรับให้ท่าน ‘แสดงธรรม’ แจกแจงให้ฟังว่า ‘สิ่งนั้น’ เป็นอย่างไร แล้วตัวมึงเองก็ต้องมีฐานหรือทุนเพียงพอจะซึมซับเอาตรงๆจากท่านด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยความคิด เพราะจิตพระอริยะนั้นเป็นคนละรส เป็นคนละกระแสกับจิตคิดแบบปุถุชนเรา”

    เชิงไทตะแคงหน้า เหล่ตามองอีกฝ่าย

    “แสดงว่าพุทธเป็นศาสนาที่หาหลักฐานยาก อย่างที่เน้นการเวียนว่ายตายเกิดนี่ เท่าที่มึงปฏิบัติมา พอบอกได้ไหมว่าชาติก่อนมีจริงหรือเปล่า และจะพิสูจน์หรือจับต้องได้ยังไง”

    “ชาตินี้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ของชาติก่อน”

    ครั้งนี้เกาทัณฑ์ตอบทันทีโดยไม่พักคิด

    “เพราะการมีร่างกายที่เป็นฐานให้กำลังนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้ การมีโอกาสมาเกิดกับพ่อแม่คู่นี้ และได้อยู่ในหลักแหล่งอาศัยอย่างทุกวันนี้ ก็คือวิบากกรรม การให้ผลของสิ่งที่เราทำมาแล้วในอดีต ส่วนจะพิสูจน์ยังไงว่าอัตภาพนี้มาจากกรรมเก่า ก็พอมีหนทางอยู่ แต่ไม่ใช่ด้วยการถามมาตอบไป ต้องอาศัยแนวปฏิบัติจริงที่ค่อนข้างยาก”

    เชิงไทเลิกคิ้ว

    “ต้องนั่งทางในงั้นสิ เคยฟังมาบ้างเหมือนกัน เห็นว่าบางคนนั่งจนเหงือกแห้งก็ไม่ได้สมาธิสมาแทะหรือทางในอะไรขึ้นมาซักกะติ๊ด”

    “ถ้าเรียกนั่งทางใน มึงคงนึกถึงแนวทางในสำนักหมอผีหรือกุมารทองใบ้หวยมากกว่าจะเข้าใจตามจริงว่าเป็นอย่างไร คิดงี้ดีกว่า เราต้องทำจิตให้ขึงตึงเหมือนจอหนังที่เรียบ ปราศจากความขรุขระบิดเบี้ยว พร้อมจะรับแสงจากเครื่องฉายได้ ซึ่งเครื่องฉายก็ต้องส่งแสงได้แรงพอถึงจะเกิดความคมชัด ทั้งจอและทั้งเครื่องฉายนั่นแหละคือจิตที่อยู่ในภาวะสมาธิ

    แต่ละชาติเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ฉายจบม้วนก็ฝังดินไว้ลึกๆ เป็นดินแข็งชนิดที่เอามือเปล่าตะกุยไม่ไหว ต้องอาศัยเครื่องทุ่นแรงเช่นจอบเสียมที่แข็งกว่า ซึ่งนั่นก็คือกำลังที่เกิดจากสมาธิระดับสูงอีกเช่นเคย ถ้าทำถึงแล้วก็เหมือนมีจอบเสียมอยู่ในมือไว้ขุดคุ้ยความทรงจำที่ฝังลืมไว้ใต้จิตสำนึกเราเอง

    ส่วนที่นั่งกันไม่ค่อยสำเร็จน่ะ มีเหตุผลอยู่ร้อยแปด นับแต่โครงสร้างจิตใจบอบบาง อ่อนแอ ขาดความฝักใฝ่ให้ต่อเนื่องจริงจัง อีกอย่างเรื่องสมาธินี่ต้องการความช่างสังเกตสังกาและความฉลาดภายใน แบบเดียวกับใช้ความฉลาดพัฒนาฝีมือทางการกีฬานั่นแหละ คนส่วนใหญ่นึกว่านั่งเพ่งๆๆ พอไม่สำเร็จก็เลิก ขี้เกียจต่อแล้ว ไร้วาสนาแล้ว ไม่คิดว่าการทำสมาธิเป็นเรื่องต้องลงแรง ลงเวลา และใช้สมองกันพอควร”

    “ถ้าได้สมาธิอย่างเดียวนี่ก็กลายเป็นผู้วิเศษ คิดถึงชาติก่อนก็เห็นเลย?”

    เกาทัณฑ์ส่ายหน้า

    “เหมือนมึงเต็มตื่นอยู่ตอนนี้ แล้วย้อนนึกถึงเมื่อก่อนกูเดินเข้ามาในห้อง ความจำยังแจ่มชัดและเป็นจริงเป็นจัง เพราะเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ หรือย้อนนึกถึงสมัยมึงเพิ่งอยู่สักประถมสาม ความจำก็ยังคงอยู่ แม้ว่าจะพร่าเลือนไป เพราะผ่านนานและถูกความจำอื่นถมทับไว้หนามากแล้ว

    จะสั้นหรือยาว ชัดหรือเลือนก็เถอะ ตราบใดที่ยังรู้ตัว ตื่นเต็มตาอยู่อย่างนี้ ก็จะย้อนนึกได้ และรู้ว่าเคยเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ลองสังเกตจะเห็นว่าแค่มึงมีกำลังสติดีๆ การย้อนระลึกจะชัดเจนกว่าตอนเหม่อมากแล้ว บางขณะอาจเหมือนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งทีเดียว

    แต่เมื่อได้สมาธิ ภาวะความตื่นรู้จะเต็มรอบกว่าสติธรรมดาอย่างเดี๋ยวนี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า เพราะสติจะนิ่งต่อเนื่อง และจิตจะสว่างฉายภาพในมโนนึกแจ่มชัด เมื่อพยายามย้อนระลึกจะเห็นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ไม่ว่าจะถอยกลับไปในอดีตไกลแค่ไหน ยิ่งสั่งสมกำลังจิตไว้มากเท่าไหร่ ก็จะคมชัดและไปได้ไกลเท่านั้น ขนาดที่สามารถแทงทะลุความทรงจำ ความรู้สึกก่อนลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก และถอยย้อนกลับไปก่อนวิญญาณเคลื่อนมาปฏิสนธิ ซึ่งถึงตรงนั้นแหละคือเริ่มเห็นอัตภาพในอดีต สรุปคือต้องมีสมาธิชั้นเลิศด้วย และมีตัวความพยายามย้อนระลึกด้วย ถึงจะเกิดความเห็นขึ้นมา ไม่ใช่มีสมาธิหรือตัวสติอย่างใดอย่างหนึ่งโดดๆ”

    “ถ้าไม่เห็นชาติก่อน ไม่เชื่อเรื่องภพภูมิ ก็แปลว่าเข้าไม่ถึงแก่นพุทธ?”

    “เปล่าเลย อย่างแอ้เมื่อกี้ก็เรียกว่าแตะๆต้องๆแก่นแล้ว ถึงใจเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องภพภูมิก็ตาม แล้วแต่จริตคนด้วย บางรายนี่ยังไม่ต้องคิดเรื่องภพชาติก็เข้าทางดับทุกข์ได้ แต่ส่วนใหญ่ต้องเชื่อสักระดับหนึ่ง ถึงจะเห็นประโยชน์ของการพยายามดับทุกข์”

    “มึงเห็นชาติก่อนหรือยังวะ?”

    เกาทัณฑ์อึกอักนิดหน่อย คราวนี้รู้แล้วว่าเมื่อซักแพตรีเกี่ยวกับอดีต เหตุใดจึงเห็นหล่อนฝืนตอบกึ่งรับกึ่งสู้เสมอ ถ้าบอกตามจริงก็เป็นชนวนให้เกิดคำถามยืดเยื้อต่อไปอีก ถ้าบอกปัดว่าไม่เคยก็กลายเป็นมุสา แต่แล้วเขาก็พบทางออก คือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว

    “สมาธิจิตของกูเป็นแบบผิวเผิน ไม่ใช่จิตของนักปฏิบัติจริงที่มีความคมกล้าพอจะย้อนเห็นขนาดนั้น แต่ก็ฝึกๆแบบตามมีตามเกิดอยู่นะ อย่างน้อยมีกำลังแรงขนาดย้อนเห็นเหตุการณ์สมัยอนุบาลชัด...คือไม่ขนาดเห็นเป็นภาพเหมือนดูหนัง แต่ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาว และรู้รายละเอียดครบเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน จำได้หมดเลย ความรู้สึกนึกคิดเมื่อเริ่มท่องกขค. เริ่มหัดคิดบวกลบคูณหาร หน้าตาและชื่อเพื่อนกับครูแต่ละคน บางอย่างลืมไปแล้วอย่างสนิท ขนาดที่ว่าต่อให้พยายามนึกยังไงก็ไม่มีทางได้ด้วยสติธรรมดา

    ถึงจะยังไม่เก่งพอระลึกชาติก่อน แต่ก็ระลึกชาตินี้ได้อย่างละเอียด ทำให้มองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้จิตสำนึก และตระหนักว่าเรามีสิ่งฝังลืมแบบปิดตายอยู่จริงมากมายมหาศาล ถ้าอยากขุดขึ้นดูก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพให้กับจิตจนเกิดความเป็นไปได้ขึ้นมา”

    เชิงไทหรี่ตามองเพื่อนซึ่งคบกันมานาน รู้เห็นไส้พุงกันหลายขด ทราบว่านั่นเป็นการพูดฉีกทางให้เขาลืมคำถามเดิม จึงสังหรณ์ว่าเพื่อนเห็นมากกว่าที่พูดบอก ก็ถามจี้ลงไปซ้ำอีกครั้ง

    “สรุปคือมึงยังไม่เคยเห็นชาติก่อนเลย จะโดยปริยายไหนๆก็แล้วแต่?”

    เกาทัณฑ์นิ่ง อันเนื่องจากความเห็นอัตภาพในอดีตเป็นการช่วยเหลือจากคนอื่น มิใช่กำลังตนเอง อีกทั้งเห็นเพียงแวบเดียว แค่สาๆว่าอะไรเป็นอะไร จึงไม่เกิดความภาคภูมิลำพองที่จะโอ่อวด ได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้แบบติดตลก

    “อย่างกูไม่ใช่พระราชาแน่ และมึงก็ไม่ใช่มหาดเล็กของกู”

    เชิงไทเงียบไปชั่วขณะ เลิกพยายามเพราะรู้ว่าเพื่อนจะไหลไปเรื่อย พลิกข้อมือดูเวลา ชักหิวและขี้เกียจหาข้อซักเรื่องเถียง จึงตัดบท


    “ไปกินข้าวเหอะ”


ทางนฤพาน ประพันธ์โดยดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น